ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Wings album (Minga)

    ลำดับตอนที่ #2 : Boy meet evil : 1

    • อัปเดตล่าสุด 14 ก.ค. 64












    ‘แม่ครับ อีกสองวันผมเรียนจบแล้วนา’ ผมว่าพลางคลานไปนอนบนตักของผู้เป็นแม่

    โตเป็นหนุ่มแล้วนะเรา ต่อจากนี้เราต้องออกไปใช้ชีวิตเองโดยที่ไม่มีแม่แล้วนะ’ ผู้เป็นแม่ว่าพลางลูบหัวผมเบาๆ

    ‘เราต้องรู้จักอดทน เข้มแข็ง ต้องดูแลตัวเองดีๆเข้าใจมั้ยลูก’ ได้ยินก็อดที่จะใจแป๋วไม่ได้ว่าต่อจากนี้เขาจะอยู่ได้โดยที่ไม่พึ่งพาพ่อแม่ได้มั้ย

    ‘ลูกทำได้อยู่แล้ว ลูกพ่อมันก็เก่งเหมือนพ่อมันนั่นแหละ’ คนเป็นพ่อเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าผม พูดจาติดตลกแล้วตบไหล่ผมเบาๆ


    จีมินในวัย 20ปี ก็ยังคงกังวลอยู่ดี จีมินรู้ตัวดีว่าตัวเองป็นคนเก่งและมีความพยายามมากมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะเค้าเลือกที่จะสอบเทียบเข้ามหาลัยเลยโดยละทิ้งชีวิตมธยมปลายไว้เพราะหวังจะรีบเรียนจบมาต่อธุรกิจของที่บ้าน 

    พ่อของเขาตั้งใจจะให้จีมินออกสานต่อให้เร็วที่สุดเพราะอายุของผู้เป็นบิดาก็มากเต็มแก่

    แต่เผลอแปปเดียวตัวเขาเองก็โตซะแล้ว รู้ตัวดีว่าวันนึงยังไงก็ต้องหลุดจากอ้อมกอดของผู้เป็นพ่อเป็นแม่อยู่ดี แต่จะให้ทำใจในเร็ววันได้ยังไงในเมื่อพ่อกับแม่แทบจะเป็นทุกอย่างให้เจ้าตัว ทั้งความเข้มแข็ง ความอดทน ความรักความอบอุ่น ต่อจากนี้เขาจะอยู่ได้จริงๆน่ะหรอ สุดท้ายแล้วเขาจะกลับมาพึ่งพาพ่อแม่อีกมั้ยนะ



    (หลายวันถัดมา)


    วันนี้เป็นวันที่จีมินตื่นเต้นสุดๆ เพราะว่าวันนี้เป็นวันที่เขาจะเรียนจบแล้วยังไงล่ะ ความสุขที่อัดอั้นมาตั้งแต่เช้า รอให้พ่อกับแม่มาหาเขาไม่ไหวแล้วสิ พอคิดได้ดังนั้นจึงรีบโทรหามารดาทันที

    ‘ฮัลโหลครับแม่ อยู่ไหนแล้วครับ ผมรอเจอแม่ไม่ไหวแล้ว’ ผมพูดด้วยนํ้าเสียงตื่นเต้นพลางน่าเอ็นดูสำหรับผู้เป็นมารดา

    ‘กำลังจะถึงแล้วลูก ยินดีด้วยนะครับ ลูกชายของแม่เรียนจบแล้ว’ แม่พูดด้วยนํ้าเสียงตื้นตันอย่างกับคนจะร้องไห้

    ‘ไว้แม่มาบอกผมที่นี่ดีกว่า ผมรออยู่นะครับ ไว้เจอกันครับ’ พูดจบก็กดวางสายทันทีพร้อมระบายยิ้มแห่งความสุขออกมา

    ‘รอไม่ไหวแล้วสิ’ ผมว่างพลางกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปหน้ามหาลัยอย่างเร่งรีบเพื่อไปรอรับผู้เป็นแม่

    รอได้ซักพักก็พบว่าแม่มาถึงแล้ว ผมเห็นแม่และพ่อเดินจูงมือมาจากถนนฝั่งตรงข้ามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

    แต่..สิ่งที่ไม่ได้คาดคิดก็ดันเกิดขึ้นมาซะได้..


    ‘พ่อ!!แม่!! ระวัง!!’


    เอี้ยดดด!! โครม!!!


    รถบรรทุกคันใหญ่ที่พุ่งมาจากไหนไม่รู้ด้วยความเร็วพุ่งเข้าชนพ่อกับของผมอย่างจัง.. ทำให้ท่านทั้งสองกระเด็นไปอยู่อีกฝั่งของถนน


    เหมือนกับเวลาเดินช้าลงไปชั่วขณะ ผมช็อค ..สติที่ค่อยๆเลือนลางกับภาพของท่านทั้งสองที่นอนจมกองเลือดกำลังถูกคนเข้าไปมุง ผมรวบรวมสติที่เหลืออยู่น้อยนิดเพื่อยกขาที่หนักอึ้งของตัวเองขึ้นแล้วรีบวิ่งไปหาร่างของพวกท่านทันที


    ‘ไม่.. แม่ครับ!!’ วิ่งมาถึงผมทิ้งตัวลงแล้วรีบประคองศรีษะของมารดามาไว้บนตักทันที

    และสิ่งที่ผมหวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้นก็เกิดขึ้นทันทีเมื่อผมนำปลายนิ้วไปอังที่จมูกของท่าน ไม่หายใจ...

    ‘แม่ครับ ได้ยินผมมั้ย ตื่นขึ้นมาคุยกับผมก่อน!! วันนี้ผมจะเรียนจบแล้วนะ อย่าทิ้งผมไปแบบนี้สิ!!’ ตอนนี้ผมไม่สนใจแล้วว่าชุดครุยของผมจะเปื้อนเลือดของคนบนตักมากแค่ไหน นํ้าตาลูกผู้ชายถูกปล่อยออกมาอย่างนึกไม่อายคนรอบข้าง

    ‘ฮึก..แล้วผมจะอยู่ยังไง.. ตอบผมสิ!!’ ตอบผมเดี๋ยวนี้นะ..



    แม่ครับ..ผมขอโทษจริงๆที่ยังเป็นคนเข้มแข็งให้แม่ไม่ได้

    ขอโทษที่ผม..ไม่มีความอดทนมากพอที่จะเห็นพ่อกับแม่จากไปแบบนี้ ถ้าตอนนั้นผมเข้าไปคว้าพ่อกับแม่ทัน อีกนิดเดียว พ่อกับแม่จะจากผมไปไหมครับ หรือถ้าผมวิ่งแล้วเอาตัวเองเข้าไปขวางทันพ่อกับแม่จะไม่เจ็บตัวใช่มั้ยครับ ไหนตอบผมหน่อยสิครับ… ไม่ตอบ..

    ผมขอโทษนะครับ.. เพราะผมเองแหละ

    เพราะผม.. เพราะผม

    .

    ใช่เพราะนายไงจีมิน.. พ่อกับแม่ถึงได้ตาย..

    เพราะนาย..

    .

    .


    (jimin point of view)


    เฮือก! ผมลืมตาโพลงเหมือนคนตกใจ ฝันแบบนี้อีกแล้ว..พอซักที..เมื่อไหร่จะหายไป..

    “จีมิน นายร้องไห้ทำไม” ผมมองตามเสียงที่เรียกชื่อ ก็พบกับยุนกิที่พึ่งอาบนํ้าเสร็จมาหมาดๆ ผมขยี้ตาเบาๆก็พบว่าตาผมชื้นและบวมอยู่ไม่น้อย


    “ฝันร้าย..” ผมลุกขึ้นนั่งแล้วมองหน้ายุนกิด้วยสีหน้าเศร้าหมอง ภาพร่างของท่านทั้งสองที่นอนจมกองเลือดยังคงติดตาผมไม่หาย

    “ฝันเรื่องอะไรอีกครั้งนี้ บอกพี่ได้ไหมครับ” ยุนกิว่าด้วยนํ้าเสียงใจดีพลางลูบหัวผมเบาๆ เราอยู่ด้วยกันมาสามสัปดาห์แล้วตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นวันนั้น วันที่ผมเกือบจะควบคุมตัวเองไม่ได้และทำร้ายคนตัวเล็ก ตั้งแต่วันนั้นผมก็เลือกที่จะลดทิฐิของผมลงและคุยกับยุนกิเรื่องของผมมากขึ้น ผมเล่าเรื่องที่ผมมักจะฝันร้ายอยู่บ่อยๆให้เขาฟัง

    “พ่อกับแม่.. ผม..มันเป็นเพราะผม ผมผิดเอง” ผมพูดเสียงสั่นพลางปาดนํ้าตาอย่างลวกๆ อย่างน้อยก็ให้มีใครสักคนที่รู้ว่าผมนั้นอ่อนแอและอยู่ข้างๆผม

    “อย่าโทษตัวเองเลยนะจีมินอ่า.. นี่มันก็ผ่านมาสามปีแล้วนะ” ยุนกิที่รู้เรื่องของพ่อกับแม่ผมคร่าวๆกอดปลอบผมอย่างอ่อนโยน

    สามสัปดาห์ที่ผมอยู่กับคนตัวเล็กทุกครั้งที่ผมฝันร้ายก็จะมีเจ้าตัวคอยปลอบตลอด และผมรู้สึกอุ่นใจขึ้นมากเมื่อคนแรกที่ผมตื่นมาพบเป็นเค้า วันนี้ก็เช่นกัน..


    ผมรู้สึกผูกพันกับคนตัวเล็กอย่างบอกไม่ถูก ทุกครั้งที่ผมเล่าอะไรให้เขาฟัง เขาไม่เคยรังเกียจ หรือปฏิเสธผมเลยซักครั้งเขารับฟังผมและยังบอกทั้งวิธีการแก้ไข ผมจึงรู้สึกรักและขอบคุณมินยุนกิมากๆ จนบางทีผมก็แอบหวังเล็กๆว่าคนตัวเล็กจะรู้สึกเหมือนที่ผมรู้สึก แต่ก็ดีมากๆแล้วที่เราทั้งคู่สนิทกันมากขึ้นจากวันแรก

    ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาเกือบเดือนที่เราตัวติดกัน เนื่องจากผมที่เป็นคนขอร้องเอง แต่คนตัวเล็กก็ยังติดต่อกับคนเจ้าตัวเรียกว่า ‘เพื่อน’ อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ถึงแม้ยุนกิจะไม่ได้โทรไปแต่ไอเจ้าเพื่อนนั่นก็จะโทรมาหาคนตัวเล็กอยู่บ่อยๆและเหมือนว่าช่วงนี้จะบ่อยเกินไป และผมก็รู้สึกว่าช่วงนี้คนตัวเล็กชักจะเริ่มนอกลู่นอกทางซะแล้ว


    “จีมินอ่า วันนี้พี่จะออกไปข้างนอกนะ อยู่ได้ใช่มั้ย” อ่า..ผ่านมาแค่ไม่กี่ชั่วโมง เจ้าตัวเล็กก็ดันมาพูดจาไม่น่าฟังเอาซะเลย ที่บอกว่านอกลู่นอกทางน่ะผมพูดผิดตรงไหน


    “ไม่ได้หรอก นี่มันจะเที่ยงแล้วนะพี่จะไม่ทำอาหารให้ผมหน่อยหรอไง” ผมพูดจาประชดประชันเพราะผมไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ที่คนตัวขาวจะทิ้งให้ผมอยู่คนเดียว แล้วไหนจะการแต่งตัวที่ดูดีกว่าปกตินั่นอีก ผมเริ่มหงุดหงิดแล้วนะ


    “วันนี้นายสั่งมากินได้มั้ย วันนี้พี่ต้องออกไปเจอเพื่อน..” ยุนกิบอกอย่างกล้าๆกลัวๆเพราะในใจเขาเองก็รู้แหละว่าอีกคนไม่พอใจ

    สิ้นเสียงของคนตัวเล็กที่บอกว่าจะไปหาใครนั่นยิ่งทำให้ผมหงุดหงิดเข้าไปอีก ผมจ้องไปที่คนตัวขาวอย่างไม่ลดละ ทำไมเขาถึงแต่งตัวแบบนี้ทั้งๆที่ผมก็นั่งอยู่ตรงนี้แท้ๆ

    “เอ่อ..จีมิ..” ก่อนที่ยุนกิจะพูดจบก็โดนเจ้าของใบหน้าคมพูดแทรกขึ้นมาซะก่อน

    “มานี่” มันต้องตักเตือนกันหน่อยแล้ว ผมยังคงจ้องคนตัวเล็กที่เดินมาหาผมอย่างเก้ๆกังๆ จนผมหมดความอดทนจึงเดินไปดึงมือของคนตัวเล็กและผลักชิดเข้ากำแพงอย่างจัง จนคนตัวเล็กมีสีหน้าเหยเกจากความเจ็บ


    “ทำไมแต่งตัวแบบนี้..” ผมพูดด้วยเสียงแหบพร่าบวกกับมือที่ค่อยๆเพิ่มจำนวนแรงบีบข้อมือคนตัวเล็ก ทำเอาคนตัวเล็กกลัวได้ไม่ยาก

    “อึก พะ พี่ก็แต่งตัวปกติ จีมินเราเป็นอะไรไปเนี่ย..” คนตัวเล็กใช้มืออีกข้างที่ว่างมาดันไหล่ผมแต่ก็เหมือนว่าจะไม่เป็นผลอีกเช่นเคย

    “แต่งตัวปกติบ้าอะไร ทำไมมันบางแบบนี้ครับ” ผมพยายามกดความโกรธเคืองเอาไว้แล้วเปลี่ยนมาลงโทษคนตัวเล็กแทน

    เสื้อเชิ้ตตัวบางถูกแหวกคอโดยฝีมือของเจ้าของใบหน้าคม


    “อื้อ..จีมินอ่า พี่ต้องออกไปข้างนอกนะ..” ผมจัดการซุกไซร้ซอกคอขาวทันที หลังๆมานี้ผมคิดว่าผมชักจะเอาใหญ่แล้ว แต่เหมือนคนคนตัวเล็กจะไม่รู้ตัวเอาซะเลยว่าผมนั้นรู้สึกยังไง ผมสูดดมกลิ่นกายที่หอมเป็นพิเศษที่ซอกคอเนียนอย่างไม่คิดฟังคนตัวบางที่เอาแต่พรํ่าห้ามผม ผมกัดให้เกิดรอยจางแต่ก็เห็นได้อย่างชัดเจนบนผิวขาวสว่าง

    "จะ เจ็บ ทำอะไรของนาย" ยุนกิว่าพลางตีแขนผมไปหลายที

    “ผมลงโทษ.. โทษฐานทำผมหวง” พูดจบก่อนจะพละออกมา ผมรู้สึกว่าวันนี้คนตัวเล็กตัวหอมเป็นพิเศษจริงๆ นั่นทำให้ผมหงุดหงิดไม่น้อย

    “ฉะ ฉันต้องไปแล้ว มีอะไรก็โทรมา” ยุนกิพูดเสียงแข็งราวกับว่าเขาก็เริ่มหงุดหงิดเหมือนกัน เขาดันผมออกและเดินออกไปโดนที่ไม่หันมามองผมเลยซักนิด ทำให้ผมอดที่จะน้อยใจไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงไม่สนใจความรู้สึกผมเลย


    หึ คิดหรอว่าผมจะปล่อยให้ยุนกิของผมออกไปตามลำพัง คิดได้ดังนั้นผมจึงหยิบกุญแจรถและตรงไปยังรถคู่ใจของผมทันที



    (yoongi point of view)


    หลังจากเดินออกจากบ้านมาหยุดอยู่ที่ป้ายรถเมย์ได้ซักพักยุนกิก็ถอนหายใจยาว ตอนนี้เขาไม่รู้เลยว่ารอยที่คอเขาจะชัดมากแค่ไหน เขาได้แต่กระชับคอเสื้อเพื่อปกปิดรอยแดงที่เขาคิดว่าน่าจะแดงไม่น้อยอยู่เหมือนกัน


    จริงๆเขาก็ไม่ได้จงใจจะใส่เสื้อตัวนี้หรอกถ้าเพื่อนของเขาไม่เอ่ยปากขอร้องให้เขาใส่มา ที่บอกว่าเพื่อนน่ะมันก็เพื่อนจริงๆถึงแม้ว่าผมจะแก่กว่าอีกคนแต่ก็ไม่ได้มากขนาดที่ต้องยกมือไหว้ แม้ว่าเขาจะชอบผมมาหลายปีแล้ว แต่ผมไม่คิดที่จะตอบตกลงเพื่อให้เสียความเป็นมิตรภาพหรอกนะ


    แต่ถ้าเทียบกับจีมินน่ะ ผมรู้สึกผูกพัน แค่ในเวลาเกือบเดือนที่เราตัวติดกันผมกลับใจอ่อนไม่เป็นท่าซะงั้น ก็คนคนนั้นมันชอบมารุกรานจับนู้นจับนี่ จับในที่ที่ไม่ควรจับมันทำผมอ่อนไหวได้ไม่ยากจริงๆ ไหนจะไออาการแสดงความเป็นเจ้าของนั่นอีก อย่าคิดว่าผมไม่รู้นะ เจ้าเด็กเจ้าเล่ห์


    คิดไปได้เพลินๆก็เห็นรถสี่ล้อสีเข้มคุ้นตาขับมาจอดเทียบรอรับผมพอดี ผมไม่รอช้าจึงเปิดประตูและเข้าไปนั่งตรงที่ประจำทันที

    “รอนานไหมครับ” เจ้าของรถเอ่ยทักผมด้วยนํ้าเสียงสดใสเหมือนที่เจ้าตัวทำมาตลอดหลายปี

    “ไม่นาน เรากินอะไรมารึยังโฮซอก” ผมว่าพลางมองสำรวจรถที่ผมไม่ได้นั่งมันมาซักพักแล้ว เนื่องจากเราอยู่ไกลกันและต่างคนก็ต่างมีงานเป็นของตัวเอง

    “ผมยังเลย ถึงชวนเธอออกมานี่ไง” โฮซอกพูดพลางเอื้อมมือมากะจะลูบหัวผม แต่ผมรู้สึกตะหงิดใจแปลกๆ ถึงแม้ว่าโฮซอกจะทำตัวปกติกับผมเหมือนที่ทำมาหลายปีแต่ครั้งนี้ผมกลับรู้สึกได้ว่าตัวเองนั้นไม่ต้องการ นี่ผมปฏิเสธความใจดีที่อีกคนมอบให้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ พอคิดได้อย่างนั้นจึงเบี่ยงหัวหลบทันที

    โฮซอกที่ดูเหมือนจะตกใจหน่อยๆที่ผมไม่ยอมให้เขาสัมผัสตัวอย่างที่เคยทำ เขาชักมือกลับไปไว้ที่พวงมาลัยและหันกลับไปราวกับว่าเรื่องเมื่อกี้ไม่เคยเกิดขึ้น

    “ช่วงนี่เธอมีเรื่องให้เครียดหรอครับ” อ่า.. ผมรู้สึกอึดอัดที่เขาเรียกผมแบบนี้ถึงแม้ว่าเราจะตกลงใช้คำพูดแทนกันว่าเธอกับผม แต่ผมก็ยังรู้สึกไม่ชินอยู่ดีที่มาพูดต่อหน้ากันแบบนี้ ถ้าคุยกันผ่านโทรศัพท์เขาก็คงจะกล้าพูดอยู่หรอก


    “พี่.. ไม่ชิน ที่เรียกกันแบบนี้” ผมพูดพลางรู้สึกผิดต่อเขาและตัวเองทั้งๆที่ผมก็เป็นคนตอบตกลงไปเองแท้ๆตอนที่เขายื่นข้อเสนอมาให้ ทั้งๆที่ผมจะปฏิเสธก็ได้..


    “ยุนกิอ่า ผมก็ไม่เห็นว่าพี่จะชินกับอะไรซักอย่างที่เป็นเรา..” โฮซอกพูดด้วยนํ้าเสียงน้อยใจที่เห็นอย่างได้ชัดเจน ทำผมรู้สึกผิดไม่น้อย


    “พี่ขอโทษ..” ผมพูดด้วยนํ้าเสียงแผ่วเบาแต่ก็ไม่เบาเกินกว่าที่คนข้างๆจะได้ยิน ทั้งๆที่โฮซอกก็ดูแลผมดีมาโดยตลอดทำไมผมถึงไม่เปิดใจเขาซักที ผมรู้สึกผิดต่อเขาตลอดที่โฮซอกทำมาจะได้ผลตอบแทนเป็นอะไรผมก็ยังไม่รู้ด้วยซั้า เขาน่ะเป็นคนดีจริงๆนะ.. และเขาก็ไม่ควรมาตกหลุมรักคนอย่างผมเลย


    “ไม่เป็นไรหรอกน่า ผมชินแล้วล่ะ” โฮซอกพูดด้วยนํ้าเสียงที่เหมือนจะติดตลก แต่ดูก็รู้ว่าเขาน่ะผิดหวังแค่ไหน นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก ผมเลือกที่จะข่มตาหลับเพื่อจะไม่ให้ตัวเองรู้สึกอึดอัดไปมากกว่านี้


    ความรู้สึกสุดท้ายก่อนที่ผมจะคล้อยหลับไปก็คือผมอยากกลับบ้าน.. แต่เป็นบ้านที่มีคนอีกคนอยู่ด้วย และคนคนนั้นก็คือ ปาร์ค จีมิน



    (ตกเย็น)


    “ยุนกิอ่า ถึงแล้วนะครับ” แรงสะกิดที่ไหล่ทำให้ผมนึกรำคาญ แต่ก็ต้องลืมตาตื่นอยู่ดี ลืมตามาได้เพียงนิดเดียวก็พบกับท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นครามนิดๆ

    “อื้อ.. ที่ไหน” ผมถามอีกคนด้วยนํ้าเสียงงัวเงียเพราะผมไม่อยากตื่นเลยจริงๆ ว่าแล้วก็ข่มตาพยายามจะหลับต่อ


    “ร้านอาหารน่ะ ผมพาพี่มากินข้าวนะลืมแล้วหรอครับ ถ้าพี่ไม่ตื่นผมจะหอมแก้มพี่นะ..” ลมหายใจร้อนที่ผมสัมผัสข้างแก้มและเริ่มลามมาที่ปากทำให้ผมรู้ว่าอีกคนกำลังฉวยโอกาสผมอยู่ ยังไม่ทันจะได้ปริปากพูดก็โดนอีกคนหอมแก้มไปแล้วฟอดใหญ่ นั่นทำให้ผมหงุดหงิดไม่น้อยแต่ก็ไม่มีแรงพอจะต่อต้าน

    “หรือจะให้ผมจูบ..” โฮซอกว่าพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้กว่าเดิม แต่ก็โดนผมพูดขัดมาซะก่อน

    “อือ..ตื่นแล้วหน่า ลงไปก่อนเลย” ผมที่ตั้งสติได้นิดหน่อยก็ดันเขาออกไปเต้มแรง ทำให้โฮซอกต้องยอมทำตามที่ผมพูดและเดินออกไปเปฺิดประตูให้ผมแต่โดยดี

    โฮซอกเดินจูงมือผมเข้าไปในร้านอย่างกับว่าเราเป็นคู่รักกันงั้นแหละ แต่ผมก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร ยอมหน่อยซักวันคงจะไม่เป็นไร อีกอย่างจีมินก็ไม่ได้อยู่..ตรงนี้.. 


    นี่ผมคิดอะไรเนี่ย ทำไมต้องไปคิดถึงคนที่พึ่งทำผมหงุดหงิดมาเมื่อเที่ยง สะบัดหัวไล่ความง่วงได้นิดหน่อยก็ต้องเดินตามแรงจูงที่คนตรงหน้าจูงไปที่โต็ะที่จองไว้


    ผมอึดอัด นี่คือคำคำเดียวที่วนอยู่ในหัวไม่เลิก ผมรู้สึกแบบนี้มาซักพักแล้ว ราวกับมีสายตาของใครบางคนที่จ้องมองผมอยู่ เหมือนว่าผมกำลังทำอะไรผิด เหมือนโดนกดดันจากใครก็ไม่รู้ ผมอึดอัดจนแทบจะอ้วกอยู่แล้วทั้งๆที่ตรงนี้ก็มีแค่ผมกับโฮซอก


    ‘ครืด ครืด’ เสียงสั่นของโทรศัพท์ดึงผมกลับมาจากภวังค์ ชื่อที่ปรากฎอยู่บนหน้าจอนั่นทำให้ความวิตกกังวลของผมแทบจะหายไปในทันที ผมที่ยิ้มเล็กยิ้มน้อยอยู่คนเดียวหลังจากทำหน้าบึ้งมาทั้งวันนั่นทำให้โฮซอกตกใจไม่น้อย


    ผมวิ่งเหยาะๆออกมานอกร้านและกดรับสายทันที

    “ฮัลโห..” ผมพูดด้วยนํ้าเสียงสดใสราวกับว่ารออีกคนโทรมาอยู่ตลอดแต่คำพูดต่อมานั้นทำให้ผมอดที่จะสงสัยไม่ได้


    “เมื่อไหร่จะกลับครับผมรอนานแล้วนะ..” อีกคนพูดด้วยนํ้าเสียงเย็นเยือกอย่างที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน ความรู้สึกกดดันและความกลัวว่าจะโดนจับได้กลับมาทำงานอีกครั้งเมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องมองมาอย่างไม่ลดละ


    “ผมนั่งรอพี่ตรงนี้มานานแล้วนะ..” อึก.. คำพูดที่ฟังเหมือนว่าไม่น่าจะเป็นไปได้เล่นเอาผมขนลุกลามไปทั้งตัว มองไปรอบๆสายตาผมก็ไปหยุดอยู่ที่รถมอไซค์สีดำคันหรูที่อยู่ห่างจากจุดที่ผมยื่นอยู่ได้ราวๆ8-9เมตร ถึงแม้ว่ามันจะไกลแต่ผมก็สามารถมองเห็นสายตาที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดีมองมาทางผมอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้ออย่างชัดเจนนั่นยิ่งทำให้ผมจิตตกขึ้นไปอีก


    “นะ..นายตามพี่มาหร..” ผมพูดนํ้าเสียงสั่นเครือจากความกลัวอย่างเห็นได้ชัดแต่ก็โดนอีกคนพูดแทรกอีกครั้ง

    “กลับบ้านกันเถอะครับ..เรามีเรื่องที่จะต้องคุยกัน..” อีกคนพูดเสียงห้วนก่อนที่จะตัดสายไปและขึ้นไปสตาร์ทรถทันทีบ่งบอกว่าเขาจะเอาตัวผมไปเดี๋ยวนี้ ขาผมแทบไม่มีแรงยืนเมื่อรู้ว่ากลับบ้านไปผมจะต้องเจอกับอะไรบ้าง ได้แต่หวังเล็กๆว่าจีมินจะควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้และไม่ทำร้ายผมเหมือนวันนั้น


    ผมไม่มีโอกาสจะได้บอกลาโฮซอกด้วยซํ้า ได้แต่ส่งคำขอโทษไปในข้อความส่วนตัวพร้อมกับข้อแก้ตัวโง่ๆเพราะตอนนี้ในหัวผมคิดอะไรไม่ออกแล้ว ผมที่กำลังนั่งซ้อนท้ายรถมอไซค์ของจีมินมาได้ซักพักความอึดอัดและความกลัวยังคงไม่หายไปไหน


    “จะ จีมินอ่า โกรธพี่หรอ..” ผมถามเขาในขณะที่เขากำลังมีสมาธิกับถนนเบื้องหน้า เขาเงียบ.. จริงๆผมไม่คิดด้วยซั้าว่าอีกคนจะถ่อตามกันมาถึงที่นี่


    “พี่ดูไม่ออกจริงๆหรอครับว่าผมน่ะหวง ต้องให้ผมแสดงออกมากแค่ไหนหรอ” เขาพูดด้วยนํ้าเสียงประชดประชันแต่ก็ดูหงุดหงิดไม่น้อย นั่นยิ่งทำให้ผมต้องกระชับอ้อมกอดที่กอดเขาไว้หลวมๆพลางซุกหน้าเข้ากับหลังกว้างเป็นเชิงขอโทษ


    “พี่ขอโทษ..” ผมพูดพลางแนบหัวลงไปชิดกับไหล่ของคนข้างหน้า


    “แค่นี้มันไม่พอหรอกครับ พี่ยังต้องอ้อนผมมากกว่านี้ บนเตียง” คำพูดต่อมาของเขานั้นทำผมแทบสะอึก ผมที่พึ่งรู้ชะตากรรมตัวเองอย่างหลีกหนีไม่ได้ก็ได้แต่พูดพรํ่าขอโทษอีกคนก่อนที่จะคล้อยหลับไป ความรู้สึกสุดท้ายที่ผมรู้สึกได้ก็คือมือของอีกคนที่ยึดมือผมไว้เพื่อไม่ให้ผมตกจากรถ



    (jimin point of view)


    ผมจัดการอุ้มคนตัวเล็กที่ยังตื่นได้ไม่ดีนักขึ้นไปบนห้องนอนอย่างใจเย็น นี่ยังดีนะที่ผมไม่ได้โกรธมากถึงขนาดควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ได้เหมือนตอนแรก เอาจริงๆผมใจอ่อยยวบเลยแหละตอนที่คนตัวเล็กบอกขอโทษ แต่ถึงยังไงมันก็ต้องมีการลงโทษกันหน่อย ให้มันรู้ซะบ้างว่ามินยุนกิน่ะมันเป็นของปาร์คจีมิน


    “อื้อ จีมินอ่า พี่ขอโทษ” เสียงงัวเงียของคนตัวเล็กดึงผมออกจากภวังค์ เสียงที่ดูเหมือนจะสั่นๆกับสายตาที่คนตัวเล็กมองมาอย่างหวาดระแวงบ่งบอกว่าคนตัวเล็กยังคงกลัวผมอยู่ไม่น้อย นั่นทำให้ผมนึกอยากแกล้งคนตัวเล็กขึ้นมาทันที


    “ไม่ได้หรอกครับ แค่ขอโทษมันไม่พอ..วันนี้พี่ทำอะไรไว้รู้ตัวหรือเปล่า” ผมพูดเสียงแข็งและจัดการขึ้นคร่อมคนตัวเล็กทันที ยุนกิโพล่งตาขึ้นอย่างตกใจ คนตัวเล็กได้แต่เสมองไปทางอื่นเหมือนกับกลัวผมจับได้ เห็นดังนั้นผมจึงจัดการครอบครองซอกคอขาวทันทีพลางนึกถึงเหตุการณ์เมื่อเย็นที่คนตัวเล็กนอนเฉยๆให้ไอเวรนั่นจูบ นึกได้ผมก็หงุดหงิดอยู่ไม่น้อย ผมระดมจูบซํ้าบนรอยแดงที่ผมทำไว้เมื่อเที่ยงให้ชัดเจนมากขึ้นแต่เมื่อผมที่พยายามจะสูดดมกลิ่นไอหอมแต่ก็ได้กลิ่นอื่นมาแทน กลิ่นอื่นที่ไม่ใช่ของเจ้าตัวนั่นยิ่งทำให้ผมหงุดหงิดขึ้นมาอีก


    “ทำไมพี่ถึงยอมให้ไอเวรนั่นจูบพี่ ทั้งๆที่ก็เป็นแค่เพื่อนกันล่ะหืม” ผมพูดจาประชดพลางกัดไปที่ซอกคอขาวอย่างจังด้วยความโมโหจนคนตัวเล็กสะดุ้ง


    “โอ้ย..ฮึก จะ เจ็บ..” เสียงที่สั่นและกลิ่นคาวเลือดที่ผมรับรสได้ บ่งบอกว่าผมกัดคนตัวเล็กแรงเกินไป แต่แค่นี้มันก็ยังไม่พอหรอกนะ ผมเลียที่แผลซํ้าสองสามครั้งก่อนที่จะพละออกมา


    “พี่ไม่ได้ยินที่ผมถามหรอครับ” ผมยํ้าคำถามอีกครั้งพลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสวยที่มีหยดนํ้าใสไหลออกมาอย่างคาดคั้นคำตอบ


    “คะ เค้า ไม่ ไม่ได้จูบพี่.. คะ เค้าแค่ปลุกพี่เฉ-” ก่อนที่คนตัวเล็กจะพูดจบผมก็จัดการประกบปากกับเจ้าตัวทันที ไม่เปิดโอกาสให้คนตัวเล็กได้พูดอีก ผมไม่อยากจะฟังหรอกนะคำแก้ตัวน่ะในเมื่อผมก็เห็นอยู่เต็มตาว่าคนตัวเล็กไม่ขัดขืน งั้นผมขอคืนละกัน จูบน่ะ


    ผมบรรจงจูบที่ร้อนแรงไปยังคนตัวเล็กที่พยายามจูบตอบปลอบประโลมผมสะเปะสะปะอย่างน่าเอ็นดู ขบกัดปากล่างและบนของคนตัวเล็กเบาๆเพื่อตอกยํ้าถึงความหวงแหนก่อนที่จะใช้ลิ้นกวาดต้อนความหอมหวานจากโพลงปากอุ่นจนแทบจะหมดลมหายใจ 


    ผมถอดจูบและพละออกมาปล่อยให้คนตัวเล็กที่เกือบจะขาดอากาศหายใจกวาดอากาศเข้าปอด พลางหอมแก้มเนียนอย่างหลงใหล


    สภาพของคนใต้ร่างของผมตอนนี้มันยั่วยวนเหลือเกิน ความหยาบโลน ความลุ่มหลงแหละความโลภมากมันผสมปนเปกันไปหมด ผมน่ะอยากจะยํ่ายีคนตัวเล็กมากว่านี้ อยากจะลงโทษให้เข็ดหลาบว่าห้ามไปยุ่งกับคนอื่นที่ไม่ใช่ผม ปีศาจในตัวผมที่กำลังพุ่งพล่านอยากจะครอบครองคนตรงหน้าจนตอนนี้เริ่มชักจะทนไม่ไหวแล้ว


    “ผมจะลงโทษคุณยังไงดีครับ คุณนักจิตวิทยาบำบัด” เสียงที่แหบพล่าบ่งบอกว่าผมต้องการคนตัวเล็กมากแค่ไหน สรรพนามที่เปลี่ยนไปแบ่งแยกชนชั้นได้เป็นอย่างดี และผมก็คือคนที่อยู่เหนือกว่า คอเสื้อที่ถูกแหวกมากขึ้นกับอีกคนที่หายใจหอบอยู่ไม่น้อยเรียกความหื่นกามของผมได้เป็นอย่างดี


    “หวา ไอนั่นของพี่มันตื่นตัวแล้วนะครับ ลามกจริงๆ” ผมพูดเสียงดังเพื่อตอกยํ้าความอับอายให้กับคนตัวเล็ก


    “นี่ คุณนักจิตวิทยา..” ผมกระสิบเสียงแผ่ว ยุนกิที่ยังคงหายใจหอบปรือตามองผมนั่นยิ่งเพิ่มความน่ารักให้คนตัวเล็กเมื่อมองจากมุมนี้ ผมน่ะคิดไม่ตกเลยนะว่าคนตัวเล็กจะมีสีหน้ายังไงถ้าต้องจัดการกับตัวเองโดยที่มีผมนั่งดูอยู่ตรงนี้ เพราะร่างกายของยุนกิน่ะเหมือนจะตอบสนองอยู่ไม่น้อย



    “ช่วยตัวเองให้ผมดูหน่อยสิครับ..”















    Talk: 



    (แก้คำผิดแล้วค่ะ)





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×