ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แย่แล้ว .. เผลอหลงรักคุณดาวเสาร์ (Yuri) - End

    ลำดับตอนที่ #3 : ความลับของหมอ | Rewrite

    • อัปเดตล่าสุด 23 ก.ค. 62






    แกงส้มไข่มะระ ปลากะพงทอดราดน้ำปลา น้ำพริกปลาทู ทอดมันปลากราย อาหารเย็นสี่อย่างสำหรับคนสี่คน เห็นตอนแรกนึกว่าทำไว้ต้อนรับผู้ใหญ่บ้านเถอะ 

    “กินเยอะๆเลยนะ แล้วถ้าอยากกินอะไรอีกก็บอกน้าได้”
    “ไม่เป็นไรจริงๆค่ะ ปั้นเกรงใจ แค่นี้ก็เยอะมากแล้ว สงสัยอยู่ไม่ถึงเดือนน้ำหนักขึ้นแน่เลย” 

    เรานั่งกินข้าวกันที่ลานด้านนอก แม่กับยายนั่งประกบขนาบข้างหมอ ส่วนฉันก็นั่งอยู่ข้างยายที่ตอนนี้กำลังพยายามยัดเยียดน้ำพริกปลาทูลงในจานข้าวของแขก 
    หมอดูทำหน้าแปลกแปลก ดูเหมือนไม่อยากกิน แต่ก็ไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร แม่ที่มองอยู่เห็นเข้าก็ถามขึ้น 
    “หมอกินน้ำพริกปลาทูเป็นไหม” 
    ชัดเจน หมอส่ายหัวก่อนจะอ้อมแอ้มบอกว่าตัวเองกินเผ็ดไม่ค่อยได้ โธ่เอ้ย .. โตซะเปล่า กินเผ็ดแค่นี้ก็ไม่ได้ สงสัยต้องโชว์ให้เด็กมันดูหน่อยแล้ว 

    “หมอเขาไม่กินตักให้หนูกินก็ได้ยาย” 
    ฉันพูดพร้อมกับยื่นจานข้าวไปหายายที่ชำเลืองมองฉันแวบหนึ่ง ก่อนรับจานข้าวฉันไปถือ ประเคนน้ำพริกปลาทูหนึ่งช้อนเต็มๆ แนมผักกาดขาวติดมาด้วย 

    นี่อาจเป็นเรื่องเดียวที่ยายไม่บ่น ฉันกินเผ็ดเก่งเพราะยายตำน้ำพริกปลาทูอร่อยมาก กินเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ ว่าแล้วก็ขอเยาะเย้ยหมอหน่อยละกัน 
    แม่กับยายคุยกันเองแล้วตอนนี้ ฉันหันไปมองหน้าหมอ แกล้งส่งยิ้มหวานไปให้ ก่อนจะได้ยิ้มมุมปากจากหมอกลับคืนมา แล้วจู่ๆหมอก็พูดขึ้น 
    “น้องเอยกินผักเก่งจัง” 
    “น้าหัดให้กินแต่เด็ก บ้านเราไม่ใช่จะหาอะไรกินได้ง่ายๆ” 
    “กินผักเก่งขนาดนี้ แต่ไม่ค่อยสูงเลยเนอะ” 

    อ่าวหมอ .. ฉันวางช้อนหันไปมองหน้าหมอที่กำลังส่งยิ้มหวานเหมือนที่ฉันทำก่อนหน้านี้ 
    “ก็นี่มันผักไม่ใช่นมปะ .. โอ้ยย” 
    ฉันห้ามปากตัวเองไว้ไม่ทันเผลอสวนขึ้นไปเสียงห้วน จนโดนยายตีเข้าให้ที่ต้นขาดังป้าบ 

    “เถียงผู้ใหญ่แบบนี้ได้ยังไง” 
    แล้วยายก็ขนเรื่องอื่นมาบ่นต่อ ส่วนฉันก็ได้แต่รับกรรมนั่งฟังไป คนต้นเรื่องที่ทำเอาฉันโดนเทศน์ก่อนนอนได้แต่อมยิ้ม ก้มหน้าก้มตากินข้าว เห็นแล้วยิ่งหงุดหงิด รู้สึกเหมือนรบแพ้ยังไงไม่รู้ 

    “เอาแบบนี้ไหมหมอ หมอก็มากินข้าวเช้ากับข้าวเย็นที่บ้านน้าก็ได้ วันไหนไม่สะดวกมา เดี๋ยวน้าเอาใส่ปิ่นโต ให้เด็กเอาไปให้ที่บ้าน” 
    “ไม่เป็นไรค่ะน้า ปั้นเกรงใจจริงๆ”
    “ไม่ต้องเกรงใจหรอก บ้านน้าอยู่กันแค่นี้เอง ดีไหมๆ หมอจะได้ไม่ต้องคอยทำอาหารกินเองด้วย” 
    สุดท้ายหมอก็ปฏิเสธไม่ได้ จำยอมน้อมรับความใจดีของแม่ฉันไว้ เท่ากับว่าเราต้องเจอกันทุกมื้ออาหารเลยเหรอ 
    แม่เป็นคนทำอาหาร ยายแก่แล้ว ส่วนหมอก็เป็นแขก สมการง่ายง่ายที่ผลลัพธ์ก็คือ เป็นฉันเองที่ต้องรับหน้าที่เป็นคนล้างจาน
    กินกันสี่คนแต่ไม่รู้ทำไมถ้วยชามถึงได้เยอะแยะขนาดนี้ หมอสบายแย่แล้วมั้ง ข้าวก็ไม่ต้องทำ จานก็ไม่ต้องล้าง มีแต่คนทำให้ คิดมาถึงตรงนี้แล้วก็เริ่มชักจะหมั่นไส้ขึ้นมาละ 
    เสียงจานชามกระทบกันในอ่างตามอารมณ์ที่เริ่มคุกรุ่นของฉัน 

    “น้องเอยล้างน้ำยาแล้วกัน เดี๋ยวพี่ช่วยล้างน้ำเปล่า” 


    เสียงทุ้มพร้อมสัมผัสของใครอีกคนที่ยืนเบียดไหล่ฉันอยู่ด้านขวา แขนเสื้อหมอถูกร่นขึ้นตั้งท่าพร้อมอยู่ที่อ่างข้างกัน มีเพียงเสียงน้ำไหล เสียงนกตอนกลางคืนที่เริ่มร้องแข่งกันจากที่ไกลไกล
    ฉันไม่ได้ตอบอะไร ก้มหน้าล้างจานต่อ แล้วก็ส่งให้คนข้างตัว

    ยังมีอีกเรื่องที่ฉันสงสัย การเป็นหมออยู่ที่โรงพยาบาลใหญ่ในตัวเมืองมันไม่สบายกว่าหรือไง 
    ท่าทางหมอดูเป็นคนใจดี ถึงบางครั้งจะดูกวนหน่อยๆก็เถอะ 
    เพราะฉะนั้น ข้อสันนิษฐานข้อที่สองจึงเป็นไปได้มากว่า หมอหนีอะไรมา .. 

    “ทำไมถึงย้ายมาที่นี่เหรอคะ” 
    “พี่เห็นว่าที่นี่กำลังขาดหมอผ่าตัดประจำโรงพยาบาลน่ะ ก็เลยยื่นมา” 
    “อยู่โรงพยาบาลใหญ่ๆไม่สบายกว่าเหรอ ไปไหนมาไหนก็สะดวก แถมพวกเครื่องมืออะไรก็คงทันสมัยกว่าบนเขาแบบนี้”
    “ก็เพราะคนส่วนใหญ่คิดแบบนี้ไง คนที่อยู่ไกลๆถึงเข้าไม่ถึงการรักษา อีกอย่างหนึ่งนะ ข้างล่างน่ะมีหมอดีดีเยอะแล้ว บนนี้ต่างหากที่ต้องการหมอ” 
    “อันนี้คือคิดแบบนี้จริงๆหรือตอบเอาเท่อ่ะ”

    จบประโยคของฉัน หมอก็สะบัดมือที่เปียกน้ำใส่หน้าฉันจนมีหยดน้ำเกาะเป็นดวงๆ 

    “คิดจริงสิ ไม่ตอบเอาเท่หรอก เท่อยู่แล้ว” 
    ฉันเบะปากใส่คำพูดหลงตัวเองนี้ ก่อนจะได้เสียงหัวเราะทุ้มของหมอเป็นการตอบแทน 

    “แล้วทำไมต้องเป็นที่นี่ล่ะ” 
    หมอเงียบไปพักใหญ่ ท่าทางขี้เล่นก่อนหน้านี้หายไป ทำเอาฉันต้องทบทวนคำถามของตัวเองใหม่อีกครั้ง แต่ไม่นานหมอก็กลับมาสดใสเหมือนเดิม 


    “ที่นี่แหละ เหมาะที่สุดแล้ว” 

    ฉันอยากถามเพิ่มอีก แต่ก็ไม่รู้ทำไมถึงไม่กล้า สุดท้ายก็เลยทำเพียงส่งชามใบสุดท้ายให้หมอล้างน้ำเปล่าต่อ 

    “น้องเอยยังไม่ตอบคำถามพี่เลยนะ ว่ามีแฟนหรือยัง” 
    จะอยากรู้อะไรนักหนา พอถามขึ้นมาทีไร ภาพขวดโหลที่แตกกระจายเต็มพื้นก็โผล่ให้เห็นในความคิดทุกที 
    ฉันเช็ดมือที่เปียกด้วยผ้าขนหนูผืนเล็กในครัวก่อนจะส่งต่อให้อีกคนที่ยังคงจ้องมาที่ฉัน

    “ยังไม่มีค่ะ” 
    ยิ้มแบบนั้นหมายความว่าไง ยิ้มเยาะเย้ยกันเหรอ ..

    “ดีแล้ว ไม่ต้องรีบมีหรอกอายุแค่นี้” 
    “แล้วพี่หมอล่ะ มีแฟนไหม ขึ้นมาอยู่บนเขาแบบนี้ แฟนไม่ว่าเหรอ” 
    ฉันสวนกลับไปทันควัน ไม่ชอบเลยเวลาผู้ใหญ่ทำเหมือนฉันยังเด็กอยู่ เป็นอีกครั้งที่หมอโดนคำถามของฉันแล้วนิ่งไป 
    ตอบยากตรงไหนกัน มีก็บอกว่ามี ไม่มีก็บอกว่าไม่มี แค่นี้เอง 

    “เคยมีนะ แต่ว่าเลิกกันไปได้สักพักแล้ว” 
    น้ำเสียงหมอเปลี่ยนไป สีหน้าหมอดูหมองลงอย่างเห็นได้ชัด หรือว่า ที่พาตัวเองมาไกลขนาดนี้เพราะ .. อกหัก 
    เหมือนที่เคยอ่านเจอว่า คนอกหักชอบไปทะเล ชอบไปที่ไกลไกลเพื่อพักใจ หรือว่าเคสของหมอจะเป็นกรณีเดียวกัน 


    หมออกหักมาเหรอ ..

    “งั้นพี่กลับก่อนนะ” 
    ฉันกำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิดของตัวเอง หมอขอตัวกลับเลยทั้งที่ก่อนหน้านี้ดูเหมือนยังไม่อยากกลับ
    เหมือนกับว่าฉันไปสะกิดโดนอะไรเข้า 


    ยายออกปากบังคับให้ฉันเดินไปส่งหมอที่บ้านพัก ขนาดว่าหมอยืนยันอยู่หลายรอบว่ากลับเองได้ ไม่อยากให้ฉันไปส่ง แต่ยายก็ไม่ยอม แถมยังบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงฉัน เพราะแถวนี้ฉันเดินบ่อยแล้ว หลับตาเดินยังได้
    ใครจะหลับตาเดินได้ ยายทำได้เหรอถามจริง 
    แต่ยายก็คือยาย .. สุดท้ายฉันก็เลยต้องเดินมาส่งหมอที่บ้าน 


    มีเพียงหลอดไฟอันเล็กเสียบติดกับเสาไม้วางเรียงตามทางเดิน สมัยก่อนหมู่บ้านเราปั่นไฟใช้กันเอง ไม่ถึงสองทุ่มทั้งหมู่บ้านก็มืดแล้ว แต่พอหมู่บ้านเราถูกพัฒนาให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ความเจริญหลายอย่างก็เริ่มเข้ามา 
    ฉันไม่กล้าถามอะไรอีกระหว่างที่เดินมาตามทาง หมอเป็นคนทำลายความเงียบขึ้นมา 
    “แถวนี้ ตรงไหนสัญญาณโทรศัพท์ชัดบ้างเหรอ”
    “ถ้าเป็นแถวรีสอร์ทสัญญาณก็พอใช้ได้นะ แต่ถ้าจะเอาชัดเลยต้องไปตรงบ่อน้ำข้างหน้าหมู่บ้าน” 

          และเพราะหมอเป็นคนเริ่มต้นบทสนทนา ฉันเลยถือโอกาสชวนคุยต่อ

     

    “ได้ยินพี่หมอคุยกับยาย บอกว่าไม่คิดว่าหนูโตมาแล้วจะเป็นแบบนี้”
    “ที่พี่คิดไว้ไม่ใช่แบบนี้เลย ใครจะเชื่อว่าโตมาแล้วจะขาวขึ้น น่ารักกว่าที่คิดตั้งเยอะ” 

    ทำไมอยู่ดีดีหน้าก็เห่อร้อนขึ้นมา หมอเขาก็ชมไปตามประสาผู้ใหญ่เอ็นดูเด็กไหม ไม่ได้การแล้ว ฉันต้องเปลี่ยนเรื่องด่วน

    “แล้วพี่หมอไปเริ่มงานเมื่อไหร่เหรอ”
    “มะรืนนี้ก็เริ่มแล้ว แต่ว่าพรุ่งนี้ต้องเข้าไปรายงานตัวก่อน”

    ฉันเดินมาส่งพี่หมอจนถึงทางเดินที่เชื่อมเข้าไปในตัวบ้าน ท่าทางหมองๆของหมอตอนนั้นรบกวนจิตใจฉันตลอดเลย รู้สึกเหมือนตัวเองไปถามอะไรที่ไม่ควรถาม 
    “ส่งแค่นี้ก็พอแล้ว น้องเอยเดินกลับได้นะ” 
    “ไม่ได้ยินที่ยายบอกเหรอ ยายบอกว่าหนูปิดตาเดินยังได้เลย” 
    หมอกลับมาหัวเราะเหมือนเดิมแล้ว ไม่รู้ทำไม ฉันกลับรู้สึกว่าท่าทางแบบนี้เหมาะกับหมอมากกว่าแววตาเศร้าๆนั้นอีก

    “อันนั้นห้องใครเหรอ” 
    หมอชี้ขึ้นไปที่ตัวบ้านข้างบน ผ้าม่านลูกไม้สีฟ้าอ่อนกำลังพลิ้วไหวไปตามลมที่พัดตรงริมหน้าต่าง

    “ห้องหนูเองค่ะ”
    “จากตรงนั้นมองลงมาเห็นบ้านพี่ไหม”
    “เห็นสิคะ ถ้าพี่หมอนั่งเล่นตรงแพหนูก็มองเห็น” 
    “ถ้างั้นพี่ต้องไม่ไปนั่งตรงแพ เดี๋ยวโดนแอบมอง”
    “ใครจะอยากมอง”

    ฉันเผลอเบะปากอีกแล้ว คราวนี้พี่หมอไม่ได้แค่หัวเราะ เจ้าตัวยกมือขึ้นมาขยี้หัวฉันเล่นจนยุ่ง
    ราวกับมีอะไรสักอย่างปะทะเข้าที่ตัวอย่างแรง สมมติว่าพี่หมอเป็นผู้ชาย ท่าทางแบบนี้คงทำฉันเขินจนละลายกองอยู่ตรงนี้ 

    “เดินกลับดีดีนะ” 
    ฉันเอามือปัดผมตัวเอง หันหลังเดินกลับมา แล้วก็รู้สึกเหมือนกับมีใครสักคนมองอยู่จากด้านหลังจนต้องหันกลับไปดู 
    พี่หมอยังยืนอยู่ที่เดิม เจ้าตัวยืนกอดอกมองฉัน
    “พี่หมอไม่เข้าบ้านเหรอ”
    “รอให้น้องเอยเดินถึงบ้านก่อนแล้วพี่ค่อยเข้า”

    ฉันหันหลังกลับมาเดินต่อไปตามทาง ความอบอุ่นแบบนี้คืออะไรกันนะ ทำไมรู้สึกเหมือนกำลังถูกดูแล ถูกเอาใจใส่ยังไงก็ไม่รู้ หมอทุกคนเป็นแบบนี้หรือเปล่า 
    หรือว่าเป็นแค่หมอคนนี้ 
    แล้วหมอทำแบบนี้กับทุกคนไหม 

    หมอเดินกลับเข้าบ้านทันทีที่เห็นว่าฉันถึงบ้านแล้ว เจ้าตัวโบกมือให้ก่อนจะหายวับไป 


    อันนั้นห้องใครเหรอ 


    คำถามหมอทำให้ฉันเร่งพาตัวเองเดินเข้าห้อง ก่อนจะไปยืนส่องอยู่ที่หน้าต่าง มองไปที่บ้านหลังเล็กข้างล่าง 
    ร่างสูงคุ้นตาที่เพิ่งได้เจอกันวันแรก กำลังนั่งเล่นอยู่ที่แพด้านนอก มองจากตรงนี้เหมือนกับว่าหมอกำลังก้มหน้าดูอะไรสักอย่างในมือ 
    ไหนบอกไม่อยากให้มองเห็นไง 

    ไม่เหงาหรือไงนะ อยู่ห่างจากบ้านขนาดนี้ แถมเพิ่งเลิกกับแฟนด้วย ดูจากสายตาตอนที่ตอบคำถาม ดูเหมือนยังทำใจไม่ได้เลย  
    แล้วฉันจะมาสนใจอะไรเรื่องหมอเนี่ย เขาจะอกหักหรือจะอะไรก็เรื่องของเขาสิ 
    เสียงเรียกเข้าในโทรศัพท์ดึงให้ฉันผละออกจากหน้าต่าง หมายเลขปริศนาโชว์หราบนหน้าจอ ไม่ค่อยมีคนแปลกหน้าโทรมาหาฉันเท่าไหร่ หรือจะให้ถูกก็คือ ถ้าไม่นับเพื่อนสนิท ไม่นับลุงกับแม่แล้ว ก็ไม่มีใครโทรหาหรอก .. 
    คิดแล้วเศร้าชะมัด

    “ฮาโหลค่ะ”
    “สัญญาณโทรศัพท์ใช้ได้จริงด้วย”

    นี่มัน .. เสียงหมอนี่ 
    ฉันรีบวิ่งกลับไปที่หน้าต่าง หมอยืนอยู่บนแพ โบกมือที่กำลังถือโทรศัพท์อยู่ ถึงจะไกลแต่ฉันก็มองเห็น .. รอยยิ้มของหมอ

    “พี่หมอมีเบอร์หนูได้ยังไง”
    “พี่ขอมาจากแม่น้องเอย ขอโทษนะที่ไม่ได้ขอตรงๆ” 
    “เอ่อ .. ไม่เป็นไรค่ะ” 

    บ้าแล้วเอย แกบ้าไปแล้ว 

    “พรุ่งนี้ว่างไหม” 
    “คะ .. อ๋อ ถ้าแม่กับยายไม่ได้ใช้อะไรก็คงว่างค่ะ” 
    เสียงพี่หมอหัวเราะมาตามสาย แปลกดีเหมือนกันนะ ได้ยินเสียง แล้วก็ได้เห็นหน้ากันแบบนี้

    “พรุ่งนี้น้องเอยไปเป็นเพื่อนพี่ที่โรงพยาบาลหน่อยได้ไหม พี่ไม่รู้จักใครเลย”
    “หนูก็ไม่เคยไปโรงพยาบาลเหมือนกัน เพิ่งจะรู้วันนี้เองว่าที่หมู่บ้านมีโรงพยาบาลด้วย” 
    “อ้าวเหรอ .. “
    “แต่ว่าไปเป็นเพื่อนได้นะ” 

    ไม่รู้ทำไมพอได้ยินเสียงหงอยๆของหมอแล้ว ถึงรู้สึกไม่ดีจนต้องรีบออกปากตอบรับ
    “ขอบคุณนะน้องเอย ถ้างั้นพี่ไม่กวนแล้วล่ะ”

    ฉันขานรับกำลังจะกดวาง แต่แล้วประโยคสุดท้ายของหมอก็ทำให้ฉันพูดไม่ออก ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าต่าง เสียงสัญญาณโทรศัพท์ตัดไปแล้ว แต่ฉันก็ยังไม่เอาโทรศัพท์ออกจากหู  

    “ฝันดีนะน้องเอย” 

    กับอีแค่ประโยคง่ายง่าย ทำไมฉันต้องใจสั่นด้วย นี่เราเพิ่งเจอกันวันแรกจริงหรือเปล่า ทำไมอะไรอะไรของหมอถึงสะกิดใจฉันอยู่เรื่อย

    หมอโบกมือให้ฉันเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนเจ้าตัวจะเดินหายเข้าบ้านไป ไม่นานแสงไฟจากบ้านหลังน้อยก็ดับลง 
    หมอบอกให้ฉันนอนหลับฝันดี หมอจะรู้ไหมว่าตอนนี้ .. หมอทำให้ฉันนอนไม่หลับ 



    วงแหวนดาวเสาร์.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×