ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อุบัติเหตุรักเมืองช็อกโกแลต

    ลำดับตอนที่ #1 : ข้ามฟ้า

    • อัปเดตล่าสุด 27 ธ.ค. 49


    กระเป๋าเดินทางถูกส่งไปตามสายพานไปเก็บใต้ท้องเครื่องบินโบอิ่ง เพื่อเดินทางข้ามทวีปพร้อมผู้เป็นเจ้าของ หลังจากจัดการกับตั๋วเครื่องบินและกระเป๋าเดินทางเรียบร้อยแล้ว สองสาวก็เดินออกมาจากเค้าเตอร์ของสายการบิน ไอรินสาวร่างสูงเพรียวแบบนักกีฬา แต่งกายด้วยกางเกงยีนสีซีดพอดีตัวกับเสื้อยืดสีสด ทับด้วยเจคเกตยีนสีเดียวกับกางเกง ปักด้วยลูกปัดอย่างเก๋ไก๋ ยกบอร์ดดิ้งพาสขึ้นดูเวลา และทางออกขึ้นเครื่อง ก่อนจะหันมาพูดกับเพื่อนสาว

                ยัยดา อีกสองชั่วโมงเครื่องออก ไปหาอะไรกินกันเถอะ

                กินอีกและ พูดไปงั้นแหละยังไงก็รู้อยู่แล้วว่ายัยเพื่อนคนนี้นิ่งเป็นหลับขยับเป็น (กิน) แหลก

                ไม่งั้นจะทำอะไร

     เพื่อนสาวยักไหล่ สื่อความหมายว่า ไม่รู้เหมือนกันนะซิ

                เมื่อมาถึงร้านอาหารในสนามบินไอรินก็จัดแจงสั่งอาหารทันที หลังจากนั้น ก็หยิบกระเป๋าที่จะนำติดตัวขึ้นเครื่องขึ้นมา เพื่อค้นหาหนังสือคู่มือเดินทางท่องเที่ยวยุโรปออกมาศึกษา ทั้งสองเลือกที่จะเดินทางเองโดยไม่อาศัยบริษัททัวร์เพราะไม่ชอบที่จะต้องทำตามกำหนดเวลาที่รีบเร่งที่ทัวร์มักจะจัด การเดินทางท่องเที่ยวเองนั้นสามารถที่จะไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระและสัมผัสการอยู่ในต่างแดนได้มากกว่า  ท้าทาย แล้วก็ประหยัด เรื่องที่พักก็มีบ้านญาติของดาให้พักได้

                จะเที่ยวที่ไหนก่อนดีหละดา

                ก็แกบอกให้ไป เซอมัทท์ เซนมอริทซ์ ลูกกาโน มีที่ไหนก็เที่ยวให้หมดนั้นเหละมีเวลาตั้งนาน

               

                พอขึ้นเครื่องสองสาวก็หลับเป็นตาย  ตั้งแต่ก่อนที่แอร์โฮสเตส จะปิดไปให้ผู้โดยสารพักผ่อนซะอีก เวลาผ่านไปเกือบสิบชั่วโมงจนกระทั่ง มีเสียงของแอร์โฮสเตสบนสาวสวยมาปลุกให้ตื่น เพื่อรับประทานอาหารเช้า สองสาวตื่นขึ้นมาด้วยอาการงัวเงียแต่ก็กินอาหารจนหมดตามเคย แล้วนั่งมองดาวที่เหมือนจะใกล้จนเอื้อมถึง

    เครื่องบินค่อยๆ ลดระดับลงพร้อมกับสัญญาณเตือนให้ผู้โดยสารรัดเข็มขัด หลังจากรัดเข็มขัดนิรภัยแล้วหญิงสาวก็หันมาจดจ่อกับบรรยากาศของเมืองซูริคยามเช้า(มืด) จากที่สูง ถนนสายต่างๆของเมืองเริ่มเห็นชัดเจนขึ้น ภาพเบื้องล่างไม่เหมือนกับถนนต่างๆในกรุงเทพที่รถวิ่งกันขวักไขว่ตลอดคืน ด้วยเหตุที่สวิสเป็นประเทศเล็กๆในยุโรปที่มีประชากรเพียง 7ล้านคน และ ซูริกก็ถือว่าเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในสวิสและมีประชากรมากที่สุด มากกว่าเบิร์นที่เป็นเมืองหลวง แต่ก็เทียบไม่ได้กับกรุงเทพ

                แค่มองไกลๆหญิงสาวยังหลงใหลกับบรรยากาศถึงเพียงนี้

               

    อากาศในสวิสหนาวยะเยือกผิดกับเมืองไทยลิบลับ หญิงสาวหยิบผ้าพันคอ ที่เตรียมมาในกระเป๋าที่นำขึ้นเครื่องออกมาสวม หลังจากผ่านด่านตรงคนเข้าเมืองมาอย่างราบรื่น พี่นิดมารอรับทั้งสองสาวพร้อมกับสามีชาวสวิส

                เป็นไงบ้างจ้ะเรียบร้อยดีไหม พี่นิดถาม ทักทายทั้งสอง

                ค่ะ ขึ้นเครื่องก็หลับพอถึงเค้าก็ปลุก  รินตอบด้วยท่าทางร่าเริง ก็จะไม่ร่าเริงได้ยังไงก็หล่อนหลับมาเต็มอิ่ม ถ้าหากใครมีจี้เครื่องบินก็คงจะไม่รู้ตัวหลอก

    ยัยรินนะนิ่งเป็นหลับขยับเป็นกินค่ะพี่นิดที่ตื่นหนะ ก็เพราะเค้าปลุกขึ้นมากินไม่งั้นคงไม่ตื่น

                พี่นิดพาสองสาวมีถึงที่พัก เดี๋ยวเอาของเข้าไปเก็บในห้องก่อนนะจ้ะ บ้านพี่นิดถูกตกแต่งอย่างน่ารักของใช้ต่างดูทันสมัยสะดวกในการใช้สอย ส่วนห้องนอนถูกตกแต่งอย่างน่าอยู่ ดูอบอุ่นและสะอาดตาด้วยผ้าม่านสีขาว

    บ้านสวยจังเลยค่ะ ไอรินชื่นชมกับการตกแต่งภายในบ้าน หลังจากเก็บของ เปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้วพี่นิดก็สอนวิธีการใช่อุปกรในครัวต่างๆ เช่น ไมโครเวฟ เตาแก็ส ให้ทั้งสองคนบ้าน

     รินรู้แล้วใช่มั้ยจ้ะว่าพรุ่งนี้พี่จะต้องไปอิตาลี ประมาณ สามเดือนเดี๋ยวพี่ทิ้งกุญแจบ้านไว้ให้ แล้วค่อยคืนที่เมืองไทยก็ได้อยู่กันตามสบายเลยนะจ้ะ พี่ฝากบ้านด้วยนะพี่นิดพูดคุยนู้นนี่ไม่หยุด

    เดี๋ยวพี่จะพาไปซื้อตั๋วรถไฟนะจ้ะ แล้วดากับรินจะไปเที่ยวไหนกันบ้างจ้ะ เธอหันมาถามสองสาวขณะที่นั้งอยู่ที่นั้งด้านหน้าขณะเดินทางไปสถานีรถไฟ

    อ๋อรินเค้าอยากไป เซอร์มัทท์ค่ะ ต้องไปค้างใช่มั้ยค่ะ

    งั้นก็จะต้องจองที่นั้งกราเซียเอ็กเพรส* แล้วจะไปกันวันไหนหละจ้ะพี่จะได้จองที่นั้งให้             ไม่เป็นไรค่ะเดี๋ยวพี่บอกไว้ก็ได้ค่ะเดี๋ยวเราสองคนจัดการเองก็ได้ ไม่อยากรบกวนแล้วแค่บ้านพักก็รบกวนพอแล้ว พอพี่นิดแนะนำวิธีการเดินทางในสวิสให้กับสองสาวเรียบร้อยแล้วก็ขอแยกตัวไปจัดการธุระให้เสร็จก่อนเดินทางวันรุ่งขึ้น

    พี่ไปก่อนะจ้ะแล้วเจอกันตอนเย็น

                บ้านที่ทั้งสองพักนั้นอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองซูริคมากนักห่างไปแค่สองสถานี แล้วก็ไม่ไกลจากสถานีรถไฟด้วยทำให้การเดินทางไปไหนมาไหนสะดวก การคมนาคมในสวิสนั้นสะดวก รวดเร็ว และตรงเวลามาก

                ดาแฟนพี่นิดหล่อดีนะ หล่อไม่หล่อก็ตรงเสป็กยัยรินพอเลยแหละ

                ตรงเสป็กแกเลยซิ....เพื่อนลากเสียงยาวรู้ทันก็จะไม่รู้ได้ไงเป็นเพื่อนกันมาเป็นสิบปี

                ใช่ยอมรับหน้าตาเฉย แต่ มีเมียแล้วไม่เอาเป็นเมียน้อยไม่เอาเป็นเมียหลวงไม่เอา...ร้องเพลงหน้าตาเฉยเพื่อนฉัน เสป็กยัยรินหนะ ต้องหล่อแบบฝรั่งเท่านั้นจนเพื่อนทุกคนรู้ข้อนี้ดี คุณเธอถึงขนาด ลั่นวาจาว่าถ้าไม่ได้แฟนเป็นฝรั่งจะไม่แต่งงาน จนเพื่อนบอกว่า

    เออแล้วจะคอยดูว่าแกจะได้อย่างที่พูดรึปล่าว ยัยดาก็อยู่ด้วยตอนนั้นแถมยังเออออตามเพื่อนอีกตะหาก โอ้ยคนอย่างรินพูดคำไหนคำนั้น

               

    วันแรกทั้งสองตัดสินใจไปไรน์ฟอล เป็นน้ำตกของแม่น้ำไรน์ ที่เมืองชาฟเฮาเซนที่ล้อมด้วยเยอรมันถึงสามด้าน เธอเริ่มต้นการเดินทางผจญภัยในยุโรปที่สถานีรถไฟ ซูริกเฮ้าส์บานฮอฟ เป็นเหมือนกับศูนย์กลางของรถไฟที่จะไปที่ต่างๆในสวิส ของนครซูริก

                เอาวะหลงเป็นหลงอ้าวพูดอย่างงี้ได้ไอ้เพื่อนเวร

                ไหนเมื่อกี้พี่เค้าพูดก็เออออห่อหมกอย่างดี ไหงมาพูดอย่างงี้วะรินลดาเริ่มใจแป่ว ขึ้นวะเว้ยอีกตะหาก

                แหมล้อเล่น เห็นเพื่อนโกรธจริงยัยรินเลยรีบยิ้มประจบ พลางโอ้เพื่อนซี้ จะไม่ให้ใจแป่วได้ไงก็ยัยไม่เคยย่ำยุโรป หรืออยู่ใช้ชีวิตในต่างประเทศแบบนี้ ส่วนยัยริน หรือไอริน เคยกลัวอะไรที่ไหน แถมยังเคยชินกับการใช้ชีวิตในต่างแดน เพราะพ่อกับแม่พาเที่ยวบ่อยมาตั้งแต่เด็กๆ เคยมาหมดแล้ว หลงทาง ไปไหนมาไหนคนเดียว แต่คราวนี้ดันแอบมา เพราะเบื่อจับคู่ เฮ้ย...ยังรินเอ้ย...

                หลงก็ถามคนแถวนั้น แผนที่มันไม่ได้อยู่ที่มืออย่างเดียวซะเมื่อไหร่ นี่มันอยู่ที่นี่ด้วย พูดพลางเอามือชี้ปากตัวเอง (ทำซ่าเดี๋ยวเหอะจะเจอดี)

                สองสาวขึ้นรถไฟ ขบวนที่จะไปเมืองชาฟเฮาเซนอย่างถูต้องไม่ผิดพลาดเพราะพี่นิดเพิ่งจะบอกมา( ถ้าพี่นิดไม่อยู่จะไปรอดไหมเนี่ย)  แล้วก็อาศัยถามคนที่จะขึ้นรถขบวนเดียวกัน เป็นอันว่าเรียบร้อยไปหนึ่งขั้นตอน ต่อไปก็คือลง แต่คนที่ถามหนะดันลงไปก่อน จะถามใครหละที่นี้

                ดาทหารสวิสเท่ดีเนอะ เอ้า...แทนที่จะดูวิวดันไปดูหนุ่มซะได้ ชายชาวสวิสทุกคนต้องเป็นทหารเหมือนกันหมดและต้องเข้าฝึกทุกๆปีจนกระทั้งอายุ 65ว่ากันว่า หากมีสงครามเกิดขึ้นสวิสเซอร์แลนด์ทั้งประเทศก็จะสามารถกลายเป็นกองทัพได้ในเวลา 48ชั่งโมง ตลอดสองข้างทางของรถไฟเป็นทิวทัศน์ที่สวยงามมาก การเดินทางในสวิสที่ดีที่สุดก็คือการเดินทางโดยรถไฟเราจะได้เห็นทัศนียภาพแบบสวิสแท้ๆ

                บ้านเรือนถูกปลูกสร้างอย่างสวยงามเข้ากับบรรยากาศของสวิสเซอร์แลนด์เมื่อออกมานอกเมือง บ้านเป็นบ้านแบบยุโรปสูงหลายชั้น ประตูหน้าต่างมักจะใช้สีตัดกับตัวบ้าน ดูสวยแปลกตา อยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าสีเขียวสด อดคิดไม่ได่ว่าหากเอาบ้านอย่างนี้ไปปลูกที่เมืองไทยคงโดดพิลึก

               

    รินใกล้ถึงแล้วมั้ง ได้ยินเสียงเป็นภาษาสวิสเหมือนกับพูดว่าไรน์ฟอล

    นั่นไงรินแม่น้ำไรน์สวยจัง ดาพูดกับเพื่อนด้วยความตื่นเต้น

    สวยจัง รินแทบจะไม่ได้ออกเสียงด้วยซ้ำเหมือนกับกลัวว่าถ้าพูดแล้วจะรบกวนถาพตรงหน้า ดาเหลือบเห็นป้ายของสถานีรถไฟเขียนว่า Rhine fall อะไรซักอย่าง

    รินน่าจะถึงแล้วหละดารีบลงทันทีพร้อมกับฉุดข้อมือเพื่อน ก็กลัวว่าจะลงไม่ทันเพราะรถไฟที่นี่จอดไม่นานและตรงเวลามาก (แต่ลงเร็วเกินไปรึปล่าว?) รินเริ่มเอะใจเมื่อลงไปแล้วไม่เห็นมีคนเท่าไหร่ (ไม่ใช่หรอก มีแค่คนเดียว) ถ้าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของสวิสก็น่าจะมีนักท่องเที่ยวมาบ้างซิ แล้วที่จำได้ที่พี่นิดบอกชื่อสถานีมันยาวๆนี่หว่า ไม่ใช่ที่นี่แล้วหละ      

    รินที่นี้ไปไหนต่อ

    อ้าวดาพารินลงมาไม่รู้หรอ แกล้งถามไปงั้นแหละยัยดาไม่รู้หลอก

    รินไม่รู้นะก็ดาพามาแกล้งเพื่อนเล่นก่อนดีกา แล้วค่อยหาทางไปต่อ

     รินลองไปถามเขาดูไหม ดาเริ่มใจเสีย หน้าซีด จะไปยังไงหละทีนี้เขินหลงทางได้อยู่ในสวิสไม่ได้กลับบ้านจะทำไง

    ดาก็รองดูซิ เห็นหน้าแล้วแอบขำเพื่อนเลย

     เรื่องแค่นี้ไม่เห็นเป็นไรแค่หลงเองดาไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้นก็ได้ แต่ดาเป็นคนพาลงมาจากรถไฟดาต้องเป็นคนไปถามเค้าเองนะรินไม่เกี่ยว ยัยดาไม่ทันสังเกตความผิดปกติของเพื่อนตัวดี ดาไม่เอะใจซักกะนิด เพราะถ้าเป็นเหตุการณ์อย่างนี้มีหรอขี้โวยวายอย่างรินจะพลาด

    รินลดาเดินเข้าไปหาชายหนุ่มร่างสูง ก็ท่าทางเขาแต่งตัวดีน่าจะพูดภาษาอังกฤษได้ ทุกอย่างถูกเก็บบันทึกไว้โดยไอรินเรียบร้อยเธอแกล้งทำเป็นเดินช้าๆ รอดูว่าเพื่อนจะทำยังไง

    ขอโทษค่ะ รินลดาทักตามมารยาท เออ... คุณพูดภาษาอังกฤษได้ไหมค่ะ คนถูกถามส่ายหน้าปฏิเสธ ยัยดาหน้าจ๋อย รินก็พอจะรู้คำตอบ

    เขาบอกว่าเขาพูดอังกฤษไม่ได้อะริน รินมองไปที่ชายคนนั้น มันนึกหมันไส้ขึ้นมา

    โง่จัง ประโยคนี้เธอพูดเป็นภาษาอังกฤษชัดแจ๋ว เสียงดังกะให้คนยืนอยู่ได้ยิน ไม่พอยังแอบเหล่ไปทางนั้นอีกตะหาก ไม่รู้ตัวก็ให้รู้กันไป

    ได้ผลคนยืนอยู่หันขวับมาทันที

    เห็นจะๆเลย มั้ยดาอีตานี้พูดได้แต่ไม่พูด ไม่รู้ทองจะร่วงจากปากหรือไง ไม่เคยเห็นใครโกหกหน้าด้านขนาดนี่มากก่อน ไร้น้ำใจ  

                รินไปว่าเค้าทำไมหละช่างเค้าซิ

                ไม่ได้หรอก หมั่นไส้แค่พูดแค่บอกทางแค่นี้ช่วยไม่ได้ ไร้น้ำใจเอ้าคนถูกปฏิเสธยังไม่พูดอะไรซักคำ

    เห็นอยู่ว่าฟังรู้เรื่อง แล้วรินก็เห็นเค้าถือหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษอยู่ด้วย โกหกไม่แนบเนียนเอาซะเลย เอะ! ยัยรินมองแวบเดียวก็รู้ขนาดนั้นเชียว

                ไปเหอะไปถามคนอื่นก็ได้ก็เค้าไม่เต็มใจจะตอบ ฮึยมันน่า หน้าตาก็ดีหลอก แต่นิสัยแย่ที่สุด

                คนถูกว่าอยากจะเดินเข้าไปทะเลาะด้วยเหลือเกิน แต่ติดที่ว่าเพิ่งบอกไปว่าพูดอังกฤษไม่ได้

    ถ้าฉลาดนักทำไมอ่านไม่ออกวะได้แต่บ่นในใจ ฝากไว้ก่อนแล้วกัน เจอกันเมื่อไหร่ละน่าดู (ฝากไว้ก็อย่าลืมมาเอาคืนหละ) ตาสีฟ้ามองตามสองสาวไปจนหายลับ แต่มันติดใจคนปากดีที่กล้ามาว่าเขามากกว่า

     

    ในที่สุดสองสาวก็มาถึงน้ำตกไรน์ฟอลได้สำเร็จถึงจะหลงทางไปนิดหน่อยแค่ลงรถไฟเร็วไปไม่กี่สถานีพอถึงน้ำตกอารมณ์บูดของรินที่ก็หายไปทันที ถ่ายรูปจนกล่องดิจิตอลแบตแทบจะหมด

     สวยจังเลยนะรินไม่เสียแรงมา

     อือ โดยเฉพาะเสียอารมณ์ที่เจออีตาบ้านั่นนึกแล้วเสียอารมณ์อย่างมากๆๆๆๆๆๆ

     

    สองสาวเดินลัดเลาะแม่น้ำ และก็ข้ามสะพานยาวเพื่อไปยังอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำไรน์  จุดชมวิวเป็นเหมือนปราสาทที่ทำด้วยหินเหมือนในหนัง  จากบนนั้นจะมองเห็นน้ำตกอยู่เบื้องล่าง หากจะเข้าไปชมน้ำใกล้ๆก็จะต้องเสียค่าเข้าชม แต่ก็ไม่กี่ฟรัง  สองสาวลงบันไดชันมาจนใกล้กับน้ำตก ทางเดินค่อนข้างลื่นเพราะละอองน้ำจากน้ำตกทำให้ทางเดินเปียก แต่พอลงมาถึงก็คุ้มกับที่เสี่ยงชีวิต ลงมาตามทางเดินชันเพราะใกล้ชนิดที่สัมผัสกับละอองน้ำเย็นของน้ำตกได้  และได้ยินเสียงดังกระหึมของน้ำตก 

    หลังจากการเดินทางได้วันแรกจบลงสองสาวก็กลับมาพักผ่อนที่บ้านเพราะเดินทางมาตลอดวันตลอดคืนทั้งเครื่องบินรถยนต์ รถไฟ ทั้งสองคนตัดสินใจมาส่งพี่นิดที่สนามบินซูริก แล้วก็จะเที่ยวในเมืองซูริกก่อนที่จะเดินทางไปเมืองอื่นๆ

     

    เดินทางโดยสวัสดีภาพนะค่ะสองสาวอวยพร แล้วก็โบกมือให้ จนร่างของทั้งสองลับเข้าไป จึงเดินออกมา เข้าไปเที่ยวในเมืองซูริกซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในสวิสแตไม่ได้เป็นเมืองหลวง ถนนย่านการค้าในซูริก มีผู้คนเดินพลุกพล่าน ไม่ค่อยมีรถรามากนักเพราะส่วนมากจะเดินทางด้วยรถราง รถเมล์สองสาวเดินมาจนถึงทะเลสาบซูริก แสงอาทิตย์ส่องกระทบกับน้ำใสที่มีฝูงหงลอยอยู่บนผิวน้ำ ห่างออกไปอีกฝั่งเป็นตึกแบบยุโรป สีนวล ตั้งอยู่เรียงราย นอกจากนั้นยังมีฝูงนกพิราบที่มีคนมาให้อาหารอยู่ สองสาวผลัดกันถ่ายรูปเก็บความประทับใจกันพักใหญ่ก่อนจะหยุดยืนเก็บภาพความทรงจำเอาไว้

     

    เที่ยวชมเมืองลัดเลาะตามแม่น้ำแวะชมวิวตามสะพานที่มีอยู่มากมายในซูริก แล้วก็เดินมาตามถนน Banhofstrasse ซึ่งเป็นย่างการค้าที่ได้ชื่อว่าหรูหราที่สุดในสวิส แต่ไม่ได้ซื้ออะไรมาเลยซักอย่าง นอกจากแวะซื้อช็อกโกแลตโฮมเมต จากร้านเล็กๆ อร่อยมากจนรินอยากจะลอย สมชื่อเมืองช็อกโกแลต เดินไม่ทันเมื่อยแต่ก็ปาเข้าไปเกือบบ่ายโมงทั้งสองเลยแวะ เมคโดนัล ท่านอาหารกลางวันก่อนที่จะเที่ยวต่อ ทั้งสองเลือกทานบริเวณที่นั่งด้านนอกร้าน เพราะจะได้ชมเมืองไปด้วย ได้ยินเสียงพูดเป็นภาษาคุ้นหู ภาษาบ้านเกิด อยู่ด้านหลัง ยัยรินตัวดีก็เลยจัดแจงถามให้รู้กันไปเลย

    พี่เป็นคนไทยหรอค่ะ ทั้งสองคนที่นั้งอยู่หันมายิ้มให้กับสองสาว

    ค่ะ เธอตอบด้วยความเป็นมิตรและรอยยิ้มแบบไทย

    โชคดีจังค่ะได้เจอคนไทย ดาพูดบ้างพอรู้ว่าเป็นคนไทย แต่ยัยรินหันไปเห็นเด็กบนรถเข็นซะก่อน วิญญาณนางงามเลยเข้าสิง หันไปถาม ลูกพี่หรอค่ะน่ารักจัง เด็กฝรั่งหน้าตาเหมือนกับตุ๊กตา ตาสีเขียว ผมสีน้ำตาลเข้มหยิกเป็นลอนสวย

    มาเที่ยวหรอจ๊ะ

    ค่ะดาเป็นคนทำหน้าที่ตอบเพราะเพื่อนมัวแต่เล่นกับเด็ก

    น้องอายุกี่ขวบแล้วค่ะ รินหันมาถาม

    “2ขวบค่ะพี่อีกคนหันมาตอบแทน

    แล้วชื่ออะไรค่ะ

    ชื่อเซรีน่าค่ะ ชื่อเหมือนนักเทนนิสเลยนะค่ะหญิงสาวเปรียบเทียบอย่างอารมณ์ดี

    ไงจ้ะเซรีน่า รินแหย่เล่นที่แก้ม สาวน้อยก็หัวเราะใหญ่ก็อย่างนี้เหละเข้ากับเด็กได้ดี

     ส่วนดาเห็นเด็กก็เฉยๆสนใจคุยกับคนที่เพิ่งรู้จักมากกว่า พูดคุยไปคุยมาก็รู้ว่าพี่เค้าชื่อพี่นก แต่งงานกับคนสวิสเหมือนกับพี่นิด มากับน้องสาวซึ่งแก่กว่าสองสาวไม่กี่ปีชื่อพี่นัทซึ่งมาเที่ยวสวิสแล้วก็มาเยี่ยมเซรีน่า

    เซรีน่าท่าทางจะชอบรินนะจ้ะพี่นก

    รินก็ชอบเซริน่าค่ะรินตอบเสียงใส ตอนนี้ยัยรินอุ้มขึ้นมาจากรถเข็นเรียบร้อย

    แกฉันอยากได้ลูกแบบนี้อะ รินแอบกระซิบกับเพื่อน

    แกก็หาพ่อของลูกหน้าตาแบบนี้ดิ เพราะหน้าอย่างแกคงไม่สามารถทำให้ลูกหน้าตาอย่างนี้หรอกหวะ

    ดาอดแซวเพื่อนไม่ได้

    พี่นกอาสาพาเดินเที่ยวชมเมืองเพราะคุยกับสองสาวถูกคอ ติดใจในความน่ารักของทั้งคู่ แถมยังแน่ใจว่ามียัยรินคอยช่วยดูแลเซรีน่าด้วยเพราะตั้งแต่มายังเล่นกับสาวน้อยไม่ยอมเลิก ตอนนี้หันมาหยิบลูกโป่ง ขึ้นมาเล่นกับหนูน้อยเซรีน่า โยนกันไปโยนกันมา เซรีน่าก็หัวเราะเอิ้กอ้ากเล่นกับรินสนุกสนาน รินโยนลูกโป่งไปให้กับเซรีน่าแต่ลูกโป่งดันปลิวไปบนถนน เซรีน่าเลยวิ่งไปเก็บลูกโป่งสีสวยโดยไม่ได้มองรถที่กำลังพุ่งมา ส่วนรินเหลือบไปเห็นรถวิ่งเข้ามาพอดีจึง วิ่งไปดึงตัวหนูน้อยกลับมาได้ทันแต่ตัวเธอเองกลับโดนรถยนต์กระแทกล้มลง รินรู้สึกเหมือนกับแขนข้างหนึ่งเจ็บแปลบ แล้วกับสลบลงไปตรงนั้น

    เมื่อรถยนต์จากัวร์สองประตูราคาแพงชนเข้ากับร่างหญิงสาว(จากัวร์เชียวนะตายก็ไม่เสียชาติเกิด) เขาเบรกแล้วแต่ไม่ทัน ชายหนุ่มวิ่งลงมาจากรถใจหายวาบเมื่อเห็นหญิงสาวสลบไม่ได้สติ  ส่วนดาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดรีบวิ่งเข้าดูเพื่อน พร้อมกับพี่นก พี่นัท พี่นกรีบวิ่งไปดูเซรีน่าที่กำลังตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่

    รินเป็นไงบ้างริน ดาเริ่มมีน้ำไหลออกมาจากดวงตา ด้วยความเป็นห่วงเพื่อน ชายหนุ่มรีบคว้าโทรศัพท์มือถือ ในรถและกดเบอร์โรงพยาบาลเพื่อนำรถมารับ โดยยังไม่ทันสังเกตว่าร่างบางที่สลบอยู่เป็นคนเดียวกับที่ตะโกนด่าเขาที่สถานีรถไฟเมื่อวานนี้

    ...............................................................................................................................................................................

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×