คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Intro : Boy meet evil
เขาว่ากันว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือตัวเรา
ตอนแรกผมก็ไม่เชื่อ ไม่เชื่อเลยซักนิด.. คำพูดพวกนั้น..
ปีศาจที่หลบซ่อนอยู่ข้างใน
อยู่ที่ว่าเราจะควบคุมมันได้หรือไม่ ความต้องการ ความโลภ ความลุ่งหลงที่ชั่งหอมหวานเหลือเกิน มันชักจูงให้ผมอยากลองพิสูจน์ แสงสว่างที่เต็มไปด้วยความรักกำลังเริ่มมืดมิดลงทุกที ความเจ็บปวดราวกับมีดนับพันเล่มที่ทิ่มแท่งเข้ามาจนหายใจไม่ออก
นี่ล่ะความจริง.. ความจริงที่ผิดเพี้ยนไปหมด..
‘จีมินอ่า.. เอาอีกสิ แค่นี้มันไม่พอหรอกนะ’ กลิ่นกายที่หอมหวานกับเรือนร่างที่เปลือยขาวปรากฎแก่สายตาของผม สายตาเยิ้มที่ผมรู้สึกได้ถูกส่งมาบ่งบอกว่าเจ้าตัวต้องการผมมากแค่ไหน
‘จีมินอ่า..’ เสียงของชายร่างบางคุ้นหูมากเหลือเกิน แต่ชั่งหน้าเสียดาย…
.
.
.
“เฮือก!!” ผมสะดุ้งขึ้นมาอย่างแรงมองซ้ายมองขวาอย่างหวาดระแวงก็พบห้องนอนของผมที่ยังมืดอยู่ ขมับที่เปียกบ่งบอกว่าผมได้เสียเหงื่อไปเยอะพอสมควร ผมยังคงหายใจหอบเพราะยังตกใจกับฝันเมื่อกี้ไม่หาย
'ใคร..' ตั้งคำถามกับตัวเองอย่างสงสัยว่าคนในฝันนั้นเป็นใครถึงทำให้ใจผมฟุ้งซ่านมากขนาดนี้ ถึงแม้ว่าจะตื่นมาแล้วก็เถอะ แต่กามอารมณ์นั้นยังคงค้างคา จึงลุกขึ้นอย่างลำบากและไปจัดการตัวเองในห้องนํ้า
เป็นเวลารุ่งเช้าหลังจากทำธุระส่วนตัวและอาบนํ้าเสร็จ รู้สึกไม่สดชื่นเท่าที่ควรเพราะนอนไม่เต็มอิ่มจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
“เมื่อไหร่จะนึกออก” ผมเอาแต่พรํ่าถามตัวเองเป็นสิบครั้งหลังจากที่ยังคิดถึงเรื่องเมื่อตอนรุ่งสางไม่หาย ใครกัน ทำไมผมถึงนึกไม่ออกเลยทั้งๆรู้สึกคุ้นเคยกันขนาดนั้น
'ก๊อกๆ' หืม ใครกันจะมาเคาะประตูห้องทั้งๆที่ยังเช้าขนาดนี้
“อ้าวจีมินตื่นแล้วหรอลูก” เสียงที่คุ้นเคยของป้าทำให้ผมต้องขมวดคิ้ว มีเรื่องอะไรถึงโถมมาถึงห้องทั้งที่ยังเช้าอยู่แบบนี้ แล้วนั่นใคร คนที่เดินตามหลังป้ามา
“มีอะไรครับ” ผมที่ไม่สบอารมณ์นักตอบเสียงห้วน แต่สายตาก็ยังไม่วายจ้องคนข้างหลังของคนเป็นป้า
“ป้ามีคนมาให้รู้จักนะเค้าเป็นนักจิตวิทยาบำบัด เค้าจะมาเป็นคนดูแลเราแทนป้า” ป้าพูดพร้อมส่งยิ้มใจดีมาให้ นั่นทำให้ผมรู้สึกโกรธขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
“เค้าจะมาดูแลผมทำไม ผมไม่ได้เป็นอะไร!!” ได้แต่ตวาดป้าออกไปด้วยความโกรธแต่ร่างกายยังคงอยู่บนเตียงไม่ขยับไปไหน ทำเอาคนข้างหลังสะดุ้งแล้วมองมาทางผม
… สายตาแบบนั้น สายตาแบบนั้นมัน.. คนคนเดียวกับในฝัน.. ใช่มั้ยนะ
สติที่หายไปชั่วขณะถูกดึงกลับมาด้วยเสียงของผู้เป็นป้า
“จีมิน ป้ารู้ว่ามันทำใจลำบากกับเรื่องที่ผ่านมา ป้าหาคนมาช่วยแล้วมันจะดีขึ้นนะป้าสัญญา” ว่าพลางเดินมาลูบหัวผมอย่างใจดี ผมเองก็เหมือนจะใจเย็นลงอย่างช่วยไม่ได้ ก็ตอนนี้สมาธิของผมมันดันไปอยู่กับคนตรงหน้าประตูหมดแล้ว
“ป้าพาเขามาอยู่เป็นเพื่อน มาคอยดูแลเราแทนป้าเพราะหลังจากนี้ป้าต้องออกไปทำงานที่อื่น มันไกลแล้วป้าก็เป็นห่วงเรานะ” ป้านั่งลงบนเตียงผมอย่างใจเย็น โดยทิ้งอีกคนให้ยืนอยู่ตรงประตูไว้อย่างนั้น
“นานแค่ไหนครับ” ผมถามไปตามที่ตัวเองคิด แต่จากลางสังหรณ์แล้วมันคงจะนานจริงๆ
“ไม่มีกำหนด เริ่มตั้งแต่วันนี้ แต่คงจะไม่ถึงปี ช่วงที่ป้าไม่อยู่เราต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ตัวเองนะลูกนะ อย่าทำร้ายใครไปมากกว่านี้เเละก็ดูแลตัวเองดีๆอย่าเป็นภาระให้กับพี่เค้าล่ะ” คนเป็นป้าว่าพลางส่งยิ้มใจดีมาให้
“ป้าต้องไปแล้วล่ะ ฝากด้วยนะยุนกิ” คนหน้าประตูพยักหน้าก่อนก้มหัวลงแสดงถึงความเคารพก่อนที่ป้าของผมจะเดินออกนอกห้องไป
“ปิดประตูด้วยสิ” ผมพูดเสียงห้วนจนคนตัวเล็กสะดุ้งและรีบปิดประตูทันที ผมมองคนตัวเล็กในชุดเสื้อยื้ดสีขาวคอกลมกับกางเกงวอร์มสีดำสนิทที่ทำตัวเก้ๆกังๆเหมือนไม่รู้ว่าควรจะไปตรงไหน แต่แล้วก็ไปลากเก้าอี้ไม้สีเรียบเดินมาหยุดอยู่ที่ข้างเตียงผมแล้วนั่งจ้องหน้าผมเช่นเดียวกัน
“คะ คือ พี่ชื่อมินยุ..”
“ยุนกิ ผมรู้แล้ว” พูดด้วยนํ้าเสียงเกร็งๆแต่ยังไม่ทันพูดจบด้วยซํ้าก็โดนเจ้าของใบหน้าคมพูดแทรกขึ้นมาซะก่อน
“นายอายุเท่าไหร่” ผมมองจ้องลึกเข้าไปในดวงตาเรียวสวยเพื่อคาดคั้นคำตอบ กลิ่นกายหอมหวานลอยมาเตะจมูกผมเบาๆนั้นทำให้ผมรู้สึกตะหงิดใจแปลกๆ
“25 ครับ” เขาตอบผมพร้อมส่งยิ้มที่เขาคิดว่าดูจริงใจมาให้ผม
“เราเคยเจอกันมาก่อนรึป่าว” ผมถามพลางเขยิบตัวเข้าไปใกล้มากขึ้น กลิ่นกายหอมหวานก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นว่าเขาจำคนไม่ผิด พอเห็นว่าคนตัวเล็กแอบกระเถิบหนีไปบ้างแต่ก็ต้องหยุดลงเพราะผมเอามือคํ้าเก้าอี้ไว้ เงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็พบว่าเราอยู่ใกล้กันมากเหลือเกิน
“คะ คือ ผมว่า..” พูดยังไม่ทันจบก็โดนพูดแทรกอีกครั้ง
“หอม..” ว่าพลางซบหน้าลงบนซอกคอเนียน คนตัวเล็กดูตกใจไม่น้อย เขาหลบตาผมแล้วหันหน้าไปทางอื่นพร้อมกับเอามือดันอกผมเบาๆเป็นเชิงให้ออกไป ไม่รู้ว่าที่ผมทำมันมากเกินไปรึเปล่า อดที่จะแกล้งไม่ได้จริงๆ ผมพ่นลมหายใจรดคอคนตัวขาว
“ค่ะ คุณจีมิน.. คุณทะ ทำอะไรของคุณ” หน้าที่ขึ้นสีกับคำพูดติดๆขัดๆนั้นทำให้ผมได้ใจเหลือเกิน ก่อนที่ผมจะพละออกจากซอกคอเนียนก็ไม่วายเอาปลายจมูกไปหยอกเย้าเพื่อแสดงความเป็นเจ้าเค้าเจ้าของอย่างโหยหา
คนคนนี้ไม่ใช่หรอที่อยู่ในฝันของผมน่ะ คนคนนี้มันเป็นของผม
“ฉันไม่ได้เป็นอะไร นายจะมาดูแลฉันทำไม หรือไปรู้อะไรที่ไม่ควรรู้มา” ผมถามอย่างคาดคั้นอีกครั้งหลังจากที่พละหน้าออกมาได้ไม่ไกล ถ้าเขารู้ในเรื่องที่ไม่ควรจะรู้โดยที่ไม่ได้รับอนุญาต อย่างงี้มันต้องโดนลงโทษไม่ใช่หรอครับ
“แฮ่ก แฮ่ก ปะ..ป้าของคุณจ้างผมมา ผมก็แค่มาทำตามหน้าที่ ส่วนเรื่องที่ผมไปรู้มาน่ะ..เอ่อ..มะ..มันไม่มีอะไรหรอกครับ” ยุนกิหายใจหอบเพราะตอนที่โดนคลอเคลียที่คอเขาเผลอกลั้นหายใจจนแทบหายใจไม่ทัน
นํ้าเสียงที่พูดได้ไม่เต็มปากกลับยิ่งสร้างความสงสัยให้กับเจ้าของใบหน้าคม
“นายไม่รู้หรอว่าคนที่โกหกจะต้องโดนลงโทษน่ะ” คนตัวเล็กสะดุ้งโหยงแล้วมองมาทางผมอย่างระแวง
“ป้าคุณเล่าเรื่องพ่อแม่ของคุณให้ผมฟัง..เขาบอกผมว่าคุณเป็นโรคซึมเศร้าเลยจ้างให้ผมมาช่วยดูแลคุณ” ยุนกิว่าพลางหลบตาอย่างกล้าๆกลัวๆ
“นายจะรับไหวงั้นหรอ แค่วันแรกที่นายมานายก็เกือบโดนฉันลวนลาม”
แต่กลับไม่ขัดขืน
“ต่อจากนี้นายจะโดนหนักกว่านี้ นายรับได้หรอ แล้วไอโรคซึมเศร้าน่ะฉันไม่ได้เป็นหรอกฉันแค่ไม่อยากสุงสิงกับใครแม้แต่คนในครอบครัวที่เหลืออยู่ตอนนี้” คำพูดยืดยาวของคนบนเตียงทำเอายุนกิคิดหนักไม่น้อย แต่จะให้เขาปฏิเสธยังไงล่ะ ในเมื่อเขาได้รับเงินก้อนโตจากคุณนายปาร์คมามากกว่าครึ่งแล้วไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องทำตามหน้าที่ตลอดหกเดือนนี้อยู่ดี ยังดีนะที่มีขอบเขต
“ครับ ผมรับได้ ยังไงผมก็โดนจ้างมาแล้วผมจะมาปฏิเสธตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้วล่ะครับ” ยุนกิพูดพร้อมมองใบหน้าคมอย่างมั่นใจถึงแม้ว่าจะรู้สึกหวั่นใจอยู่ไม่น้อย หลังจากนี้เขาจะเจออะไรบ้างกันนะ
“ฉันรู้สึกเหมือนฉันเคยเจอนายที่ไหนมาก่อน ฉันรู้สึกว่าฉันคุ้นเคยกับนายมากจริงๆ” ผมว่าพลางจ้องใบหน้าหวานอย่างหลงใหล คนตัวเล็กมองผมอย่างไม่เข้าใจก่อนที่จะลุกขึ้นยืนและลากเก้าอี้ไปเก็บ
“ผมว่าคุณคิดไปเองแล้วล่ะครับ คุณหิวหรือยังครับ ผมจะลงไปทำอะไรให้ทาน” ผมพยักหน้าเบาๆเป็นคำตอบก่อนจะจัดเตียงให้เป็นระเบียบแล้วเดินตามลงไป
“ในตู้เย็นมีของอยู่เต็มเลย ปกติคุณอยู่บ้านคนเดียวคุณไม่ทำอาหารหรอครับ” คนตัวเล็กหันมาถามผมพร้อมชี้ไปที่ตู้เย็น
“ไม่ล่ะ ปกติฉันสั่งมากินมากกว่า” คนตัวเล็กพยักหน้าแล้วหยิบของในตู้เย็นต่างๆไปวางไว้ห้องครัว
ห้องครัวกว้างๆพอมีคนตัวเล็กๆไปยืนยิ่งทำให้ยุนกิดูตัวเล็กลงไปอีก ผมได้แต่นั่งมองอีกคนที่ทำอาหารอยู่ราวกับถูกต้องมนต์ ยิ่งนึกภาพว่าหากคนในฝันเป็นมินยุนกินั้นยิ่งทำให้ผมไม่มีสมาธิ สุดท้ายผมก็ทนไม่ไหวจึงลุกไปกอดเอวบางไว้หลวมๆอย่างกับเป็นคนรักกันจนคนตัวเล็กสะดุ้งอีกครั้ง
“คุณทำอะไรเนี่ย ผมไม่มีสมาธินะออกไปก่อนเดี๋ยวอาหารก็ไหม้กันพอดี” ว่างพลางดันไหล่ผมเบาๆแต่ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผล ผมสูดดมกลิ่นกายหอมที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดีถึงแม้ว่าเราจะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน
“ฉันคิดถึงนาย..” เหมือนมากจริงๆ ผมพูดจาอู้อี้ระหว่างที่ซุกหน้าลงบนซอกคอเนียน
“เราพึ่งรู้จักกันได้ไม่นาน อยู่ๆคุณมาบอกคิดถึงผมเนี่ยนะ อีกอย่างเราก็ไม่เคยเป็นอะไรกันนะครับ” คนตัวเล็กจัดอาหารใส่จานเสร็จสรรพ จึงเดินหลุดออกจากอ้อมกอดของผมไป
“มาทานอาหารดเช้าได้แล้วคุณ ยืนเหม่ออยู่อย่างนั้นอาหารก็เย็นหมดพอดี”
/ตกเย็น
“ฮัลโหล ว่าไงครับ” ผมที่นั่งอยู่บนโซฟาแอบได้ยินเสียงคนตัวเล็กคุยโทรศัพท์อยู่กับใครซักคน
“ยังไม่ได้กลับเลยครับ ทำอาหารเย็นเสร็จคงกลับแล้วล่ะ อ่า..ไม่ต้องเป็นห่วงนะ” เสียงสดใสและน่ารักแบบนั้นที่คนตัวเล็กไม่เคยใช้มันกับผมเลยถึงแม้ว่าเราจะอยู่ด้วยกันมาทั้งวัน
“ไม่ต้องมารับก็ได้คุณอยู่ไกล ดูแลตัวเองด้วยนะครับผมเป็นห่วง” คำพูดแบบนั้นมันเอาไว้ใช้กับคนรักไม่ใช่หรอ ไม่จริงน่า..อ่า.. เงียบไปแล้ว แสดงว่าวางสายไปแล้ว
“คุณจีมินครับ เอ่อ คือว่า..” คนตัวเล็กยังไม่ทันได้พูดจบ
“อยู่กับผมได้ไหมครับ” อะไรดลบันดาลใจให้ผมพูดขัดไปแบบนั้นทั้งๆที่เจ้าตัวก็พึ่งบอกกับคนในสายไปว่ากำลังจะกลับบ้านแท้ๆ
“เอ่อ..คือผมไม่มีชุด ผมว่าผมคง..”
“ใช้ชุดผมก็ได้ ยังไงเราก็ตัวเท่าๆกัน..” ผมเดินเข้าไปหาคนตัวเล็กพร้อมกับจับไหล่ของเจ้าตัวไว้
“นะครับ..อยู่กับผมนะ..” ผมไม่ต้องการให้คนตัวเล็กไปไหน พอคิดอย่างนั้นก็ก้มลงไปซุกซอกคอเนียนอีกครั้งเป็นเชิงออดอ้อน
“อะ..ครับๆ ผมจะอยู่กับคุณ..” คนตัวเล็กพยักหน้าพร้อมดันไหล่ของผมออก หน้าที่ขึ้นสีอ่อนๆทำให้ผมยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู
“คุณไปอาบนํ้าเถอะ.. เดี๋ยวผมจะทำอาหารเย็นไว้ให้” ว่าเสร็จคนตัวเล็กก็เดินผ่านผมไปโดยไม่หันกลับมามอง ผมจึงเดินขึ้นไปอาบนํ้าเงียบๆ
หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จผมลงมาก็พบอาหารอยู่สองสามอย่างวางอยู่บนโต๊ะพร้อมคนตัวเล็ก ผมลงไปนั่งตรงข้ามยุนกิ ต่างคนต่างทานอาหารและไม่ได้พูดอะไร
“คุณอึดอัดมั้ย ที่จะมาดูแลและอยู่กับผม” เป็นผมที่ชวนคุย ผมถามด้วยนํ้าเสียงอ่อนโยนไม่มีทิฐิอะไรทั้งนั้น คนตัวเล็กหันมามองหน้าผมแล้วส่ายหน้าเบาๆ
“เปล่า..ผมแค่ยังไม่ชิน แล้วก็ยังไม่รู้จะทำตัวยังไง..ทำไมคุณถึงชอบมารุกรานผมอยู่บ่อยๆล่ะครับ” ถามพร้อมจ้องเข้ามาที่ผมเพราะต้องการคำตอบ
“ผมแค่รู้สึกชอบคุณ แค่นั้นครับ” ผมตอบไปตามความจริงแต่มันก็แค่ส่วนเดียวเพราะจริงๆแล้วผมก็ยังไม่ค่อยมั่นใจนักว่าไอความผูกพันนี่มันมาได้ยังไง
“ผมนึกว่าไอการชอบตั้งแต่แรกพบนี่มันมีแต่ในนิยายซะอีก” คนตัวขาวว่าพลางขำออกมาเบาๆ
“คุณขึ้นห้องไปก่อนเลย ผมล้างจานเสร็จแล้วเดี๋ยวตามขึ้นไป” ผมจึงเดินขึ้นห้องไปเงียบๆโดยไม่ลืมที่จะหันมามองคนตัวเล็กอีกครั้ง
‘ผมนึกว่าไอการชอบตั้งแต่แรกเจอนี่มันมีแต่ในนิยายซะอีก’ นั่นสินะถ้านี่มันเป็นนิยาย ผมก็ชักอยากจะอ่านมันซะแล้วสิ
ผมถูกดึงออกจากภวังค์เพราะได้ยินเสียงประตูที่ถูกเปิดออก
“ผมขอชุดด้วยครับ เอ่อ..แล้วคืนนี้จะให้ผมไปนอนที่ไหนหรอครับ” คนตัวเล็กถามผมด้วยสีหน้าที่ไม่ไว้เนื้อเชื่อใจและมองตามผมที่เดินไปหยิบชุด ชุดที่ผมเลือกให้ก็คงไม่พ้นจากคำว่าสั้น ใช่ครับมันสั้นมาก แต่เสื้อที่ผมเลือกให้มันตัวใหญ่อยู่หน่อยเลยทำให้ดูปกติ ผมยื่นผ้าเช็ดตัวพร้อมเสื้อผ้าไปให้ยุนกิ
“ก็นอนในห้องผมนี่ไง แล้วก็นอนเตียงเดียวกับผมด้วยนะ” คนตัวเล็กดูตกใจไม่น้อยแต่ก็ต้องยอมจำนนต่อผมอยู่ดี แบบนี้แหละน่ารัก
ผ่านไปซักพัก คนตัวเล็กอาบนํ้าเสร็จแล้ว แต่ชุดที่เจ้าตัวใส่ออกมามันเกินคาด เรียวขาขาวใต้อาภรณ์ทำให้คนตัวเล็กน่ามองขึ้นเป็นกอง
ไหนจะกลิ่นสบู่ที่ผมใช้ประจำ เมื่อมันมาอยู่บนตัวของยุนกิมันกลับหอมขึ้นเป็นเท่าตัว
“มองอะไรล่ะคุณ..” คนตัวเล็กทำหน้าสงสัย นั่นยิ่งทำให้คนตัวเล็กดูดีขึ้นไปอีก
“เปล่า..แค่..”
‘ครืด ครืด ครืด ครืด’ คำพูดของผมถูกกลืนลงคอโดยเสียงสั่นจากโทรศัพท์ของคนคนตัวขาว คนตัวขาวกดรับทันทีโดยหันหลังมาให้ผม
“ฮัลโหล..ว่าไงครับ ยังไม่นอนอีกหรอนี่มันจะดึกแล้วนะ” นั่งพิจารณาตั้งแต่ไหล่บางไล่ไปจนถึงขาเรียวโดยที่ไม่ลืมจะผึ่งหูฟังอีกคน
“อ่า..วันนี้ผมไม่ได้กลับคอนโดน่ะครับต้องนอนเฝ้าคนป่วย ขอโทษนะวันนี้คุณไปเสียเที่ยวเลย” คนตัวเล็กว่าพลางขำออกมาอย่างน่ารักนั่นช่วยสกิดต่อมอารมณ์ร้อนของผมได้เป็นอย่างดี ไอคำว่าคนป่วยนี่ผมหรอ พอคิดตามผมก็หงุดหงิดขึ้นมา
“ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอกครับ ผมไม่เป็นอะไรแต่คุณเถอะรีบนอนได้แล้ว.. ฝันดีนะครับ” แล้วไอท่าทางน่ารักๆนั่นทำไมต้องทำให้คนในสายด้วยวะ คนตัวเล็กกดวางสายและหันมาทางผม
“ใคร” ผมถามด้วยนํ้าเสียงที่มองมาก็รู้ว่าไม่สบอารมณ์
“เพื่อนน่ะ คุณเป็นอะไรรึเปล่า” คนตัวเล็กมองผมอย่างไม่เข้าใจ เพราะอยู่ๆท่าทางของคนบนเตียงก็เปลี่ยนไปกระทันหัน
“หึ เพื่อนกันใครเค้าคุยกันแบบนี้” ท่าทางไม่รู้ไม่ชี้ที่ยุนกิแสดงออกมานั่นยิ่งทวีคูณความโกรธจนผมกดเอาไว้ไม่อยู่
“แล้วไอที่เรียกฉันว่าคนป่วยนี่มันหมายความว่ายังไง!!” ผมตวาดดังก่อนดึงข้อมือคนของตัวเล็กอย่างแรงทำให้คนตัวเล็กมีสีหน้าเหยเกจากความเจ็บที่ข้อมือ
“นี่คุณ! ใจเย็นๆก่อนสิ ที่ผมเรียกคุณว่าคนป่วยเพราะคุณอยู่ในการดูแลของผม และนั่นมันก็เพื่อนของผม เราไม่ได้เป็นอะไรกัน โอ้ย..ฮึก..ผมเจ็บนะ!” คนตัวเล็กว่าด้วยเสียงสะอื้น ก่อนที่จะล้มลงไปอยู่กับพื้น เสียงที่ถูกตะโกนกลับมาสามารถดึงสติของผมกลับมาได้เป็นอย่างดี
ผมเบิกตาโพลงกับการกระทำที่เกินความคาดหมาย ผมไม่ได้อยากจะทำร้ายคนตรงหน้าเลยซักนิด
“ผมขอโทษ.. ผม..แค่โกรธ..” ผมก้มลงไปประคองหน้าของคนตัวเล็กที่นั่งเช็ดนํ้าตาอย่างลวกๆ
“ผมไม่ได้ตั้งใจ..ผมขอโทษ” ผมใช้มืออีกข้างหยิบข้อมือที่แดงก่ำขึ้นมาใช้นิ้วลูบวนเบาๆทั้งที่มืออีกข้างยังปาดนํ้าตาให้คนตัวเล็กไม่เลิก
“เจ็บมากมั้ย ผมขอโทษนะ” ผมใช้มือทั้งสองประคองหน้าของยุนกิให้ขึ้นมาสบตากัน
“นะ..นาย ฮึก น่ากลัว..” คำพูดที่เหมือนกับเข็มถูกปักเข้ามากลางอก ความรู้สึกเดียวของผมตอนนี้คือเจ็บใจ ปีศาจที่อยู่ในตัวผมมันช่างน่ากลัว และมันอยู่เหนือการควบคุมของผมด้วย ถ้าผมเรียกสติตัวเองกลับมาไม่ได้ผมจะทำยังไง
“ยะ..อย่าทำ..แบบนี้อีกนะ..” คำพูดแผ่วเบาที่คนตัวเล็กพูดออกมาถึงแม้ว่ามันจะแผ่วเบาแต่ผมได้ยินมันอย่างชัดเจน
“ครับ.. ลุกขึ้นเถอะนะ” ผมดึงมือของคนตัวเล็กให้ลุกขึ้นยืนอย่างเบามือที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้และจูงไปนั่งที่เตียง คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมามองผม ตาที่บวมแดงบ่งบอกว่าเจ้าตัวเสียนํ้าตาไปเยอะพอสมควร
“นอนเถอะครับ..” คนตัวเล็กนอนลงไปอย่างว่าง่าย เห็นดั่งนั้นผมจึงเดินไปปิดไฟ
(Yoongi point of view)
หลังจากที่ปิดไฟได้ซักพักจีมินก็มาล้มตัวลงนอนอยู่ข้างผมทันที หลังจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อกี้ยังคงทำผมตกใจอยู่ไม่น้อย ผมจะหลับลงได้ยังไงในเมื่อข้อมือของผมยังเจ็บอยู่แบบนี้ เจ้าของรอยช้ำนี่ไม่คิดจะรับผิดชอบเลยหรือไงกัน
“ยุนกิ..” อ่า.. ไม่อยากคุยด้วยเลยจริงๆผมยังกลัวไม่หายเลยนะ แล้วมาทำเสียงอ่อยแบบนี้มันคนละคนกับเมื่อกี้เลยไม่ใช่หรอ
“อือ..” ผมขานรับไปในลำคอ
“โกรธผมอยู่มั้ยครับ..” มาพูดแบบนี้แล้วใครมันจะไปโกรธลงกัน ปกติผมก้ไม่ใช่คนที่จะโกรธใครได้นานๆอยู่แล้ว
“เปล่า.. ผมแค่เจ็บข้อมือ” ผมว่างพลางจับที่ข้อมือของตัวเองเบาๆ
“หันมานี่หน่อยได้มั้ย ผมข้อดูข้อมือหน่อยนะ” จะปฏิเสธก็ดูใจร้ายเกินไป ผมพลิกตัวหันหน้าหาเค้าอย่างว่าง่าย ถึงห้องจะมืดแค่ไหนแต่ก็ยังมีแสงสว่างจากข้างนอกส่องผ่านเข้ามาทำให้พอมองเห็นอยู่บ้างจึงได้รู้ว่าตอนนี้เราอยู่ใกล้กันแค่ไหน เพราะอย่างนี้ไงผมถึงชอบทำตัวไม่ถูก
“นายจะมองเห็นมือฉันได้ยังไงในเมื่อห้องก็มืดขนาดนี้” ผมกล้าที่จะเปลี่ยนสรรพนามระหว่างผมกับเขาเพื่อบ่งบอกว่าความโกรธเคืองยังไม่หายไป
“ผมใช้มือจับเอาก็ได้ แต่พี่ยุนกิอย่าโกรธผมเลยนะครับ” นํ้าเสียงอ่อนโยนถูกส่งเข้ามาในโสตประสาท พร้อมกับการกระทำที่ถะนุถนอมไปไม่น้อยกว่านํ้าเสียง
“เรียกผมว่าพี่ได้แล้วหรือไง” ลมหายใจอุ่นที่เป่ารดปากผมบ่งบอกว่าตอนนี้หน้าของอีกคนอยู่ใกล้ผมมากแค่ไหน กลิ่นแชมพูของอีกคนที่ลอยเข้ามาเตะจมูกผมทำเอาผมเคลิ้มไม่เป็นท่า
“คนในสายน่ะเค้าไม่ได้เป็นอะไรกับพี่ ถึงแม้ว่าเราจะใช้คำพูดที่เหมือนคนรักกันก็จริงแต่พี่พูดไปเพราะความเคยชิน เพราะเค้าก็ดูแลพี่ดีมาโดยตลอด แต่เค้าคงจะคิดกับพี่มากกว่าเพื่อนจริงๆนั่นแหละ” สรรพนามถูกเปลี่ยนทันที และผมก็พูดยืดยาวเหมือนเป็นการแก้ตัวเหมือนทำอะไรผิดไป
“ผมไม่ชอบเลยเวลาพี่ไม่สนใจผม..” อีกคนพูดเสียงแผ่ว อ่า..ทำไมคนที่มีชื่อว่า ปาร์ค จีมิน ถึงทำให้ผมใจอ่อนได้ขนาดนี้ทั้งๆเราพึ่งรู้จักกันแท้ๆ
“นอนได้แล้ว ฝันดีครับ” ผมพูดตัดบทก่อนที่จะเคลิ้มไปมากกว่านี้จึงรีบหลับตาสูดดมกลิ่นกายหอมจากอีกคนจนคล้อยหลับไป
TALK:
OPEN : 15/10/18
CLOSE : -----
ความคิดเห็น