ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แย่แล้ว .. เผลอหลงรักคุณดาวเสาร์ (Yuri) - End

    ลำดับตอนที่ #13 : ถุงน้ำดี | Rewrite

    • อัปเดตล่าสุด 24 ก.ค. 62




            เป็นไงบ้างจ๊ะแม่สาวน้อย” 
    “สาวน้อยมะเหงกสิ เดี๋ยวจะโดน”
    “มาๆ หนูให้เขกแรงๆ ยายอยากเขกกี่ที ยายเขกเลย”
    ฉันรีบวิ่งเข้าไปกอดยาย ได้นอนพักคืนเดียว เช้ามาลุกขึ้นนั่งกินข้าวสบายเลย พี่หมอเดินเข้ามาหายาย ยายถึงกับสะบัดฉันทิ้งโผเข้ากอดหมอทันที 
    ตกลงว่าใครเป็นหลาน 

    “คุณยายยังมึนหัวอยู่ไหมคะ”
    “ไม่แล้วลูก ยายดีขึ้นเยอะแล้ว ขอบคุณนะหมอนะ”
    “ไม่เป็นไรเลยค่ะ ยายแข็งแรงแบบนี้อีกไม่กี่วันก็ได้กลับบ้านแล้วนะ” 
    “อย่าหลอกคนแก่ให้ดีใจเล่นนะหมอ” 

    บรรยากาศวันนี้ต่างจากเมื่อวานอย่างสิ้นเชิง แม้แต่แม่ที่ถึงแม้จะดูเพลีย คงเพราะนอนเฝ้ายายทั้งคืน เช้านี้ยังดูสดชื่น ยิ้มอารมณ์ดี 
    ยายเป็นเหมือนศูนย์กลางแห่งความสุขของพวกเรา เพียงแค่ยายลุกขึ้นนั่งกินข้าว พวกเราก็ดีใจกันจะแย่แล้ว แต่ไม่ว่ายังไง ไอ้ก้อนเนื้อบ้านั่นก็ยังอยู่ในตัวยาย มันเลยเหมือนดีใจแต่ไปไม่สุด 
    ฉันดึงหมอออก เข้าไปสวมกอดแทนที่ ซุกหน้าเข้าอกยาย ถ้าเป็นปกติยายคงดันออกแล้วก็บ่นรำคาญ แต่ว่าตอนนี้ นอกจากไม่รำคาญแล้ว ยังกอดฉันกลับด้วย 
    “ถ้าอย่างนั้น ปั้นขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ แล้วจะแวะมาหาใหม่” 
    พี่หมอบอกลาเสร็จก็เดินออกไปทันที ร้อนถึงฉันต้องรีบวิ่งตามออกไปนอกห้อง ส่งเสียงรั้งหมอไว้ 

    “น้องเอยมีอะไรหรือเปล่า”
    “คือ .. พี่หมอจะไปทำงานแล้วเหรอคะ”
    “ใช่ คนไข้น่าจะมารอแล้ว น้องเอยมีอะไรกับพี่ไหม”
    “เปล่า ๆ หนูไม่มีอะไร”
    ทำไมมันยากจัง ก็แค่พูดออกไป พี่หมอดูจะงงกับท่าทางฉัน แต่คงเพราะเจ้าตัวกำลังรีบ เลยไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ ส่งยิ้มให้ฉันแล้วก็หันหลังเดินไปตามทาง 
    ระหว่างทาง หมอเจอพยาบาลคนสวยคนนั้นด้วย คุยหัวเราะกัน ก่อนจะเดินเลี้ยวหายเข้าไป ทิ้งฉันให้ยืนคอตกอยู่หน้าห้อง 
    เห้อ 
    แค่อยากบอกว่า ตั้งใจทำงานนะ แค่นี้ยังไม่กล้าพูดออกมาเลย


    ยายหลับไปอีกรอบแล้ว ส่วนแม่ก็หลับเหมือนกัน มีแค่ฉันที่นั่งเล่นมือถืออยู่ที่โซฟา สายตาก็คอยมองไปที่ประตู ใครเปิดเข้ามาที ฉันก็ตื่นเต้นที แต่พอเห็นว่าไม่ใช่หมอ ใจมันก็ฝ่อลงอัตโนมัติ 
    ไหนบอกว่าจะแวะมาหา 
    ว่าแต่ เวลาหมอตรวจคนไข้จะเป็นแบบไหนกันนะ 

    ฉันอาศัยจังหวะแม่หลับอยู่ ชิ่งออกไปนอกห้อง หมอบอกว่ามีนัดตรวจคนไข้ แปลว่าหมอน่าจะไม่ได้อยู่บนห้องทำงาน อาจจะนั่งอยู่ข้างล่าง ฉันเงยหน้ามองตามป้ายบอกทาง ซึ่งเอาจริงจริง ฉันไม่รู้อะไรเลย เดาล้วนล้วน 
    โรงพยาบาลไม่ได้ใหญ่เสียหน่อย ระดับฉันแล้ว ไม่ใช่เรื่องยากหรอก 

    ตรงนี้หรือเปล่านะ คนไข้มานั่งรอกันเต็มเลย แปลกจัง วันนั้นที่พาหมอมารายงานตัว คนยังไม่เห็นเยอะขนาดนี้เลย 
    ตรงที่ฉันยืนอยู่เป็นห้องขนาดกว้าง มีห้องตรวจคนไข้ห้องเล็กซอยย่อยเรียงกันไป น่าจะซักเจ็ดห้องได้ โซนด้านหน้ามีโต๊ะพยาบาลตั้งเรียงกัน ส่วนตรงกลางเป็นพนักเก้าอี้วางเรียงไว้ให้คนไข้มานั่งรอเรียก 
    ฉันทำเป็นเดินเลียบๆเคียงๆ หมอน่าจะอยู่ห้องไหนซักห้องในเจ็ดห้องนี้

    “ขอโทษค่ะ”
    รู้สึกตัวเองเกะกะขวางทางยังไงก็ไม่รู้ ขวางทั้งคนไข้ ขวางทั้งพยาบาล ฉันขอโทษขอโพยไปตลอดทาง สายตาก็ชะเง้อมองเข้าไปในห้องที่เปิดแง้มอยู่นิดเดียว ต้องคอยอาศัยจังหวะเวลาพยาบาลเข้าไป ไม่ก็ตอนที่เรียกคนไข้ 
    นี่ฉันมาทำอะไรอยู่ตรงนี้เนี่ย 
    อย่าได้มีใครรู้เชียวว่าฉันมาทำอะไรแบบนี้ โดยเฉพาะพี่หมอ มีหวังโดนล้อตายแน่

     
    สุดท้ายฉันก็ได้เจอคนที่ตามหา แค่เพียงจังหวะเดียวที่ประตูเปิดออกกว้าง พี่หมอก้มอ่านเอกสารตรงหน้า ก่อนจะยิ้มกว้างรับไหว้คนไข้คนใหม่ที่เพิ่งเข้ามา 
    ต้องขอบคุณพี่พยาบาลคนสวยคนนั้นที่เปิดประตูเอาไว้เสียกว้าง พอให้ฉันได้เห็นหมอแบบที่ไม่ต้องเพ่งมากนัก 
    หมอยิ้มตลอดเวลา กำลังอธิบายอะไรสักอย่างบนจอให้คนไข้ฟัง เวลาใส่เสื้อคลุมสีขาวแบบนี้ ก็ดูดีเหมือนกันนะ ตัดกับเสื้อเชิ้ตสีดำข้างในพอดีเลย 
    มีเด็กน้อยคนหนึ่งวิ่งพรวดเข้าไปในห้อง คงเป็นลูกของคนไข้คนนั้น พี่หมอเห็นเข้าก็ลุกจากเก้าอี้มานั่งยองคุยกับเด็กน้อย 
    มันช่าง .. ดีเหลือเกิน 
    “ขอโทษค่ะ รบกวนหลบหน่อยได้ไหมคะ”

    “ขอโทษนะคะ” 

    “คุณคะ”
    “คะ” 

    เห้ย 
    ฉันตกใจเสียงคนที่กำลังตะโกนให้ฉันหลบออกจากทางเดิน เผลอหมุนตัวเร็วจนไปชนกับรถเข็นของเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเข้า ข้าวของข้างในที่คงถูกเรียงไว้เป็นชั้นอย่างดีตอนแรก หกเละเทะ ไม่เหลือซาก
    มิหนำซ้ำถาดที่ใช้เรียงกันอยู่ยังเป็นแบบสแตนเลส ลองจินตนาการถึงเสียงเวลามันตกลงพื้นแค่ใบเดียวนะ แล้วลองคูณไปอีกสักห้าเท่า นั่นล่ะ .. เสียงอึกทึกที่เพิ่งเกิดไปเมื่อครู่ 
    “หนูขอโทษนะคะ ขอโทษจริงๆ”
    ฉันรีบก้มลงช่วยเก็บของทันที แต่ดูเหมือนเจ้าของรถเข็นจะช็อคไปแล้ว เห็นยืนนิ่งไปเลย

    ของที่ตกพวกนี้นี่มัน .. นี่มันยานี่ สีขาว สีแดง สีเขียว แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าอันไหนต้องเก็บถาดไหน แล้วเป็นยาอะไร รู้แล้วว่าทำไมเจ้าของรถถึงช็อคขนาดนั้น 

    “เอ่อ หนูขอโทษจริงๆนะคะ หนูไม่ได้ตั้งใจจริงๆ” 
    “มะ มะ ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร” 
    หนุ่มเจ้าของรถเหมือนสติเพิ่งกลับมาประทับร่าง เจ้าตัวก้มลงมากวาดพวกบรรดาเศษยาที่ร่วงอยู่ เทกลับไปในถาดตามเดิม ไม่ต้องคิดถึงว่าจะเรียงยังไงหรอก เก็บยาที่ตกพื้นให้หมดนี่ก็ยากแล้ว 
    พี่ผู้ชายดูมือไม้สั่นไปหมด ทำไมฉันซุ่มซ่ามขนาดนี้นะ ฉันช่วยกวาดยาที่กระจายไปตามพื้น อยู่ดีดีก็มีเสียงตวาดดังลั่นมาแต่ไกล
    “คุณต๊อก คุณทำอะไรของคุณเนี่ย” 
    ฉันเงยหน้าขึ้นมองตามเสียง คนมาใหม่ที่ดูท่าทางมีอายุ เดินหน้าตึงมาแต่ไกล ก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงหน้าของผู้ชายเจ้าของรถเข็น ที่ตอนนี้หน้าซีดเป็นไข่ต้มไปแล้ว 
    “คือ ผะ ผม ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆนะครับ มันเป็นอุบัติเหตุ”
    “คุณไม่ต้องมาพูด คุณรู้ไหมว่ายาเม็ดหนึ่งมันราคาเท่าไหร่ งบโรงพยาบาลก็ไม่ได้มีเยอะ ทำไมคุณถึงไม่ระวังให้มากกว่านี้”
    “ขอโทษนะคะ คือจริงๆแล้ว .. “
    “ขอโทษนะครับ ผมขอคุยกับเจ้าหน้าที่เป็นการส่วนตัว ตามผมมาคุณต๊อก เข็นรถกลับมาด้วย” 
    คุณต๊อกที่ว่านี่ เดินเข็นรถคอตกตามผู้ชายเสียงดังคนนั้นเข้าไปในห้อง มันเป็นความซุ่มซ่ามของฉันที่พลอยทำคนอื่นซวยไปด้วย
    ฉันหมดอารมณ์ทำอะไรแล้ว เลยตัดสินใจเดินกลับไปห้องของยาย ลืมไปเลยด้วยซ้ำว่ากำลังแอบมองหมออยู่ 
    ทำยังไงดี ไม่รู้จะโดนว่าเยอะไหม รู้สึกไม่ดีเลย 

    แรงสั่นใต้กระเป๋ากางเกงทำให้ฉันต้องควักขึ้นมาดูแบบไม่สบอารมณ์ คนยิ่งหงุดหงิดอยู่ ใครส่งอะไรมาตอนนี้

    เสียงดังกว่านี้ได้อีกไหม 
    พี่หมอ .. 
    ใช่ พี่หมอต้องได้ยินแล้วเดินออกมาดูแน่เลย ตอนนั้นฉันยืนหันหลังให้ประตูห้องหมอ ก็เลยไม่ทันได้เห็น ส่งมาแกล้งกันชัดชัด 

    ไม่เห็นออกมาช่วยเลย 
    โทษที ติดคนไข้อยู่ 
    แล้วฉันก็ดันเชื่อที่หมอพิมพ์มาเสียด้วยสิ จะให้ทิ้งคนไข้มาช่วยฉันเก็บยา หมอก็คงอบอุ่นใจดีเกินมนุษย์ไปแล้ว 


    กลางวันนี้กินข้าวด้วยกันนะ 


    ทรงตัวไม่อยู่แล้ว ฉันล้มตัวลงนอนซุกหน้าเข้าโซฟา ประโยคแสนธรรมดาของหมอ หมอจะรู้ไหมว่ามันมีอิทธิพลกับฉันขนาดนี้ 

    ว่าไง กินด้วยกันเปล่า 

    หมอส่งมาซ้ำอีกรอบ เพราะเห็นว่าฉันอ่านแต่ไม่ตอบ ฉันเขินจนไม่รู้ว่าควรต้องพิมพ์อะไรกลับไปดี เลยเลือกส่งสติกเกอร์กลับไป
    อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าฉันไม่โผล่ไปทำเรื่องเข้า หมอจะส่งข้อความมาชวนฉันไปกินข้าวไหม 
    ก็ถือว่าเป็นข้อดีอย่างหนึ่งแล้วกัน 



    หมอให้ฉันมารออยู่ที่หน้าแคนทีน อีกสักพักถึงจะตามมา คนส่วนใหญ่ก็เป็นบรรดาคนไข้ที่มาใช้บริการแล้วก็เจ้าหน้าที่พยาบาล ร้านอาหารข้างในมีอยู่แค่สามร้านก็จริง แต่ก็เพียงพอแล้วถ้าเทียบกับจำนวนคนที่มา 
    แม่ออกมากินก่อนหน้านี้แล้ว เพราะต้องคอยเตรียมข้าวกลางวันให้ยาย 
    เอ๊ะ นั่นมัน พี่ผู้ชายคนนั้นนี่ 
    ฉันทันได้เห็นพี่คนนั้นกำลังเขี่ยเศษอาหารทิ้งอยู่ตรงบริเวณที่เก็บจานพอดี ความรู้สึกผิดยังคงรบกวนจิตใจอยู่ตลอดเวลาจนต้องเดินเข้าไปหา
    พี่ผู้ชายหันกลับมาเห็นหน้าฉันก็ตกใจเหวอไปเลย
    “พี่จำหนูได้ไหมคะ” 
    “จะ จำได้ครับ” 
    “คือ หนูขอโทษจริงๆนะคะ เพราะหนูซุ่มซ่ามเอง พี่เลยโดนด่าเลย” 
    “ไม่เป็นไรหรอกครับ พี่เองก็ไม่ระวังเหมือนกัน โดนด่าก็สมควรแล้ว” 
    “แต่หัวหน้าพี่ หนูว่าเขาดุเกินไปนะคะ แค่ทำยาหกเอง ไม่เห็นต้องขึ้นเสียงขนาดนั้นเลย”
    พี่ผู้ชายยิ้มเล็กน้อยพอเป็นพิธี ฉันเดาว่าลึกลึกเขาคงเห็นด้วยกับฉันอยู่บ้างล่ะ 
    “น้องมาหาหมอเหรอครับ”
    “เปล่าหรอกค่ะ พอดีมาดูยาย ยายนอนพักอยู่ที่โรงพยาบาล”
    พี่ผู้ชายพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ เวลาปกติธรรมดา พี่เขาก็น่ารักดีเหมือนกันนะ เป็นผู้ชายตัวไม่สูงมาก ผมยุ่งๆฟุ้งๆ จะมีเอกลักษณ์หน่อยก็ตรงดวงตาที่ดูกลมโตกว่าคนปกติทั่วไป 
    “พี่ชื่อต๊อกนะครับ เป็นเภสัชกรของที่นี่”
    “หา เภสัชกรต้องมาเข็นยาเองเหรอคะ”
    “ครับ เราไม่ได้มีบุคลากรเยอะเหมือนโรงพยาบาลในตัวเมือง อะไรที่ทำได้ ส่วนใหญ่เราก็ทำกันเอง” 

    “ชนอะไรพี่เขาอีกน้องเอย”
    เสียงหวานทุ้มละมุนหัวใจดังขึ้นข้างหลัง พี่ต๊อกยกมือไหว้หมอทันที พอฉันหันไป ก็เห็นหมอยืนล้วงกระเป๋า ยิ้มกว้างอยู่ 
    “ไม่ได้ชนซะหน่อย หนูมาขอโทษพี่เขาเฉยๆ”
    “น้องรู้จักกับหมอปั้นด้วยเหรอครับ”
    “ค่ะ พี่หมอเขาเช่าบ้านหนูอยู่” 
    “โดนจัดหนักเลยดิต๊อก”
    “เริ่มชินแล้วครับ” 
    พี่หมอเดินมาหยุดคุยกับพี่ต๊อกคนนี้ ท่าทางชายหนุ่มดูเคารพพี่หมอมาก ดูนอบน้อม ไหล่ห่อตลอดเวลา อายุก็ไม่น่าห่างกันมาก สงสัยพี่หมอดูแก่เกินวัย 
    สักพักชายหนุ่มถึงได้ขอตัวกลับไปทำงาน ไม่ลืมบอกลาฉันที่เพิ่งได้รู้จักกัน ฉันเดินตามพี่หมอเข้าแคนทีน ก่อนเราจะไปหยุดอยู่ที่ร้านขายข้าวแกง 
    ดวงตาคมดุของพี่หมอกำลังพิจารณาอาหารในแต่ละถาดอยู่ 

    “เสน่ห์แรงนะเนี่ย มาโรงพยาบาลวันเดียว มีหนุ่มมาคุยด้วยซะแล้ว”
    “อย่าแซวสิพี่หมอ หนูยิ่งนอยด์อยู่ ดูดิ พี่เขาเลยโดนหัวหน้าด่าเลย” 
    “พี่เห็นเขาก็ด่าต๊อกแบบนี้ทุกวัน ไม่ใช่แค่วันนี้หรอก ไม่ต้องคิดมาก” 

    พี่หมอออกปากสั่งเมนูอาหารกับป้าเจ้าของร้าน ส่วนฉันเองมัวแต่คุยกับพี่หมอ เลยยังไม่ได้เลือกเมนูของตัวเอง

    “ว่าแต่ว่า น้องเอยไปโผล่อะไรอยู่ตรงนั้น”


    ซวยแล้วไง ซวยแล้ว 

    “อ๋อ ก็ .. ไป ไปเอายาให้ยายไง”
    “พยาบาลก็เอาไปให้ในห้องทุกครั้งไม่ใช่เหรอ”
    “โอ้ย พี่หมออย่าถามเยอะได้ปะ หนูหิวข้าว” 
    ตีเนียนโมโหหิวแล้วได้ผลแฮะ พี่หมอหยุดเซ้าซี้แล้ว เจ้าตัวเดินเลยไปหาโต๊ะว่าง วางจานข้าวตัวเองเสร็จก็เดินเลยไปร้านเครื่องดื่ม 
    ถ้าบอกไปตรงตรง หมอจะโอเคไหมล่ะ 


    “ยายเป็นยังไงบ้าง”
    “ยายบ่นอยากกลับบ้านทุกสองชั่วโมงเลย”
    พี่หมอหัวเราะออกมาเล็กน้อย ก่อนจะตักข้าวเข้าปากไปหนึ่งคำ

    “แล้วตอนบ่ายพี่หมอต้องตรวจคนไข้อีกไหม”
    “ไม่แล้วล่ะ ตอนบ่ายพี่มีผ่าตัด”
    “ผ่าตัดอะไรเหรอ”
    “ถุงน้ำดี” 
    พี่หมอทำเหมือนพูดถึงนกถึงไม้ พูดเสร็จตักข้าวเข้าปากหน้าตาเฉย ส่วนฉันที่ดันอยากรู้ พอได้รู้ สมองมันก็ดันจินตนาการต่อยอดเอง กินข้าวไม่ลงเลยทีนี้ 
    “อยากรู้ต่อไหมว่าผ่ายังไง เดี๋ยวพี่เล่าให้ฟัง”
    “ไม่ต้อง พอ เปลี่ยนเรื่อง”
    ฉันยกมือห้ามหมอทันที จนหมอหัวเราะเสียงดังลั่น หมออะไรชอบแกล้งประชาชนอย่างฉันอยู่เรื่อยเลย 

    “แล้วปกติพี่หมอกินข้าวกับใครเหรอ”
    “ปกติพี่กินกับแพรว แต่ส่วนใหญ่พี่เสร็จช้า บางทีก็ให้แพรวมากินก่อน” 
    คำก็แพรว สองคำก็แพรว อะไรอะไรก็แพรว ทั้งโรงพยาบาลรู้จักอยู่คนเดียวหรือไง 

    “ผ่าถุงน้ำดีผ่ายังไงนะ”
    หมอเลิกคิ้วขึ้น ทำหน้าตาฉงน อมยิ้มน้อยน้อยมองมาที่ฉัน

    “ไหนน้องเอยบอกไม่อยากฟัง”
    “ก็ตอนนี้อยากฟังแล้ว”
    ถ้าให้นั่งฟังหมอพูดเรื่องพยาบาลคนนี้ ฉันทนฟังหมอเล่าเรื่องถุงน้ำดียังสบายใจเสียกว่า 
    “พรุ่งนี้มาโรงพยาบาลอีกหรือเปล่า”
    เออดีเนอะ หมอนึกอยากเปลี่ยนเรื่อง หมอก็เปลี่ยนได้เลย 

    “มาอะไรล่ะ พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนไง พี่หมอลืมแล้วเหรอ”
    “เออใช่ พรุ่งนี้แล้วนี่ ลืมไปสนิทเลย”
    “งี้แหละ เรื่องหนูมันไม่ได้สำคัญอะไร” 
    ฉันก้มหน้าตักข้าวใส่ปาก ก่อนจะเขี่ยข้าวในจานเล่น ปกติก็ไม่ใช่คนขี้น้อยใจนะ เพิ่งจะมาเป็นก็ตอนที่ได้รู้จักหมอนี่ล่ะ 

    “เรื่องน้องเอยสำคัญสำหรับพี่เสมอนะ” 
    น้ำเสียงพี่หมอดูจริงจังกว่าเดิม จริงจังจนฉันเผลอเงยหน้าขึ้นมอง 

    “เรื่องหนูมันไม่ได้สำคัญขนาดนั้น พี่หมอไม่ต้องมาสนใจหรอก” 
    พี่หมอรวบช้อน มองตรงมาที่ฉัน นาทีนั้น เหมือนไม่มีคนอื่นอยู่เลย เหมือนมีแค่เราสองคน 

    “พี่เคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าที่พี่กลับมาที่นี่ก็เพราะน้องเอย” 
    “แล้วพี่หมอจะกลับมาเพราะหนูทำไม” 
    “เพราะพี่ .. “
    ริมฝีปากพี่หมอเม้มแน่น คำต่อไปไม่ยอมหลุดออกมา ฉันได้ยินเสียงพี่หมอถอนหายใจ ก่อนเจ้าตัวจะก้มหน้านิ่ง 

    พี่หมอโกรธฉันเหรอ ฉันคงเริ่มงี่เง่า ทำตัวไม่น่ารักแล้วใช่ไหม ทำยังไงดี ฉันเผลอหงุดหงิดที่พี่หมอสนิทกับคนอื่น ผสมกับหมอยังไม่ยอมกดรับฉันเป็นเพื่อนสักที แล้วหมอดันมาลืมอีกว่าต้องไปโรงเรียนวันพรุ่งนี้ 
    ทุกอย่างมันปั่นรวมกัน เลยทำให้ฉันหัวร้อนเผลอเถียงหมอไปแบบนั้น 
    “พี่ต้องทำยังไง น้องเอยถึงจะเชื่อ ว่าน้องเอยมีความหมายกับพี่จริงๆ”
    พี่หมอ .. 

    “สรุปแล้วถุงน้ำดีมันผ่าออกยังไง” 
    ฉันเลือกจะไม่ตอบคำถามหมอบ้าง หมอเริ่มยิ้มออกมาได้แล้ว 

    นี่คงเป็นครั้งแรกที่เราเข้าใกล้คำว่าทะเลาะกัน เป็นครั้งแรกที่พี่หมอดูจริงจังเหลือเกิน แค่เพียงเพราะฉันประชดไปแบบนั้น เหมือนฉันไปสะกิดโดนอะไรบางอย่างของหมอเข้า

    “ขั้นแรกก็ผ่าเปิดเนื้อเข้าไปก่อน กรีดตรงช่องท้องแล้วผ่าลงไปข้างใน ..”
    “เดี๋ยวๆๆ นี่พี่หมอตอบจริงๆเหรอ”
    “เอ้า ก็เห็นน้องเอยถามตั้งสองรอบแล้ว .. พอผ่าลงไปได้ใช่ปะ ก็เอามีดกรีดรอบๆถุงน้ำดี แล้วก็ควักขึ้นมา”
    “ไม่เอา พอแล้ว ไม่อยากฟังแล้ว”
    ฉันเอามือปิดหูตัวเอง ส่ายหัวโวยวายเสียงดัง ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มตอบกลับ
    หมอกลับมาหัวเราะได้เหมือนเดิม ดูเหมือนถ้าเป็นเรื่องของฉัน หมอมักจะจริงจังเสมอ ฉันชักเหนื่อยกับการที่ต้องมาคอยคิดว่า หมอทำแบบนี้กับทุกคนไหม มีแค่ฉันคนเดียวหรือเปล่าที่ถูกใส่ใจแบบนี้ 
    “เสร็จแล้วก็ดึงเนื้อให้มาติดกัน แล้วก็เอาเข็มทิ่มเข้าไป .. “
    “พี่หมอ บ้า บอกให้หยุดไง” 

    จะมีสักอย่างไหม ที่หมอทำให้แค่กับฉันคนเดียว 


    วงแหวนดาวเสาร์.


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×