ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แย่แล้ว .. เผลอหลงรักคุณดาวเสาร์ (Yuri) - End

    ลำดับตอนที่ #7 : ความหมายของแหม่มโพธิ์แดง | Re-write

    • อัปเดตล่าสุด 25 มิ.ย. 62




              คืนนี้ฝนตกหนักกว่าทุกครั้ง ถึงแม้สายฝนจะไม่แรงเหมือนช่วงแรก หากแต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดสนิท ถ้าเป็นแบบนี้ คงอีกนานเลยกว่าไฟจะมา 
    หมอนั่งขัดสมาธิเล่นเกมส์อยู่ข้างฉัน ท่าทีผ่อนคลาย ไม่ทุกข์ไม่ร้อนแบบนั้น ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกเซ็งปนหมั่นไส้ ฉันนั่งเล่นจนหัวใจหมดเกลี้ยงแล้ว คะแนนก็ยังไปไม่ถึงหมอสักที ไม่เฉียด ไม่ติดฝุ่นเลยด้วยซ้ำ
    ปัญหาก็คือตอนนี้หัวใจฉันหมดแล้ว ต้องรออีกตั้งสิบนาทีกว่าจะได้ดวงใหม่ 
    ฉันแอบลอบมองคนข้างตัว ดูเหมือนหมอไม่ได้เล่นเกมส์แล้ว เจ้าตัวกำลังนั่งอ่านอะไรสักอย่างในโทรศัพท์ ขอแบ่งหัวใจสักดวงสองดวง หมอคงไม่ขี้เหนียวหรอก 
    “ทำอะไรอยู่เหรอ” 
    มันต้องมีชั้นเชิงกันหน่อย จะให้ขอโพล่งออกไปเลยได้ยังไง หมอก็รู้หมดว่าคะแนนฉันยังไปไม่ถึงไหน 

    “อ่านพวกตัวอย่างเคสผ่าตัดน่ะ”
    พี่หมอตอบกลับมา คิ้วขมวดเป็นปมเล็กน้อย เวลาพักผ่อนแท้แท้ยังต้องอ่านอะไรพวกนี้อีกเหรอ 
    “เลิกงานแล้วยังต้องอ่านอีกเหรอ”
    “ก็ศึกษาไว้เผื่อเจอคนไข้ฉุกเฉินอาการคล้ายกัน จะได้รู้แนวทางรักษาไง” 

    ฉันชะโงกเข้าไปดูใกล้ๆ แล้วก็ต้องรีบเบือนหน้าหนี พวกตัวหนังสือภาษาอังกฤษคงไม่เท่าไหร่ แต่บรรดาภาพอวัยวะสีแดงสดทั้งหลายที่ชัดเจนระดับHD ทำเอารู้สึกพะอืดพะอมขึ้นมาทันที 
    พี่หมอเห็นฉันเบะหน้าก็หัวเราะออกมา
    “กลัวแล้วจะชะโงกหน้ามาดูทำไม” 
    “ก็อยากรู้เฉยๆว่ามันเป็นแบบไหน” 

    เอาล่ะ เข้าเรื่องพอเป็นพิธีไม่ให้น่าเกลียดแล้ว ตรงประเด็นไปเลยแล้วกัน ดวงตาคมดุยังคงเพ่งมองอวัยวะอะไรสักอย่างบนหน้าจอ เห็นขยายเข้าขยายออกมาสักพักแล้ว
    “พี่หมอคะ”
    “คะ” 
    รู้สึกเหมือนข้างในสั่นเล็กน้อยหลังจากได้ยินพี่หมอขานรับเสียงสูง ฉันไม่ได้เขินเพราะแค่พี่หมอพูดว่าคะใช่ไหม  

    “พอดีหัวใจหมด พี่หมอส่งให้หนูหน่อยได้ไหม”
    “แล้วทำไมพี่ต้องส่งให้ด้วย”
    “ก็พี่หมอน่าจะมีเหลือเยอะ”
    พี่หมอยกยิ้มขึ้น เป็นรอยยิ้มแบบที่ชอบทำเวลาอยากจะแกล้งอะไรฉันสักอย่าง เห็นไหม ฉันเริ่มรู้ทันหมอแล้วนะ 

    เจ้าตัวกดอะไรสักอย่างสองสามที แล้วก็ปิดหน้าจอเก็บโทรศัพท์วางข้างตัว ลักษณะแบบนี้ .. ดูท่าจะอด 
    “น้องเอยเลิกเล่นได้แล้ว ฝนยังไม่หยุดตก แถมไฟก็ยังไม่มาเลย .. เดี๋ยวแบตหมดนะ”
    หมอพูดจามีเหตุผลอีกแล้ว ไม่รู้ว่าหมอคิดแบบนั้นจริงๆ หรือขี้งกไม่อยากแบ่งหัวใจให้ฉันกันแน่

    “ไม่หมดหรอก หนูมีแบตสำรอง พี่หมอส่งมาให้หน่อยไม่ได้เหรอ”
    “ไม่ให้ ให้ไปแล้วน้องเอยก็เอาแต่เล่น ไม่ยอมสนใจพี่”
    “ทีพี่หมอยังนั่งดูตับดูม้ามอะไรนั่นไม่สนใจหนูเหมือนกันแหละ” 
    “ก็นี่ไง พี่เก็บแล้ว”
    “ขี้งก” 

    พี่หมอหัวเราะลั่น ขยับทั้งตัวหันมาทางฉัน ข้อศอกข้างขวาตั้งชันขึ้นพิงโซฟาข้างบนไว้เป็นฐาน ก่อนจะเอนหัวตัวเองพิงมือที่ตั้งฉากขึ้นมา 
    “ไม่ได้งก แต่อยากนั่งคุยด้วย”
    ฉันเลียนเสียงพี่หมอซ้ำอีกครั้งก่อนจะเบะปากใส่ แทนที่คนโดนล้อจะว่ากลับ เจ้าตัวยังหัวเราะร่วนแล้วยิ้มมองฉัน 

    ถ้าหมอทำถึงขนาดนี้แล้ว ฉันก็คงต้องเก็บไหมล่ะ 
    ฉันตัดสินใจเก็บโทรศัพท์ จริงอย่างที่หมอบอก ถ้าแม่เกิดโทรเข้ามาแล้วไม่ติด แม่คงเป็นห่วงมากกว่าเดิม ฉันหันตัวเองมาทางหมอ หมอนอิงที่ว่างอยู่ถูกหยิบขึ้นมากอดไว้ หมอยังคงนั่งอมยิ้มมองฉันอยู่ และฉันไม่ชอบเลย 
    ไม่ใช่ว่ามันไม่ดี แต่มันดีมาก ฉันหยุดจินตนาการไม่ได้แล้วว่าถ้าหมอเป็นผู้ชาย ฉันจะคลั่งขนาดไหน เสียงเม็ดฝนที่กระทบหลังคาช่วยให้ฉันไม่อึดอัดเท่าไหร่นัก ที่ต้องมานั่งจ้องหน้าหมอท่ามกลางแสงไฟสลัวแบบนี้

    “แล้วจะทำอะไรล่ะ ถ้าไม่เล่นโทรศัพท์”
    “น้องเอยมีอะไรอยากเล่าให้พี่ฟังไหม”
    “เล่าอะไรล่ะ”
    “อะไรก็ได้ พี่ฟังได้หมดแหละ” 

    หมอยังคงเอียงคอ ยิ้มน้อยน้อยมองมาทางฉัน ทุกครั้งที่หมอคุยกับคนอายุน้อยกว่า หมอมองทุกคนแบบนี้หรือเปล่า ว่าแต่ .. จะให้เล่าอะไรเหรอ ชีวิตฉันไม่เห็นจะมีเรื่องอะไรน่าสนใจเลย เรื่องหมอสิ น่าสนใจกว่าเยอะ ดูลึกลับซับซ้อนชอบกล
    ฉันมองบรรยากาศรอบตัว แสงไฟจากเทียนนับสิบรอบตัวเริ่มหรี่ลงเล็กน้อยแล้ว บรรยากาศแบบนี้ อารมณ์แบบนี้ ฉันเล่าเรื่องผีให้หมอฟังดีไหมนะ ถ้าหมอนั่งดูตับคนได้ชิลๆแบบนั้น เรื่องผีเรื่องสยองขวัญคงธรรมดามากสำหรับหมอ
    พี่พนักงานเคยเล่าเรื่องหนึ่งในหมู่บ้านให้ฉันฟัง หลอนชนิดที่ว่าฉันต้องหลบไปนอนห้องแม่อยู่เกือบอาทิตย์ กว่าจะกล้ากลับมานอนห้องตัวเอง 

    “พี่หมอชอบฟังเรื่องผีไหม” 
    จากที่พิงหัวอยู่ หมอขยับตัวนั่งตรง จากที่ยิ้มกว้างก่อนหน้านี้ก็ดูเหมือนหุบลงเล็กน้อย 

    “เฉยๆนะ”
    กะไว้แล้วว่าพี่หมอคงชินชากับเรื่องแบบนี้ ฉันขยับตัวเข้าไปใกล้หมอมากขึ้น เรื่องแบบนี้ใครเขาเล่าเสียงดังกันล่ะ มันต้องสร้างบรรยากาศกันหน่อย 

    “สมัยก่อน เคยมีนักท่องเที่ยวผู้หญิงขึ้นมาพักในหมู่บ้าน แต่ไม่ใช่รีสอร์ทเรานะ อยู่ได้แค่สองวัน วันที่สามเขาก็ผูกคอตาย ห้อยอยู่กลางห้องเลย แล้วทีนี้..”
    “น้องเอย พี่ว่าเราคุยเรื่องอื่นกันดีไหม” 
    “ทำไมล่ะพี่หมอ เรื่องนี้แหละโคตรหลอน ยังไม่ถึงท่อนพีคเลย ฟังต่อ อย่าเพิ่งขัดสิ .. พอหลังจากนั้น ห้องก็ถูกปิดไว้เกือบเดือนถึงจะค่อยเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปพักได้ ความพีคมันอยู่ตรงนี้พี่หมอ ..”
    “น้องเอย พอเถอะ พี่พอเดาออกแล้วล่ะ เราเปลี่ยนเรื่องคุยกันดีกว่าเนอะ”
    อะไรของหมอเนี่ย ทำไมถึงอยากให้เปลี่ยนเรื่องนัก ฉันนั่งพิจารณาท่าทางหมอ สีหน้าที่ดูเหมือนฝืนยิ้ม แถมสายตาก็ลอกแลกมองรอบตัวไปมา ขณะที่ฉันกำลังประมวลผลอาการของหมอ เสียงฟ้าด้านนอกก็ร้องลั่นขึ้นมาจนพี่หมอสะดุ้งตัวโยน แถมร้องตกใจเสียดังลั่น
    หมออย่าบอกนะ .. 

    “พี่หมอกลัวผีเหรอ” 
    “เปล่า” 
    เปล่าบ้าอะไร ขนาดตอบแค่เปล่า เสียงยังสั่นเลย แล้วดูสิเอาแต่ก้มมองที่โซฟา สองมือที่วางอยู่ก็ประสานเข้าด้วยกัน ดูเหมือนจะสั่นน้อยๆด้วย
    “ถ้าอย่างนั้นหนูเล่าต่อนะ”
    “เราคุยเรื่องอื่นกันไม่ได้จริงๆเหรอ” 
    คำขอร้องของพี่หมอทำเอาฉันหัวเราะพรืดออกมาทันที น้ำเสียงที่เหมือนคนกำลังจะร้องไห้ พี่หมอคนเท่ของฉันหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ที่นั่งอยู่ตรงหน้าฉัน เหมือนเด็กตัวเล็กๆคนหนึ่งที่เริ่มหน้าซีดแล้ว 

    “น้องเอยหัวเราะพี่ทำไม”
    ฉันไม่สามารถหยุดหัวเราะได้เลย คิดว่าตัวเองกลัวหัวหดแล้ว แต่ฉันก็ยังฟังได้ ถึงจะเก็บมาหลอนเองทีหลังก็เถอะ แต่พี่หมอดูเหมือนข้ามชั้นขึ้นไปอีกหลายขั้นเลย แค่เกริ่นนำ .. เจ้าตัวก็ไม่สามารถทนฟังได้แล้ว 

    “หยุดเลยนะ อย่าหัวเราะสิ”
    “พี่หมอกลัวผีแล้วพี่หมอผ่าคนจริงๆได้ยังไงอ่ะ”
    “มันคนละเรื่องกันเลยน้องเอย คนไข้เขายังมีชีวิตอยู่นะ”
    “แต่มันก็ขัดๆอยู่ดีไหม”  
    “ไม่รู้ล่ะ พี่ไม่ให้เล่านะ ห้ามเลย แล้วก็หยุดหัวเราะได้แล้ว” 
    ฉันพยายามฝืนตัวเองให้หยุดหัวเราะ ทีนี้ฉันก็มีอาวุธไว้สู้กับหมอแล้ว ขืนหมอแกล้งฉันอีกทีล่ะก็ ฉันจะเล่าออกมารวดเดียวจบ เอาให้หลอน นอนไม่หลับกันไปข้างหนึ่งเลย 
    พี่หมอเองก็หัวเราะออกมาเหมือนกัน คงพยายามนิ่งอยู่นานแล้ว แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว
    เป็นอีกมุมแล้วสิที่ฉันได้รู้จักหมอ ตัวตนที่แท้จริงของหมอเป็นคนยังไงกันแน่นะ 

    เรื่องผีก็ไม่ได้เล่า แล้วทีนี้จะทำอะไรต่อล่ะ ฉันนั่งคิดไปมา ไม่อยากให้เราเงียบกันอยู่แบบนี้ 
    จริงสิ 
    ฉันยังสงสัยอยู่เลยว่าทำไมหมอไม่ยอมเรียนต่อ ไหนจะเฟซบุ๊กหมอที่ทุกวันนี้ฉันก็ยังหาไม่เจอ .. ถามออกไปดีไหมนะ 

    หมอกำลังนั่งมองสายฝนที่ตกกระทบหน้าต่างด้านนอก 
    แล้วมันสมองอันชาญฉลาดของฉันก็ปิ๊งไอเดียแสนบรรเจิดขึ้นมาได้ ฉันลุกขึ้นเดินโขยกเขยกไปที่ตู้กระจกข้างโทรทัศน์ คว้าของเล่นบางอย่างที่แม่ชอบเอาออกมาเล่นกับพวกพนักงาน 
    สำรับไพ่ .. 
    แม่ให้เหตุผลว่า มันช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับพนักงานได้ แต่ฉันว่าแม่ใช้มันเป็นข้ออ้างเล่นไพ่เสียมากกว่า 

    พี่หมอเห็นฉันกระโดกกระเดกลงมานั่งตามเดิมพร้อมสำรับไพ่ในมือก็มองด้วยท่าทางสงสัย 


    “น้องเอยจะเล่นไพ่เหรอ”
    ฉันยิ้มหวานส่งกลับไป มันคือรอยยิ้มอาบยาพิษ ท่าทางลอกแลกตอนฟังเรื่องผีทำให้ฉันคิดได้ว่า ที่ผ่านมาฉันอาจจะประเมินพี่หมอสูงไปหน่อย ถึงฉันจะเล่นเกมส์ไม่เก่งเท่า แต่ฉันว่าตอนนี้ ฉันถือไพ่เหนือกว่านะ  

    “ไพ่มีสองสี มีตัวเลขแล้วก็ตัวหนังสือใช่ไหมคะ” 
    ฉันอธิบายพลางสับไพ่ในมืออย่างคล่องแคล่ว 

    “เราจะผลัดกันหยิบคนละใบ ถ้าเป็นสีแดง พี่หมอสามารถถามคำถามอะไรก็ได้กับหนู ส่วนถ้าเป็นสีดำ หนูจะถามอะไรพี่หมอก็ได้” 
    พี่หมอพยักหน้าฟังตามสิ่งที่ฉันอธิบาย เจ้าตัวดูท่าทางสนใจขึ้นมาทันที คิดแล้วก็ขำ ก่อนหน้านี้ยังหน้าซีดกลัวผีอยู่เลย 

    “มีข้อแม้ว่าถ้าจับได้ตัวเลข คนตอบมีสิทธิ์จะตอบหรือไม่ตอบก็ได้ แต่ถ้าจับได้ตัวหนังสือก็ต้องตอบทุกคำถาม .. เคลียร์ปะ” 
    “เคยเล่นเกมส์นี้กับใครไหม” 
    เคยที่ไหนล่ะ ก็เพิ่งคิดได้เมื่อห้านาทีที่แล้ว

    “หนูเล่นกับเพื่อนบ่อยจะตาย กับมะนาวหนูก็เคยเล่นนะ” 
    อย่างมะนาวน่ะเหรอ ไม่ต้องถึงขั้นใช้ไพ่หรอก เผลอๆถามคำถามเดียว มะนาวก็ตอบเผื่อคำถามอื่นให้เรียบร้อยแล้ว 

    “เอาเลยนะ หนูให้พี่หมอจับก่อน”
    พี่หมอคลี่ยิ้มบาง เอื้อมมือหยิบไพ่ใบแรกจากสำรับ ใจฉันเริ่มเต้นรัว ลุ้นขอให้เป็นสีดำทีเถอะ 

    “ถ้าแบบนี้คือพี่เป็นคนถามใช่ไหม”
    ชัดขนาดนั้น หมอยังกล้าถามออกมาอีกเนอะ .. เลขสองแถมสีแดงฉานขนาดนั้น 

    “ใช่ค่ะ พี่หมอถามมาได้เลย” 
    ไม่เป็นไร นี่มันแค่ใบแรก อดใจไว้ ใบที่สองหมอเสร็จฉันแน่ 

    “อืมม .. ถามอะไรดีน้า” 
    ฉันเท้าคางรอหมอคิดคำถาม ใจไม่ได้คิดถึงเวลาที่ตัวเองต้องเป็นคนตอบเลย ในหัวตอนนี้ฉันมีคำถามประมาณสิบข้อได้ที่อยากถามหมอ 
    “น้องเอยชอบสีอะไรเหรอ”
    หะ ถามอะไรเนี่ย ง่ายชะมัด
    “ชอบสีฟ้าค่ะ”
    “ชอบสีเดียวกันเลย” 
    หมอยิ้มกว้างดีใจแค่กับเรื่องที่ว่าเราชอบสีฟ้าเหมือนกัน ลึกๆแล้วฉันก็แอบรู้สึกดีเหมือนกันนะ 

    ฉันเริ่มเป็นคนหยิบไพ่บ้าง คราวนี้ล่ะ พี่หมอเสร็จแน่แน่ 

      เจ็ดข้าวหลามตัด 

    “พี่ต้องถามอีกแล้วเหรอ” พี่หมอถามเสียงกลั้วหัวเราะออกมา ส่วนฉันก็ชักจะเริ่มหน้าหงิกแล้ว ถ้าใบที่สามยังเป็นสีแดงอีก ฉันเลิกเล่นจริงๆด้วย 
    “ก็แหงสิ สีแดงขนาดนี้ อยากถามอะไรก็ถามมาเลย”
    “อืมม ..น้องเอยมีแฟนมาแล้วกี่คน”
    ฉันเผลออ้าปากค้างกับคำถามหมอ เจ้าตัวเอาแขนพาดบนโซฟา ยังคงยิ้มกว้างมองมาทางฉัน 

    “ยังไม่เคยมีค่ะ” หรือว่าหมอจะลืมว่าฉันอายุแค่ 17 จะให้เคยมีกี่คนกันเชียวล่ะ 
    “พี่ก็คิดอยู่เหมือนกันว่าน้องเอยน่าจะยังไม่เคยมีแฟน .. ดีแล้ว” 
    คำว่าดีแล้วของหมอกับสายตาของหมอ มันคือท่าทางของผู้ใหญ่ที่ไม่อยากให้ลูกหลานรีบร้อนมีความรัก ใช่ มันต้องเป็นแบบนั้นล่ะ 
    พี่หมอเอื้อมไปหยิบไพ่ใบต่อไป ชักใจไม่ดีแล้วสิ ถ้าเกิดเป็นสีแดงอีกครั้ง คราวนี้พี่หมอจะถามอะไรอีก 

    เก้าโพธิ์ดำ เสร็จฉันล่ะหมอ
    “แล้วพี่หมอล่ะ มีแฟนมาแล้วกี่คน” ฉันใช้คำถามเดิมกับที่หมอเพิ่งถามฉันไป ซึ่งมันไม่ได้อยู่ในลิสต์คำถามที่เตรียมไว้ตอนแรกเลยสักนิด แต่เพราะหมอถามฉันแบบนั้นก่อน ฉันเลยอยากเอาคืนบ้าง
    “คนเดียว” 
    พี่หมอตอบสวนกลับมาแทบจะทันที ฉันไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ทั้งที่ตาถัดไปฉันจะได้เป็นคนจับไพ่ แต่มือฉันกลับนิ่งค้างอยู่ที่เดิม  ถึงแม้กรอบหน้าจะยังมีรอยยิ้มประดับอยู่ แต่แววตากลับดูวูบไหวชอบกล นี่ฉันถามอะไรที่ไม่ควรถามอีกแล้วใช่ไหม
    ถ้าผู้ชายคนนี้เป็นแฟนคนแรกและคนเดียวของหมอที่เคยมี มันจะเจ็บปวดขนาดไหนกัน 

    ฉันเลือกที่จะไม่พูดอะไร หยิบไพ่ใบใหม่ขึ้นมา ภาวนาให้มันเป็นสีแดง ฉันไม่อยากถามอะไรพี่หมอแล้ว ไม่อยากเป็นต้นเหตุทำให้พี่หมอต้องเศร้าอีกครั้ง 
    ดูเหมือนคำภาวนาของฉันจะเป็นจริงด้วยสิ   .. สิบโพธิ์แดง 

    ฉันช้อนตาขึ้นมองหมอที่นิ่งไปเหมือนคิดอะไรบางอย่าง 
    “น้องเอยคิดถึงคุณพ่อไหม”
    “คะ”
    ไม่คิดเลยสักนิดว่าหมอจะถามคำถามนี้ ทำไมหมอถึงถามออกมาล่ะ ตอนนั้นที่พี่หมอมาเที่ยวกับที่บ้าน พี่หมอได้เจอพ่อฉันด้วยเหรอ 

    “พี่หมอเคยเจอพ่อหนูด้วยเหรอ”
    “เคยสิ คุณพ่อน้องเอยน่ารักมากเลยนะ อุ้มน้องเอยตลอดเลย”
    ความทรงจำของฉันที่มีต่อพ่อเลือนรางเหลือเกิน ตอนนั้นฉันเพิ่งจะสองขวบเอง ยังเด็กเกินกว่าจะจดจำอะไรได้ แต่ทุกครั้งที่ใครเล่าเรื่องพ่อให้ฟัง ความอบอุ่นบางอย่างก่อตัวขึ้นในหัวใจฉันเสมอ มันเป็นอย่างเดียวที่ฉันสัมผัสได้ 
    “คิดถึงค่ะ คิดถึงมาก” 
    พี่หมอยิ้มตอบรับคำตอบของฉัน มือหนายกขึ้นเขย่าหัวฉันเล่นอีกแล้ว หรือฉันควรบอกหมอไปตรงๆว่า อย่าทำแบบนี้ .. มันหวั่นไหวนะหมอ เผื่อหมอไม่รู้ 

    แววตาวูบไหวของพี่หมอกลับมาเป็นปกติแล้ว ฉันหยิบไพ่ใบถัดไปขึ้นมา  .. คิงดอกจิก 
    ฉันเผลอดีใจร้องลั่น ตบมือแปะแปะ จนพี่หมอหัวเราะร่วนออกมา 
    “ดีใจขนาดนั้นเลย พี่ชักกลัวแล้วนะ” 
    ฉันหัวเราะลั่นอย่างผู้มีชัย ตัดเรื่องที่ว่าทำไมถึงไม่เรียนต่อไปก่อนดีกว่า เพราะถ้าฉันได้เฟซบุ๊กหมอมา ไม่แน่ว่าคำตอบทุกอย่างอาจจะอยู่ในนั้นแล้วก็ได้ ฉลาดหลายเรื่องเหมือนกันนะฉัน 
    “พี่หมอเล่นเฟซบุ๊กไหม”
    “เล่นสิ”
    “ถ้างั้นขอชื่อเฟซบุ๊กหน่อย” 
    “ถามได้แค่คำถามเดียวไม่ใช่เหรอ” 
    คราวนี้เป็นพี่หมอที่หัวเราะลั่นอย่างผู้มีชัยบ้าง ส่วนฉันก็กำเจ้าไพ่คิงบ้าบอในมือแน่น ฉันเสียโอกาสทองที่ไม่รู้จะจับได้อีกเมื่อไหร่หลุดมือไปด้วยคำถามงี่เง่าที่ไม่ได้เงาะมะเขืออะไรเลย 
    ฉันไม่รอช้า ควักไพ่ใบใหม่พลิกขึ้นดูทันที ไม่สนใจแล้วว่าตาใครเป็นคนจับไพ่ แล้วไพ่ก็ไม่เข้าข้างฉันอีกต่อไป  .. แหม่มโพธิ์แดง 

    “ถ้าพี่ถามอะไรไป แปลว่าน้องเอยต้องตอบใช่ไหม” 
    “ค่ะ” 
    จะตอกย้ำกันไปถึงไหน ถามสิว่าฉันเล่นเฟซบุ๊กไหม ฉันจะได้เอาคืนบ้าง 

    ฉันกำลังหัวเสียกับความโง่ของตัวเอง รู้สึกตัวอีกที พี่หมอขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ พี่หมอนั่งตัวตรง วางมือลงตรงบริเวณเข่าฉัน ก่อนจะช้อนตาขึ้นมอง 
    ราวกับสายฝนหยุดเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ 

    “น้องเอยรำคาญพี่ไหม .. “
    ฉันเผลอมองมือหมอที่วางอยู่ น้ำเสียงพี่หมอไม่ได้หยอกเล่นเหมือนทุกครั้ง คำถามนั้นเป็นคำถามที่ออกมาจากใจจริงๆ 

    “คือบางทีพี่ก็รู้สึกเหมือนมาวุ่นวายกับน้องเอยมากเกินไป พี่ไม่ได้อยากสนิทกับน้องเอยเพราะว่าพี่ไม่มีใครนะ .. แต่พี่อยากคุยกับน้องเอยจริงๆ เวลาพี่อยู่ใกล้ๆน้องเอยแล้ว พี่มีความสุขมากเลยนะ น้องเอยเป็นคนสดใส .. พี่หัวเราะเยอะกว่าตอนที่พี่อยู่กรุงเทพอีก” 
    ร่างกายของฉันยังนั่งติดเบาะโซฟา แต่หัวใจของฉันบินลอยออกไปไหนแล้วก็ไม่รู้ 

    “น้องเอยรำคาญพี่ไหม..”
    พี่หมอถามย้ำคำถามเดิมอีกครั้ง ฉันเงยหน้าขึ้นสบตาหมอ หัวใจกลับมาอยู่กับตัวแล้ว เกือบแล้วจริงๆ 
    เกือบลอยไปหาหมอแล้ว 

    “มีใครบนโลกนี้รำคาญพี่หมอด้วยเหรอ” 
    ถึงฉันจะรู้จักหมอได้ไม่ถึงสองอาทิตย์ดี แต่หลายๆอย่างของหมอทำให้ฉันสัมผัสถึงความจริงใจ ความอบอุ่นที่ผู้หญิงคนนี้มักจะมีให้คนรอบตัวเสมอ พี่หมอไปอยู่ที่ไหนก็คงมีแต่คนรัก .. แล้วคนอย่างฉันจะรำคาญหมอได้ยังไง

    “แปลว่าน้องเอยไม่รำคาญพี่ใช่ไหม”
    “พี่หมอต่างหากที่จะรำคาญหนู”
    “ไม่รำคาญหรอก ไม่อย่างนั้นจะฝ่าฝนมาหาทำไม”
     
    ทำยังไงดี หัวใจฉันบินลอยออกมาข้างนอกอีกแล้ว 
    ฉันไม่เคยรู้สึกดีขนาดนี้มาก่อนเลยไม่ว่ากับใคร ฉันสะกดจิตตัวเองเป็นรอบที่ร้อยแล้ว ไม่ให้เติมความหมายบางอย่างลงไปในการกระทำของหมอ แต่ทำไมมันถึงได้ยากอย่างนี้ 

    เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ของฉันดังขึ้นทำลายความเงียบ ดูเหมือนสายฝนที่เคยหยุดนิ่งกลับมาเคลื่อนไหวเหมือนเดิมแล้ว ฉันหันไปอีกฝั่งเพื่อคุยโทรศัพท์กับแม่ คุยกันร่วมสิบนาทีเห็นจะได้ แม่ถึงได้วางใจและวางสายไป ก่อนที่ฉันจะหันกลับมาเล่นไพ่กับหมอต่อ 

    ใบหน้าคมนอนหนุนแขนตัวเองหลับตาพริ้มพิงพนักโซฟา ลมหายใจผ่อนขึ้นลงสม่ำเสมอ เป็นสัญญาณว่าคนตรงหน้าหลับสนิทเข้าสู่ห้วงนิทราแล้ว 
    ฉันนอนหนุนแขนตัวเองมองหน้าหมอ .. คงเหนื่อยมากเลยสินะ ชีวิตข้างล่างน่ะ 
    หมอจะรู้ไหม ฉันก็มีความสุขเหมือนกัน ตัวของฉันหดเล็กลงทุกครั้งเวลาได้ใกล้หมอแบบนี้ 
    ทำไมหมอถึงไม่เป็นผู้ชายนะ 





    “น้องเอย ตื่นได้แล้วลูก เดี๋ยวม๊าเช็ดตัวให้”
    เสียงแม่นี่นา ..
    ฉันงัวเงียยันตัวเองขึ้นจากโซฟา ผ้าห่มผืนหนาที่คลุมตัวฉันกองรวมกันอยู่บนตัก ฉันนั่งสะลึมสะลือขยี้ตาตัวเอง แม่กำลังเดินไปเดินมาบนบ้าน 

    “เพิ่งมาถึงเหรอม๊า”
    “มาได้สักพักแล้ว เพิ่งจะปลุกหมอกลับไปนอนบ้านเมื่อกี๊เอง” 
    ฉันเผลอมองพื้นที่ว่างข้างตัวทันที เมื่อคืนฉันนอนมองหน้าหมออยู่แบบนั้นแล้วเผลอหลับไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ นี่เรานอนกันอยู่ตรงนี้ทั้งคืนเลยเหรอ 

    “หมอนี่ก็เหลือเกิน เป็นห่วงน้อง อยากมาอยู่เป็นเพื่อนน้อง ดันพาน้องหลับอยู่ตรงโซฟาทั้งคืน” เสียงแม่ติดจะกลั้วหัวเราะพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี ในขณะที่กำลังเก็บของเข้าตู้ 
    “ม๊าเข้าใจผิดแล้วแหละ หมอของม๊าเขาไม่ได้เป็นห่วงหนูหรอก เขาบอกว่าเขาเหงา ไม่อยากอยู่คนเดียวต่างหาก”
    แม่จะเข้าข้างหมอ เห็นดีเห็นงามกับทุกอย่างที่หมอทำไม่ได้นะ 

    “น้องเอย พี่หมอเขาจะสามสิบอยู่แล้วนะลูก เขาจะเหงาได้ยังไง เขาเป็นห่วงน้องเอยแต่ไม่กล้าบอกน่ะสิ” 
    “จะ .. จริงเหรอม๊า”
    “ก็จริงน่ะสิ เมื่อคืนลุงนะเขาโทรไปบอกหมอว่าน้องเอยอยู่บ้านคนเดียว หมอเขาก็เลยเป็นห่วง วิ่งมาอยู่เป็นเพื่อนน้องเอย”

    พี่หมอ 
    ฉันไม่สามารถทรงตัวนั่งได้อีกต่อไปแล้ว ล้มตัวลงนอนที่โซฟา ผ้าห่มผืนหน้าถูกยกขึ้นคลุมโปงตัวเอง ซ่อนรอยยิ้มดีใจไม่ให้แม่เห็น 
    ทำยังไงดีฉัน หมอเป็นผู้หญิง .. แล้วตอนนี้ ฉันก็เริ่มหวั่นไหวกับหมอแล้วสิ 


    วงแหวนดาวเสาร์.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×