คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : 1
( เทียน เมธัส สิริยากร)
"สวัสดีครับคุณเทียน" เวกัสเอ่ยทักทายลูกชายคนโตของเจ้านายทันทีที่เขาเดินมาถึงพร้อมกับเข้าไปช่วยยกกระเป๋าเดินทางของเทียนขึ้นรถให้ด้วย
วันนี้เป็นวันแรกที่เทียนกลับประเทศไทยหลังจากที่เขาไปเที่ยวญี่ปุ่นมาถึง 3 เดือนเต็มๆ แต่การกลับมาครั้งนี้ดูเหมือนเทียนจะไม่ค่อยดีใจเท่าไหร่นักเพราะหลายวันมานี้เขาติดต่อหมิงไม่ได้เลยจึงทำให้ไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ เทียนเดินไปเดินมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดหลังจากพยายามโทรหาหมิงเพื่อนสนิทของเขาตั้งแต่ลงเครื่องมาแล้วแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะโทรติดเลย
"คุณเทียนจะกลับบ้านเลยไหมครับ" เวกัสถาม
"ไม่อ่ะ คุณช่วยพาผมไปส่งที่คอนโด xx หน่อยนะ" เทียนตอบ
"ไปหาคุณหมิงเหรอครับ" เวกัสถาม
"ใช่" เทียนตอบ
"ได้ครับ" เวกัสพูดแล้วเปิดประตูให้เทียนขึ้นไปนั่งบนรถก่อนที่ตัวเขาเองจะตามขึ้นไปแล้วรีบขับออกไปทันที
"ช่วงที่ผมไม่อยู่หมิงเขาไปหาผมที่บ้านบ้างหรือเปล่า" เทียนถาม
"ไม่นะครับ" เวกัสตอบ พอรู้ว่าอยู่ดีๆ เพื่อนก็หายไปอย่างไร้เหตุผลเขาก็ยิ่งรู้สึกเป็นห่วงมากว่าเดิมเพราะว่าก่อนหน้าที่เขาจะบินไปญี่ปุ่นครั้งนี้เขาได้นัดรวมตัวกับกลุ่มเพื่อนสนิทเพื่อมากินเลี้ยงสังสรรกันด้วยก่อนเนื่องจากครั้งนี้เขาจะไปนานเป็นพิเศษก็เลยอยากจะดื่มกับเพื่อนสักหน่อย แม้วันนั้นจะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแต่เขาก็แอบเห็นว่าหมิงมีอาการเงียบผิดปกติแถมเจ้าตัวยังดื่มเยอะมากอีกด้วย ถ้าดูจากสีหน้าก็คือรู้เลยว่าเขาต้องมีเรื่องทุกข์ใจอะไรอยู่อย่างแน่นอน
"ต้องโทษผมที่ตอนนั้นไม่ถามเขาให้รู้เรื่อง" เทียนพูด พอเกิดเรื่องขึ้นแล้วเทียนก็รู้สึึกผิดมากที่ตอนนั้นเขาปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปเพราะไม่คิดว่ามันจะใหญ่โตจนทำให้เพื่อนของเขาขสดการติดต่อไปแบบนี้
________________________________________
"ไม่อยู่แล้วเหรอครับ" หลังจากที่มาถึงเทียนก็รีบลงมาถามเรื่องหมิงกับพนักงานต้อนรับทันทีแต่คำตอบที่ได้ก็คือหมิงขายห้องนั้นไปแล้วเมื่อประมาณ 1 เดือนก่อน
"แน่ใจนะครับว่าขายไปแล้วจริงๆ" เทียนถามย้ำอีกครั้ง
"แน่ใจค่ะ คุณหมิงอยู่ที่นี่กับพวกเรามา 4 ปีก่อนที่จะไปยังมาบอกลากันอยู่เลบล ส่วนห้องนั้นก็ขายไปแล้วจริงๆ ลูกบ้านคนใหม่พึ่งย้ายเข้ามาอยู่เมื่ออาทิตย์ที่แล้วเองค่ะ" พนักงานตอบ
"งั้นพอจะมีเบอร์ติดต่อเขาไหมครับ" เทียนถาม
"คุณหมิงเหรอคะ" พนักงานถาม
"หมายถึง...คนใหม่ที่เข้ามาอยู่น่ะครับ" เทียนตอบ
"มันเป็นข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า ดิฉันให้ไม่ได้จริงๆ ค่ะ" พนักงานพูด
"นะครับ ผมมีเรื่องสำคัญต้องคุยกับเขาจริงๆ" เทียนตอบ
"ต้องขอโทษจริงๆ ค่ะ" พนักงานพูดเลยเดินออกมาหาเวกัสที่ยืนรอเขาอยู่ข้างนอก
"คุณเทียนออกมาแล้ว แค่นี้ก่อนนะ" เวกัสพูดแล้วก็รีบวางสายทันที
"ผมได้ข้อมูลของคุณหมิงมาแล้วครับ" คำพูดของเวกัสทำเอาหมิงกลับมามีแรงฮึดอีกครั้งหลังจากที่เดินคอตกออกมา
"คุณรู้แล้วเหรอว่าหมิงอยู่ที่ไหน" เทียนถาม
"ครับ" เวกัสตอบ คำตอบของเวกัสทำให้เทียนมีรอยยิ้มอีกครั้ง
"ไป รีบไป" เทียนพูดแล้วรีบดันให้เวกัสขึ้นรถเพื่อขับพาเขาไปเจอหมิงทันที
ระหว่างทางเวกัสก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับหมิงให้เทียนฟังอย่างละเอียดว่า
ช่วงประมาณกลางปีที่แล้วแม่ของหมิงป่วยหนักต้องเข้าโรงพยาบาลตลอดทำให้หมดค่ารักษาไปพอสักควรแต่เขาก็ยังผ่านมันไปได้จนเมื่อประมาณ 3 เดือนก่อนแม่ของหมิงได้เข้ารับการผ่าตัดเส้นเลือดในสมองและหลังจากผ่าตัดเสร็จครั้งนั้น ทำให้หมิงต้องหยุดงานเพื่อดูแลแม่ที่ป่วยจนไม่สามารถทำอะไรได้ด้วยตัวเองสักระยะ แม้จะมีเหตุผลในการลางานแต่ใช่ว่าบริษัทจะเข้าใจเขา สุดท้ายหมิงก็ถูกไล่ออกจากที่ทำงานด้วยเหตุผลที่ว่า "เขาไร้ความรับผิดชอบต่อหน้าที่" และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องยอมขายทุกอย่างทิ้งไปเพื่อนำเงินมาไว้ใช้เป็นทุนในการรักษาแม่ต่อในอนาคต
หลังจากเขาทิ้งทุกอย่างไปแล้วเขาก็พาแม่ย้ายจากสมุทรปราการไปอยู่ที่กรุงเทพเพราะมันอยู่ใกล้กับที่ทำงานใหม่ของเขาพอดีและงานใหม่ก็คือเป็นพนักงานในร้านอาหารฟิวชั่นแห่งนึงที่ค่อนข้างใหญ่โตและชื่อชื่อเสียงมากๆ
ตอนนี้เทียนเข้าใจแล้วว่าทำไมปาร์ตี้คืนนั้นเมื่อ 3 เดือนก่อนหมิงถึงได้มีอาการแปลกไป จริงๆ ตัวเขารู้อยู่แล้วว่าแม่ของหมิงป่วยหนักเพราะหมิงก็เคยเล่าให้ฟังอยู่บ้างแต่หลังจากที่ไปญี่ปุ่นแล้วเขาก็ไม่รับรู้เรื่องราวของหมิงอีกเลยไม่งั้นเทียนคงไม่ปล่อยให้เพื่อนรักต้องประสบกับปัญหาแบบนี้หรอก และถึงแม้จะบอกว่าหมิงโชคดีได้ทำงานกับร้านอาหารดัง ๆ แต่เทียนกับไม่เคยรู้เคยได้ยินชื่อหรือจักที่นั่นมาก่อนเลยแต่ก็อาจเป็นเพราะเขาไม่ค่อยได้อยู่ที่ไทยด้วยแหละมั้งจึงไม่ค่อยคุ้นชื่อร้านนี้ แต่ไม่ว่ายังไงวันนี้เทียนก็ตั้งใจแล้วว่าจะพาเพื่อนของออกมาจากที่นั่นแล้วให้มาทำงานกับครอบครัวของเขาแทน
เทียน Part...
ตอนนี้ผมมายืนอยู่ที่หน้าร้านอาหารที่หมิงทำงานอยู่แล้ว ซึ่งพอมาเห็นเองกับตาตัวเองก็แอบตกใจไม่น้อยที่ร้านมันหรูหราและใหญ่โตมากขนาดนี้ ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินไปในร้านแห่งนี้ทันที
"ว้าว~" ผมอุทานออกมาอย่างประหลาดใจเพราะภายในร้านมันอัศจรรย์ยิ่งกว่าข้างนอกอีก เสียงเพลงคลอเบาๆ กับบรรยากาศสุดโรแมนติกมันช่างดีต่อใจซะเหลือเกินและแม้ที่นี่จะเป็นร้านอาหารแต่มันกับไม่มีกลิ่นอาหารออกมารบกวนโพรงจมูกเลยเพราะที่นี่เต็มไปด้วยกลิ่นอโรามาหอมอ่อนๆ ซึ่งพอได้สูดดมแล้วก็รู้สึกสดชื่นเป็นอย่างมาก ผมก้าวเดินเข้าไปช้าๆ อย่างกับคนที่กำลัังถูกแรงดึงดูดของเวทมนตร์ชักนำ
"สวัสดีค่ะคุณลูกค้า ไม่ทราบว่าได้จองไว้หรือเปล่าคะ" หลังจากถูกบรรยากาศในร้านทำให้เคลิ้มไปก็มีพนักงานสาวสวยคนนึงเดินเข้ามาถามผมจนทำให้ผมได้สติ
"เอ่อ! เปล่าครับ" ผมตอบ
"อ๋อ~ลูกค้ามากี่ท่านคะ" พนักงานถาม สีหน้าของเธอยิ้มแย้มแจ่มใสดูเป็นมิตรสุดๆ
"คนเดียวครับ" ผมตอบ
"งั้นเชิญลูกค้าทางนี้เลยค่ะ" เธอพูดจบก็ผายมือบอกทางให้ผมเดินตามไป เธอพาผมมายังโต๊ะที่ว่างอยู่แล้วนำเมนูอาหารมาวางไว้ให้
"ขอผมดูเมนูสักครู่นะครับ" ผมพูด
"ได้ค่ะ" เธอตอบแล้วก็เดินจากไปซึ่งนั่นเป็นความต้องการของผมอยู่แล้ว ผมพยายามมองไปรอบๆ ร้านแต่ก็ไม่เห็นหมิงเลยไม่รู้ว่าเขาไปอยู่ที่ไหน
"หรือว่าจะอยู่ที่ชั้นสองนะ" ผมพูดแล้วมองไปที่บันไดทางขึ้น ตรงนั้นมีพนักงานเดินขึ้นลงอยู่ตลอดเวลาเพื่อนำอาหารและเครื่องดื่มขึ้นไปเสิร์ฟ ผมมองอยู่สักพักเลยแต่ก็ไม่เห็นวี่แววของหมิงอีกเหมือนเดิม
จะว่าไปร้านนี้มีพนักงานเยอะมากนะแค่เฉพาะที่บริการอยู่ที่ชั้นนี้ก็น่าจะประมาณสิบกว่าคนได้แล้วนี่ยังไม่รวมคนที่ดูแลอยู่ข้างบนและพนักงานในห้องครัวอีก ดูถ้าเจ้าของที่นี่จะต้องเป็นคนใหญ่คนโตแน่ๆ
หลังจากนั่งสำรวจไปได้แป๊ปนึงผมก็เรียกพนักงานให้มารับออร์เดอร์ที่โต๊ะแต่ด้วยความที่ผมไม่ได้ตั้งใจมาทานอาหารแต่แรกอยู่แล้วก็เลยจิ้มๆ ไปมั่วๆ 2-3 รายการแล้วก็เพิ่มไวน์แดงมาด้วยอีกขวด
ระหว่างที่รออาหารผมก็ยังคงมองหาหมิงอยู่ตลอดแต่ทันทีที่อาหารถูกนำมาเสิร์ฟกลิ่นของมันก็ตีขึ้นมาที่จมูกจนผมต้องรีบหันกลับมาดู น่าแปลกมากที่ตอนเข้ามาผมเดินผ่านโต๊ะมานังไม่ถ้วยแต่ไม่ได้กลิ่นอาหารจากโต๊ะไหนเลยจนกระทั่งมีอาหารมาวางตรงหน้าผม
"ทานให้อร่อยนะคะ" พนักงานพูดแล้วก็เดินจากไป
"นี่มันบ้าไปแล้วชัดๆ" ผมมองไปที่อาหารตรงหน้าที่ดูดีจนผมแทบอดใจไม่ไหวแล้ว ตอนนี้ผมขอลืมเรื่องหมิงแล้วจัดการของตรงหน้าก่อนแล้วกัน
เพียงแค่ใช้มีดหันลงไปเบาๆ เนื้อตรงหน้าก็ขาดออกจากกัน ผมใช้ส้อมจิ้มมันลงไปแล้วยกขึ้นมาดมกลิ่นใกล้ๆ
"หอมมาก~" เพียงแค่ได้ดมกลิ่นน้ำลายในปากก็แตกออกอย่างกับกำลังเร่งเร้าให้ผมกินมันสักทีและแน่นอนผมเองก็ไม่รอช้าอ้าปากรับเนื้อชิ้นนั้นทันที
(ว้าว แบบนี้มันอร่อยที่จู๊ดเยยยยยยย~)
นี่แหละเนื้อสเต๊กที่ถูกต้องสำหรับผม รสชาติอร่อยละมุนลิ้นกัดเข้าไปก็มีซอสแตกอยู่ในปากแถมเนื้อยังนุ่มจนแทบไม่ต้องเคี้ยวเลย กลิ่นเครื่องนี่ก็เทศตลบอบอวลจนตีขึ้นจมูก มันช่างเป็นอะไรที่ฟินมากจริงๆ
ผมไม่รอช้าซัดอาหารที่เหลือเข้าไปจนหมดอย่างเอร็ดอร่อยในเวลาอันรวดเร็วจากนั้นก็สั่งอาหารมาเพิ่มจนพนักงานต้องเดินมาเสิร์ฟแบบไม่ได้หยุดพักกันเลยทีเดียว
22:45 น.
เอิ๊ก~ (เสียงเรอ)
"อิ่มจัง" ผมยกมือขึ้นมาลูบท้องเพราะรู้สึกแน่นไปหมดจนลุกไม่ไหวแล้ว
"ขออนุญาตค่ะคุณลูกค้า" พนักงานเดินเข้ามาหาผมแล้วพูดด้วยน้ำเสียงไพเราะ
"ครับ" ผมถาม
"พอดีร้านของเราจะปิดให้บริการตอน 5 ทุ่ม รบกวนลูกค้าชำระค่าอาหารก่อนได้ไหมคะ" พนักงานพูด
"อ่อ ได้ครับ" ผมตอบแล้วล้วงหากระเป๋าสตางค์เพื่อที่จะจ่ายค่าอาหารแต่ไม่ว่าจะล้วงไปตรงไหนก็ไม่เจอกระเป๋าสตางค์เลย
"เอ่อ~สักครู่นะครับ" ผมพยายามจับดูตามตัวอีกรอบเพื่อความแน่ใจแต่คำตอบก็ยังเป็นเหมือนเดิมคือผมไม่เอาพกมา
"ขะ ขอโทษนะครับแต่ผมน่าจะลืมกระเป๋าสตางค์ไว้บนรถยังไงช่วยรอสักครู่ได้ไหมครัับเดี๋ยวผมจะรีบวิ่งไปหยิบมาให้เลย" ผมพูด สีหน้าของพนักงานเริ่มเปลี่ยนไปทันที
"มาไม้นี้อีกแล้วนะคะคุณลูกค้า" พนักงานตอบ
"ครับ" ผมอุทานออกไปด้วยความสงสัย
"พวกเราทำงานอยู่ที่นี่เจอเคสกินแล้วหนีมาก็ไม่ใช่น้อยๆ ดิฉันว่าลูกค้าจ่ายเงินมาซะดีๆ เถอะนะคะพวกเราจะได้ไม่ต้องลำบากเรียกคุณตำรวจมา" พนักงานพูดพร้อมกับส่งยิ้มที่ดูไม่เป็นมิตรเท่าไหร่มาให้ผม
หลังจากโต้ตอบฉันไปมาพนักงานก็เริ่มพูดจาเป็นกันเองกับผมมาขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้พวกเรายืนเถียงกันอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์มาสักพักแล้วแต่ก็ดูเหมือนเหตุการณ์จะไม่ได้ดีขึ้นเลย ผมเองก็ไม่ใช่คนใจดีสักเท่าไหร่แต่ครั้งนี้ผมผิดติดที่มาทานอาหารแล้วไม่ได้พกเงินมาด้วยจึงได้ทนพูดกับเขาดีๆ แม้ว่าปกติผมจะไม่ใช่คนแบบนี้เลยก็ตาม
"เงินผมอยู่ในรถจริงๆ" ผมพูด
"แล้วพวกเราจะเชื่อได้ไงว่าถ้าปล่อยให้คุณออกไปคุณจะไม่หนีไป" เธอตอบ
"งั้นคุณก็ให้คนตามผมไปด้วยสิ" ผมพูด
"แล้วถ้าคุณมีอาวุธอยู่ในรถพวกเราไม่ตายกันหมดเหรอ" เธอตอบ
(โอ๊ย~ชักจะทนไม่ไหวแล้วนะ)
"เอางี้ไหม เดี๋ยวคุณเอานาฬิกาผมไว้พอผมเดินไปเอาเงินมาชำระให้คุณเสร็จคุณค่อยคืนนาฬิกาผม" ผมพูด
"เงินค่าอาหารยังไม่มีปัญญาจ่ายเลยจะเอานาฬิกามาอะไรก็ไม่รู้มาเป็นตัวประกัน" เธอตอบ ผมนี่ขึ้นเลยกล้าพูดว่านาฬิกาอะไรก็ไม่รู้ได้ไงว่ะ ผมถกแขนเสื้อขึ้นแล้วยื่นข้อมือไปตรงหน้าเธอเพื่อมห้เธอเห็นชัดๆ ว่านี่มันไม่ใช่นาฬิการาคาถูกๆ เลยนะ
"นี่มัน Rolex เชี่ยวนะ" ผมพูด
"ของจริงหรือเปล่าล่ะ" เธอถาม
"ก็ต้องขิงจริงดิ" ผมตอบ เธอทำหน้าไม่เชื่อแล้วหันไปหัวเราะกับเพื่อนพนักงานของเธอ
"จะออกไปเอาเงินที่รถก็ได้แต่ต้องทิ้งบัตรประชาชนไม่ก็มือถือไว้เท่านั้นถึงจะออกไปได้" เธอพูด
"ก็ถ้ามีมือถือจะยืนเถียงอยู่ตรงนี้ตั้งนานไหมล่ะส่วนบัตรประชาชนก็อยู่ในกระเป๋าสตางค์นั่นแหละ" ผมตอบ
"งั้นจะเอาไง ให้เรียกตำรวจเลยไหม" เธอเท้าเอวถามผม
"คุณให้ใครก็ได้เดินไปที่ลานจอดรถบอกคนที่เฝ้ารถอยู่ใครเขาเอาโทรศัพท์และกระเป๋าสตางค์ของผมมาที่นี่" ผมตอบ
"ได้" เธอตอบแล้วมองหาพนักงานคนอื่นที่กำลังทำความสะอาดร้านอยู่ใกล้ๆ
"เฟิร์ส" เธอพูด
"ครับพี่" พนักงานชายอีกคนรีบวางอุปกรณ์แล้ววิ่งมาหาเธอทันที
"เดี๋ยวไปที่ลานจอดรถหน่อยนะ ดูสิว่าตรงนั้นมีคนอยู่หรือเปล่า ถ้ามีก็บอกเขาว่าคนชื่อ..." เธอหันหน้ามาหาผมเหมือนเป็นการถามว่าผมชื่ออะไร
"เทียน เมธัส สิริยากร" ผมตอบ เธอหลุดขำออกมาแล้วก็หันกลับไปหาพนักงานชายคนนั้น
"ชื่อเทียนให้เขามาหาแล้วก็เอาเงินมาจ่ายค่าอาหารให้ด้วย" เธอพูด
"ได้ครับพี่" พนักงานชายตอบแล้วก็รีบออกไปทันที
"เมธัส สิริยากร ฮึๆๆ" เธอพูดออกมาเบาๆ แล้วก็หัวเราะคิกคักใหญ่เลย
(จบพาร์ทเทียน)
ในระหว่างที่รอกันอยู่พนักงานสาวคนนึงกลัวว่าทั้งคู่จะมีปัญหากันก็เลยรีบเข้าไปในครัวเพื่อแจ้งให้กับเจ้าของร้านรับรู้ว่าข้างหน้ามีคนทะเลาะกันอยู่
"น้องปูนปั้นค่ะ น้องปูนปั้น" เสียงพนักงานสาวกระโกนถามหาเจ้าของร้านของเธอที่วันนี้วิ่งวุ่นอยู่ในครัวตลอดทั้งคู่ทั้งๆ เพราะลูกค้าแน่นร้านไปหมดและเขาเองก็เพิ่งจะได้หยุดพักเมื่อไม่กี่นาทีนี้นี่เอง
( ปูนปั้น ณภัทร โฮร่าห์ )
ความคิดเห็น