ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เล่ห์รัก…ภูริทัต

    ลำดับตอนที่ #5 : เลขาส่วนตัววันแรก

    • อัปเดตล่าสุด 5 ก.พ. 65


    ตอนที่5

    เลขาส่วนตัววันแรก

    แพรพลอยส่งเมลอัพเดตวาระการประชุมให้ทุกแผนกทราบทันทีที่การประชุมเสร็จสิ้น พร้อมๆกับตามท็อปและตันหยงมาเพื่อคุยเรื่องหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ รวมทั้งวัดตัวท็อปเพื่อสั่งตัดยูนิฟอร์ม ป้ายเด็กฝึกงานตามโครงการถูกสั่งให้ถอดออกและให้ทั้งคู่สวมบัตรพนักงานของวงศ์ปริญญากรุ๊ปแทน

    “สัปดาห์หน้ายูนิฟอร์มก็น่าจะได้ พอได้แล้วก็ไม่ต้องใส่ชุดนักศึกษามาทำงานแล้วนะ ส่วนตันหยงจะไม่มีชุดยูนิฟอร์มตายตัวให้ สามารถแต่งชุดนอกมาทำงานได้ ขออย่างเดียวชุดต้องเหมาะสมกับตำแหน่งเลขาผู้บริหาร” แพรพลอยบอกเด็กรุ่นน้องทั้งสอง และเมื่อทั้งท็อปและตันหยงรับทราบเธอก็แจ้งเรื่องสวัสดิการต่อ

    “เงินเดือนคุณภูริให้เริ่มต้นที่เดือนละหนึ่งหมื่นสี่พันห้าร้อยบาทถ้วน แต่จะหักประกันสังคมห้าเปอร์เซ็นต์ เบี้ยขยันเดือนละสองพันบาทจะได้ในกรณีที่น้องๆไม่ขาดงาน ไม่มาทำงานสายนะคะ เวลาเข้างานเลิกงานตามปกติคือแปดโมงเช้าถึงห้าโมงเย็น”

    อยู่ดีๆก็มีรายรับเพิ่มต่อเดือนถึงเดือนละกว่าหนึ่งหมื่นหกพันบาท ทำให้ทั้งตันหยงและท็อปดีใจจนเนื้อเต้น ใครจะคาดคิดว่าการมาฝึกงานเสริมสร้างประสบการณ์การทำงานให้ตัวเองจะสามารถสร้างรายได้ด้วย ถ้าเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆแม้จะแค่เทอมเดียวแต่ก็คงแบ่งเบาภาระผู้ปกครองไปได้เยอะ

    “ขอบคุณมากนะคะพี่แพร”

    “ไม่ต้องขอบคุณพี่หรอกจ้าพี่ก็แค่ทำตามคำสั่ง นู่นไปขอบคุณเจ้านายผู้ใจดีจะดีกว่า”

    ท็อปกับตันหยงพยักเพยิดให้กันทำท่าจะลุกขึ้น แต่โดนแพรพลอยบอกให้นั่งฟังต่อ เพราะเธอยังชี้แจงสิทธิประโยชน์ที่ทั้งคู่ควรจะได้รับไม่หมด

    “แต่พอมีเงินเดือนให้ หน้าที่ของน้องๆก็จะเยอะกว่าเด็กฝึกงานทั่วไปนะ รับเงื่อนไขนี้ได้รึเปล่า”

    “ได้สิคะ”ตันหยงรีบตอบทันทีที่แพรพลอยถามและหันมาสะกิดเพื่อนชายคนสนิทให้รีบตอบเพราะกลัวแพรพลอยจะเปลี่ยนใจ

    “ได้ครับพี่แพร”ท็อปตอบบ้าง

    “โอเค งั้นตั้งใจฟังให้ดีๆนะ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปท็อปจะฝึกงานกับแผนกการตลาดแบบเต็มตัว จะมีคุณอ็อฟฟี่เป็นพี่เลี้ยงคอยเทรนด์งานให้แบบใกล้ชิด อาจจะต้องไปทำงานนอกสถานที่ด้วยตามความเหมาะสม เวลาเลิกงานอาจจะเลทบ้างนะตามหน้างานอีกที”

    “ครับพี่แพร”

    “การทำงานนอกสถานที่หรือนอกเวลาจะมีค่าเดินทางเพิ่มให้รวมทั้งค่าล่วงเวลาด้วย คุณอ็อฟฟี่จะเป็นคนทำเรื่องเบิกให้นะคะท็อป แต่ถ้าวันไหนไม่ได้ออกไปจากออฟฟิศก็จะสแกนนิ้วเข้างาน-เลิกงานตามปกติ ห้ามสายเด็ดขาดไม่งั้นก็จะชวดเบี้ยขยัน”

    “รับทราบครับ”

    “โอเค งั้นเรื่องของท็อปก็หมดลงแล้ว ไปรายงานตัวกับคุณอ็อฟฟี่ได้เลยค่ะ พี่ส่งเมลแจ้งรายละเอียดเอาไว้ให้แล้ว”

     

    ท็อปเดินไปการตลาดตามที่แพรพลอยบอก เมื่อร่างเด็กหนุ่มลับตาแพรพลอยจึงหันมาคุยกับตันหยงต่อ

    “ส่วนตันหยง หน้าที่ของน้องก็คือฝึกงานในฐานะเลขาส่วนตัวของคุณภูริทัต”

    “อะไรนะคะ”ตันหยงอุทานออกมาเสียงหลงทันทีที่แพรพลอยพูดจบ สาวรุ่นพี่เอาอะไรมาพูด เลขาส่วนตัวของผู้บริหารมันเป็นกันได้ง่ายๆที่ไหน ใครๆก็อยากเป็นมาสมัครกี่รายต่อกี่รายก็ผิดหวังกันไปหมดแต่อยู่ดีๆจะให้เธอนี่นะมาทำงานในตำแหน่งนั้น วัยวุฒิก็ไม่ได้ คุณสมบัติก็ไม่ผ่าน เธอไม่ได้เรียนสายนี้โดยตรงแถมยังเรียนไม่จบปริญญาตรีด้วยซ้ำ

    “ฟังไม่ผิดหรอกตันหยง พี่หมายความว่ายังงั้นจริงๆ”

    “แล้วพี่แพรล่ะคะ นี่มันหน้าที่ของพี่นี่นา”

    “ตันหยงเข้าใจผิดแล้ว”แพรพลอยพูดยิ้มๆ เธอยกแก้วน้ำขึ้นดื่มก่อนที่จะร่ายยาว

    “ที่ผ่านมาพี่ทำงานในหน้าที่เลขาของคุณภูรินทร์ พ่อของคุณภูริทัต จนตอนนี้พี่ก็ยังเป็นเลขาของคุณภูรินทร์อยู่ คุณภูริทัตเพิ่งเข้ามาทำงานแทนคุณพ่อได้ไม่นานนี้ยังไม่มีเลขาส่วนตัวเป็นการเป็นงานพี่ก็เลยควบสองตำแหน่งซะเลย” เลขาผู้บริหารชำเลืองมองคู่สนทนาก่อนที่จะกล่าวต่อ

    “แต่ตันหยงไม่ต้องห่วงนะ พี่จะคอยสอนงานให้อย่างเต็มที่ ติดขัดตรงไหนก็สอบถามพี่ได้ตลอด และตำแหน่งเลขาที่ให้ทำก็แค่ชั่วคราวเท่านั้นถ้าบริษัทหาคนที่คู่ควรกับตำแหน่งนี้ได้เมื่อไหร่ตันหยงก็จะกลับมาฝึกงานกับพี่เหมือนเดิม”

    “เอ่อ…แต่หยงไม่เคยทำงานกับระดับผู้บริหารมาก่อนเลยนะคะ” เด็กฝึกงานอดกังวลใจไม่ได้ แค่งานแรกที่แพรพลอยมอบหมายให้ทำวันก่อนเธอยังจับต้นชนปลายไม่ถูกจนภูริทัตต้องเดินมาสอนงานด้วยตัวเอง แล้วถ้าเธอต้องเป็นผู้ช่วย CEO หนุ่มเต็มตัว เธอก็กลัวว่าจะทำให้ภูริทัตทำงานได้ล่าช้ากว่าเดิม

    ไม่รู้ว่าจะเป็นผู้ช่วยหรือผู้สร้างความวุ่นวายกันแน่

    “อย่าคิดมากสิ พี่บอกแล้วไงว่าจะสอนงานให้เต็มที่ พี่ก็ไม่ได้ไปไหนซะหน่อยยังนั่งทำงานที่เดิม หยงก็ทำงานที่เดิม แค่ทำงานเต็มตัวแค่นั้นเอง”

    “เอ่อ ลองดูก่อนก็ได้ค่ะพี่แพร”

     

     

    กริ๊ง……

    เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ตันหยงสะดุ้งสุดตัวรีบวางปากกาในมือและวิ่งออกไปรายงานให้แพรพลอยรู้

    “พี่แพรคะโทรศัพท์ดังค่ะ” เสียงค่อยๆเบาลงเรื่อยๆเมื่อเห็นว่ารุ่นพี่กำลังติดสายอยู่ แพรพลอยหันมามองยกมือจุ๊ปากให้อีกคนลดเสียง และจ้องตันหยงดุๆ

    “ขอโทษค่ะ หยงไม่ทราบว่าพี่ติดสาย”

    “พี่ไม่ได้ติดสายหรอก พี่ก็โทรหาตันหยงนั่นแหละ”แพรพลอยวางหูโทรศัพท์ลง พร้อมๆกับเสียงโทรศัพท์ในห้องทำงานของภูริทัตก็เงียบเสียงลง

    “อ้าว….”เลขาชั่วคราวถึงกับเหวอเมื่อได้ยินแบบนั้น ยกมือเกาหัวแกรกๆ

    “นั่งลงสิตันหยง ท่าทางเรามีเรื่องต้องคุยกันยาวแน่นอน”

    ตันหยงขยับเก้าอี้นั่งตามที่แพรพลอยบอก เด็กสาวนั่งตัวลีบเพราะกลัวว่าจะโดนสาวรุ่นพี่ดุ

    “ข้อแรกเลยนะตันหยง ตลอดเวลาที่ผ่านมาแม้ว่างานจะเร่งด่วนมากแค่ไหน ตันหยงเคยเห็นพี่วิ่งกระหืดกระหอบไหม”

    “ไม่เคยค่ะ”

    แพรพลอยคือผู้หญิงที่มีบุคลิกภาพดีตลอดเวลาแม้ว่าจะทำงานหนักแค่ไหน หรือจะล่วงเวลาจนดึกจนดื่นแต่แพรพลอยก็ยังสวยเนี้ยบ แม้กระทั่งเวลานั่งทำงานที่โต๊ะยังนั่งหลังตรง สวยเริ่ด ไม่มีที่ติ สมกับตำแหน่งเลขานุการของผู้บริหารทุกกระเบียดนิ้ว

    “สิ่งแรกที่เธอต้องมีนะตันหยงก็คือสติ” แพรพลอยย้ำหนักมากเพราะนี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด

    “พอสติมาปัญญาก็จะเกิด ถ้าเธอไม่รนปุ๊บเธอจะคิดออกเองว่าจะต้องทำอะไรต่อ อย่าลืมสิว่าตอนนี้เธอกำลังทำหน้าที่อะไรอยู่”

    “ค่ะพี่แพร” ตันหยงรับคำเสียงจ๋อย เธอทำพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย มีอย่างที่ไหนที่ผู้ช่วยผู้บริหารจะตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เพียงแค่เสียงโทรศัพท์ดังเท่านั้น

    “ต่อไปถ้าโทรศัพท์ในห้องดังเธอก็แค่รับเท่านั้นเองไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย ถึงแม้ว่าคุณภูริจะนั่งอยู่โต๊ะเธอก็ต้องเป็นคนรับ ซักถามรายละเอียดให้ครบถ้วน ใครโทรมา โทรมาทำไม ต้องการอะไร โน้ตรายละเอียดให้เรียบร้อยและอัพเดตคุณภูริให้ทราบ หรือถ้าไม่แน่ใจในคำตอบก็กด hold สาย ถามรายละเอียดจากพี่ให้เรียบร้อยแล้วค่อยตอบ”

    “ค่ะพี่แพร”

    “โอเค และอีเมลสำคัญมากๆต้องเช็คตลอดห้ามหลุด จะทำงานอะไรก็ต้องรอบคอบ เรื่องไหนต้องForward Mail ก็ต้องทำทันทีเดี๋ยวลืม และนี่คือเบอร์ภายในของแผนกต่างๆ เอาไปติดที่โต๊ะด้วยเผื่อคุณภูริให้โทรแจ้งงาน” กระดาษ A4 ที่มีเบอร์ภายในถูกซีร็อกซ์และหยิบยื่นส่งให้ ตันหยงรับมาถือเอาไว้และตั้งใจฟังต่อ

    “ทีนี้ก็กลับไปทำงานได้แล้ว ถ้ามีเรื่องอะไรสงสัยก็โทรมาได้เลยนะไม่ต้องวิ่งมาแบบเมื่อกี้ มันเสียบุคลิก”

    “แต่หยงยังไม่มีเบอร์โทรของพี่แพรเลยนี่คะ” เธอบอกก่อนที่จะยิ้มแหยๆเมื่อนิ้วเรียวของแพรพลอยชี้ไปที่กระดาษ A4 ที่เธอเพิ่งรับมาหมาดๆ

    “อุ๊ย มีเบอร์ของพี่แพรอยู่ในนี้ด้วยนี่นา ขอโทษค่ะ”

     

    ก็อกๆๆๆ

    เสียงเคาะประตูกระจกดังเป็นจังหวะทำให้ตันหยงที่กำลังง่วนกับเอกสารกองโตต้องเงยหน้าขึ้นมองไปยังต้นเสียง สาวน้อยเบิกตากว้างเมื่อเห็นผู้มาทักทายชัดๆ

    “ท็อป มาได้ยังไงเนี่ย”

    “ก็มารับหยงกลับบ้านไง” ร่างเด็กฝึกงานแผนกการตลาดเลื่อนบานประตูกระจกเข้ามาหาคนที่ยังวุ่นวายอยู่บนโต๊ะ ชายหนุ่มเท้าแขนโน้มใบหน้าเข้าใกล้ตันหยงก่อนที่จะกล่าวต่อ

    “เลิกงานแล้วนะยังไม่เสร็จงานอีกเหรอจ้ะเลขาผู้บริหารใหญ่”

    “นี่ท็อปอย่ามาทำแซวนะ”ตันหยงยกมือตีเบาๆไปที่หัวไหล่ของเพื่อนชายคนสนิท ก่อนที่จะบุ้ยบ้ายไปที่ห้องประชุมที่ปิดเงียบมาราวๆสามชั่วโมงแล้ว “หยงจะกลับได้ยังไงล่ะคุณภูริกับพี่แพรยังไม่ออกมาจากห้องประชุมเลย”

    “ถ้าเจ้านายประชุมเลิกดึกก็แปลว่าหยงต้องรอจนดึกเลยใช่ไหม”

    “ก็ต้องเป็นยังงั้นแหละ ทำไงได้ล่ะท็อปก็มันเป็นหน้าที่นี่นา”

    ท็อปยกเก้าอี้ที่วางซ้อนกันตรงมุมห้องออกมาหนึ่งตัวเอาลงมานั่งฝั่งตรงข้ามตันหยง นั่งจ้องมองอีกฝ่ายทำงานก่อนที่จะเอ่ยชมออกมาจากใจจริง

    “หยงจริงจังกับการทำงานแบบนี้ก็ดูน่ารักดีนะ ท็อปไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”

    “บ้าน่า อย่ามาแซวนะงานยิ่งเยอะอยู่” ตันหยงทำหน้ายู่ก่อนที่จะเลื่อนกองเอกสารตรงหน้าให้ท็อปดูว่าเธองานเยอะมากแค่ไหนเพื่อที่อีกฝ่ายจะได้เลิกล้อเธอสักที

    “โอเคๆ งั้นหยงทำงานต่อไปเถอะท็อปสัญญาว่าจะนั่งเป็นเพื่อนเงียบๆ และรอกลับบ้านพร้อมกันนะ”

     

    เวลาผ่านไปนานแค่ไหนก็ไม่รู้ รู้แต่ว่ามันนานมากๆ ตันหยงหาวแล้วหาวอีกส่วนท็อปก็เล่น Facebook รอเป็นการฆ่าเวลา ในที่สุดก็ได้ยินเสียงสนทนากันเบาๆลอดมาให้ได้ยิน 

    “อ้าวคุณตันติยา นี่ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ” ภูริทัตมองผู้ช่วยคนใหม่อย่างสงสัย ตอนนี้ก็เลยเวลาเลิกงานมานานมากแล้วแต่อีกฝ่ายยังไม่กลับ เขาจำได้ว่าเขาไม่ได้บอกให้อีกคนอยู่รอนี่นา

    “ยังค่ะ พอดีหยงรอคุณภูริกับพี่แพรประชุมเสร็จค่ะเผื่อมีงานด่วนอะไรให้หยงทำวันพรุ่งนี้”

    แพรพลอยอมยิ้มมองเด็กปั้นอย่างเอ็นดูก่อนที่จะเหลือบไปเห็นท็อปที่นั่งงียบอยู่ตรงมุมห้อง

    “อ้าวท็อป ทำไมยังไม่กลับบ้านล่ะหรือว่าเพิ่งเลิกงาน”

    “เปล่าครับ พอดีว่าผมมานั่งรอหยงเคลียร์งานให้เสร็จจะได้กลับบ้านพร้อมกลับ”

    “ทำไมต้องรอล่ะ”แพรพลอยเอ่ยถามอย่างสงสัย ก่อนที่จะนึกอะไรออก สาวรุ่นพี่มีแววตาล้อเลียนอยู่ในที พร้อมกับชี้นิ้วไปมาระหว่างรุ่นน้องทั้งสองคน

    “ฮั่นแน่……..อย่าบอกนะว่าเธอทั้งคู่เป็นแฟนกัน”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×