เส้นทางแห่งการเป็นนักเขียน "พิชญ์อัปสร"
ช่วงไหนนะที่เราพอจะจำได้...คงเป็นช่วงประมาณ ป.4 ที่เริ่มขีดเขียนตัวหนังสือลงบนสมุดเล่มหนา แล้วเพื่อนๆก็เที่ยวมาขออ่านอย่างมีความสุข
...นั่นคือจุดเริ่มต้นแห่งงานเขียน
เราพัฒนาฝีมือมาเรื่อยๆ จากที่สำนวนการแต่งยังไม่สวยนัก เนื้อเรื่องยังไม่แข็งแรง แต่ด้วยความที่เป็นคนรักการอ่านนวนิยายของนักเขียนไทย มันจึงทำให้เราชอบที่จะมาขีดเขียนในแบบของเราดูบ้าง...
แล้วเราก็ฝันว่า เราอยากเป็นนักเขียน...
เวลาดำเนินผ่านไปเราเขียนนิยาย นิทานได้มากมายหลายเรื่อง หากแต่ก็ไม่มีโอกาสที่จะไปได้ไกลกว่านั้น จวบจน ม.6 คำปรามาสที่รุนแรงที่สุดก็ทำให้เราถึงกับน้ำตาซึม
“เป็นนักเขียนจะไปทำอะไรกิน ไส้แห้งจะตายไม่เห็นเหรอ...ถ้าหากเอนทรานซ์ไม่ติดก็กินเศษกระดาษที่ใช้เขียนก็แล้วกัน”
เจ็บปวด มันเจ็บลึกลงไปข้างใน...ความเป็นศิลปิน หรือที่ทุกคนเรียก ART มันทำให้เราหาเหตุผลโต้เถียงสิ่งเหล่านั้นไม่ได้เลยแม้แต่นิด เพราะทันทีที่เราเถียงนั้นคือเรากำลังเอาอารมณ์แห่งศิลปินมาเถียงกับเหตุผลของคนวิทยาศาสตร์ ซึ่งแน่นอนว่าเขามองว่าเราเป็นพวกเลื่อนลอย
เราเก็บไว้ในใจตลอดมา จนติดโควตาด้านมนุษยศาสตร์ ภาษาเกาหลี แต่แล้วเพราะค่านิยมจึงทำให้เราต้องระเห็จมาอยู่ในสายวิทยาศาสตร์สุขภาพเพียงเหตุผลเดียวนั่นก็คือ “จบมามีงานทำ”
เราเองคงไม่อาจจะปฏิเสธว่า หากเรียนด้านศิลปะ งานก็ค่อนข้างที่จะหาได้ยาก...เป็นหมอสิ เป็นพยาบาลสิ เป็นเภสัชสิ มีงานรองรับแน่ๆ
ฉันทนเก็บมานาน ทว่าเมื่อเล็งเห็นแล้วว่าหากเรียนไปโดยไร้งานศิลป์ชีวิตก็เหมือนไร้วิญญาณ คนศิลปะเช่นฉันจะไม่ยอมให้ใครมาทำลายฝันของฉันเพียงเพราะคำพูดนั้นเป็นแน่...นั่นเองภารกิจลับแห่งศิลปินจึงก่อตัว
ฉันทำงานเขียนนิยาย ในช่วงที่เรียนไปด้วย ตลอดทางถูกคอมเม้นมากพอสมควรแต่ล้วนแล้วเป็นสิ่งที่ติเพื่อก่อ...โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีเพื่อนที่ดีอยู่ข้างกายที่รักการเขียนนิยายเช่นกัน ท้ายที่สุดเราจึงตกลงกันว่าพวกเราจะเป็น Commentator ให้กันและกันเพราะต่างมองว่าหากถูกเพื่อนตำหนิก่อนหน้า ความเสียใจมันก็คงจะน้อยกว่าการที่ผลงานออกมาแล้วถูกผู้อ่านประณาม
ใช้คำแรงไปไหม...ไม่หรอก วงการนักเขียนก็คล้ายกับวงการอื่นอีกมากมายที่มีทั้งนางเอก นางร้าย และตัวประกอบ
เมื่อผลงานชิ้นแรกของฉันได้ถ่ายทอดออกสู่สายตาประชาชน ผลตอบรับก็ออกมาดีทีเดียว...มันทำให้จิตใจของฉันชื่นบานเมื่อเพื่อนที่เรียนด้วยกันมาแจ้งข่าวว่า นิยายของฉันติดอันดับ 9 ใน 20 ของร้านหนังสือที่เมืองแพร่ นั่นทำให้ฉันสามารถนำมันไปแสดงต่อหน้าท่านที่เคยปรามาสฉัน ซึ่งก็ดูท่านจะเปลี่ยนแปลงทัศนคติไปเกี่ยวกับนักเขียนได้มากทีเดียว
เห็นไหม...ถ้าฉันจะทำอะไรซักอย่าง ใครก็ห้ามไม่ได้แล้วฉันก็จะทำออกมาให้ดีด้วย พูดแล้วก็ซึ้ง ไม่เสียแรงที่ทุ่มเทกายใจเพื่อพิสูจน์ตัวเองให้ทุกคนได้เห็นว่า "ฉันทำได้"
เป็นไปได้...ไม่เคยคิดว่าตนเองจะทำได้ขนาดนี้ แต่ว่ามีดีใจก็ต้องมีเสียใจ เพราะมันคือสิ่งคู่กันบนโลกใบนี้ นักอ่านบางคนมองว่าแนวที่ฉันเขียนมันดูแก่ ไม่เหมาะกับวัย อันนี้ก็พอเข้าใจว่าสำหรับวัยรุ่นถ้ามาเห็นนิยายผู้ใหญ่ก็คงรู้สึกไม่อยากจะจับจะต้องเท่าไรนัก เพราะอ่านแล้วเข้าใจยากอีกทั้งศัพท์แสงก็วุ่นวายจนน่าปวดหัว...
นอกจากนั้นในวงการนักเขียนเองก็ยังมีปัญหากันระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้องอีกซะอย่างนั้น เช่นฉันมาก่อนทำไมยายคนนี้ถึงได้ตีพิมพ์ก่อน แล้วทำไม บก.ถึงทำอย่างนี้ นานาจิตตัง ไอ้เราเป็นคนที่ถูกสำนักพิมพ์เลือกมันก็พลอยจะโดนหางเลขไปด้วย ท้ายที่สุดจึงตัดสินใจเงียบดีกว่า เพราะยิ่งทะเลาะกันไปใจก็จะบาดหมางเป็นแก้วร้าวกันเปล่าๆ
สำหรับวันนี้ก็คงหยุดเพียงเท่านี้ก่อน หากแต่เส้นทางนักเขียนอันลำบากยังไม่จบ ยังไงก็สามารถติดตามต่อได้ในครั้งต่อไปนะครับ สวัสดีครับ...
ความคิดเห็น
T T ชีวิตนักเขียนนี่ช่างทรหดจริงๆ ผ่านอะไรมาเยอะ
สู้ๆนะ ตอนนี้ณัฐก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้วในระดับนึง
มุมานะต่อไป ฮู้ว! โย่ว! เพื่อความฝันของเรา
ขอเพียงใจรักและศรัทธาในอาชีพนั้น ๆๆ
แต่ตอนนี้พิชญ์อัปสร ก็คือหนึ่งในนักเขียนของวงการแล้วนะจ๊ะ ^^
และเป็นธรรมดาอีกเช่นกัน ที่ต้องเจอกับมรสุม ><
เอาเป็นว่าข้าพเจ้าเป็นกำลังใจให้นักเขียนคนเก่งสู้ต่อไปนะจ๊ะ ^^