ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    My little boy | ปูนปั้นน้อยของเฮีย

    ลำดับตอนที่ #5 : 4

    • อัปเดตล่าสุด 30 มิ.ย. 67


    ปูนปั้นเดินเข้ามาในบ้านแล้วทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างหมดแรง วันนี้เป็นอีกวันที่ร้านของเขาวุ่นวายมากไม่มีเวลาปลีกตัวออกมาดูหน้าร้านเลย จริงๆ ปูนปั้นไม่ได้มีหน้าที่ทำครัวหรอกแต่เพราะหลายวันมานี้ที่ร้านโดนคอมเพลนมาเยอะเรื่องอาหารออกช้าและไม่ได้คุณภาพ เขาเลยต้องเขาไปตรวจสอบและช่วยหยิบจับอะไรนิดหน่อยเพื่อให้อาหารออกเสิร์ฟได้ตลอด

    จะให้เขาโทษพนักงานครัวที่ทำช้าก็ไม่ได้เพราะพนักงานชุดนี้นอกจทกเชฟกุ๊กไก่แล้วก็ล้วนแต่เป็นพนักงานใหม่ทั้งหมด เลยอาจจะทำให้พวกเขายังไม่คุ้นชินกับเมนูและอุปกรณ์ของที่นี่อยู่บ้าง

    "แบบนี้ไม่ดีแน่ๆ คงต้องวางแผนใหม่แล้ว" ปูนปั้นพูดแล้วหลับตาลงช้าๆ เขารู้สึกเหนื่อยและท้อมากๆ ที่ต้องมารับผิดชอบควบคุมดูแลร้านนี้ในวัยเพียง 23 ปีแถมยังไม่มีคนมาคอยให้คำปรึกษาเขาอีกทำให้เขาต้องลงมือทำจริงพร้อมกับเรียนรู้ทุกอย่างไปพร้อมกัน พอมันเกิดข้อผิดพลาดเขาก็แทบจะแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าไม่ได้เลย 

    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

    4 เดือนก่อน

    "สรุปแล้วพี่สาวผมเป็นอะไรครับหมอ" ปูนปั้นถามออกไปด้วยความตื่นตระหนก

    "ทางเราพบว่ามีความผิดปกติจริงๆ คนไข้มีอาการเจ็บแน่นที่หน้าอก รู้สึกเหนื่อยง่ายอ่อนเพลีย ปวดร้าวบริเวณกราม แขนและลำคออยู่บ่อยครั้งแถมก่อนหน้านี้ก็เคยเป็นลมหมดสติไป 2 ครั้งโดยไม่มีสาเหตุ หลังจากตรวจอย่างระเอียดแล้วพวกเราได้ข้อสรุปมาว่าคนไข้น่าจะเป็นโรค Heart Disease หรือที่ โรคหัวใจ

    ตี๊ดดดดดดด---- 

    หลังจากได้ยินคำว่าโรคหัวใจหูของปูนปั้นก็แทบไม่ได้ยินอะไรจากหมออีกเลย ตอนนี้ชีวิตของเขาเหลือเอมม่าเป็นญาติคนเดียวแล้วดังนั้นเขาจึงเครียดมากที่รู้ว่าพี่สาวของเขากำลังป่วยอยู่ 

    หลังจากพูดคุยกับหมอเสร็จปูนปั้นก็เดินกลับมาที่ห้องพักผู้ป่วย VIP แล้วเข้าไปนั่งอยู่ข้างๆ เตียงของเอมม่า เขาจับมือของเอมม่าขึ้นมาแนบที่แก้มของตัวเองพร้อมกับจ้องมองใบหน้าของเธอ

    "ทำไมพี่ไม่บอกผมล่ะ" ปูนปั้นพูดออกมาด้วยความเสียใจพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม

    "ถ้าพี่เป็นอะไรไปผมจะอยู่ยังไง...อึก...พี่ห้ามทิ้งผมไปเหมือนพ่อกับแม่นะ...ฮือ...ผมขอโทษ...ฮือ...ฮื้อ" ปูนปั้นพูดไปร้องไห้ไปจนตัวโยน เขาเสียใจที่เมื่อก่อนไม่ได้ใส่ใจเอมม่าเท่าที่ควรไม่งั้นป่านนี้เขาคงช่วยแบ่งเบาภาระอะไรเอมม่าได้บ้างแล้ว ส่วนเอมม่าเองหลังจากที่พ่อกับแม่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปเมื่อ 6 ปีก่อนเธอก็ทำหน้าที่ดูแลน้องชายและกิจการของที่บ้านมาโดยตลอด เธอไม่เคยเอาปัญหาจากงานมาเล่าให้น้องชายฟังเลยเพราะไม่อยากให้เขาต้องรู้สึกเครียดไปกับเธอด้วย ปูนปั้นเป็นเด็กรักอิสระไม่ได้สนใจจะรับช่วงต่อร้านจากเธออยู่แล้วเธอเลยไม่เคยบังคับให้เขามาช่วยงานที่ร้านเลยนอกจากเจ้าตัวจะมาเที่ยวเล่นเอง แต่เพราะเมื่อปีที่แล้วตัวเธอตรวจพบว่าเป็นโรคหัวใจก็เกิดอาการเครียดและวิตกกังวลอย่างมากจนทำให้สภาพจิตใจของเธอย่ำแย่ไปมากแต่เธอก็ไม่เคยแสดงอาการอะไรต่อหน้าปูนปั้นเลย

    จนกระทั่งวันนี้หลังจากที่ปูนปั้นไปหาที่ร้านแล้วไม่เจอเธอเขาจึงรีบกลับมาที่บ้านทันทีเพราะปกติแล้วเอมม่าแทบไม่เคยหยุดงานเลยแต่พอรู้ว่าพี่สาวไม่ได้เข้ามาทำงานที่ร้านปูนปั้นก็รีบกลับบ้านมาทันทีเพื่อทานข้าวเย็นกับพี่สาวด้วยความดีใจ แต่พอมาถึงปูนปั้นก็แทบช็อคเพราะภาพที่เขาเห็นคือภาพของพี่สาวที่นอนหมดสติอยู่กลางบ้าน หลังจากตั้งสติได้ปูนปั้นก็รีบโทรเรียกรถพยาบาลทันที

    เช้าวันต่อมา

    "ดีขึ้นมากเลยนะครับคุณเอมม่า หมอว่าพรุ่งนี้ก็น่าจะกลับบ้านได้แล้วล่ะครับ" หมอพูด

    "จริงเหรอค่ะคุณหมอ" เอมม่าถามด้วยความดีใจ

    "จริงครับ" หมอตอบ

    "กลับได้จริงเหรอครับหมอ ตรวจดูให้ละเอียดอีกทีได้ไหมครับ" ปูนปั้นพูดด้วยความกังวล เขาอยากให้เอมม่าพักรักษาตัวต่ออีกหน่อยเพราะกลัวจะกลับไปเป็นแบบเดิมอีก

    "ปูน" เอมม่าเรียกดึงสติน้องชายแล้วส่ายหน้าเตือนเบาๆ เพื่อเตือนเขาไม่ให้เสียมารยาทกับคุณหมอ

    "ขอโทษครับ" ปูนปั้นหันไปพูดกับหมอด้วยน้ำเสียงค่อยๆ

    "ไม่เป็นไรครับ งั้นเดี๋ยวหมอขอตัวก่อนนะ" หมอพูด

    "ขอบคุณครับคุณหมอ"

    ขอบคุณค่ะคุณหมอ"

    หลังจากนั้นหมอกับพยาบาลก็เดินออกจากห้องไปเหลือเพียงปูนปั้นและเอมม่าสองคนเม่านั้น

    "ผมว่าพี่อยู่ดูอาการต่ออีกสักหน่อยเถอะ" ปูนปั้นพูด

    "คุณหมอบอกกลับได้ก็คงไม่เป็นไรมากหรอก" เอมม่าตอบ

    "ไม่เป็นไรได้ไงอ่ะพี่! เมื่อวานสภาพของพี่มันแย่มากเลยนะ" ปูนปั้นพูดออกมาเสียงดังจนเอมม่าตกใจ ปูนปั้นไม่ชอบเลยที่เอมม่าทำตัวดื้อแบบนี้ ที่เขาพูดมันก็ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากให้เอมม่ากลับบ้านซะหน่อยแต่เพราะเขาเป็นห่วงเอมม่ามากต่างหากและนี่ก็เป็นครั้งแรกเลยที่ปูนปั้นขึ้นเสียงใส่เอมม่า

    "พี่ขอโทษ" พอเห็นว่าน้องชายกำลังหัวเสียเอมม่าเลยเลือกที่จะขอโทษน้องชายออกไปก่อนและแน่นอนพอเห็นแววตาที่เศร้าของเอมม่ามันก็ทำให้ปูนปั้นรู้สึกผิดและใจเย็นลงทันที เขาค่อยๆ นั่งลงที่เดิมแล้วหายใจเข้าของช้าๆ

    "พี่รู้ว่าปูนเป็นห่วงพี่นะและพี่ก็รู้ว่าตัวเองผิดที่ปิดบังปูน ตอนนั้นพี่แค่ไม่อยากเห็นปูนต้องมาเครียดไปพร้อมกับพี่...พี่ก็เลย" เอมม่ารู้สึกผิดจนอยากจะร้องไห้แต่เพราะไม่อยากให้ปูนปั้นเห็นว่าตอนเองเป็นพี่สาวที่อ่อนแอเกินไปเธอจึงเลือกที่จะกลั้นมันไว้แม้แววตาจะสั่นไหวมากก็ตาม

    "ผมขอโทษนะ ต่อไปผมจะไม่ทำตัววแบบนี้กับพี่อีกแล้ว" ปูนปั้นตอบ เอมม่ายิ้มออกมาแล้วยกมือขึ้นไปลูบหัวน้องชายด้วยความเอ็นดู

    "เด็กโง่เอ๊ย~พี่ไม่โกรธปูนหรอก" เอมม่าตอบ

    "หลังจากออกจากโรงพยาบาลผมอยากให้พี่พักรักษาตัวอยู่ที่บ้านสักระยะนึง ได้ไหม" ปูนปั้นพูด

    "นานแค่ไหนอ่ะ" เอมม่าถาม

    " 3 เดือน" ปูนปั้นตอบ เอมม่ามีสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที เธอค่อยๆ เอามือออกจากหัวของน้องชายแล้วนิ่งไป

    "นะครับ" ปูนปั้นถามแล้วรอลุ้นคำตอบจากเอมม่าอย่างจดจ่อ

    "ไม่ได้" เอมม่าตอบ

    "ทำไมล่ะ พี่เป็นขนาดนี้แล้วอ่ะ พี่ห่วงตัวเองก่อนไม่ได้เหรอ" ปูนปั้นพูด

    "ร้านนั้นเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่พ่อกับแม่ทิ้งไว้ให้พวกเรา พี่ไม่อาจทำใจทิ้งมันไปได้จริงๆ" เอมม่าตอบ

    "เราไม่ได้จะปิดมันจริงๆ สักหน่อยหนิพี่ เราแค่พักไปเองไว้รอพี่แข็งแรงดีแล้วเราค่อยเปิดมันอีกครั้งก็ได้ อาหารของเรารสชาติอร่อยผมไม่เชื่อหรอกว่าถ้าเรากลับมาเปิดใหม่อีกครั้งแล้วมันจะขายไม่ได้" ปูนปั้นพูด

    "เราทำธุรกิจนะปูน ถ้าเดี๋ยวทำเดี๋ยวเลิกธุรกิจของเรามันจะไปรอดได้ยังไง ทุกวันนี้มีร้านอาหารผุดขึ้นมาอย่างกับดอกเห็ดต่อ ปูนจะมั่นใจได้ไงว่าลูกค้าเขาจะอยู่กับปูนตลอดไปลูกค้าเขามีตัวเลือกนะปูน แล้วที่บอกว่ารสชาติอร่อยมันก็ไม่ได้มีแต่ร้านเราป่ะที่ทำอร่อยอ่ะ" เอมม่าตอบ

    "แต่ผมก็ไม่อยากให้พี่โหมร่างกายตัวเองแบบนี้อีกแล้วไง" ปูนปั้นพูด

    "พี่หยุดไม่ได้จริงๆ ปูนเข้าใจพี่เถอะนะ" เอมม่าตอบ

    "ได้ งั้นถ้าร้านมันปิดไม่ได้งั้นเดี๋ยวปูนจะไปดูแลแทนพี่เอง" ปูนปั้นพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังจนเอมม่าต้องรีบเงยหน้าขึ้นมา

    "จะบ้าเหรอ ปูนไม่เคยเรียนรู้งานเลยแล้วจะทำไหวได้ไง" เอมม่าถาม

    "ก็ถ้าพี่ไม่ให้ปูนทำงั้นก็ปิดมันไปเลย อย่าลืมนะว่าร้านนี้มันก็มีชื่อปูนเหมือนกัน" ปูนปั้นตอบ

    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

    ปัจจุบัน

    "เฮ่อ~ตอนนั้นไม่น่าไปห้าวต่อหน้าพี่เลย" ปูนปั้นพูดแล้วค่อยๆ หลับไปทั้งที่ยังไม่ได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเลย

    08:00

    ตอนนี้เป็นเวลาที่ครอบครัวของเทียนกำลังทานอาหารเช้าและพูดคุยกันอยู่ เทียนได้เล่าเรื่องที่ปู่ของเขาอยากให้เขาแต่งงานให้กับพ่อและแม่ฟังซึ่งท่านสองท่านก็เห็นด้วยเป็นอย่างมากเพราะเทียนก็อายุเยอะแล้ว

    "คุณหล่งครับ คุณหล่ง คุณหล่งครับ" เสียงของเจสันตะโกนลั่นบ้านถามหาผู้เป็นนาย

    "อะไร! เสียงดังเอะอะโวยวายอยู่ได้" หล่งต่อว่าเจสันที่เขาทำเสียบรรยากาศมื้อเช้าของครอบครัว

    "ขอโทษครับ" เจสันตอบด้วย สภาพของเขาตอนนี้มีแต่เสียงหอบหายใจและใบหน้าเปียกซกไปด้วยเหงื่อ

    "มีอะไร" คุณหล่งถาม

    "บ้านใหญ่ส่งข่าวมาว่า...." เจสันหยุดนิ่ง สีหน้าของเขาแปลกไปจนเทียนเองก็ยังสงสัยว่ามีเรื่องอะไรที่ทำให้เขาลำบากใจที่จะพูดกัน

    "ว่าอะไร!" คุณหล่งถามด้วยน้ำเสียงติดรำคาญ

    "คุณท่าน...เสียแล้วครับ" สิ้นคำพูดของเจสันช้อนในมือของเทียนก็ร่วงหล่นลงมาทันที ทุกคนในบ้านอุทานออกมาด้วยความตกใจแม้ ทุกอย่างมันกระทันหันมากเกินไปจนทุกคนช็อคไปหมด

    "เมื่อกี้แกว่าอะไร พูดใหม่สิ!" คุณหล่งลุกขึ้นไปกระชากคอเสื้อเจสันแล้วตะคอกใส่เขาด้วยความโมโหและเสียใจ 

    "ตอนนี้คุณผู้หญิงกับคุณโฉมสั่งให้ลูกหลานทุกคนไปรวมตัวกันที่บ้านใหญ่ครับ" เจสันเลือกที่จะถ่ายทอดคำสั่งของคุณผู้หญิงบ้านใหญ่แทนที่จะตอบคำถามของคุณหล่งเพราะเขาเชื่อว่าถ้าพูดมันออกไปอีกครั้งก็เหมือนเป็นการย้ำให้เจ็บซะเปล่าๆ

    "คุณค่ะ" ดารินรีบเข้ามาประคองสามีไว้แล้วลูบหลังเบาๆ เพื่อให้เขาใจเย็นลง

    "พ่อครับ พวกเรารีบไปที่บ้านใหญ่กันเถอะครับ" เทียนพูด ตอนนี้ในใจของเขาเองก็รู้สึกแย่ไม่ต่างกันแต่ถ้าไม่ได้ฟังเรื่องนี้จากปากของบ้านใหญ่เขาจะไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด

    "ใช่ พวกเราต้องรีบ" คุณหล่งตอบแล้วหันไปหาเจสัน

    "รีบไปเตรียมรถแล้วไปบอกให้ไอ้เวกัสตามไปด้วย" คุณหล่งพูด

    "ครับ" เจสันตอบแล้วรีบวิ่งออกไปทันที

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×