ตอนที่ 24 : บทที่ 24 ความหวัง
“ไม่คิดว่าเจ้าจะมามารถเปิดประตูแห่งพลังได้…” เสียงหวานใสของหยางปิงดังขึ้นพร้อมกับแสงสีแดงที่พุ่งออกมาจากหลังมือขวา ปรากฏตัวออกมาด้วยท่าทางที่สดใสกว่าครั้งก่อนหลายเท่านัก รอยยิ้มที่อบอุ่นและเจิดจ้าราวกับดวงตะวันยามเช้านั่นยิ่งทำให้นางงดงามขึ้นอีก “เจ้าทำได้ดีกว่าที่ข้าคิดเอาไว้มากนัก ใช่ไหมท่านพี่…”
“อื่ม..” เสียงตอบรับดังออกมาจากเเสงสีเงินที่พุ่งออกมาจากหลังมือซ้าย ปรากฏร่างออกมาด้วยท่าทางที่เรียบเฉยเช่นเดิม แต่ที่แปลกไปคือไอเย็นจางๆ ที่แผ่ออกมาทั่วร่าง จนเทียนหลงที่ยืนห่างออกมาในระยะเกือบจั้งยังรู้สึกได้ถึงไอเย็น
“เจ้าสุดยอดมากศิษย์ข้า! อ้อคาราวะแม่นางทั้งสอง” เป็นหลายฟู่ที่มีความเร็วมากกว่าใครที่มาถึงตัวเทียนหลงก่อนใคร ที่รองทักพลางตบหลังชายหนุ่มหนักๆ ด้วยความถูกใจ ก่อนที่จะหันไปคาราวะสองเทพธิดาที่ออกมาจากการจำศีล และใรไม่กี่อึดใจต่อมาคนอื่นๆ ก็ทะยอยมาถึง และร่วมแสดงความยินดีกับลูกศิษย์ของตนเอง
“หืม พลังวัตพันปี! แถมยังเป็นปราณหยินหยางที่บริสุทธิ์และเข้มข้นมาก ช่างเป็นอะไรที่สุดยอดจริงๆ เจ้าช่างโชคดีอะไรเช่นนี้ อายุเพียงแค่สิบหกปีเศษก็สามารถแง้มบานประตูแห่งพลังได้ ทั้งยังบรรลุในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เช่นนี้อีกฮ่าา...สมแล้วที่เป็นศิษย์ของข้า” เหล่าเอี้ยงเข้ามารวบตัวชายหนุ่มแน่นพลางตรวจสอบพลังวัตภายในร่างของเทียนหลง ก็ต้องร้องออกมาอย่างตื่นเต้น
“และไม่ใช่เพียงแค่นั้น ศิษย์ของพวกเรายังมีจุดเก็บกักพลังปราณถึงเจ็ดจุด เท่ากับว่าลมปราณของมันมีมากกว่าคนทั่วไปกว่าเจ็ดเท่า!” มู่หยงต้าเทียนกล่าวออกมาพลางหัวเราะร่าอย่างถูกใจ “ทั้งยังเป็นปราณหยินยางคู่ประสานในตำนานนั่นอีก หากเจ้าสามารถเข้าใจและใช้ออกได้อย่างคล่องแคล่ว ต่อให้เป็นพวกผู้อาวุโสอะไรนั่นคงไม่สามารถทำให้เจ้าหลั่งเหงื่อออกมาแม้แต่หยดเดียว!”
ไม่จบเพียงแค่นั้น คำพูดชื่นชมที่ปะปนมาด้วยกระแสแห่งความตื่นเต้นยังคงถาโถมเข้ามาอย่างมิมีหยุดหย่อน แม้กระทั่งเทพกระบี่และเทพโอสถที่ไม่ค่อยพูดสักเท่าไหร่ยังอดไม่ได้ที่จะชื่นชมเทียนหลงออกมา จะมีก็แต่พระธรรมมาจารย์หลงไท่และจอมมารจินหลิ่งที่คอยมองยิ้มๆ อยู่รอบนอก รวมถึงสองเทพธิดาที่มองคนทั้งหกที่กำลังลูบคลำไปทั่วร่างศิษย์ของตน ผัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันพูดและวิเคราะห์สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นจนเทียนหลงหัวหมุนติ้วๆ ไปหมดแล้ว
ก่อนหน้านี้ที่ติดอยู่ในห้วงแห่งความว่าง เทียนหลงพอจะจำได้ว่าตนเองได้ทำการทะลวงจุดชีพจรทั้งหมด และยังสร้างจุดเก็บกักลมปราณเพิ่มขึ้นมาอีกเจ็ดแห่งอย่างไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งต่อมาจุดชีพจรทั้งเจ็ดก็ได้ดูดกลืนลมปราณอันมหาศาลเข้ามาแปรเปลี่ยนมาเป็นพลังของตัวเอง ทำให้ตอนนี้เขามีพลังที่มากมายจนตัวเองแทบจะจำไม่ได้ จนกระทั่งได้รู้จากปากของเหล่าอาจารย์
ในตอนนั้นเขาได้ทำตามในสิ่งที่เสียงปริศนาบอกกล่าวประมาณว่า 'ปราณคือลมหายใจ ทุกสรรพสิ่งมีลมหายใจ ทุกสรรพสิ่งมีลมปราณ’ เขาจึงปลดปล่อยจิตใจให้ว่างและปล่อยให้จุดชีพจรดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินตามแต่มันจะพอใจ ไม่คิดว่าเขาจะมาถึงเป้าหมายได้เร็วกว่าที่คิดมากนัก
นอกจากนั้นแม้จะไม่ค่อยเข้าใจในหลายๆ สิ่งที่พวกเขาพูด แต่ก็พอจะจับใจความได้หลายๆ อย่าง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยรับรู้มาก่อน อย่างแรกเลยก็คือเรื่องที่เขามีจุดเก็บกักปราณที่มากกว่าผู้อื่น ทำให้หากเทียบกันกับคนอื่นๆ ในระดับเดียวกัน เขาจะมีพลังลมปราณที่เข้มแข็งกว่าอย่างน้อยเจ็ดเท่า!
ไหนจะสมบัติสวรรค์ทั้งสองที่ชำระพลังลมปราณของเขาและเปลี่ยนเป็นพลังปราณหยินและหยาง ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คนๆ หนึ่งจะมีพลังปราณทั้งสองในร่าง โดยปกติแล้วแค่เข้าถึงปราณหยินหรือปราณหยางบริสุทธิ์ก็ว่ายากแล้ว สำหรับคนทั่วไปจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีทั้งหยินและหยางอยู่ในร่างคนคนเดียวกัน เพราะธรรมชาติในทุกสรรพสิ่งจะเกิดมามีคู่และขั้วตรงข้าม ในคนหนึ่งจะมีเพียงหยินหรืออยาง ซึ่งปกติในบุรุษเพศส่วนใหญ่จะสามารถเข้าถึงปราณหยางได้ง่ายกว่า และในสตรีก็จะเข้าถึงปราณหยินได้ง่ายกว่า
ด้วยพลังทั้งสองนั้นถือเป็นขั้วตรงข้ามที่ไม่อาจจะประสานกันได้ แต่หากสามารถประสานกันได้สำเร็จแล้วล่ะก็ อำนาจของมันก็จะทบเท่าทวีคูณจนยากจะคาตผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น บางที่หากเทียนหลงสามารถควบคุมปราณหยินหยางในร่างได้อย่างแคล่วคล่อง พลังของมันอาจจะมากกว่าเดิมอาจะจะหนึ่งถึงสองเท่า หรือแม้แต่มากกว่าสิบเท่าก็มิมีใครรู้ได้ หลายคนจึงตื่นเต้นไปกับเรื่องนี้มากพอสมควร
นอกจากนั้นยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่แม้จะฟังได้แต่ยังไม่เข้าใจอีกมากมาย จนผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยามกว่าทุกคนจะสงบลงได้ในที่สุด
“อาตมาว่าพวกเราไปหาที่ที่ดีกว่านี้คุยกันดีหรือไม่ประสกทังหลาย ก่อนที่จะถามอะไรไปมากว่านี้อย่างน้อยก็ให้ศิษย์น้อยได้ตั้งหลักพักผ่อนก่อนสักครู่ หลังมื้อเที่ยงพวกเราค่อยมาว่ากันอีกที…”
“เดี๋ยวข้าจะไปเตรียมมื้อเที่ยงให้ก็แล้วกัน” เสวี่ยเฟิ่งแย้มยิ้มกล่าวขึ้นหลังจากที่ทั้งสามกลับมาถึงเรือนไม้ไผ่ของพวกเขา ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่เทียนหลงรู้สึกว่าหลังจากที่สาวงามชุดขาวออกมาจากการจำศีลคราวนี้ดูยิ้มง่ายกว่าก่อนหน้านี้มากนัก ทั้งรอยยิ้มนั้นยังคับคล้ายคับคราว่าเขาเคยเห็นที่ไหน แต่จะให้นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก
“เช่นนั้นเราก็มานั่งคุยกันดีกว่า” หลังจากที่เห็นผู้เป็นพี่สาวเข้าไปในครัวเรียบร้อยแล้ว หยางปิงก็เป็นผู้เปิดบทสนทนา “เจ้าเก่งมากที่สามารถแง้มเปิดบานประตูแห่งพลังได้ตั้งแต่อายุแค่นี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าแม้แต่ในที่ที่ข้าจากมาผู้ที่เข้าใกล้มันได้มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย” นางยิ้มกว้างกล่าวออกมาพลางหวนนึกไปถึงสมัยก่อน ในยุคนั้นแม้ว่าจะมีผู้ที่มีพรสวรรค์มากมายที่ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด แต่ผู้ที่จะสามารถเฉียดเข้าใกล้ประตูที่ว่าได้ยังมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย อาจจะสักหนึ่งในหมื่นหรือดีไม่ดีอาจจะน้อยกว่านั้น ทั้งผู้ที่มีอายุน้อยที่สุดที่จะเปิดประตูหรือพอจะเข้าใกล้มันได้บ้างก็ร้อยปีขึ้นไปแทบจะทั้งสิ้น
“ข้าไม่ค่อยเข้าใจที่พวกพี่สาวและท่านอาจารย์ทั้งหลายกล่าวเท่าไรนัก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าประตูหรือขอบเขตแห่งพลังที่ว่านั้นคือสิ่งใด ท่านพอจะบอกข้าได้สักหน่อยหรือไม่” หนุ่มน้อยถามขึ้นบ้าง เพราะเขายังไม่เข้าใจหรือรู้จักสิ่งที่ทุกคนต่างตื่นเต้นยินดีแม้แต่นิดเดียว ทั้งความรู้สึกในตอนนั้นยังมิมีสิ่งใดที่ทำให้เขาเข้าใจมันได้เลยแม้แต่น้อย
“นั่นสินะ” นางยิ้มน้อยๆ กับคำถามของผู้เป็นนาย คงไม่แปลกนักที่เด็กอายุเพียงแค่สิบหกสิบเจ็ดปีจะมิรู้จักมัน “หากนับตามตำนานของพวกเจ้าหรือที่เหล่าอาจารย์ของพวกเจ้าได้ยินมา ที่พอจะอธิบายให้เจ้าเข้าใจได้ง่ายๆ ก็คงเป็น 'สภาวะแห่งผู้รู้แจ้ง’ ที่จะมอบสิ่งต่างๆ ให้กับผู้ที่เข้าถึงมันได้ อย่างที่เจ้าสามารถสามารถปลดผนึกชีพจรเจ็ดดาราที่แทบจะหายสาปสูญไปตั้งแต่ยุคโบราณ ได้รับแม้แต่วิธีการโคจรของมันที่ไม่เคยมีใครทำได้สำเร็จ รวมถึงพลังลมปราณพันปีที่เจ้าได้มา ทั้งหมดก็เป็นผลมาจากสิ่งที่ว่าทั้งสิ้น” นางเล่าพลางหันไปสบตากับผู้ที่กำลังฟังอย่างใจจดใจจ่อ
“แต่หากจะให้บอกตามตำนานที่แท้จริงนั้น เจ้าอาจจะไม่สามารถทำความเข้าใจได้ในตอนนี้ แต่ข้าก็จะเล่าให้เจ้าฟังก็แล้วกัน
“ขอบเขตแห่งพลังหรือประตูแห่งพลังนั้น คือสิ่งที่เหล่าเทพอสูรในยุคแรกเริ่มได้ทิ้งเอาไว้ตั้งแต่ยุคสมัยก่อตั้งฟ้าดินขึ้นมาจากความว่างเปล่า ที่เหลือเอาไว้ให้กับคนรุ่นหลังใช้เพื่อเอาตัวรอดจากความโหดร้าย
ว่ากันว่าเดิมที่นั้นทุกชีวิตสามารถเข้าถึงมันได้หากจิตใจสงบพอ แต่มาในยุคของข้ามันกลับเป็นเรื่องยากไปเสียแล้ว ด้วยหลายๆ เหตุปัจจัย ทั้งความลุ่มหลงมัวเมาในสิ่งต่างๆ ตลอดจนอัตตาที่ถูกสร้างขึ้นด้วยวิญญาณที่เดินผ่านห้วงแห่งกาลเวลา จนมันเป็นเพียงแค่ตำนานที่น้อยคนจะได้สัมผัสจริงๆ สักครั้งหนึ่ง
ส่วนสิ่งที่พวกเขาทิ้งเอาไว้ให้นั้นก่อนจะกล่าวถึงมันคงต้องบอกถึงจุดกำเนิดของฟ้าดินหรือโลกที่พวกเราอยู่อาศัยนี้ก่อน
ตลอดระยะเวลาอันยาวนานที่ผ่านพ้นมา ความโหดร้ายของช่วงเวลาค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความสงบสุข ว่ากันว่าความสุขสบายทำให้ผู้คนหลงลืมถึงความลำบากในอดีต ยิ่งนานวันก็ยิ่งหลงลืมสิ่งที่ช่วยเหลือให้มีชีวิตรอด
ตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมาของประวัติศาสตร์จึงค่อยๆ กลืนกินเคล็ดวิชาตลอดจนวิธีการฝึกฝนต่างๆ จนลงเหลือแค่เพียงไม่ถึงหนึ่งในหมื่น ซึ่งวิธีการเข้าถึงขอบเขตแห่งพลังก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยเช่นกัน อย่าวว่าแต่ในยุคสมัยนี้หรือแผ่นดินที่แสนสงบสุขที่เจ้าถือกำเนิดนี้เลย ขนาดสรวงสวรรค์ที่ทุกชีวิตมีอยู่เพื่อค้นหาความแข็งแกร่งเองก็เหลือเคล็ดวิชาและหนทางฝึกตนไม่ถึงหนึ่งในร้อยจากยุคบรรพกาล” นางเล่าเรื่องเก่าๆ ที่นางเรียนรู้มาด้วยรอยยิ้มขมขื่น “และหากจะยกตัวอย่างสิ่งที่เคยมีผู้ได้รับมาเป็นรูปอธรรมอีกอย่างหนึ่ง ก็เป็นคู่สมบัติเทพหยินหยางที่เจ้าได้รับสืบทอดมา มันเคยเป็นของมนุษย์ที่แข็งแกร่งมากผู้หนึ่ง พลังของเขาผู้นั้นถึงขนาดเทียบเคียงกับเหล่าผู้ครองสวรรค์ ด้วยอำนาจอันมากมายที่เขาได้รับจากขอบเขตแห่งพลังที่เจ้าเพิ่งจะเข้าไปถึง...เจ้าคงไม่เข้าใจสินะ”
“แฮ่ะๆ ก็คงเป็นเช่นนั้นขอรับ” ยิ่งฟังเขาก็ยิ่งเวียนหัวจึงได้แต่หัวเราะแห้งๆ เกาศีรษะของตนเองแก้เขิน
“เช่นนั้นเรามาพูดคุยกันไปพลางๆ ก็แล้วกัน กว่าที่ท่านพี่จะจัดสำรับเสร็จ เจ้าคงมีเรื่องสำคัญที่จะถามนางสินะ..” หยางปิงมองลึกเข้าไปในแววตาของหนุ่มน้อยตรงหน้า ก็เข้าใจถึงความต้องการของเขาได้ไม่ยากนัก
“ขอรับ!” เทียนหลงรับคำแล้วเริ่มเล่าเรื่องตั้งแต่พี่สาวแสนสวยเข้าไปจำศีลในรอยอักขระ แต่ในใจกำลังลิงโลดถึงเป้าหมายสำคัญ ในตอนนี้เขามีพลังวัตถึงพันปีแล้ว! และเท่าที่ฟังมาพลังของเขายังแข็งแกร่งมากกว่าคนทั่วไปอย่างน้อยเจ็ดเท่า
ความหวังที่จะกลับไปหาท่านแม่ของเขาใกล้เข้ามาแล้ว!!
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เนื้อหารายละเอียดดีมากครับ