คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : หน้าที่ของเด็กฝึกงาน
ตอนที่4
หน้าที่ของเด็กฝึกงาน
เสียงสนทนาที่ดังมาจากข้างนอกทำให้ภูริทัตลอดสายตาผ่านแว่นชำเลืองมองอย่างสงสัย ภาพที่เห็นคือแพรพลอยกำลังสอนงานน้องเด็กฝึกงานคนใหม่ทั้งสอง สิ่งนั้นมันไม่น่าแปลกหรอกเพราะมันคืออีกหน้าที่ของผู้ช่วยสาว แต่สิ่งที่แปลกก็คือภาพของตันหยงและท็อปที่หยอกเอินกันอย่างสนิทสนม
“ทำไมสองคนนี้ถึงได้สนิทกันมากขนาดนี้?” ภูริทัตสงสัยผสมปนเปกับความไม่พอใจหน่อยนึง แต่ก็หาเหตุผลที่พอจะเข้าใจได้มาอ้าง
“ก็คงเพราะเรียนที่เดียวกันนั่นแหละ รู้จักกันมาก่อนก็คงสนิทกันเป็นเรื่องธรรมดา”
มันคือเหตุผลที่ฟังขึ้นและเข้าใจได้เพราะถ้าเป็นตัวเขาเอง การที่ได้ไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้น อยู่ท่ามกลางคนที่ไม่รู้จัก ถ้ามีใครสักคนที่เคยรู้จักกันมาก่อนมาอยู่ในสถานการณ์นั้นด้วยตัวเขาก็คงตีซี้ทำความรู้จักเพิ่มเติมเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องโดดเดี่ยวเดียวดายเกินไป
“พักเที่ยงไปกินข้าวด้วยกันนะหยง”
ท็อปชวนตันหยงด้วยสุ้มเสียงปกติแต่มันดันลอดผ่านประตูกระจกมาเข้าหู CEO หนุ่มที่เงี่ยหูรอฟังอยู่จนได้ นักธุรกิจหนุ่มร้อนรุ่มที่สุดอยากเข้าไปขวางการสนทนานั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ตันหยงตอบตกลง
“ไปสิ ท็อปว่าแต่อยากกินอะไรล่ะ”
“ตามสั่งหน้าออฟฟิศก็ได้นะ ง่ายดี อร่อยด้วย”ท็อปบอก ตันหยงก็เห็นด้วย สถานะนักศึกษาฝึกงานอย่างเธอที่ยังไม่มีรายรับประจำ แถมยังต้องมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาทำงานอีก อะไรที่ประหยัดได้ก็ควรต้องประหยัด
“พี่แพรพลอยไปด้วยกันไหมครับ” ท็อปหันมาชวนรุ่นพี่สาวบ้าง
“แหม นึกว่าจะไม่ชวนพี่ซะแล้ว” เลขานุการสาวแซวเสียงใสก่อนที่จะวางแฟ้มงานทั้งหมดลงบนโต๊ะ เธอเมื่อยแขนพอดูเพราะต้องหอบแฟ้มไปสอนเด็กฝึกงานทั้งสอง ต้องเดินไปเดินมาจากโต๊ะตัวเองไปการตลาด และลากจากฝ่ายการตลาดกลับมายังโต๊ะตัวเองอีกรอบ
“แต่ไปกันเถอะจ้ะพี่ห่อข้าวมาด้วยเอาเข้าเวฟแป๊บเดียวก็กินได้แล้ว วันนี้ต้องทำเวลาหน่อยเพราะตอนบ่ายมีประชุม”
“แล้วหยงกับท็อปต้องเข้าด้วยไหมคะพี่แพร”
“อืมม.. พี่ว่าไม่ต้องเข้าก็ได้มั้งส่วนใหญ่จะมีตั้งแต่ระดับผู้จัดการแผนกขึ้นไปนะ เราทั้งสองแค่ช่วยพี่จัดเตรียมเอกสารสำหรับการเข้าประชุมก็พอ และอาจจะรบกวนช่วยเตรียมของว่างและกาแฟให้ผู้บริหารด้วย”
“ได้เลยค่ะพี่แพรพลอย”
“ด้วยความยินดีครับ”
การพูดอย่างเป็นทางการของท็อปทำให้สองสาวขำ หลุดหัวเราะออกมาพร้อมกันก่อนที่ทั้งหมดจะแยกย้ายกันไปพักผ่อนตามอัธยาศัย
การประชุมเริ่มตอนบ่ายสอง ทำให้ช่วงเวลานี้ถ้าใครเดินผ่านหน้าโต๊ะทำงานของแพรพลอยก็จะเห็นความวุ่นวายพร้อมเสียงที่ดังกว่าปกติ ท็อปกับตันหยงต่างหัวฟูวิ่งวุ่นซีร็อกซ์เอกสารและเย็บเข้าเล่ม ส่วนแพรพลอยก็ส่งเมลคอนเฟิร์มการประชุมไปยังแผนกต่างๆ
“ขอโทษด้วยนะเด็กๆที่พี่ต้องทำให้วุ่นวายไปด้วยแบบนี้”
“เรื่องเล็กน้อยค่ะพี่แพร จริงไหมท็อป”
“ใช่แล้วครับ ดีเสียอีกที่พวกเราจะได้มีโอกาสทำงานจริงๆกันมากกว่าแค่จำลองเหตุการณ์หรือถ่ายเอกสาร ชงกาแฟ เหมือนคนอื่นๆที่ผ่านมา”
ปกติก่อนการประชุมหน้าที่พวกนี้แพรพลอยจะต้องจัดเตรียมให้เรียบร้อยก่อนวันงานอย่างน้อย 1 วัน แล้วค่อยมาคอนเฟิร์มเป็นลายลักษณ์อักษรอีกครั้งก่อนเวลาเริ่มสัก1-2ชั่วโมง แต่เพราะว่าภูริทัตมอบหมายหน้าที่สอนงานให้เด็กฝึกงานทั้งสองทำให้แพรพลอยงานยุ่งกว่าเดิมเป็นสองเท่าและไม่สามารถจัดเตรียมทุกอย่างได้ทันภายในระยะเวลาเท่าเดิม
เอกสารที่จัดเตรียมเรียบร้อยถูกจัดวางในห้องประชุมตามรายชื่อที่วางกำกับ เริ่มจากหัวโต๊ะที่เป็นของภูริทัต และไล่เรียงเป็นของผู้จัดการแผนกต่างๆ รวมแล้วก็หลายสิบชีวิต ตันหยงเช็คจำนวนผู้เข้าร่วมประชุมอีกรอบเพื่อป้องกันความผิดพลาดก่อนที่จะเข้าไปจัดเตรียมชา กาแฟ อาหารว่าง ตามที่แพรพลอยฝากงานเอาไว้
“พี่แพรคะ ถ้ารวมคุณภูริทัตก็สิบห้าที่พอดีค่ะ” เด็กสาวบอกกับรุ่นพี่ เลขาภูริทัตพยักหน้าก่อนที่จะนึกอะไรออก
“เพิ่มอีกสามที่นะตันหยง พอดีคุณภูรินทร์เพิ่งบอกพี่มาว่าท่านและคุณภูบดินทร์ คุณบัวบูชา จะเข้าร่วมฟังการประชุมในที่นี้ด้วย เอกสารเตรียมเพิ่มอีกสามที่เหมือนกันนะท็อป ทันไหม” ท้ายประโยคแพรพลอยหันมาบอกกับท็อปที่ยืนข้างๆตันหยง
“สบายมากครับพี่ ตอนถ่ายเอกสารผมได้ถ่ายเผื่อเอาไว้แล้ว เพราะกลัวว่าอาจจะมีบางแผ่นที่ผิดพลาด”
“รอบคอบดีมาก” แพรพลอยเอ่ยชม
อย่างที่รู้ๆกัน ถึงแม้ว่าภูรินทร์จะมอบหมายหน้าที่ต่างๆให้ภูริทัตดูแลแทนแล้ว แต่วาระการประชุมสำคัญแบบนี้ก็อดที่จะเข้ามาฟังด้วยไม่ได้ อย่างน้อยๆก็เข้ามาสังเกตสถานการณ์เงียบๆว่าท่าทีสมาชิกต่างๆคิดเห็นเป็นยังไงกันบ้าง ส่วนวันนี้ที่พาภูบดินทร์เข้ามาฟังด้วยก็เพราะต้องการเปิดตัวลูกชายคนเล็กให้พนักงานบริษัทได้รู้จักกัน เพราะในอนาคตข้างหน้าต้องได้มีโอกาสร่วมงานกันแน่นอน
ผู้บริหารแผนกต่างๆรวมทั้งผู้ถือหุ้นทยอยเดินเข้ามานั่งประจำที่ ส่วนแพรพลอยก็ยืนกำกับด้านหลังเก้าอี้ที่มีชื่อ ภูริทัต เธอขยับเก้าอี้ให้เจ้านายหนุ่ม ตามด้วยภูรินทร์ ภูบดินทร์ และบัวบูชาตามลำดับ
การประชุมเป็นไปตามวาระ เมื่อเวลาผ่านไปสักครู่แพรพลอยก็เลี่ยงออกมานอกห้องประชุมและส่งสัญญาณมือให้ทั้งท็อปและตันหยงปฏิบัติหน้าที่ทันที ตันหยงและท็อปช่วยกันลำเลียงอาหารว่างเข้าไปเสิร์ฟผู้เข้าร่วมการประชุม เริ่มจากเครื่องดื่มก่อน ตันหยงทวนรายละเอียดอีกรอบว่าใครรับชา ใครรับกาแฟ ก่อนที่จะจัดให้ตรงตามความต้องการ
“ทุกอย่างถูกต้องหมดแล้วท็อป ไปเสิร์ฟกันได้เลย”
เสิร์ฟเครื่องดื่มเสร็จก็ตามด้วยอาหารว่าง ทั้งขนม ผลไม้ ถูกทยอยเสิร์ฟวางเข้ามาเรื่อยๆไม่ให้ขาดตอน
“เด็กในโครงการเหรอภูริ” ภูรินทร์เอ่ยถามลูกชายคนโตเมื่เห็นชุดฟอร์มที่ตันหยงและท็อปสวม ถ้าเป็นพนักงานบริษัทจะมียูนิฟอร์มให้สวมใส่เป็นกิจจะลักษณะอยู่แล้ว แต่เด็กสองคนนี้สวมชุดนักศึกษาที่ถูกระเบียบ ห้อยบัตรของโครงการด้วย
“ครับพ่อ ปีนี้มีสองคนครับ เด็กผู้ชายนั่นชื่อเจษฎา ส่วนเด็กผู้หญิงชื่อตันติยา”ภูริทัตตอบเสียงเรียบ รายงานพ่อตามปกติ ท่าทางเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่สายตาลอบชำเลืองไปยังเรือนร่างบอบบางของเด็กฝึกงานสาวตลอดเวลา เรียกได้ว่าจะก้าวเท้าซ้ายหรือขยับเท้าขวา ภูริทัตก็จะกรอกลูกตาตามตลอด
“จริงๆผมไม่เห็นด้วยเลยระครับคุณภูรินทร์ที่บริษัทเราจะเอางบประมาณในแต่ละปีมาทำเรื่องไร้สาระแบบนี้” เดชา ผู้ถือหุ้นรายหนึ่งของวงศ์ปริญญากรุ๊ปกล่าวขึ้น เป็นจังหวะที่ท็อปกำลังวางจานเสิร์ฟผลไม้ให้เขาพอดี
“ไร้สาระ ยังไงครับ?”
ประโยคนี้ภูรินทร์ไม่ใช่คนถามแต่เป็นภูริทัตที่สงสัย ผู้บริหารหนุ่มขยับศอกก่อนที่จะเอียงใบหน้าจ้องคนพูด
“ก็ทุกปีทุกปีเราจะต้องให้ทุนการศึกษาเด็กในโครงการนี้ตลอด เขาส่งรายชื่อมากี่คนต่อกี่คนบริษัทก็ไม่เคยขัด แม้กระทั่งเรื่องเด็กฝึกงานก็ด้วย ปีนี้มีสองคน ปีก่อนนู้นสามคน ปีที่แล้วห้าคน ผมไม่เห็นว่าเด็กฝึกงานจะสร้างประโยชน์อะไรให้บริษัทได้เลย วันๆไม่ทำอะไรนอกจากถ่ายเอกสารกับเสิร์ฟอาหาร ชงกาแฟ”
พูดไปมือเดชาก็ขยับเอกสารในมือไปและปรายตาไปยังตันหยงและท็อปที่กำลังทำหน้าที่เด็กเสิร์ฟ ราวกับจะบอกว่านี่ไงหลักฐาน ทำได้ดีที่สุดก็แค่นี้
“ผมว่าคุณเดชาคงเข้าใจอะไรผิดนะครับ สำหรับการให้ทุนเด็กๆในโครงการมันคือความสมัครใจที่ครอบครัวผมเต็มใจจะทำ เพื่ออุทิศให้กับคุณแม่ที่เป็นที่รักของพวกเรา เงินทุกบาททุกสตางค์มันคือเงินส่วนตัวของพวกเราครับเราไม่ได้เอาผลกำไรของบริษัทมาทำซะหน่อย เพราะฉะนั้นคุณเดชาก็ไม่น่าจะเดือดร้อน” CEO หนุ่มพูดเสียงนิ่งๆ แต่ดูน่าเกรงขาม แม้ไม่ได้พูดจาเหยียดหยามแต่อย่างใด กลับทำให้เดชารู้สึกราวกับว่าโดนเด็กหนุ่มตบหน้าฉาดใหญ่จนชาไปทั่วร่าง
“ส่วนที่บอกว่าเด็กฝึกงานที่ผ่านมาไม่ได้ประโยชน์อะไร ไม่มีงานเป็นชิ้นเป็นอัน ผมก็ขอบคุณมากๆนะครับสำหรับความคิดเห็น งั้นเพื่อให้ทุกคนเห็นว่าเด็กฝึกงานมีศักยภาพมากกว่าที่คิด ผมจะมอบหมายหน้าที่สำคัญให้พวกเขาทำและวาระการประชุมทุกครั้ง เด็กฝึกงานทั้งสองก็จะเข้าร่วมประชุมด้วยในฐานะพนักงานคนหนึ่งนะครับ”
มีเสียงฮือฮาดังขึ้นในทีี่ประชุมทันทีที่ภูริทัตพูดจบ นี่คือการปฏิวัติวงการของเด็กฝึกงานที่เหนือความคาดหมายมากที่สุด ก่อนที่ประโยคต่อมาของภูริทัตจะยิ่งทำให้เสียงฮือฮาดังขึ้นกว่าเก่า พร้อมๆกับอาการไม่พอใจที่เห็นได้ชัดจากการแสดงออกของเดชา
“และเพื่อไม่ให้ผิดกฎหมายคุ้มครองแรงงาน เราจะมีเงินเดือนให้เด็กฝึกงานด้วย ตามความเหมาะสมคือต้องได้เทียบเท่าเด็กจบใหม่ที่ยังไม่ผ่านการประเมินงาน พร้อมกับสวัสดิการต่างๆตามที่บริษัทกำหนดเทียบเท่าพนักงานทุกคนในบริษัทนี้”
ภูริทัตหันมาสบตาพ่อและน้องชายเป็นเชิงสอบถามความคิดเห็น ภูรินทร์และภูบดินทร์พยักหน้าเห็นด้วย ภูริทัตจึงสั่งการต่อ
“ฝากคุณแพรช่วยจัดการเรื่องที่ผมบอกด้วยนะครับ”
ความคิดเห็น