ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แย่แล้ว .. เผลอหลงรักคุณดาวเสาร์ (Yuri) - End

    ลำดับตอนที่ #6 : พี่หมอขี้เหงา | Rewrite

    • อัปเดตล่าสุด 23 ก.ค. 62


              
              
              “ไปทำอะไรมา”
    พี่หมอจับขาฉันขึ้นพาดเก้าอี้อีกตัว เสียงพี่หมอดูปกติ ไม่ได้ดุอะไร พี่หมอก้มลงไปดูแผล เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง จะว่าไป ฉันไม่เห็นต้องกลัวเลยว่าหมอจะเอาไปฟ้องยายกับแม่ไหม ก็ไม่ต้องบอกความจริงหมอสิ แค่นี้ก็ไม่โดนด่าแล้ว ฉลาดแถมมีไหวพริบขนาดนี้เรียนคณะอะไรได้บ้างนะ 
    “หกล้มค่ะ” ฉันอ้อมแอ้มตอบไป ใจก็เต้นตึกตักตามธรรมเนียมคนโกหกที่มันจะร้อนตัวหน่อยๆ 
    “จริงเหรอ .. “
    พี่หมอช้อนตาขึ้นมองฉัน สายตาแบบนี้หมายความว่ายังไง หมอไม่เชื่อหรือหมอกำลังเล่นจิตวิทยาอะไรอยู่
    “จริงๆค่ะ กำลังจะเดินมาขึ้นรถแล้วไม่รู้สะดุดอะไรก็เลยหกล้มอยู่หน้าบ้านมะนาว”
    “ใครเหรอมะนาว” 
    “เพื่อนหนูเอง” 
    หมอยังคงจ้องแผลฉันอยู่แบบนั้น ไม่ยักกะทำอะไรสักที ไอ้ที่เจ็บตอนแรกก็เริ่มจะปวดมากขึ้น เพราะแผลมันเริ่มตึงแล้ว โชคดีที่มะนาวรออยู่ข้างนอก ไม่ได้เข้ามาในห้องฉุกเฉิน ไม่อย่างนั้นนะ .. 

    “เอย เป็นไงบ้าง มะนาวเดินหาตั้งนาน เดินถามพี่พยาบาลว่าคนที่รถล้มอยู่เตียงไหน กว่าจะหาเจอ”
    มะนาว .. ใครปล่อยคิวมา มีผู้กำกับอยู่แถวนี้เหรอ หรือมะนาวแอบฟังอยู่ ได้จังหวะเปิดตัวก็เลยเดินเข้ามา 

    ฉันไม่สามารถบรรยายสีหน้าของตัวเองตอนนี้ได้เลย จะยิ้มก็ไม่ยิ้ม จะนิ่งก็ไม่นิ่ง อารมณ์เหมือนคนกำลังคลื่นไส้ ส่วนพี่หมอน่ะเหรอ พอมะนาวโผล่พรวดมาพร้อมกับประโยคที่เหมือนขุดหลุมฝังฉันทั้งเป็น พี่หมอก็ยิ้มมุมปาก ยืนกอดอก จ้องฉันเขม็ง 
    ถึงจะโดนจับได้ว่าโกหก แต่ฉันก็ยังคงเม้มปากแน่น ทำเฉไฉมองไปทางอื่น หมอเห็นฉันไม่พูดอะไรก็หันไปคุยกับมะนาว ใช้โทนเสียงแบบที่ชอบทำเวลาคุยกับฉัน น้ำเสียงอ่อนโยน ทุ้มละมุน 

    “น้องมะนาวใช่ไหมคะ” 
    “ใช่ค่ะ มะนาวเอง มะนาวเป็นเพื่อนของเอย เอยไปส่งมะนาวที่บ้าน แล้วตอนขี่รถออกมา ลูกหมาที่บ้านมะนาวก็วิ่งตัดหน้ารถ เอยก็เลยหักหลบจนรถล้มเลยค่ะหมอ “ 
    ถ้าประโยคแรกของมะนาวเปรียบเหมือนการขุดหลุมฝังฉัน สิ่งที่มะนาวเพิ่งพูดไปก็คือการจุดไฟเผาฉันทั้งเป็น
    ฉันถลึงตาใส่มะนาว พร้อมทำปากขมุบขมิบให้มะนาวหยุดพูด เขาถามแค่ว่าใช่มะนาวไหม จะเล่าต่อมาจนหมดทำไมเล่า
    หมอยิ้มลูกเดียวเลยตอนนี้ แปลไม่ออกด้วยว่าที่ยิ้มนี่คือจะสื่ออะไร เจ้าตัวหันไปหยิบถุงมือยางมาใส่พลางเดินไปหาพยาบาลที่อยู่ใกล้ๆ 
    “ตอนนี้มีเคสด่วนอะไรอีกไหมคะ”
    “ไม่มีแล้วค่ะหมอ”
    “ถ้างั้นเดี๋ยวเคสนี้ปั้นทำเองก็ได้ค่ะ พอดีเป็นคนรู้จัก” 
    พนันได้เลย หกพยางค์หลังหมอไม่ได้คุยกับพยาบาลหรอก มันเหมือนเป็นสัญญาณบอกให้ฉันระวังตัวมากกว่า
    “น้องมะนาวออกไปรอข้างนอกก่อนได้ไหมคะ เดี๋ยวหมอทำแผลให้เพื่อนน้องมะนาวเสร็จแล้วจะพาออกไปส่งนะ” 
    ฉันอยากเอื้อมมือไปคว้ามะนาวไว้ บอกเลยว่าไม่ได้กลัวทิงเจอร์ ยาแดงอะไรทั้งนั้น กลัวหมออย่างเดียวเลยตอนนี้ มะนาวทำตามที่หมอสั่งทันที เดินลิ่วๆออกไปแล้ว  .. เอาล่ะ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ


    “แผลถลอกกว้างแล้วก็ลึกพอสมควรนะน้องเอย พี่ต้องเช็ดเอาพวกเศษดินออกให้หมดก่อน ถ้าแสบหรือปวด .. บอกพี่เลยนะ” 
    พี่หมอใส่ผ้าปิดปาก พูดเสียงอู้อี้ออกมา เห็นแค่ครึ่งหน้าหมอแบบนี้ ยิ่งเดาอารมณ์ยากกว่าเดิมอีก ฉันเลยทำเพียงแค่พยักหน้ารับรู้ 

    หมอไม่ว่าอะไรสักคำที่ฉันโกหกไป เวลาที่สำลีโดนแผลฉันจะเผลอร้องออกมา แล้วหมอก็จะหยุดมือ เงยหน้ามาถามฉันทุกครั้งว่าเจ็บมากไหม ถ้ามองเพียงแค่ดวงตาคู่นั้น ฉันก็แปลได้แค่ความหมายเดียว .. พี่หมอเป็นห่วง 
    ฉันเลยพยายามไม่ร้องให้หมอได้ยิน จนกระทั่งหมอทำแผลเสร็จเรียบร้อย ถึงได้ถอดถุงมือกับผ้าปิดปากออก 

    “ตอนนี้มันยังไม่เจ็บหรอก แต่เดี๋ยวอีกสักพักมันจะเริ่มปวด”
    “ค่ะ”
    ฉันพูดได้แค่นั้น คนเราเวลามันมีชนักติดหลัง จะพูดอะไรได้เยอะกว่านี้กันล่ะ 

    “แล้วทำไมถึงโกหกพี่”
    นั่นไง หมอเข้าประเด็นแล้ว 

    “ก็ …. “ 
    หมอยืนกอดอกจ้องหน้าฉันอยู่อย่างนั้น อยากถามกลับไปเหมือนกันว่า หมอว่างเหรอมายืนกอดอกเล่นอยู่ตรงนี้ แต่พอดีตัวเองเป็นจำเลย จึงจำเป็นต้องสงบปากสงบคำให้มากที่สุด 

    ฉันยังไม่ทันได้ตอบอะไร หมอก็เดินหายไปไหนไม่รู้ นั่นทำเอาฉันลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา แต่แค่แปบเดียวหมอก็เดินกลับมาพร้อมกับผ้าขนหนูผืนเล็กสีขาวในมือ หมอเห็นฉันทำหน้าเลิกลักก็หลุดหัวเราะ 
    ผ้าขนหนูผืนน้อยถูกยกขึ้นมาเช็ดบริเวณแก้มฉันแผ่วเบา ยอมรับว่าท่าทางนั้นทำเอาฉันเผลอสะดุ้งเล็กน้อย 
    “เลอะดินมอมแมมไปหมด” หมอพูดไปก็เช็ดตามตัวฉัน ไล่ตั้งแต่หน้าไปจนถึงช่วงแขน 
    “หมอที่นี่เช็ดตัวให้คนไข้ด้วยเหรอ” 
    “ไม่รู้สิ ปกติพี่ก็ไม่ทำนะ เพราะเป็นน้องเอย พี่ถึงได้ทำ” 
    ไม่รู้ว่าประโยคของหมอหรือรอยยิ้มของหมอที่อบอุ่นกว่ากัน หมอกำลังทำให้ฉันใจเต้นนะรู้ตัวไหม

    จนเนื้อตัวฉันกลับมาสะอาดเหมือนเดิมแล้ว หมอถึงได้หยุดเช็ดหันกลับมาเค้นคำถามที่ยังค้างอยู่ ความอ่อนโยนของหมอคงเป็นอาวุธชั้นดีที่ทำให้จำเลยอย่างฉันใจอ่อน
    “ตอบพี่ได้รึยัง ว่าทำไมต้องโกหก” 
    “หนูกลัวพี่หมอเอาไปบอกแม่กับยาย หนูไม่อยากโดนดุ” 

    คำสารภาพอ้อมแอ้มเสียงเบาหวิวของฉัน เรียกเสียงหัวเราะทุ้มเล็กๆจากหมอได้ 
    “แล้วแผลขนาดนี้ ถึงพี่ไม่บอก แม่กับยายน้องเอยก็เห็นอยู่ดีไหม”
    “แต่ถ้าแม่กับยายรู้ว่าหนูรถล้ม เขาก็จะด่าหนู บ่นหนู เผลอๆ จะสั่งให้หนูเลิกขี่รถด้วย”
    “ก็ดีนะ ปลอดภัยดี”
    “พี่หมอ .. หนูขอร้องนะ อย่าบอกแม่กับยายนะ นะๆ” 
    คุยด้วยเหตุผลกับหมอคงยาก ก็ขอร้องกันดื้อดื้อแบบนี้ล่ะ ถ้าหมอจะใจร้ายก็ให้มันรู้ไป 

    “เดี๋ยวพี่ให้พยาบาลพาออกไปรอข้างนอกนะ พี่ทำเรื่องเสร็จแล้วจะขึ้นไปเก็บของ แล้วเรากลับบ้านกัน”
    หมอไม่ตอบ แถมยังเปลี่ยนเรื่องเฉย 

    “แล้วพี่หมอจะบอกแม่กับยายไหม” 
    “น้องเอยไม่อยากให้บอกไม่ใช่เหรอ .. แต่ครั้งต่อไปต้องระวังนะรู้ไหม ดีว่ามันเป็นทางเรียบ เกิดเป็นทางลงเขาจะทำยังไง” 
    “หมาที่ไหนจะไปโผล่ตรงทางลงเขาล่ะ”
    “เถียงอีก บอกยายแน่”
    “พี่หมอ เดี๋ยวๆๆ” 
    หมอพูดทิ้งไว้แล้วก็เดินหายไปเลย ถ้าขายังดีอยู่ ฉันคงวิ่งพรวดตามออกไปแล้ว ปากเร็วพาซวยของแท้ หมอยอมไม่บอกแม่กับยายให้แล้วเชียว ให้มันได้อย่างนี้สิ 




    พี่พยาบาลพยุงฉันมานั่งรอด้านนอก บอกว่า เดี๋ยวหมอจะทำเรื่องค่าใช้จ่ายกับยาให้ มะนาวเห็นฉันออกมาจากห้องก็เดินพุ่งมานั่งข้างฉันทันที 
    “เอย เจ็บไหม” 
    “เจ็บ” 
    ไม่ได้เจ็บแผลหรอก เจ็บกับสิ่งที่แกทำเนี่ยแหละมะนาว แต่เพราะมะนาวเป็นคนซื่อ ไม่มีเจตนาร้ายอะไรกับใครทั้งนั้น ฉันเลยโกรธไม่ลง 

    “เอยรู้จักหมอคนนั้นด้วยเหรอ”
    “ก็หมอคนนี้แหละที่มาเช่าบ้านเรา”
    ฉันตอบพลางก้มดูแผลที่เข่า กว่าแผลจะหาย กว่าจะตกสะเก็ด หมดกันเข่าสวยสวยของฉัน 

    “ตอนที่มะนาวรอเอย มะนาวไปแอบสืบเรื่องหมอของเอยมาด้วยแหละ”
    “หือออ .. “
    ฉันเลิกสนใจแผลทันที เรื่องที่มะนาวกำลังจะเล่าน่าสนใจกว่าเป็นร้อยเท่า

    “หมอคนนี้เขาเรียนเก่งมากเลยนะเอย สอบได้คะแนนต้นๆของคณะด้วย แถมตอนเป็นแพทย์ประจำบ้านก็เจอเคสยากๆตั้งเยอะ พอจบศัลยแพทย์หมอก็ทำเหมือนจะต่อสาขาเฉพาะทาง แต่ไม่รู้ทำไมถึงเปลี่ยนใจไม่เรียนแล้วมาที่นี่ .. ถ้าหมอสอบยังไงหมอก็ได้”
    ฉันไม่รู้ว่าควรตกใจเรื่องที่หมอไม่ยอมเรียนต่อแล้วมาที่นี่ หรือเรื่องที่มะนาวรู้ลึกรู้จริงเหลือเกิน 
    “มะนาวรู้มาจากไหนเหรอ”
    “มะนาวถามพี่พยาบาลมา” 
    แล้วพี่พยาบาลก็รู้ด้วย แต่ก็นะ โรงพยาบาลไม่ได้ใหญ่อะไร แถมหมอก็เป็นคนใหม่ เรื่องพวกนี้คงไม่ยากถ้าคนจะไปรู้มาแล้วบอกต่อกัน
    “มะนาวรู้ไหมว่า ทำไมหมอถึงไม่เรียนต่อ” 
    “มะนาวไม่รู้ เอยสนิทกับหมอไม่ใช่เหรอ เอยลองถามดูสิ..”
    “ถามอะไรเหรอ” 
    พี่หมอโผล่มายืนข้างหลังตอนไหนก็ไม่รู้ เจ้าตัวเดินอ้อมมาด้านหน้าเราสองคน หมอถอดเสื้อคลุมออกแล้ว สะพายกระเป๋าพร้อมกลับบ้าน วันนี้หมอใส่เสื้อแขนยาวสีเทาเข้มกับกางเกงขายาวสีขาว ฟังดูธรรมดานะ แต่ทำไมหมอใส่ออกมาแล้วมันถึงได้ ..
    เดี๋ยวนะ ฉันมาสนใจเสื้อผ้าหมอตั้งแต่เมื่อไหร่

    “พอดีมะนาวสงสัยว่า ..”
    มะนาว เราว่ากลับบ้านกันเถอะ เย็นแล้วเนอะ”
    ฉันร้องเรียกมะนาวเสียงสูง ขืนปล่อยให้พูดต่อก็ได้โพล่งออกมาหมดแน่ มะนาวจะเป็นคนเดียวที่ฉันจะไม่เล่าอะไรให้ฟังทั้งนั้น ขอประกาศไว้ตรงนี้เลย 


    มะนาวกลับไปพร้อมพ่อแล้ว ห่างกันไม่ถึงสิบนาที ลุงนะก็มาถึง รีบลงจากรถมาพยุงฉันทันที 
    “น้องเอยเป็นไงบ้างครับ ตอนหมอโทรมา ลุงตกใจหมดเลย ทำยังไงถึงหกล้มได้ครับเนี่ย” 
    ฉันเผลอหันไปมองหน้าหมอทันที นั่นคือคำตอบของหมอ หมอยอมทำตามที่ฉันขอ ความใจดีของหมอทำเอาฉันกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่ เจ้าตัวยิ้มตอบกลับมา มันคือเรื่องที่มีแค่เราสองคนที่รู้ ไม่นับมะนาวนะ 
    “เล่าให้ลุงนะฟังสิ ว่าน้องเอยทำยังไงถึงล้ม” 
    และหมอก็คือหมอ .. ถึงหมอจะใจดี อ่อนโยน อบอุ่น อะไรก็ตามแต่ ความเจ้าเล่ห์ของหมอก็ไม่น้อยหรอก รู้อยู่เต็มอกว่าเกิดอะไรขึ้น ยังจะแกล้งให้ฉันเล่าเรื่องโกหกออกมาอีก 
    ฝากไว้ก่อนนะหมอ 






    คืนนี้พี่หมอไม่ได้มากินข้าวเย็นที่บ้าน เห็นว่าได้กับข้าวอะไรสักอย่างมาจากโรงพยาบาล ส่วนแม่กับยายก็ไม่ได้อยู่ที่บ้านตอนที่ฉันกลับมาถึง ลุงนะบอกว่า แม่กับยายไปทำธุระในตัวเมืองแล้วเสร็จช้าเลยต้องนอนค้างอยู่ที่บ้านลุงแทนเพราะตอนนี้ฝนกำลังตกลงหนัก
    แม่เองก็เข้าใจว่าฉันหกล้ม ถึงจะโดนดุนิดหน่อยแต่คงดีกว่ารู้ความจริงว่ารถล้มล่ะนะ 
    ฉันได้ข้าวต้มปลาจากป้าแม่ครัวข้างล่างทำขึ้นมาให้ ก่อนจะนั่งอยู่ตรงโซฟา พาดขาไว้กับโต๊ะข้างหน้าแทน กลายเป็นว่าคืนนี้ฉันต้องอยู่บ้านคนเดียว แถมอยู่แบบเป๋ๆด้วย 
    ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอาบน้ำ แน่นอนว่าไม่ได้อาบ แค่เขย่งพาตัวเองไปล้างหน้าแปรงฟังก็เก่งจะแย่แล้ว ปวดฉี่ทีฉันต้องอั้นไว้สักพักถึงค่อยเดินไป น่ากลัวจะได้นิ่วเพิ่มนะงานนี้ 

    ฉันกดรีโมทในมือเปลี่ยนช่องไปมา ไม่เห็นมีอะไรน่าดูสักอย่าง ฟังเสียงฝนตกยังบันเทิงกว่าอีก บ่นในใจไม่ถึงห้านาที ไฟก็ดับพรึบ รอบตัวมืดสนิท 
    ต้องมีใครสักคนแกล้งฉันแล้วล่ะ อยู่คนเดียว ขาเดี้ยง แล้วตอนนี้ก็ไฟดับอีก มาครบเลยในคืนเดียว

    ได้ยินเสียงโหวกเหวกรอบตัว ฉันเลยพยุงพาตัวเองออกไปยืนดูที่ระเบียงด้านนอก ฝนกำลังเทลงมาอย่างหนัก ทั่วทั้งรีสอร์ทมืดสนิท มีเพียงแสงจากไฟฉายของพนักงานรีสอร์ทเดินขวักไขว่ไปมา 
    โชคดีที่บนเขาอากาศช่วงกลางคืนค่อนข้างเย็น ต่อให้ไฟดับก็ยังนอนได้สบาย ติดแค่ว่ามันยังไม่ใช่เวลานอนเนี่ยสิ 

    ฝนตกหนักทีไร ไฟดับแบบนี้ทุกครั้งจนฉันชินแล้ว พาตัวเองโขยกเขยกกลับเข้ามาในห้องรับแขก ควานหาไฟฉายที่ควรจะอยู่บนตู้ข้างบน 
    ปกติฉันก็ต้องเขย่งอยู่แล้ว พอมีขาที่ใช้การได้ดีอยู่แค่ข้างเดียวผสมกับความมืด คราวนี้เลยหายากกว่าเดิมอีก ฉันพยายามเขย่งตัวเอง มืออีกข้างก็ปัดป่าย ควานหาไปมา ในที่สุดก็เจอสักที
    เพราะดีใจที่หาไฟฉายเจอ ทำเอาฉันเผลอลืมตัวทิ้งน้ำหนักลงบนขาข้างที่เป็นแผล จนเจ็บแปลบขึ้นมา มือที่ค้ำตัวเองเผลอปล่อยออก วินาทีนั้นเอง ฉันหลับตาแน่น รอสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ตอนนี้ลุ้นอย่างเดียวเลย ขอให้อย่าโดนแผลเป็นพอ 
    ฉันเสียหลักและกำลังจะหล่นตุบในอีกไม่กี่วินาทีต่อจากนี้ 

    “อยากโดนทำแผลอีกข้างก็ไม่บอก” 
    เสียงทุ้มคุ้นหู วงแขนที่โอบรอบเอวฉันไว้

    “พี่หมอ ..” 




    ตัวพี่หมอเปียกเล็กน้อย คงเพราะโดนละอองฝนตอนที่เดินมา พี่หมอพยุงพาฉันกลับมานั่งที่โซฟา ส่วนตัวเองก็เดินจุดเทียนวางรอบห้องรับแขก จนตอนนี้ห้องที่เคยมืดสนิทกลับมาสว่างอีกครั้งด้วยแสงสีส้มนวลรอบตัว 

    “ที่บ้านพี่หมอมีเทียนด้วยเหรอ”
    “ไม่มีหรอก พี่ไปขอที่ข้างล่างมา”

    พี่หมอทิ้งตัวลงข้างฉัน เจ้าตัวเสยผมขึ้นเขย่าเล็กน้อยไล่ความเปียกชื้น ก่อนจะหันมามองฉัน

    “เห็นเขาบอกว่าหม้อแปรงมีปัญหานะ สงสัยอีกสักพักเลยกว่าไฟจะมา”
    “หนูชินแล้วแหละ ที่นี่เป็นแบบนี้ตลอด ฝนตกหนักทีไรไฟดับทุกที” 
    “น้องเอยเรียนไฟฟ้าสิ จบมาจะได้มาทำไฟให้ที่หมู่บ้าน” 
    “ถ้าน้ำไม่ไหล หนูไม่ต้องไปเรียนประปาเหรอ”
    “ก็ดีนะ พันท่อเป็นแล้วนี่” 

    ดูความกวนบาทาของหมอ ฉันว่าเวลาหมออยู่กับเพื่อน คงไม่ธรรมดาหรอก ฉันหงุดหงิดที่เถียงแพ้หมอเลยเปลี่ยนเรื่อง ตั้งใจถามเสียงขุ่นกลับไป

    “พี่หมอมาบ้านหนูทำไม”
    “พี่เหงา” 

    หะ 

    “อะไรนะ”
    “เหงา อยู่คนเดียวแถมไฟดับอีก เดินมานั่งคุยเล่นกับน้องเอยที่บ้านดีกว่า”
    “เดินฝ่าฝนมาเนี่ยนะ” 
    “อื้ม ก็คุ้มนะ” 

    โชคดีเหลือเกินที่ไฟดับแบบนี้ ไม่อย่างนั้นหมอคงได้เห็นว่าตอนนี้ฉันหน้าแดงขนาดไหน 
    ทุกครั้งที่ไฟดับตอนกลางคืน ฉันจะนอนคลุมโปงอยู่ในห้อง ฟังเสียงฝนไปเรื่อยจนผล็อยหลับไป ไม่เคยรู้สึกเหงาเลยสักครั้ง การได้รู้จักหมอเริ่มเปลี่ยนตัวฉันไปทีละนิด  

    “เล่นเกมส์แข่งกันเปล่า” 
    “พี่หมอท้าหนูเหรอ”
    “ไม่ได้ท้า แต่คะแนนน้องเอยตามหลังพี่อยู่นะ”
    “มาเลยดีกว่า” 

    ครั้งต่อไปถ้าไฟดับ ฉันก็คงไม่เหงาหรอก แต่ไม่แน่ใจเหมือนกัน ว่าฉันจะคิดถึงเรื่องในคืนนี้ไหม


    วงแหวนดาวเสาร์.


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×