ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The white badger | Harry potter Fanfic | Yaoi

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2 รางวัลความโดดเดี่ยว

    • อัปเดตล่าสุด 19 ส.ค. 67




    “He's smarter than we think.”

    “เขาฉลาดกว่าที่เราคิด”

    -Elizabeth J. Smith-


    “คุณเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้ายครับ”

    “ครับ?”

    ผมขานรับด้วยสีหน้าที่โง่งมที่สุดในชีวิต โลกทั้งใบคล้ายจะหยุดนิ่งทุกอย่างมึนตือไปหมด หัวสมองขาวโพลน ร่างกายเย็นเชียบมือเท้าชาจนเกือบจะรู้สึกว่ามันหายไป คำวินิจฉัยของหมอทุกถ้อยคำคล้ายกับเข็มที่ทิ่มแทงอย่างเชื่องช้า อาการไอเรื้อรังที่เป็นมานานที่ไม่เคยจะใส่ใจมันเลยสักครั้ง กลับมาเป็นพิษร้ายกลืนกินปอดของผมไปข้างหนึ่งแถมยังลามไปถึงสมองอย่างรวดเร็ว

    เดิมทีก็เป็นภูมิแพ้อยู่แล้ว ผมจึงคิดว่าอาการไอพวกนี้เป็นเรื่องปกติ จนประสบอุบัติเหตุรถชนเมื่อเช้าจึงมีโอกาสได้ตรวจร่างกายโดยละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีส่วนไหนเป็นอะไร แต่นั่นก็ทำให้ผมได้พบกับข่าวร้ายที่ไม่ได้เตรียมใจมาก่อน ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเดินออกมาจากห้องแคบ ๆ นั่นตอนไหน เพราะรู้ตัวอีกทีผมก็ยืนนิ่งอยู่ที่โถงทางเดินโรงพยาบาล ในมือยังถือใบวินิจฉัยและผลเอ็กซ์เรย์

    ผมทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ ไม่แน่ใจว่าตัวเองควรทำอะไรต่อ สายตาจับจ้องไปยังมือถือที่โชว์เบอร์พ่อเอาไว้ ผมกัดปากแน่น รู้สึกว่าตัวเองกำลังสั่น เวลาผ่านไปเนิ่นนาน หูของผมได้ยินเสียงขานตัวเลขบัตรคิวไปประมาณเกือบสิบคิวเห็นจะได้ และสุดท้ายก็ตัดสินใจไม่โทรไป ผมเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าถอนหายใจเฮือกใหญ่เสียจนคนข้าง ๆ หันมามอง

    ไม่ล่ะ ผมขอตายไปคนเดียวเงียบ ๆ ดีกว่า

    ใช่ครับ ผมปฏิเสธที่จะรับการผ่าตัด ผมก็ไม่แน่ใจว่าอะไรที่ทำให้ตัวเองตัดสินใจออกไปแบบนั้น ทั้งที่ผมอาจจะรอดก็ได้ แต่ผมก็ปฏิเสธมัน บางทีอาจจะด้วยความเหนื่อย หรืออาจจะเพราะไม่มีอะไรที่อยากจะทำแล้วก็ได้

    เมื่อคิด ๆ ดูความตายก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น…

    และวันที่ปกติที่สุดวันหนึ่ง ผมนอนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาลเพราะอาการทรุดลง ลมหายใจกำลังโรยรินอย่างช้า ๆ เปลือกตาเริ่มปิดลงอย่างเหนื่อยล้า ไม่มีใครที่นั่งอยู่ข้างกายหรือกุมมือให้กำลังใจเหมือนในหนังหรอก ผมกำลังตายลงโดยที่ไม่มีใครอยู่ข้างกาย

    อ่า…สงบกว่าที่คิดแหะ

    ‘ได้ยินไหม?’ ทว่ามีเสียงประหลาดดังแหวกความเงียบออกมา มันเหมือนกับกระซิบแต่กลับได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำ ‘อายุขัยของเจ้าหมดลงแล้ว —— เรื่องนั้นข้าคิดว่าเจ้าคงรู้อยู่แล้ว’

    ‘คุณเป็นใครครับ ยมทูตเหรอ?’ ผมไม่มั่นใจหรอกว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ทุกอย่างมืดสนิทคล้ายกับผมเพียงแค่หลับตาไปเฉย ๆ เพียงแค่นั้น

    ‘ก็ไม่เชิง มนุษย์เรียกข้าว่า พระเจ้า ล่ะมั้ง’ พระเจ้าพูด ‘ข้าเห็นว่าเจ้าตายอย่างโดดเดี่ยว เลยจะมาเสนอข้อเสนอบางอย่าง’

    ‘อะไรเหรอครับ’

    ‘ข้าจะส่งเจ้าไปเกิดใหม่’

    ‘คุณทำได้?’

    ‘ใช่ ปราถนาโลกแบบไหนล่ะ’

    ‘แบบไหนเหรอครับ…’

    ‘แบบไหนก็ได้ ตามเจ้าต้องการ’

    ‘เวทย์มนต์ครับ’ ผมพูดแทบจะทันที

    ‘อ่า –– เวทย์มนต์รึ’ พระเจ้าทำเสียงครุ่นคิดเล็กน้อย ‘ข้าเข้าใจแล้ว อยากได้อะไรเพิ่มไหม เจ้าขอเพิ่มได้อีกหนึ่งอย่าง เช่นพวกพลังหรืออำนาจ ข้าให้เจ้าได้ ถือเสียว่าเป็นรางวัลแก่ความโดดเดี่ยวของเจ้า’

    เป็นรางวัลที่ดูประหลาดดีจังนะ เหมือนผมไปปลดล็อคความสำเร็จลับในเกมหรืออะไรแบบนั้นเลยแหะ

    อืม…ถ้าจะไปเกิดในโลกเวทย์มนต์แล้วไม่มีพลังเวทย์ล่ะแย่เลย ดังนั้นผมจึงพูดไปแบบไม่คิดอะไรเยอะ ‘พลังเวทย์สูง ๆ แล้วกันครับ’

    ‘เข้าใจแล้ว เจ้าพร้อมหรือยัง’

    ‘พร้อมครับ ขอบคุณนะครับสำหรับการให้โอกาสนี้’

    พระเจ้าไม่ตอบอะไร ทุกอย่างเงียบลงจนน่าใจหาย สิ่งเดียวที่รู้สึกได้คือเหมือนมีนิ้วใครบางคนมาแตะที่จมูกเบา ๆ ก่อนจะหายไป ผมเกือบคิดว่ามันเป็นแค่ความฝัน กระทั่งเสียงกรี๊ดของผู้หญิงที่ดังกังวานประสานเสียงกันจนสะดุ้งตื่น เมื่อลืมตาจึงได้พบว่าตัวเองกลายเป็นทารกไปเสียแล้ว…

    เกือบสิบปีนับตั้งแต่ที่นางเอมิเลีย จอห์นสันพบกับผมซึ่งเป็นหลานชายที่บรรไดบ้าน ซอยพรีเว็ตแทบไม่เปลี่ยนไปเลย แต่กิจวัตรของบ้านเลขที่เจ็ด นั้นกลับเปลี่ยนไปอย่างมาก

    แสงแดดท่อแสงผ่านบานกระจกกระทบกับฟื้นในห้องครัว กลิ่นของเบคอนที่อยู่ในกระทะลอยคลุ้งเตะจมูก หากมองผ่านไปอีกสักนิด คุณจะเห็นหญิงสาวที่สิบปีก่อนจะหาเธอไม่เจอในบ้านเลขที่เจ็ดอย่างแน่นอน เธอเป็นสาวผมบลอนด์ตรงสลวยจนถึงกลางหลัง รูปร่างสวยสดประหนึ่งนางแบบนิตยสาร เธอฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีขณะพลิกเบคอนในกระทะ

    “อรุณสวัสดิ์ครับลิซ่า” ผมก้าวลงบรรไดกึ่งเดินกึ่งวิ่ง ทักทายพี่เลี้ยง อลิซาเบธ จ. สมิธ หรือที่ผมเรียกเธอว่าลิซ่าอย่างอารมณ์ดี เธอเป็นญาติห่าง ๆ ของป้าเอมิเลีย และถูกป้าเอมิเลียจ้างมาให้เป็นพี่เลี้ยงของผมระหว่างที่ป้าไปทำงาน ผมกับเธอสนิทกันเสียจนเปรียบเสมือนพี่น้องกันแท้ ๆ ไปแล้ว ถึงเธอจะอายุห่างจากผมเป็นยี่สิบกว่าปีก็ตาม

    “อรุณสวัสดิ์ ตื่นไวจริงเชียว รออีกเดี๋ยวอาหารเช้าใกล้เสร็จแล้ว อรุณสวัสดิ์ค่ะป้าเอมม่า” ลิซ่าตอบกลับ โดยไม่ลืมที่จะบอกทักทายป้าเอมิเลียที่เดินตามหลังผมลงมา เธอวางเบคอนลงบนจานซึ่งมีไข่กับขนมปังปิ้งวางรออยู่แล้ว

    “อรุณสวัสดิ์จ้ะลิซ่า ไซลาสระวังหน่อยวิ่งลงบันไดเดี๋ยวก็หกล้ม” ป้าเอมิเลียเอ็ด

    “คร้าบบบ เฮ้ลิซ่าวันนี้ผมขอเบคอนเยอะ ๆ หน่อยนะครับ” ผมว่าขณะนั่งลงบนเก้าอี้

    “ยะ แค่วันเดียวนะ แล้วจะชวนใครมาบ้านบ้างเนี่ยวันนี้”

    วันนี้เป็นวันที่สิบสองเดือนเมษาซึ่งนอกจะจะเป็นวันศุกร์แล้ว มันยังเป็นวันที่ผมตั้งตารอคอยที่สุด วันเกิดครบรอบอายุสิบเอ็ดปีของผมเอง! แค่พูดก็ตื่นเต้นแล้วให้ตายสิ ไม่มีโอกาสที่จะมีวันเกิดตอนอายุสิบเอ็ดแบบนี้บ่อย ๆ นักหรอกนะครับ เพราะอะไรน่ะเหรอ –– เพราะผมจะได้จดหมายจากฮอกวอตส์ไงล่ะ!

    อืม… ถึงผมจะไม่แน่ใจก็เถอะว่ามันมาถึงไปแล้วหรือยังไม่มา ปกติจดหมายควรจะมาก่อนวันเกิดหลายอาทิตย์ บางทีป้าเอมิเลียอาจจะเก็บไว้เพื่อเซอร์ไพรส์ผมในวันเกิดก็ได้ เพราะอันที่จริงป้าก็ไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับเวทย์มนต์เลย นอกเสียจากผมจะเป็นพวก*มักเกิ้ลบอร์น แล้วถามว่าทำไมผมถึงรู้ว่าจะเป็นพ่อมดแน่น่ะเหรอ?

    ก็ผมขอกับพระเจ้าไปแล้วไงครับว่าอยากได้พลังเวทย์สูง ๆ ดังนั้นผมเป็นพ่อมดแน่นอนล่ะ ถ้าไม่ใช่ล่ะผมโกรธพระเจ้าตาย ให้มาเกิดในโลกแฮร์รี่พอตเตอร์แต่ให้ผมเป็นมักเกิ้ลงี้ –– อ่อผมบอกไปรึยังครับว่าผมอยู่ในโลกแฮร์รี่พอตเตอร์ –– โอเคผมคิดว่าพวกคุณคงรู้แล้ว แหะ ๆ

    “น่าจะเท่าเดิมนั่นแหละครับ อ่อ ผมคิดว่าจะชวนแฮรี่มาด้วย”

    “โอ้ ดีสิเด็กคนนั้นน่าสงสารจะตาย แต่ถ้าเป็นเจ้าดัลลีย์ล่ะก็ต้องขอคิดดูอีกที” ป้าเอมิเลียออกความเห็น โดยมีลิซ่าส่งเสียงเห็นด้วยพร้อมวางจานลงบนโต๊ะ

    ผมได้ยินก็หัวเราะร่า “ไม่แน่นอนครับ พวกเดอร์สลีย์แขยงผมจะตายชัก”

    จะแขยงก็ไม่แปลก ก็ผมเผลอไปโชว์อภินิหารใส่เจ้าเด็กนั่นไปตั้งสองรอบ ครั้งหนึ่งทำให้กางเกงหลวมเทอะทะจนหลุดกลางห้องเรียน อีกครั้งก็เปลี่ยนสีผมให้กลายเป็นสีชมพูหวานแหวว คงเอาไปฟ้องพ่อแม่แล้วนั่นแหละ ตอนพวกนั้นเห็นหน้าผมถึงได้ทำหน้าเหมือนกัดมะนาวพร้อมกันสิบลูกแบบนั้น

    จะโทษผมไม่ได้นะครับ ก็หมอนั่นทำตัวน่าโมโหเองนี่นา

    ของขวัญวันเกิดของแฮร์รี่ที่ผมให้ไปสามครั้ง สุดท้ายก็พบว่าของนั่นไม่เคยไปถึงมือแฮร์รี่ด้วยซ้ำ เพราะเจ้าดัลลีย์เอามาใช้จนพังไปตั้งแต่วันแรก คิดดูสิน่าโมโหจะตาย ผมไม่ทำให้เด็กนั่นเป็นลูกโป่งลอยออกนอกโลกไปก็ดีแค่ไหนแล้ว –– แค่ก ๆ แต่ผมเป็นคนดีครับ รู้จักควบคุมอารมณ์ตัวเอง ผมไม่ทำแบบนั้นหรอก ถึงจะอยากก็เถอะ

    หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ ผมก็บอกลาลิซ่าและขึ้นรถไปกับป้าเอมิเลีย ใช้เวลาไม่นานนักผมก็ถึงโรงเรียนแล้ว

    “ไว้เจอกันตอนเย็นนะครับ”

    “จ้า ป้าจะรีบกลับมารับนะ”

    ผมโบกมือลาให้รถคันสีเขียวที่กำลังขับเคลื่อนออกไป ก่อนจะหันหลังเข้าไปในโรงเรียน

    ที่โรงเรียนผมน่ะเป็นดาวเด่นเลยแหละ เพราะเรียนเก่ง แถมยังหน้าตาดี (ผมไม่ได้คิดไปเองนะ มีคนบอกผมแบบนี้ตั้งหลายคนแหนะ) นั่นทำให้เพื่อนผมค่อนข้างมาก แต่เว้นดัลลีย์กับพักพวกไว้ก็แล้วกัน

    “ขอโทษนะไซลาส ฉันคงไปงานวันเกิดนายไม่ได้” เด็กหญิงในห้องคนหนึ่งส่งเสียงเสียดาย เธอชื่อโรส “พ่อแม่ฉันไม่ยอมแน่ แต่สุขสันต์วันเกิดนะ”

    “ไม่เป็นไรผมไม่ซีเรียส ขอบคุณนะ”

    ผมยิ้มให้เธอ เพื่อให้เธอสบายใจว่าผมไม่คิดมาก ก็นะยังเด็กประถมกันอยู่เลย คนที่ไปงานวัดเกิดผมได้ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กผู้ชาย ไม่ก็คนที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียง ผมบอกลาเธอที่วิ่งตรงไปหากลุ่มเพื่อนสาว ๆ ส่วนผมหมุนตัวไปหาเด็กชายร่างผอมที่อยู่ไม่ไกลนัก

    “เฮ้แฮร์รี่” เจ้าของชื่อสะดุ้งเพราะกำลังเหม่ออยู่

    “หวัดดีไซลาส ตกใจหมดเลย”

    “วันนี้ที่บ้านผมจัดงานวัดเกิด อย่าลืมมาด้วยนะ” ผมยิ้มแฉ่ง

    แฮร์รี่หลุบตาลงเล็กน้อย เม้มริมฝีปากอย่างคิดไม่ตก คงกลัวว่าพวกเดอร์สลีย์จะห้ามไว้เหมือนทุกที เป็นเด็กที่น่าสงสารจริง ๆ เลยน้า… แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้มากหรอก เกรงว่าเนื้อเรื่องจะพังเอาถ้าผมเสนอหน้ายื่นมือไปช่วยนู่นนี่เยอะจนเกินไป

    “ไม่ต้องคิดเยอะขนาดนั้นหรอก เดี๋ยวตอนเย็นผมไปรับถึงหน้าประตู แต่ถ้ามาไม่ได้จริง ๆ ผมก็เข้าใจ” ไม่ว่าเปล่ายกมือไปตบไหล่คนตรงหน้าเบา ๆ เป็นการปลอบใจ

    แฮร์รี่ยิ้มแหย “ฉันไม่มีของขวัญนะ…”

    ผมยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจในเรื่องนั้น

    ในขณะที่แฮร์รี่ยังดูไม่สบายใจอยู่ “แต่…”

    “ไม่มีแต่ ผมแค่อยากชวนเพื่อน ๆ มาสนุกกันก็แค่นั้นแหละ ไม่ต้องเอาอะไรมายังได้เลย” ผมตัดบท

    “ก็ได้ ฉันจะลองขอลุงกับป้าดู ไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงไม่ชอบให้ฉันยุ่งกับนาย”

    ผมได้แต่ส่งเสียงหัวเราะในลำคอ ผมตบบ่าแฮร์รี่อีกครั้ง เจ้าตัวเอนไหล่ไปตามแรงกด ผมกลัวว่าไหล่อีกฝ่ายจะหลุดเอาจึงดึงมือกลับมา

    ส่วนพวกดัดลีย์ผมขอไม่เข้าไปเฉียดจะดีกว่า

    ถึงเวลาเย็นย่ำ ผมวิ่งเหยาะ ๆ ไปยังรถคันเขียวของป้าเอมิเลียโดยหอบของขวัญจากเพื่อน ๆ มาด้วย ป้าเอมิเลียยืนอยู่ตรงนั้นเธอเป็นผู้หญิงเจ้าเนื้อ เธอผอมลงมาเล็กน้อยจากเมื่อสิบปีก่อน ผมสีน้ำตาลหยิกม้วน ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเหมือนลูกปัด

    “สายัณห์สวัสดิ์ครับ” ผมยิ้ม

    “สายัณห์สวัสดิ์จ้ะ ได้อะไรมาเยอะเชียว”

    “ผมยังไม่ได้แกะดูเลย แต่ผมว่ากล่องนี้เป็นแหวน ได้มาจากเจสัน” ผมชี้กล่องที่เล็กที่สุดให้ป้าดู มันอยู่ในถุงกระดาษสีน้ำเงินรวมกันของขวัญอื่น ๆ

    ป้าเอมิเลียพยักหน้ายิ้ม ๆ เธอช่วยผมเก็บของทั้งหมดใส่รถ และพวกเราก็ขับรถแล่นฉิวออกไป

    ผมพูดไปเรื่อยระหว่างทาง เกี่ยวกับโรงเรียนหรือเพื่อน ๆ แต่ดูเหมือนป้าเอมิเลียจะมีอะไรอยู่ในหัว เธอดูคิดนู่นคิดนี่ นาน ๆ ทีจะขานรับสักที

    ผมเข้าใจเธอนะครับ ป้าเอมิเลียเป็นเจ้าของกิจการรับทำความสะอาดที่ตอนนี้เติบโตขึ้นอย่างมาก ผมเห็นป้าสายตัวแทบขาดในแต่ละวัน บางครั้งก็ติดงานจนต้องไหว้วานให้ลิซ่ามารับผมแทน ซึ่งก็เป็นส่วนใหญ่นั่นแหละ แต่วันนี้มันเป็นวันเกิดของผม เธอก็เลยรีบเลิกงานมา ถึงผมจะปฏิเสธไปแล้วก็ตาม

    เมื่อถึงบ้านเลขที่เจ็ด แม้ภายนอกจะมีทุกอย่างที่เหมือนกันเปี๊ยบกับบ้านเลขที่สี่ ทว่าความรู้สึกกลับต่างกันอย่างบอกไม่ถูก ลิซ่าโผล่หน้าออกมาจากสวนหน้าบ้าน เธอช่วยพวกเราขนของอย่างละนิดอย่างละหน่อย ภายในตัวบ้านตอนนี้เต็มไปด้วยลูกโป่ง และป้ายสี่เหลี่ยมผืนผ้าเขียนว่า ‘สุขสันต์วันเกิด’ ในห้องนั่งเล่นมีโต๊ะกลมถูกวางเอาไว้ บนนั้นเต็มไปด้วยของกินเล่นมากมาย

    “โห อลังการกว่าปีก่อนเยอะเลย” ผมอุทาน

    “ขอบคุณนะลิซ่า ถ้าให้ฉันทำคงไม่ได้แบบนี้แน่ ๆ” ป้าเอมิเลียวางของขวัญลงบนโต๊ะใกล้ ๆ ซึ่งผมกับลิซ่าก็พากันเอาของไปวางตาม

    “ไม่เป็นไรค่ะ”

    “งั้นผมขอไปเตรียมตัวก่อนนะครับ เพื่อน ๆ น่าจะใกล้มาแล้ว” ว่าจบก็วิ่งขึ้นไปชั้นบนอย่างอารมณ์ดี โดยไม่ได้ฟังคำเตือนของป้าเอมิเลียที่ดังตามหลังมา

    “บอกกี่ทีแล้วว่าอย่าวิ่งขึ้นบันได จริง ๆ เล๊ยเด็กคนนี้” นางเอมิเลียส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ ขณะนั่งลงบนโซฟาที่อยู่ถัดออกไปสามก้าว หยิบนิตยสารขึ้นมาอ่านคล้ายกับคนไม่รู้จะทำอะไร ความเงียบงันเกิดขึ้นเนิ่นนาน เธอไม่รู้หรอกว่ามันนานเท่าไหร่ อาจจะสักสามนาที —— ไม่สำคัญนักหรอก

    “ยังกังวลเรื่องไซลาสอยู่เหรอคะ” ลิซ่าถามด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย เธอนั่งอยู่บนโซฟาที่ถัดออกไป ใช้มือถักผมบลอนด์ยาวของเธอให้เป็นเปียอย่างคล่องแคล่วในขณะที่มองไปที่เอมิเลีย

    เอมิเลียเงยหน้าขึ้นจากนิติยสารที่เธอแสร้งทำเป็นอ่าน พลางถอนหายใจยาว ๆ แล้วพยักหน้า ความคิดที่หนักอึ้งปรากฏชัดในสีหน้าของเธอ

    “โรงเรียนที่เขากำลังจะไปน่ะ เอ่อ… ชื่ออะไรนะ”

    “ฮอกวอตส์”

    “ใช่แล้ว มันเป็นโรงเรียนประจำใช่ไหม ฉันกลัวว่าเขาจะปรับตัวไม่ได้ กลัวว่ามันจะอันตรายเกินไป ฉันกังวลหลายอย่างเลย เขายังเป็นเพียงเด็ก”

    “หนูเองก็พูดอะไรไม่ได้มากนัก เพราะไม่เคยเรียนฮอกวอตส์มาก่อน แต่หนูแน่ใจว่าศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์จะดูแลเขาเป็นอย่างดีค่ะ”

    “ฉันแค่... ฉันไม่อยากให้เขารู้สึกโดดเดี่ยว เข้าใจใช่ไหม? ถ้าเด็กคนอื่นไม่ยอมรับเขาล่ะ”

    ลิซ่าส่งยิ้มอ่อนโยนให้เธอ “ฮอกวอตส์จะมีเด็กมากมายที่มาจากครอบครัวมักเกิ้ล ดังนั้นอย่าห่วงเลยค่ะว่าเขาจะหาเพื่อนไม่ได้ เขาจะได้เพื่อนที่ดีที่สุดที่นั่นแน่นอน”

    เอมิเลียพยักหน้าช้า ๆ สีหน้าคลายความกังวลลงเล็กน้อย “ฉันหวังว่าเธอจะพูดถูก การสูญเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่วัยแค่นั้นก็มากเกินพอแล้ว ฉันไม่อยากให้เขาโดดเดี่ยวอีก”

    “อย่ากังวลไปเลยค่ะ หนูเชื่อว่าเด็กคนนั้นรู้อะไรบ้างอยู่แล้ว” ดวงตาสีฟ้าสดใสของเธอจ้องไปที่บันไดชั้นบน “เขาฉลาดมากกว่าที่เราคิด ไม่นานเขาก็จะปรับตัวได้เอง”

    “คิดอย่างนั้นหรือ” คิ้วของอามิเลียยกขึ้นเล็กน้อย

    เสียงฝีเท้าเล็กๆ เร่งรีบดังก้องไปตามโถงชั้นบน ขัดจังหวะการสนทนาของพวกเธอ ทั้งสองสาวหันศีรษะไปตามเสียงนั้น เจ้าของเรือนผมสีเปลือกไม้โอ๊กดีดตัวลงมา ที่ใช้คำว่าดีดตัว เพราะคุณไม่อยากจะเชื่อหรอกว่าไซลาสสามารถกระโดดข้ามขั้นบันไดสามขั้นโดยไม่เสียการทรงตัวเลยสักนิด หัวใจของนางเอมิเลียตกลงไปอยู่ตรงตาตุ่ม ในขณะที่ลิซ่าหัวเราะคิกคัก ไซลาสหยุดลงตรงเชิงบันได ดวงตาสีฟ้าทะเลเปล่งประกายสดใส “ผมขอไปหาแฮร์รี่ก่อนนะ!”

    “ได้สิ ระวัง ๆ ด้วย” ลิซ่าตอบแทน เพราะนางเอมิเลียอ้าปากค้างอยู่ท่าเดิม

    “โอเคแล้วผมจะรีบกลับครับ โอ้เปียสวยนะครับ”

    ไซลาสออกไปแล้ว บทสนทนาของทั้งคู่จึงต่อเนื่องอีกครั้ง

    ลิซ่าวางมือปลอบโยนบนไหล่ของเอมิเลีย “เขาจะไม่เป็นไรค่ะ และถ้าเขาต้องการเราเมื่อไหร่ เราก็จะอยู่ที่นี่เพื่อเขา”

    เอมิเลียถอนหายใจเป็นครั้งสุดท้าย “ขอบคุณนะลิซ่า ฉันไม่รู้ว่าฉันจะทำอย่างไรถ้าไม่มีเธอ”

    เจ้าของชื่อยิ้มรับ เป็นรอยยิ้มเดียวกันกับเมื่อสิบปีก่อนไม่มีผิดเพี้ยน อลิซาเบธ จ. สมิธหญิงสาวที่มาเคาะประตูหน้าบ้านของนางเอมิเลียในวันพุธเมื่อสิบปีก่อน มันเป็นเวลาสามสิบนาทีหลังจากนางเอมิเลียเจอกับไซลาส และเธอก็กำลังนั่งคิดไม่ตกกับสถานการณ์ตรงหน้า พวกเธอไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดดั่งที่ไซลาสเข้าใจ ทั้งหมดเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาทั้งเพ

    เพราะอันที่จริงอลิซาเบธมาที่นี่พร้อมกับหญิงที่ท่าทางจริงจัง มีแว่นกรอบเหลี่ยมบนใบหน้าและสวมผ้าคลุมสีเขียวมรกต เธอหงุดหงิดและบ่นตลอดสิบนาทีแรกที่มาถึงว่าจดหมายจะอธิบายทุกอย่างได้ยังไง เธอแสดงให้นางเอมิเลียเห็นว่าในโลกใบนี้ยังมีสิ่งประหลาด และน่าอัศจรรย์ที่เรียกว่าเวทย์มนต์ด้วย

    อลิซาเบธแนะนำตัวเธอเองว่าเป็น**สควิบ และได้รับคำสั่งให้มาช่วยนางเอมิเลียในการดูแลไซลาส นางเอมิเลียไม่เข้าใจศัพท์ของพวกพ่อมดแม่มดนักหรอก แต่ดูเหมือนอลิซาเบธจะใช้พลังอำนาจเฉกเช่นแม่มดสวมแว่นไม่ได้

    นางเอมิเลียไม่อยากจะเชื่อว่าพวกลินเดนเสียชีวิตไปแล้ว แม่มดสวมแว่นที่ชื่อมักกอนนากัลอธิบายทุกอย่างที่เป็นสาเหตุตั้งแต่ จอมมาร ผู้เสพความตาย ศาสตร์มืด และการหายตัวไปของจอมาร มันเป็นเรื่องที่ทำใจเชื่อได้ยากมากทีเดียว เธอช็อคจนเกือบหงายหลังแหนะ นั่นทำให้เธอนึกถึงอารมณ์ขันของสามีภรรยาลินเดน และเธอก็รู้ประเดี๋ยวนั้นว่ามันไม่ใช่อารมณ์ขัน

    แต่พวกเขากำลังพูดความจริง

    พูดจริงมาตลอดนั่นแหละ

    *มักเกิ้ลบอร์น : ผู้ที่เกิดในครอบครัวมักเกิ้ลแต่มีความสามารถทางเวทมนตร์

    **สควิบ : คือผู้ที่เกิดในครอบครัวพ่อมดแม่มดแต่ไม่มีเวทมนตร์

    ไรท์ตัดเนื้อหาไปเยอะเลย ทำให้เนื้อหาตอนนี้สั้นกว่าที่วางแพลนไว้ ตอนแรกไซลาสจะมีระบบติดตัวที่พระเจ้าให้มาด้วย แต่ไรท์ว่ามันโกงเกินไป และไรท์อยากให้ไซลาสพยามทำนู่นนี่ด้วยตัวเองมากกว่า ไรท์เลยลบเนื้อหาที่เกี่ยวกับระบบออกไป ไม่แน่ใจว่าคิดถูกไหม เพราะมันจะทำให้บางจุดเขียนยากมากขึ้นในอนาคตแน่นอน55555

    คิดเห็นอย่างไรกับตอนนี้มาบอกกันได้ครับ รออ่านเม้นท์อยู่น้าาา


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×