ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    PURPLE WORK*09

    ลำดับตอนที่ #5 : รอบที่3: พล๊อตนี้จะรอดหรือเละ

    • อัปเดตล่าสุด 20 มี.ค. 52


    ชื่อกระทู้  รอบที่3: พล๊อตนี้จะรอดหรือเละ 11-14 มี.ค.

    1 จงแต่งเนื้อเรื่องต่อจากร้อยกรอง โดยไม่กำหนดความยาวของเรื่อง (แต่โปรดดูความเหมาะสมด้วย)
    เนื้อเรื่องที่แต่งต้องมีส่วนเกี่ยวข้องจากปก หรือชื่อเรื่องประกอบอยู่ด้วย
    3 ต้องมีตัวละครเพิ่มอีกหนึ่งตัว 
    4
    ต้องมีบทพูด ประกอบอยู่ด้วย
    จะแต่งแบบมุมมองของตัวละคร หรือบุคคลที่3 ก็ได้

    กระทู้โมโคน่า : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1256528

    /> /> />

     

     


     
     
     
    อย่างน้อยถึงแม้ผมจะไม่ได้อยู่กับเขา
    แต่พวกเราก็ได้รักกัน...ตลอดกาล
     
                   
    นรกขุมที่ 999, ใต้ประเทศไทย
    กลิ่นอายของเลือดลอยคละคลุ้งฟุ้งไปทั่วอาณาบริเวณนรกขุมที่ 999 เหล่าอมนุษย์มากมายเดินยั้วเยี้ยไปตามทางเดินของขุมนรกที่น่าสะพรึงกลัวนี้ไปเรื่อย ๆ อย่างทุกข์ทรมาน ด้วยความบาปแห่งการซ้ำเติมผู้ที่ทุกข์โศกเสียใจอย่างไร้ความปราณีในอดีตชาติที่เคยเป็นมนุษย์ รวมทั้งการพูดเสียดสี มีพฤติกรรมทำร้ายหรือเย้ยหยันเพื่อนมนุษย์ให้รู้สึกท้อแท้ในชีวิต หรือแม้กระทั่งการทำร้ายจิตใจ ด้วยเหตุนี้เวลาหลังความตายของพวกเขาจึงถูกกำหนดให้มาชดใช้บาปผิดที่นี่อย่างมิอาจเลี่ยง
    ทุก ๆ ส่วนในนรกขุมนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศดำมือและสัตว์นรกอันตราย มนตราร้ายแรงลอยปะปนอยู่ในทุกๆอณูของอากาศกลมกลืนไปกับกลิ่นสาปของเลือด ทำให้วิญญาณนั้นได้รับความทุกข์เป็นเท่าทวีคูณ ...และนั่นคือความลับของนรกขุมนี้
    ผู้คุมนรกเดินไล่เฆี่ยนเหล่าปีศาจไปตามทางเดินอย่างโหดเหี้ยมทารุณ เมื่อไหร่ที่ปีศาจพวกนั้นมีบาดแผลตามเนื้อตัว  มนตราที่รายล้อมพวกเขาก็จะเข้าสู่ร่างกายและทำให้เกิดความผิดปกติต่อร่างอย่างฉับพลัน ภายในร่างของเหล่าปีศาจจะเน่าเละซ้ำแล้วซ้ำเล่า เกิดเป็นความเจ็บปวดทรมานไปถึงสุดขั้วหัวใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุดให้กับผู้ทำบาปทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ นรกขุมนี้จึงเป็นนรกขุมมรณะอีกขุมหนึ่งที่โด่งดังไปทั่วทั้งนรกด้วยความโหดเหี้ยมของวิธีการลงทัณฑ์
    แต่เมื่อลงลึกเข้าไปในขุมนรก ความเจ็บปวดจากมนตราร้ายกาจ กลับไม่เป็นผลต่อผู้ที่อยู่อาศัยเลยแม้แต่น้อยอย่างน่ามหัศจรรย์ ด้วยเพราะที่นั่นเป็นที่อยู่ของผู้ควบคุมการชดใช้บาปผิดในนรกขุมแห่งนี้   คือ พรายน้ำหญิงสาวแก่ที่ทำบุญบารมีสูงส่งเกินกว่าจะกลับชาติไปเกิดใหม่ได้  และหลานชายของเธอ ที่เป็นเพียงครึ่งมนุษย์ครึ่งพรายน้ำเท่านั้น
     ณ ห้องโถงห้องหนึ่งที่มีลักษณะเหมือนถ้ำมืดในส่วนลึกของขุมนรก พรายน้ำหญิงชรานั่งอยู่บนบัลลังก์ที่ทำขึ้นจากดินดำนรกชั้นดี กำลังเล่าอะไรบางอย่างให้กับหลานชายที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ด้านข้างของเธอฟังอย่างเคร่งเครียด...
    “ย่าพูดว่าอะไรนะครับ! “
    ชายหนุ่มร่างบางผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้สีดำที่เคยนั่งอย่างลืมมารยาทที่ควรทำต่อหน้าย่า ใบหน้าหวานสวยที่มีลักษณะออกไปทางมนุษย์     เต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วนทันที เมื่อเขาได้รับฟังถึงสิ่งที่ไม่คาดคิดจากย่าของเขา คิ้วโก่งสวยขมวดเข้าหากันยุ่ง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจางฉายแววไม่เข้าใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
     “ย่าพูดหลายรอบแล้วนะเรน...ไปโลกมนุษย์ซะ” หญิงชราผู้เป็นคู่สนทนาถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายกับการอธิบายเรื่องเดิม ๆ ซ้ำไปซ้ำมาเป็นเวลานาน แต่ถึงเธอจะบ่นอย่างนั้น หลานชายของเธอก็กลับยังทำหน้าไม่เข้าใจเหมือนเดิม...
    ฉันไม่เข้าใจเลย...ฉันไม่เข้าใจในสิ่งที่ย่าต้องการเลยสักนิด! เรนสบถในใจ
    ในขณะนั้นเอง หญิงชราร่ายเวทมนตร์เสกกระเป๋าใบหนึ่งขึ้นมาในมือของเธอด้วยอำนาจมนตรา ก่อนจะยื่นส่งให้หลานชายรับไปถือไว้อย่างมัดมือชก โดยห้ามปฎิเสธที่จะไม่รับสิ่งที่เธอยื่นให้
    “ข้างบนนี้มีอีกภพหนึ่งที่เรียกว่าโลกมนุษย์...พวกเขาพยายามต่อต้านเราด้วยการใช้ บริษัทกำจัดวิญญาณขับไล่ไสส่งพวกวิญญาณที่ยังไม่ถึงเวลาตาย ถึงพวกมันจะเพิ่งตั้งและยังไม่สามารถสร้างผลกระทบอะไรได้มากมายเท่าไหร่ แต่ในอนาคตข้างหน้าการกำจัดวิญญาณของพวกมันจะทำให้ทั้งสามโลกเสียสมดุล ย่าอยากให้เจ้าไปพูดกับเขาให้รู้เรื่องซะ”
    “มันไม่ใช่หน้าที่เรา ที่ต้องไปคุยกับมนุษย์พวกนั้นนะครับย่า!“
    ร่างบางชี้นิ้วเรียวขึ้นไปบนเพดานห้องโถงคล้ายถ้ำ พลางแสดงสีหน้ารังเกียจออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด
    “อีกอย่าง....ดัดนิสัยเจ้าด้วย”
    “ย่า... ย่าก็รู้นี่ครับพวกมนุษย์กระเสาะกระแสะแค่ไหน มันไม่มีความจำเป็นอะไรเลยนะครับ! ยังไงพวกมนุษย์ก็ต้านแรงวิญญาณไม่ไหวอยู่แล้ว กายมนุษย์ของพวกมันอ่อนแอยิ่งกว่าปีศาจที่กำลังถูกเวท ของเราอีก“
    “ย่าพูดแบบนี้แล้วเจ้ายังไม่รู้อีกหรือว่า ตอนนี้พวกมนุษย์เป็นอย่างไร?”
     “...”
     “ย่าว่าจะให้เจ้าไปคุยกับทายาทบริษัทกำจัดวิญญาณที่ดังที่สุดในตอนนี้ คาดว่าเวลานี้เขาคงจะอายุสิบหกสิบเจ็ดปีได้แล้วล่ะมั้ง”
     “สิบหกสิบเจ็ด! ยังไม่ถึงครึ่งอายุของผมเลยด้วยซ้ำ“
     “นั่นไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาจริง ๆ ก็คือ เจ้ามีเวลาเพียงสามวันเท่านั้น...นาฬิกาทรายที่อยู่ในกระเป๋าใบนั้นจะเป็นเครื่องบอกเวลาแก่เจ้า ถ้าเจ้าทำให้พวกมนุษย์ตระหนักถึงเรื่องนี้ไม่ได้ เจ้าก็จะหายไปโดยที่ไม่สามารถกลับมาในโลกใดๆ ได้อีกตลอดไป”
    พูดยังไม่ทันขาดคำ หลานชายของเธอก็ล้วงหยิบนาฬิกาทรายจากในกระเป๋าขึ้นมาดูอย่างชั่ง ใจ
     “นี่นาฬิกาอะไรครับ? แล้วที่บอกว่าผมจะหายไปมันหมายความว่าผมจะตายรึเปล่า? แล้วผมจะไปยังไง ผมไม่รู้ทางที่จะไปโลกมนุษย์..     “เรนพยายามหาข้ออ้างสารพัดที่จะช่วยให้เขาหลุดจากการต้องไปโลกมนุษย์ในครั้งนี้
    “เวทมนตร์ของย่าจะนำพาเจ้าไปสู่บริษัทกำจัดวิญญาณเอง เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง” หญิงชรากล่าวเสร็จก็เริ่มร่ายเวทมนตร์คาถาประหลาด ๆ ที่ชายหนุ่มไม่เคยได้ยินมาก่อน
    ทันใดนั้นก็ปรากฏหลุมดำขนาดใหญ่ตรงหน้าบัลลังก์ของหญิงชราขึ้นโดยทันที
    “ย่ารู้ว่าหลานเข้าใจในสิ่งที่ย่าต้องการ ย่าหวังว่าหลานจะทำหน้าที่นี้ให้สำเร็จเพื่อโลกทั้งสามโลกของเรา การขึ้นไปบนโลกมนุษย์สำหรับพวกเราแค่วันเดียวก็จะสลายหายไป และมีแต่หลานที่เป็นเพียงตนเดียวที่อยู่ได้มากกว่านั้น”
    “เพราะแบบนี้เหรอครับถึงให้ผมขึ้นไปบนนั้น”
    “ย่าอยากให้หลานทำเพื่อพวกเรา”
    “ครับ ผมเข้าใจแล้ว...”
    ชายหนุ่มตัดสินใจก้าวเดินเข้ามาใกล้หลุมดำและมองมันอย่างไม่มั่นใจเท่าไรนัก 
    “อย่าลืมว่าเวลาสำคัญกับเจ้ามากแค่ไหน ทุกสิ่งได้ถูกลิขิตไว้หมดแล้วไม่อาจฝืนมันได้ เจ้าอย่าได้โทษชะตาชีวิตของตนเองที่เป็นแบบนี้...ย่ายังคงรอเจ้ากลับมานะเรน...
    “ครับย่า”
    และด้วยคำขอจากย่าและปัญหาที่กำลังจะตามมาอย่างที่ย่าอธิบาย ชายหนุ่มจึงตัดสินใจไปยังโลกมนุษย์
    เขาก้าวเท้าเดินไปในในหลุมดำด้วยความหวาดหวั่นเล็กน้อย เพียงแค่ปลายเท้าของเขาแตะเข้ากับหลุมดำ ความมืดจากภายในก็ดูดตัวเขาเข้าไปอย่างรวดเร็ว จนชายหนุ่มที่ยังไม่ทันระวังตัวมากนักแทบหงายหลังทันทีด้วยแรงดึงมหาศาลของหลุมดำ
    “โชคดี เรน...”
    หญิงชรากระซิบเบา ๆ กับหลุมดำตรงหน้าที่กำลังจางหายไปพร้อมกับหลานชายของเธอ...ด้วยความรัก และความห่วงใยที่มีต่อหลานชายเพียงตนเดียวของเธอ
     
     
     
    เมื่อเรนโดนดูดเข้ามาในหลุมดำแล้ว ทุกอย่างดูมืดสนิทไปหมด ไม่เห็นแม้กระทั่งมือที่เขายกขึ้นมอง ความคิดพยายามหาทางมองเห็นของเขาทำให้เขาต้องควานหาอะไรสักอย่างในกระเป๋าที่ย่าส่งให้เผื่อจะมีเครื่องมือช่วยเรื่องแสงอยู่บ้าง ภายในกระเป๋ามีแต่ของกระจุกกระจิกเล็กน้อย แต่ในที่สุดเขาก็พบกับกระบอกไฟฉายขนาดพอดีมือที่เพื่อนของย่าเคยแวะโลกมนุษย์ซื้อมาฝาก มือเล็กคว้าไฟฉายมาจับก่อนจะเปิดให้ไฟส่องแสงนำทางเขาไป
    พูดถึงโลกมนุษย์แล้ว... เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องขึ้นไปเหยียบที่นั่น เขาเคยได้ยินคำร่ำลือต่างๆ นานาว่าโลกมนุษย์ทั้งร้อน ทั้งเหม็น ทั้งอบอ้าว  มนุษย์นำพลังงานของธรรมชาติต่าง ๆ นานามาใช้ผลิตอาคาร ผลิตกระแสไฟฟ้า เทคโนโลยี และผลิตสิ่งของต่างๆ ที่เขายังไม่รู้ เขาจำได้ว่าย่าเคยเล่าเรื่องที่ตอนนี้ธรรมชาติบนโลกกำลังย่ำแย่  ถ้าเป็นไปได้เขาก็ไม่อยากมาเหยียบที่โลกมนุษย์ให้ร้อนตายหรอก
    โลกใต้พื้นพิภพ หรือนรกที่ใครๆ ก็เรียกแบบนั้น ไม่มีทั้งความอบอุ่นหรือความหนาวเย็น แต่ละวันแต่ละปีก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากมายนัก ไม่มีฤดู ไม่มีกลางวันกลางคืน ไม่มีท้องฟ้าสีคราม ไม่มีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ หรือดวงดาว เพราะอย่างนั้นวิญญาณในนี้ถึงไม่ได้รู้สึกอะไรมากมายนัก ตั้งแต่ที่เขาอยู่ที่นี่...ในนรกนี้ก็ไม่ได้มีประสาทสัมผัสแบบที่ มนุษย์มี...... ความอบอุ่นในร่างกายแบบมนุษย์ก็ไม่มี ไม่เคยแม้แต่จะรู้สึกด้วยซ้ำ เว้นแต่ตัวเขาที่มีความเป็นมนุษย์อยู่ครึ่งตัว วิญญาณหลาย ๆ ตนเคยบอกว่าเขาจะมีความรู้สึกต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าที่พวกวิญญาณตนอื่นเป็นกัน ในนรกไม่มีอะไรน่าสนใจมากมายนัก อาคารที่ปลูกสร้างใช้จากไม้ดินนรกที่คงทน ขุมนรกหลาย ๆ ที่รวมถึงขุมนรกที่ 999 ของเขา ถูกสร้างขึ้นมาจากดินชั้นดีที่ทนน้ำทนกระทะทองแดงได้อย่างสบาย ๆ เทคโนโลยีต่างๆ ก็ไม่มากมายเหมือนพวกมนุษย์ ที่ไม่มีทั้งพลังและเวทมนตร์แบบพวกเขา... 
    ตัวเรนลอยตามแรงดึงไปได้สักครู่  ก็กลับมีแสงจากไหนไม่อาจรู้ได้ ก็ได้ส่องตรงมายังเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว กล้ามเนื้อม่านตาของชายหนุ่มคลายตัวทันทีด้วยเพราะแสงที่จ้าฉับพลันนี้ อากาศที่ไม่เคยทั้งหนาวทั้งร้อนกลับเย็นวาบขึ้นมาอย่างประหลาด แต่ไม่นานจากความเย็นที่เคยสัมผัสได้ก็ถูกแทนที่ด้วยความร้อนจากแสงแดดที่เขาไม่คุ้นเคย ขนาดเขาหลับตาลงแล้วแต่แสงอันเจิดจ้าก็ยังทำให้เขารู้สึกได้ถึงความร้อนระอุ และเมื่อเขาลืมตาขึ้นมา ชายหนุ่มก็พบกับต้นไม้ใหญ่รอบกาย แต่แม้ต้นไม้จะสูงเท่าไหร่ แต่แสงจากดวงสว่างกลมโต ที่อยู่บนท้องฟ้าก็ยังสาดส่องมาจนรู้สึกได้ถึงความร้อนอยู่ดี
    ความรู้สึกแบบนี้...
     
    ที่นี่แหละ! โลกมนุษย์
    ที่ที่แสนจะร้อนและมีมนุษย์มากมายอาศัยอยู่
    ที่ที่พรายน้ำอย่างเขาจะต้องมาเจรจากับมนุษย์ให้สำเร็จ!
     
     
    โลกมนุษย์...ความร้อน ความอบอุ่นที่ผิวหนังสามารถสัมผัสได้นั้น ช่างแตกต่างจากนรกที่ไม่มีทั้งความอบอุ่นหรือความหนาวเย็นตั้งแต่เกิดมาอย่างสิ้นเชิง
    รอบๆ ตัวของเขาไม่มีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์สักนิด แถวนี้มีแต่อะไรไม่รู้เป็นใบ ๆ เรียว ๆ สีเขียวเป็นพุ่มๆอยู่เต็มไปหมด ย่าของเขาเคยบอกว่าเวทมนตร์ของเธอจะสามารถพาเขามายังบริษัทกำจัดวิญญาณได้เลยทันที หรือว่า......ที่นี่คือบริษัทกำจัดวิญญาณ?
    ในขณะที่เรนกำลังพินิจพิจารณาสิ่งรอบตัวอยู่ น้ำที่กำลังเวียนว่ายอยู่ กลับหมุน ๆ วน ๆ อย่างช้า ๆ อย่างที่เขาแทบไม่รู้สึกตัว ก่อนที่จู่ ๆ ก็หมุนติ้วๆเป็นพายุใต้ดินและดูดเขาลงเข้าไปในน้ำ ไม่เดาก็รู้ว่านี่คงจะมาจากเวทมนตร์ย่าของเขาอย่างแน่นอน  เขาเลยได้แต่ทำตัวนิ่ง ๆ ยอมรับให้เวทมนตร์นั้นพาไปตามอย่างที่มันต้องการ
    หลังจากนั้นไม่นาน ลูกบอลน้ำเวทมนตร์ที่มีเรนบรรจุอยู่ก็ลอยคว้างโผล่ขึ้นมาจากแหล่งน้ำลอยขึ้นไปในอากาศ และพาวิ่งล่องหนไปที่ไหนสักแห่งอย่างรวดเร็ว...
    แต่ละอย่างที่เห็นล้วนแปลกตาไปซะหมดแฮะ น่าสนุกดี~
    ไม่ทันไร.... ลูกบอลน้ำก็พาเรนมาหยุดอยู่หน้าสถานที่แห่งหนึ่ง ก่อนที่ลูกบอลน้ำจะหายตัวไปอย่างกับธาตุอากาศไม่เหลือแม้เพียงหยดน้ำเสมือนกับมันไม่เคยมีมาตั้งแต่แรก
    ตึกที่ตั้งสูงตระหง่านอยู่ตรงหน้า ตึกของกระทรวงต่างๆ ที่มนุษย์คอยตั้งสังกัดควบคุมความเรียบร้อย บริษัทรับจ้าง โรงเรียนสอนกวดวิชาข้างๆกับกระต๊อบหลังเล็ก หรือแม้แต่โรงพยาบาลที่คอยเยียวยาอายุขัยที่แสนสั้นของมนุษย์ พอจะช่วยบดบังแสงสว่างนั้นให้ชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี......
    เสื้อผ้าและเนื้อตัวของเรนไม่เปียกสักนิด  ย่าของเขาคงร่ายเวทมนตร์เผื่อเรื่องนี้มาด้วย แต่น่าแปลกที่เขาแค่ถูกแสงจากดวงกลมโต ที่ลอยอยู่ข้างบนพวกนี้สาดส่องก็ทำให้รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูกแล้ว ไม่แปลกใจเลยที่เขาคงจะอยู่ได้แค่ 3 วัน ไม่อย่างนั้นคงได้สลายเพราะแสงจากดวงกลม ๆ นี้แน่ๆ ...อ๋อ แสงนี้คือแสงดวงอาทิตย์นี่เอง ดวงอาทิตย์คือที่ที่กระจายความร้อนไปทั่ว ถ้าโดนนาน ๆ แล้วอาจสลายไปได้...’ วิญญาณตนหนึ่งเคยบอกกับเรนไว้แบบนั้น และตอนนี้เขาก็ได้เจอเข้ากับของจริงแล้ว! ตื่นเต้นพิกลแฮะ~ (ถึงจะร้อนไปบ้างก็เถอะ...)
    และเมื่อเรนลองมองต่อไปเรื่อยๆก็พบอะไรแปลกๆที่นรกไม่มีมากมาย บนพื้นสีเทาที่มีเส้นสีขาวสีเหลืองขีดๆเป็นระเบียบเรียบร้อย มีเครื่องจักรเครื่องยนต์ที่เขาพอจะรู้จักชื่อและชนิดของมันบ้างนิดหน่อย อย่างพวกรถตู้ รถยนต์ รถกระบะ รถจักรยานยนต์ แล่นสวนทางกันมากมาย พื้นที่ถูกยกสูงให้ผู้คนเดินอย่างขวักไขว่และให้เขายืนมองดูรอบข้างด้วย ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ตัวใหญ่ ตัวเล็ก ตัวบาง ๆ ตัวเว้าโค้งเยอะ ๆ ตัวเหี่ยว ๆ   ทั้งยังมีเสียงตะโกนโหวกเหวกทำให้เขารำคาญ...
    และแล้ว เรนก็เห็น…ป้ายขนาดใหญ่ที่เขียนให้ผู้มาพบเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของมัน
    ‘บริษัท FFG ยินดีที่ได้เห็นประชาชนทุกคนมีความสุข ปลอดภัยจากการถูกผีร้ายรบกวน’
    ให้ตายเถอะ! อย่าบอกนะว่าไอ้คำว่า ‘ผีร้าย’ ที่เขียนน่ะเป็นคำที่มนุษย์ใช้เรียกพวกเรา! มนุษย์นี่แย่ชะมัด นี่ฉันจะต้องไปคุยกับพวกมนุษย์เห็นแก่ตัวพวกนี้ด้วยเหรอ เฮ้อ....... เรนสบถแผ่วเบาพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะคิดตัดสินใจต่อไปว่า
    และงานของฉันก็คือต้องเข้าไปพบกับตัวการของปัญหาทั้งหมดและทำความเข้าใจด้วยเลยซินะ เอาล่ะ! เพื่อสามโลก~~
    เมื่อคิดได้ดังนั้น ชายหนุ่มก็ตัดสินใจที่จะเดินเข้าไปในตรงพื้นสีเทา ๆ มีเส้นสีเขียวสีเหลืองขีด ๆ ไว้โดยไม่วายมองดูเครื่องจักรที่วิ่งไปมาดูน่ากลัวนั่นอย่างลังเล เมื่อเขาเห็นว่ามีช่วงหนึ่งที่เครื่องจักรพวกนั้นหายไป เขาจึงเดินผ่านมันและเข้ามาในตึกบริษัทเป้าหมายสำคัญของเขาได้อย่างปลอดภัย
    “มีอะไรให้รับใช้คะ” ยังไม่ทันที่เรนจะได้มองดูอะไรรอบๆ มากไปกว่านี้ หญิงสาวชาวมนุษย์คนหนึ่งก็เดินปรี่เข้ามาหาอย่างกระตือรือร้น  อืม.... แต่งชุดแปลก ๆ พวกวิญญาณบอกว่าพวกพนักงานจะแต่งตัวแปลก ๆ งั้น...หล่อนคงจะเป็นพนักงานของที่นี่
    แล้วทีนี้เขาจะบอกว่ามาทำอะไรดีล่ะ?
    “ผมมาหาไอ้มนุษย์...เอ่อ ลูกชายเจ้าของบริษัท”
    เรนกระชับกระเป๋าในมือและตอบคำถามไปอย่างส่งๆ หล่อนมองเข้ามาในดวงตาเขาอย่างสงสัยและเริ่มจับผิด
    “ไม่ทราบว่านัดไว้ล่วงหน้ารึเปล่าค่ะ”
    “ผมเป็นเพื่อนกับเขา… ปะ เป็นเพื่อนสนิทมากด้วย”
    “...”
    “พาผมไปพบลูกชายเจ้าของบริษัทหน่อย”
    “ดิฉันไม่มีทางลืมหน้าเพื่อนสนิทของเจ้านายหรอกค่ะคุณ” พนักงานสาวพูดกระแหนะกระแหน พลางปรายตามองชายหนุ่มที่คุยด้วยราวกับกำลังจะจับผิดก็ไม่ปาน
    มนุษย์นี่เหลือเกินจริงๆ จ้องจับผิดกันอยู่ได้ ! เรนเริ่มคิดในใจขึ้นมาอย่างหัวเสีย เมื่อได้ยินคำพูดและท่าทางของพนักงานสาวตรงหน้าเข้าอย่างนั้น
    ยังไม่ทันที่เรนจะตอบโต้อะไร จู่ ๆ เขาก็เกิดรู้สึกร้อนทรมานขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ทั้งความรู้สึกกระหายน้ำ หรือผิวที่ต้องการสัมผัสน้ำ มากกว่าการสัมผัสแสงแดดพวกนี้...
    “คุณเป็นอะไรคะ? หน้าซีดเชียว”
    “งั้น... อย่างน้อย ผมก็ขอเข้าไปข้างใน ๆ กว่านี้ก่อนได้มั้ย ผม...แพ้แดดน่ะ"
    เรนพูดพลางสะบัดหน้าไปมาเหมือนกำลังรู้สึกทรมาน ที่นี่เป็นห้องสีขาว ๆ แถมแดดยังส่องเข้ามาจากผนังสีใสๆ ระ รู้สึกไม่ดียังไงไม่รู้...ในโถงที่เขาเข้ามานี้มีแต่โต๊ะยาว ๆ สูง ๆ ที่ข้างในมีพนักงานที่แต่งชุดเหมือนผู้หญิงที่กำลังคุยกับเขายืนอยู่สองคนและมองหน้าเขาเหมือนเป็นตัวประหลาด ยิ่งทำให้ชายหนุ่มรู้สึกไม่ดีเข้าไปใหญ่
    “เอ่อ แต่ว่าคุณไม่น่าไว้...”
    “นี่ คุณคิดว่าอย่างผมจะไปทำอะไรได้ล่ะฮะ ขอผมเข้าไปหน่อย ผมไม่ไหวแล้ว”
    ไม่รู้เพราะหน้าตาของเรนได้บ่งบอกว่าไม่ไหวจริงๆ หรือเพราะพนักงานสาวคนนี้รำคาญเขากันแน่ก็ไม่รู้ จึงทำให้หล่อนพยักหน้าและเดินนำหน้าพาเข้ามาอีกห้องลึกเข้ามาในตัวอาคารที่พอพ้นแดด ก่อนจะทิ้งเขาไว้กับเก้าอี้แถวยาวที่มีมนุษย์นั่งกันเต็มไปหมด  เขาก็ได้แต่นั่งลงข้างๆ ชายชราชาวมนุษย์ดูท่าทางมีฐานะกำลังนั่งขมวดคิ้วเป็นปมอย่างกังวล
    เรนปรายตาหันไปมองชายชราคนที่ว่า แล้วกะว่าจะไม่คุยอะไรกับมนุษย์พวกนี้อีกแล้ว แต่.....ด้วยความจู่ ๆ ก็อยากรู้กับไหน ๆ ก็มาถึงที่นี่แล้ว ยังไงเขาก็คงต้องถาม และหาข้อมูลอะไรสักหน่อยแล้วล่ะ
    “ขอโทษนะครับ คุณ เอ่อ คุณมาที่นี่ทำไมครับ”
    “ก็มาหาคนกำจัดผีให้น่ะสิ” เขาหยิบกระดาษทิชชูจากกระเป๋าเสื้อขึ้นมาเช็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาตามศีรษะ สีหน้าของเขาได้แสดงถึงความกังวลออกมาด้วยอย่างเห็นได้ชัด
    “มันมีเรื่องอะไรเหรอครับคุณลุง ถึงกับต้องให้มนุษย์คนอื่นมาช่วยกำจัดผีน่ะ”
    “ก็ที่บ้านฉันมีวิญญาณผู้หญิงน่ะสิ! ทุกๆ วันหลังอาทิตย์ตก หล่อนจะออกมาเดินไปเดินมา จนคนใช้ที่บ้านฉันอยู่ไม่ได้และพากันลาออกไปหมด ฉันถึงต้องมายื่นเรื่องขอร้องกับบริษัทนี้ เพราะได้ยินเรื่องชื่อเสียงมานักต่อนักเรื่องการกำจัดผีร้าย...“
    “แล้วผู้หญิงคนนั้น....วิญญาณตนนั้นได้ทำร้ายอะไรใครรึเปล่าครับ”
    “ปละ.. เปล่า..”
    “เขาเคยทำอะไรให้ลุงเดือดร้อนจนถึงกับชีวิตรึเปล่าครับ”
    “มะ ไม่...”
    “แล้วพูดออกมาได้ไงน่ะว่าวิญญาณตนนั้นเป็นผีร้าย!! พวกคุณเข้าใจความรู้สึกของวิญญาณที่ถูกตราหน้าว่าเป็นผีร้ายทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยมั้ย พวกคุณเคยคิดมั้ยว่าทำไมวิญญาณพวกนั้นถึงวนเวียนไม่ได้ไปผุดไปเกิด แล้วพวกคุณคิดมั้ยว่าวิญญาณก็เหมือนกับพวกคุณน่ะ!! “ เรนลุกขึ้นยืนตวาดใส่มนุษย์ตรงหน้าอย่างเหลืออด โดยที่เขาไม่สนใจว่าตอนนี้ร่างกายตัวเองจะดีขึ้นหรือไม่ดีขึ้นอย่างไร เขาอาจจะตะโกนเสียงดังเกินไปจนคนรอบข้างหันมามอง... แต่เขาไม่สน! พวกมนุษย์เห็นแก่ตัว เขาจะทำให้พวกนี้มันรู้สึกบ้างว่ามันทำอะไรลงไป!
    “ผมมาหามนุษย์ที่เป็นทายาทของบริษัทนี้! หมอนั่นอยู่ที่ไหน!“เรนเริ่มตวาดออกไปอย่างเหลืออด แม้ปกติวิญญาณอย่างเขาจะไม่ค่อยหาเรื่องใครนักก็ตาม  แต่ว่าเรื่องนี้เขายอมไม่ได้จริงๆ ไม่นึกว่ามนุษย์จะทำให้รู้สึกน่าโมโหได้ขนาดนี้ ! 
    เรนกวาดตามองผู้คนรอบข้างที่มองมาอย่างไม่เป็นมิตร คนที่ถูกเขามองสะดุ้งเฮือกทันทีที่เขามองตา...
    เขาเกลียด...เกลียดคนพวกนี้เหลือเกิน...
    “อะ..เอ่อ...คุณคะ...อย่าทำแบบนี้เลยค่ะ”
    ในขณะที่เรนกำลังแสดงความโกรธเคืองและไม่เป็นมิตรกับใครใด ๆ ทั้งสิ้นอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีพนักงานสาวคนหนึ่งเดินมาอย่างช้า ๆ ทีละก้าวๆมาหาเขาด้วยสีหน้าหวาดกลัว เขาไม่รู้ว่าเธอกำลังจะทำอะไร  แต่ถ้าเธอคิดจะเข้าใกล้เขามากกว่านี้ เขาจะ... 
    “อะแฮ่ม...” เสียงกระแอมไอดังขึ้นจากข้างหลังของเรนอย่างกะทันหัน ทำเอาเขาสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะสบถในใจว่า
    คะ...ใครวะ!!!
    “คุณโคลว” หญิงสาวผู้เป็นพนักงานเอ่ยขึ้นอย่างดีใจด้วยแววตาเป็นประกายวิบวับ ...คำพูดที่ออกมาจากพนักงานคนนั้น ทำให้เรนรู้ได้ทันทีว่าคนข้างหลังเขาคงจะชื่อโคลวซินะ...
    เรนหันหลังขวับไปเพื่อเผชิญหน้ากับมนุษย์ที่ชื่อโคลว จากคำที่พนักงานสาวคนนั้นเรียกเมื่อสักครู่ทันที 
    ...ถ้าไอ้มนุษย์ที่อยู่ข้างหลังเขาเป็นคนที่เขาต้องคุยด้วยก็คงดี
    “นายเป็นใคร?” ชายหนุ่มที่มีรูปร่างสูงใหญ่กว่าเรน นามว่าโคลว และมีผมสีดำสนิทยาวระต้นคอลงมาเล็กน้อย เอ่ยถามพลางขมวดคิ้วมุ่น และใช้ดวงตาเรียวจ้องมองเรนอย่างสงสัย
    “ฉะ ฉัน...มีธุระที่จะคุยด้วย” เรนเงยหน้าขึ้นไปตอบคนที่สูงกว่าตัวเองเล็กน้อย ด้วยน้ำเสียงที่เริ่มติดขัดอยู่บ้าง
    “บอกล่วงหน้าไว้แล้วรึยังน่ะ? ”โคลวเลิกคิ้วถามอย่างกวนๆพร้อมกับทำเสียงสูง
    “ยัง”
    หลังจากที่เรนตอบสั้น ๆ กับชายโคลวไปแล้ว ก็ดูเหมือนจะทำให้โคลวเงียบไปและเริ่มมองเรนตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะทำสายตาเหมือนชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นตัวประหลาดยังไงอย่างงั้น
    “นายน่ะ...ไม่ใช่คนนี่”
    “...!?!”
    “นี่นาย....”
    แย่แล้ว ตอนนี้เรนกำลังตกใจ เพราะคาดไม่ถึงว่าโคลวรู้ได้ยังไงว่าเขาไม่ใช่มนุษย์ !
    และเมื่อเวลาที่เรนตกใจมาก ๆ ขึ้นมาทีไร ร่างกายพรายน้ำของเขาก็จะใช้น้ำในร่างกายไปจนหมด... และมันก็จะทำให้เขาหมดสติได้
    ตอนนี้... พรายน้ำหนุ่มกำลังขาดน้ำ !
    ร่างของเรนทรุดนั่งลงกับพื้น ราวกับทุกอย่างจะดับมืดไปหมดทันที  แต่ทว่า...ยังไม่ทันที่เขารู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังจะหมดสติ ก็ได้ยินคำพูดหนึ่งดังเข้าสู่โสตประสาทเป็นสิ่งสุดท้ายเข้าซะก่อน
    “เอาไอ้ผีพรายตัวนี้ไปขังไว้...อย่าลืมให้น้ำด้วยล่ะ...”
     
     
     

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×