คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1 บ้านเลขที่เจ็ด ซอยพรีเว็ต
“Today we have two poor children.”
“วันนี้มีเด็กน่าสงสารถึงสองคน”
-Professor McGonagall-
…
นางจอห์นสันไม่ได้ภูมิใจนักหรอกที่ตัวเองเป็นคนธรรมดา ไม่มีใครนึกถึงเธอด้วยซ้ำหากเกิดเรื่องประหลาดขึ้น เธอเป็นผู้หญิงร่างท้วม จมูกของเธอกลมราวกับจมูกของตัวตลก ผมสีน้ำตาลของเธอหยิกจนม้วนได้หนึ่งรอบ เธออาศัยอยู่คนเดียว ณ บ้านเลขที่เจ็ด ซอยพรีเว็ต
อันที่จริงก่อนหน้านี้เธอไม่ได้อาศัยอยู่คนเดียว นายจอห์นสันสามีของเธอเสียชีวิตไปเมื่อปีก่อนจากอุบัติเหตุ มันน่าเศร้าสำหรับเธอมากทีเดียว เธอไม่เป็นอันกินอันนอนเกือบหนึ่งอาทิตย์เต็ม ๆ
โชคดีที่ อีวานน่า ลินเดน น้องสาวของนายจอห์นสันพยามเอ่ยปลอบเธอ และอยู่เคียงข้างเธอตลอดงานพิธีศพ อีธาน ลินเดนสามีของหล่อนเองก็เป็นคนดี พวกเขาจะมีลูกน้อย ๆ ด้วยชื่อไซลาส เจ้าหนูคนนั้นน่ารักมากทีเดียว แต่พวกเขาค่อนข้างที่จะ –– แปลก?
โอ้ แต่นางจอห์นมันไม่ได้เกลียดพวกเขาหรอก พวกเขาเป็นคนที่ตลกดี คิดว่านะ? พวกเขาพูดอะไรแปลก ๆ เกี่ยวกับไม้กวาด ขนมประหลาด ๆ คาถา หรืออะไรทำนองนั้น –– เธอไม่ได้ใส่ใจนักหรอก เธอคิดว่าครอบครัวลินเดนอาจจะพยามทำให้เธอหายเศร้าด้วยการพูดอะไรแบบนั้น
หลังจากนั้นก็มีการส่งจดหมายหากันเป็นครั้งคราว ถึงพักหลัง ๆ มานี้เธอจะไม่ได้รับจดหมายจากทางนั้นมาสักพักแล้วก็ตามที
นางจอห์นสันทำงานเป็นประธานบริษัทรับทำความสะอาดเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นธุรกิจที่เธอรับช่วงต่อมาจากสามี ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ผู้หญิงอย่างเธอจะจัดการเรื่องทั้งหมดนี้ได้ แต่ทุกคนก็ยังคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงธรรมดา ๆ เชื่อพวกเขาเลย!
แต่นั่นแหละเหตุการณ์ที่ไม่ขาดฝันมักเกิดในวันที่ธรรมดาที่สุดกับคนที่ปกติที่สุดเสมอ
วันนี้ยังคงเป็นวันอังคารที่แสนธรรมดา ท้องฟ้าไม่ได้มืดครึ้มซึ่งเป็นลางของเรื่องประหลาดเลยแม้แต่น้อย นางจอห์นสันตื่นขึ้นมาตอนหกโมง เธอง่วนอยู่กับการหาเสื้อผ้าที่จะใส่เกือบสิบนาที เสียงตึงตังของพื้นบ้านดังขณะที่เธอเริ่มก้าวฉับ ๆ ไปยังชั้นล่าง
แน่ล่ะ เธอไม่เห็นนกฮูกตัวหนึ่งบินผ่านหน้าต่างห้องนอนไป
เจ็ดโมงแล้ว อาหารเช้าของเธอยังเรียบง่าย ขนมปังปิ้งทาแยม เธอคิดว่าเธอควรจะลดน้ำหนักเสียหน่อย ก่อนจะอ้วนตุบจนน่ากลัวว่าจะขยับตัวไม่ได้เหมือนนายเดอร์สลีย์ที่อยู่ ณ ไม่กี่หลังคาถัดไป
เธอไม่ได้ชอบพวกเขานัก จริง ๆ คนในละแวกนี้ก็ไม่ชอบพวกเดอร์สลีย์ทั้งนั้น พวกเขาเป็นคนที่ไม่น่าคบหามากที่สุด คิดดูสิ นางเดอร์สลีย์มักใช้คอยาว ๆ ของเธอสอดส่องคนนู้นคนนี้ไปทั่ว ส่วนนายเดอร์สลีย์เจ้านั่นเป็นพวกหัวโบราณคร่ำครึ แค่คิดว่าต้องไปเสวนาด้วยก็ขนลุกซู่ ยังไม่รวมเจ้าดัลลีย์เด็กจอมแหกปากนั่นอีก
แต่เอาเถอะ เธอบ่นไปก็ไม่ได้ทำให้พวกนั้นย้ายไปไกล ๆ วันพรุ่งนี้เสียหน่อย
เธอขึ้นไปบนรถสีเขียวพร้อมกับกัดขนมปังคำสุดท้าย ก่อนจะขับออกไปอย่างอารมณ์ดี เธอมองไปรอบ ๆ และนั่นเองที่เธอเห็นความผิดปกติครั้งแรก นกฮูกสีน้ำตาลตัวใหญ่บินผ่านหน้ารถของเธอ
นางจอห์นสันเบิกตาเล็กน้อยพยามอย่างยิ่งที่จะไม่กระพริบตาในเวลานี้ นกฮูกตอนกลางวันแสก ๆ… ให้ตายสิ นี่อาจจะเป็นลางบอกเหตุว่าเธอจะเจอเรื่องที่ดีที่สุดในชีวิตก็ได้
เธออารมณ์ดีมากขึ้น ขณะมุ่งตรงไปยังบริษัททำความสะอาดที่อยู่ไกลออกไป
เนื่องจากเธอเป็นประธานบริษัทเธอจึงไม่ต้องทำอะไรนอกจากจัดการกับเอกสารกองโต ดูเหมือนว่าบริษัทของเธอจะเติบโตรวดเร็วกว่าที่คิด เธอนั่งหันข้างให้กับหน้าต่าง ดังนั้นบางครั้งเมื่อรู้สึกเบื่อเธอก็จะมองออกไปด้านนอก ดูรถวิ่งผ่านไปมา ผู้คนใส่เสื้อคลุมเดินขวักไขว่ –– หือ? เธอมองไปยังกลุ่มคนใส่เสื้อคลุมที่เดินอยู่ข้างล่างอีกครั้ง
ชายคนหนึ่งใส่เสื้อคลุมสีม่วงแสบตา ในขณะที่หญิงที่เดินอยู่ข้าง ๆ ใส่เสื้อคลุมสีเขียวมรกต ทั้งคู่ดูมีความสุขมากเสียจนไม่สนใจใครก็ตามที่มองพวกเขาด้วยหน้าตาพิลึกพิลั่น —— และนั่น ชายชราสวมผ้าคลุมสีม่วงอ่อนที่ยืนอยู่อีกฟากของถนนเขาไล่จับมือทุกคนที่เดินผ่านด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับพึมพำบางอย่าง
แต่ก่อนที่นางจอห์นสันจะได้สังเกตอะไรไปมากกว่านี้ นกฮูกฝูงใหญ่ก็บินผ่านหน้าต่างของเธอจนเธอต้องสะดุ้งโหยง เหล่าพนักงานของเธอต่างวิ่งกรูไปที่หน้าต่างด้วยความอยากรู้อยากเห็น ปรากฏการณ์ประหลาดนี้สร้างความประหลาดใจให้แก่บุคคลที่อยู่โดยรอบ ยกเว้นเพียงแค่กลุ่มคนที่ใส่เสื้อคลุมประหลาดเท่านั้นที่มองเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ
นางจอห์นสันส่ายหน้าเรียกสติก่อนจะหันไปจัดการความวุ่นวายในบริษัทของเธอ เธอไล่ลูกน้องกลับไปทำงานก่อนจะมานั่งอยู่ที่เก้าอี้ประจำตำแหน่งอีกครั้ง ซึ่งตลอดทั้งบ่ายนางจอห์นสันก็มัวยุ่งกับเอกสารจนเกือบลืมเรื่องพวกนี้ไปเสียสนิท
แต่ก็เพียงชั่วคราวเท่านั้นแหละ ทันทีที่รถคันเขียวของเธอจอดสนิท เธอก็เห็นนกฮูกสีน้ำตาลตัวใหญ่อีกครั้ง มันกำลังเกาะอยู่ตรงกำแพงรั้วอิฐของเธอ เธอมั่นใจว่ามันคือตัวเดียวกันกับที่เธอเจอเมื่อเช้านี้ เพราะตรงหน้าของมันมีรอยจุดสีดำ ๆ จุดใหญ่
“ไปให้พ้นเลย!”
นางจอห์นสันพยามส่งเสียงไล่ แต่ไม่เป็นผล สุดท้ายเธอก็ถอนหายใจและยอมแพ้ เธอเหนื่อยเสียจนไม่ได้เปิดทีวีดูเลยแม้แต่น้อย เธอเพียงกินข้าวและจัดการงานบ้านตามประสาหญิงที่อยู่คนเดียว เสร็จแล้วเธอก็ขึ้นนอน โดยที่ไม่ลืมที่จะมองไปยังนกฮูกที่ยังคงเกาะอยู่ที่เดิม
ถึงเธอจะกังวลเกี่ยวกับนกฮูกประหลาดนั่น แต่เพราะความอ่อนล้ามากกว่าเธอจึงหลับลงในที่สุด โดยที่เธอไม่รู้หรอกว่านี่จะเป็นวันสุดท้ายที่เธอได้เป็นผู้หญิงธรรมดา ๆ
นกฮูกตัวนั้นยังคงเกาะอยู่ที่เดิมราวกับรูปปั้น หากมองจากที่ไกล ๆ คนคงคิดว่ามันกำลังหลับอยู่ แม้กระทั่งเสียงปิดประตูรถยนต์ของนายเดอร์สลีย์ที่ห่างออกไปไม่กี่หลังคาก็ไม่ได้ทำให้มันว่อกแวก
เวลาล่วงเลยไปจนเที่ยงคืน
ชายคนหนึ่งปรากฏกายขึ้นที่ปากซอย เขาเดินมาอย่างเงียบกริบเสียจนคุณอาจจะคิดว่าเขาลอยอยู่เหนือพื้นดิน
ชายผู้นี้ไม่เหมือนคนอื่น ๆ ที่เคยเห็นกันในซอยพรีเว็ต เขาเป็นชายร่างสูงผอมและดูแก่ชรามาก เห็นได้จากผมและเคราที่ขาวเป็นสีเงินยาวจนสอดไว้ใต้เข็มขัดได้ เขาสวมชุดยาวกรอมเท้ากับเสื้อคลุมสีม่วงยาวจรดพื้น สวมรองเท้าบู๊ตมีสันที่มีเข็มขัดรัดด้านหน้า ตาสีฟ้าอ่อนสดใสของชายชราทอประกายเจิดจ้าอยู่หลังแว่นตารูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวชายผู้นี้ชื่อ อัลบัส ดัมเบิลดอร์
ดูเหมือนอัลบัส ดัมเบิลดอร์จะไม่รู้ตัวเอาเลยว่าเขามาอยู่บนถนนที่ไม่ยินดีต้อนรับทุกอย่างบนตัวเขา ตั้งแต่ชื่อของเขาจนถึงรองเท้าบู๊ต ในอ้อมแขนข้างหนึ่งของดัมเบิลดอร์มีห่อผ้าที่ห่อเด็กตัวน้อยไว้คนหนึ่ง ในขณะที่อีกข้างมัวแต่วุ่นค้นหาอะไรบางอย่างในเสื้อคลุม แต่เขาก็รู้ตัวว่ากำลังถูกจับตามอง เพราะจู่ ๆ เขาก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังแมวที่ยังคงจับตาดูเขาอยู่ที่สุดซอย ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างดูเหมือนว่าการได้เห็นแมวตัวนั้น ทำให้เขารู้สึกขบขัน เขาหัวเราะหึ ๆ และพึมพำว่า “ผมน่าจะรู้นะ”
เขาพบของที่กำลังหาอยู่ในกระเป๋าด้านในเสื้อคลุม มันมองดูเหมือนจะเป็นที่จุดบุหรี่สีเงิน เขาดันฝาเปิด ยกชูขึ้นและกดปุ่มดังกริ๊ก ไฟถนนที่ใกล้ที่สุดดับวูบลง เขากดปุ่มอีกกริ๊ก ไฟเสาถัดไปก็ดับมืด ชายชรากดปุ่มรวมทั้งสิ้นสิบสองครั้ง แล้วแสงที่เหลืออยู่ในถนนนั้นก็มีแต่เพียงแสงเรืองรอง เล็กจ้อยสองดวงจากตาของแมวที่จ้องมองเขาอยู่ ตอนนี้ถ้ามีใครมองลงมาจากหน้าต่าง ก็ไม่อาจเห็นอะไรที่เกิดขึ้นบนทางเท้าได้เลย ดัมเบิลดอร์สอด ที่ดับไฟ ลงในกระเป๋าเสื้อคลุมและออกเดินตามถนนไปยังบ้านเลขที่สี่ เมื่อถึงจึงหยุดยืนใกล้ ๆ แมว เขาไม่ได้มองดูมันเลย แต่สักครู่หนึ่งก็พูดกับแมวว่า
“ดีใจจังที่เห็นคุณที่นี่ ศาสตราจารย์มักกอนนากัล”
เขาหันมายิ้มให้แมวลาย แต่มันหายไปแล้ว กลายเป็นว่าเขากำลังยิ้มให้ผู้หญิงที่หน้าตาดูเอาจริงเอาจัง สวมแว่นตากรอบสี่เหลี่ยมที่เหมือนลายรอบตาของแมวไม่มีผิด เธอสวมเสื้อคลุมเหมือนกันแต่เป็นสีเขียวมรกต ผมสีดำรวบเป็นมวยแน่นดูท่าทางหงุดหงิดมาก
“คุณรู้ได้ยังไงว่าเป็นฉัน”
“ศาสตราจารย์ที่รัก ผมไม่เคยเห็นแมวที่ไหนนั่งตัวแข็งทื่อแบบนี้”
“ลองเป็นคุณมานั่งอยู่บนกำแพงอิฐนี้ทั้งวันก็ต้องแข็งที่อเหมือนกันล่ะน่า”
“ทั้งวันเลยหรือ ทั้ง ๆ ที่คุณน่าจะไปร่วมฉลองด้วยกัน ผมผ่านงานเลี้ยงฉลองสักโหลได้กระมังตลอดทางที่มานี่”
ศาสตราจารย์มักกอนนากัลสูดลมหายใจเข้าเร็ว ๆ อย่างฉุน ๆ
“อ๋อ ใช่สิ ทุกคนพากันเฉลิมฉลองเป็นการใหญ่” เธอบอกอย่างเหลืออด “คุณน่าจะคิดว่าพวกนี้ควรจะระมัดระวังมากกว่านี้หน่อย แต่ไม่เลย แม้แต่พวกมักเกิ้ลยังสังเกตเห็นเลยว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น เป็นข่าววันนี้ของพวกเขาด้วย”
เธอสะบัดหน้าไปทางหน้าต่างห้องนั่งเล่นของครอบครัวเดอร์สลีย์ที่มืดสนิท
“ฉันได้ยินข่าว ฝูงนกฮูก.... ฝนดาวตก... พวกมักเกิ้ลน่ะไม่โง่ดักดานหรอกนะ พวกเขาต้องสังเกตเห็นอะไรเข้าจนได้ อย่างกลุ่มดาวตกที่เคนท์ พนันกันเลยต้องเป็นฝีมือเจ้าดีดาลัส ดิกเกิ้ล เจ้าหมอนี่ไม่เคยมีสติอะไรกับใครเขาหรอก”
“คุณไปโทษพวกเขาก็ไม่ได้หรอกน่า” ดัมเบิลดอร์บอกอย่างอ่อนโยน “พวกเราแทบไม่มีเรื่องน่าฉลองเลยมาตั้งสิบเอ็ดปีแล้ว”
“ฉันรู้หรอก” ศาสตราจารย์มักกอนนากัลตอบอย่างหงุดหงิด “แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะลืมตัว พวกเราน่ะไม่ระวังกันเลยจริง ๆ นะ เที่ยว ปรากฏตัวตามถนนกลางวันแสก ๆ แถมไม่ใส่เสื้อผ้าให้เหมือนพวกมักเกิ้ลด้วย แล้วก็ออกมาแลกข่าวลือกันใหญ่”
เธอชำเลืองดูดัมเบิลดอร์ เหมือนหวังว่าเขาจะบอกอะไรบางอย่างกับเธอ แต่เขาไม่พูดอะไร เธอจึงกล่าวต่อไปว่า
“เฮ้อ คงวิเศษหรอกถ้าพวกมักเกิ้ลรู้ความจริงเรื่องพวกเรา ในวันที่คนที่คุณก็รู้ว่าใครหายตัวไปในที่สุด ฉันคิดว่าเขาหายไปจริง ๆ แล้วใช่ไหมดัมเบิลดอร์ เดี๋ยว –– นั่นอะไร”
สายตาของศาสตราจารย์มักกอนนากัลหยุดลงบนห่อผ้าในอ้อมแขนดัมเบิลดอร์ คิ้วของเธอขมวดเข้าหากันหนักขึ้น ในขณะที่ดัมเบิลดอร์หัวเราะน้อย ๆ ก่อนพูด
“ในที่สุดคุณก็สังเกตเห็นเขา”
ศาสตราจารย์มักกอนนากัลชะโงกหน้าเข้ามาดูใกล้ ๆ เด็กน้อยห่อผ้ากำลังหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว ลมหายใจเข้าออกเสมอต้นเสมอปลาย ผมสีน้ำตาลเปลือกไม้โอ๊คปรกใบหน้าเสียเกือบมิด ไม่ปล่อยให้เธอสงสัยนาน ดัมเบิลดอร์ก็พูดว่า “เขาคือไซลาส พ่อแม่ของเขามาฝากไว้กับผม”
“ไซลาส? คุณหมายถึงไซลาส ลินเดนน่ะหรือ” เธอเบิกตา “ฉันหมายถึง มีข่าวลือว่าอีวานน่ากับอีธาน ลินเดน เอ่อ –– ตายแล้ว”
ดัมเบิลดอร์พยักหน้า ศาสตราจารย์มักกอนนากัลหายใจกระตุก
“งั้นข่าวลือเกี่ยวกับลิลี่กับเจมส์ พอตเตอร์ก็จริงด้วยหรือ”
ดัมเบิลดอร์พยักหน้าอีกครั้ง นั่นทำให้มักกอนนากัลเผลอถอยหลังไปหนึ่งก้าวคล้ายกำลังจะล้มทั้งยืน
“ฉันไม่อยากเชื่อเลย... ฉันไม่อยากเชื่อเลย โธ่เอ๋ย! อัลบัส”
ดัมเบิลดอร์ยื่นมือไปตบบ่าของเธอเบา ๆ “ผมรู้... ผมรู้...” เขาปลอบ “ผมมาที่นี่เพื่อฝากเขาไว้กับป้าของเขา แน่นอนรวมถึงฝากแฮร์รี่ไว้กับลุงแล้วก็ป้าของเขาด้วย”
และในที่สุดเขาก็เริ่มเดิน ศาสตราจารย์มักกอนนากัลเบิกตาอีกครั้งขณะเริ่มก้าวตามดัมเบิลดอร์
“ลุงกับป้า? คุณไม่ได้หมายความว่า... อย่าบอกนะว่าคุณหมายถึงคนที่อยู่ที่บ้านนี้น่ะหรือ” ศาสตราจารย์มักกอนนากัลร้องเสียงหลง ชี้ไปที่บ้านเลขที่สี่ “ดัมเบิลดอร์ คุณทำอย่างนี้ไม่ได้นะ ฉันเฝ้าดูพวกนี้มาทั้งวัน คุณจะหาคนคู่ไหนที่ไม่เหมือนเรามากเท่าคนสองคนนี้ไม่ได้อีกแล้ว และเขามีลูกชายคนหนึ่งด้วย ฉันเห็นเจ้าเด็กนั่นเตะแม่ไปตลอดทาง ตะเบ็งเสียงลั่นจะเอาขนม แล้วจะให้แฮร์รี่ พอตเตอร์มาอยู่ที่นี่น่ะนะ!”
“เป็นที่ที่ดีที่สุดสำหรับเขา” ดัมเบิลดอร์ตอบอย่างหนักแน่น “ป้าและลุงของเขาจะอธิบายทุกอย่างให้เขาได้รู้เมื่อเขาโตขึ้น ผมเขียนจดหมายทิ้งไว้ให้พวกเขาแล้ว”
และคนทั้งคู่ก็หยุดอยู่หน้าบ้านเลขที่เจ็ด เจ้านกฮูกสีน้ำตาลกระพือไปเกาะไหล่ดัมเบิลดอร์ มันโยกหัวเล็กน้อยคล้ายกับกำลังดีใจที่ได้พบคนทั้งคู่
“โอ้ เฮเซลพวกเขาส่งคุณมาก่อนแล้วหรือ” ดัมเบิลดอร์พูดด้วยรอยยิ้ม แต่ศาสตราจารย์มักกอนนากัลยังขมวดคิ้วอยู่
“กับไซลาส ลินเดนฉันพูดอะไรไม่ได้มากก็จริง แต่คุณจะฝากเขาไว้กับมักเกิ้ลจริง ๆ หรือ”
“ศาสตราจารย์ที่รัก นี่คือความต้องการของเอวากับอีธาน”
“เชื่อเขาเลย” ศาสตราจารย์มักกอนนากัลถอนหายใจ ขณะมองไปยังเด็กชายที่นอนอยู่ในอ้อมแขนของดัมเบิลดอร์ “วันนี้มีเด็กน่าสงสารถึงสองคน…”
“ผมรู้ พ่อแม่ของพวกเขาต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่น่าเศร้า”
“แล้วแฮรี่ละ”
“แฮกริดจะพาเขามา” ดัมเบิลดอร์พูด “เอาละ จัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดดีกว่า”
ดัมเบิลดอร์ก้าวข้ามกำแพงสวนเตี้ย ๆ เดินตรงไปที่ประตูหน้าบ้าน เขาค่อย ๆ วางไซลาสลงบนบันไดหน้าประตู แล้ว หยิบจดหมายจากเสื้อคลุมสอดไว้ใต้ห่อผ้า เฮเซลบินออกจากไหล่ดัมเบิลดอร์ลงไปยืนอยู่ข้าง ๆ เด็กน้อยที่กำลังหลับปุ๋ย เสียงกระพือของมันเงียบเชียบมากกว่าเสียงย่ำเท้าของศาสตราจารย์มักกอนนากัลเสียอีก ดัมเบิลดอร์เห็นดังนั้นก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อคลุมอีกครั้ง ส่งของกินที่คาดว่าคงหยิบมาจากงานเลี้ยงสักแห่งให้มัน
“คุณคิดรอบคอบแล้วหรือที่ให้แฮกริดทำเรื่องสำคัญแบบนี้” ศาสตราจารย์มักกอนนากัลถามขึ้น ตอนที่ดัมเบิลดอร์กำลังเดินกลับมาหาเธอ
“ผมเอาชีวิตเป็นประกันเลย”
“ฉันไม่ได้หมายถึงเขาจิตใจไม่ดีนะ” มักเกอนากัลตอบไม่เต็มเสียง “คุณน่ะแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ได้ว่าเขาน่ะเลินเล่อ เขามักจะ–– นั่นเสียงอะไร?”
เสียงครางต่ำ ๆ ดังแหวกความเงียบสงัดที่ปกคลุมรอบตัวคนทั้งสอง เสียงนั้นค่อย ๆ ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อทั้งคู่มองไปหัวถนนท้ายถนนเพื่อหาแสงไฟหน้ารถ เสียงดังกลายเป็นเหมือนเสียงคำรามเมื่อทั้งคู่เงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า รถจักรยานยนต์คันใหญ่คันหนึ่งหล่นลงมาจากกลางอากาศและจอดอยู่ตรงหน้าพวกเขา
รถจักรยานยนต์คันนั้นว่าใหญ่แล้ว แต่ก็เทียบไม่ได้เลยกับชายที่นั่งอยู่บนนั้น ชายคนนั้นสูงเกือบสองเท่าของผู้ชายทั่วไปและลำตัวกว้างใหญ่กว่าอย่างน้อยก็สักห้าเท่าได้ เขาดูตัวใหญ่โตเหลือเชื่อ และดูเถื่อน ๆ ผมและเครายาวหนาพันกันยุ่งแทบปิดมิดใบหน้า มือใหญ่เท่าฝาถังขยะ เท้าที่อยู่ในรองเท้าบู๊ตคู่ยักษ์ก็ใหญ่พอ ๆ กับลูกปลาโลมา ในอ้อมแขนใหญ่ล่ำแข็งแรงมีห่อผ้าห่อหนึ่ง
“แฮกริด” ดัมเบิลดอร์เอ่ยขึ้นเสียงโล่งใจ “ในที่สุดก็มาถึง ว่าแต่ ไปเอารถมอเตอร์ไซค์มาจากไหน”
“ยืมเขามาครับ ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์” ยักษ์ใหญ่ตอบพลาง ปืนลงจากรถจักรยานยนต์อย่างระมัดระวัง “เจ้าหนุ่มซีเรียส แบล็กให้ผมยืม ผมพาแกมาแล้วครับ”
"ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม"
“ไม่มีครับ... บ้านถูกทำลายเกือบหมดแล้วตอนที่ผมเอาแกออกมาก่อนที่พวกมักเกิ้ลจะเข้าไปมุงดู แกหลับปุ๋ยไปตอนเราบินข้ามบริสโตลมาครับ” ไม่วายที่แฮกริดจะเหลือบไปมองห่อผ้าอีกผืนที่วางอยู่ก่อนแล้ว เขาเหมือนพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ร้องไห้ออกมาทันที
ดัมเบิลดอร์และศาสตราจารย์มักกอนนากัลก้มลงมองดูห่อผ้า เท่าที่ทั้งสองมองเห็นอยู่ข้างในคือทารกเพศชายที่กำลังหลับสนิทใต้ปอยผมดำเป็นมันที่ปรกหน้าผาก ทั้งสองเห็นรอยแผลประหลาดที่มองดูเหมือนรูปสายฟ้าฟาด
“นี่เป็นที่…” ศาสตราจารย์มักกอนนากัลกระซิบ
“ใช่” ดัมเบิลดอร์ตอบ “เขาจะมีแผลเป็นไปตลอดชีวิต”
“คุณช่วยแก้ไขไม่ได้หรือ ดัมเบิลดอร์”
“ถึงผมจะทำได้ ผมก็ไม่ทำ แผลเป็นบางทีก็มีประโยชน์นะ ผมก็มีอันหนึ่งที่เหนือหัวเข่าซ้าย เป็นรูปแผนที่รถไฟใต้ดินลอนดอนพอดีเป๊ะ เอาล่ะแฮกริด ส่งเขามาให้ผม เราจะได้จัดการให้เสร็จเรื่องกันเสียที”
ดัมเบิลดอร์รับแฮร์รี่มาอุ้มไว้ในวงแขนแล้วหันไปทางบ้านเลขที่สี่ของพวกเดอร์สลีย์
“ขอผม –– ขอผมบอกลาแกหน่อยได้ไหมครับ” แฮกริดถาม
เขาก้มหัวใหญ่โตรุงรังลงเหนือร่างของแฮร์รี่และจูบเด็กน้อย คงเป็น จูบที่จักจี้น่าดู แล้วทันใดนั้นแฮกริดก็ส่งเสียงโหยหวนเหมือนสุนัขที่บาดเจ็บ
“เบา ๆ” ศาสตราจารย์มักกอนนากัลเอ็ด “เดี๋ยวแกก็ปลุกพวกมักเกิ้ลขึ้นมาหรอก”
“ขะ... ขอโทษครับ” แฮเกร็ดสะอื้นพลางดึงผ้าเช็ดหน้าลายจุดผืนใหญ่ออกมาปิดหน้า “แต่ผมทะ....ทะ....ทนไม่ได้... ลิลี่กะเจมส์ตาย... อีวานน่ากะอีธานก็ด้วย… เจ้าหนูทั้งสองที่น่าสงสารต้องไปอยู่กับพวกมักเกิ้ล... ”
“ใช่... ใช่ มันน่าเศร้าใจ แต่ควบคุมตัวเองหน่อย แฮกริดเดี๋ยวก็เสียเรื่องหมดหรอก” ศาสตราจารย์มักกอนนากัลกระซิบ แตะแขนแฮเกร็ดด้วยปลายนิ้ว
และพวกเขาทั้งสามมุ่งหน้าไปยังบ้านเลขที่สี่ ทำทุกอย่างเหมือนกับที่ทำกับบ้านเลขที่เจ็ดทุกประการ
เป็นเวลาสองนาทีเต็มที่คนทั้งสามยืนมองดูห่อผ้าน้อย ๆ ทั้งสอง ไหล่ของแฮกริดสั่นเทิ้ม ศาสตราจารย์มักกอนนากัลกะพริบตาถี่ ๆ และดูเหมือนประกายตาที่ระยิบระยับอยู่เสมอของดัมเบิลดอร์จะหายไป
“เอาล่ะ” ดัมเบิลดอร์กล่าวในที่สุด “เป็นอันเสร็จเรื่อง เราไม่มีธุระอะไรที่นี่อีกแล้ว เราควรไปร่วมงานเฉลิมฉลองกันดีกว่า”
“ถ้าอย่างนั้นผมจะเอามอเตอร์ไซค์ไปคืนพ่อหนุ่มซีเรียส ราตรีสวัสดิ์ครับศาสตราจารย์มักเกอนากัล ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์”
แฮกริดใช้แขนเสื้อแจ็กเก็ตเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบ ก่อนจะเหวี่ยงตัวเองขึ้นรถจักรยานยนต์ แล้วก็พุ่งทะยานขึ้นไปบนฟ้า เสียงกระหึ่มดังไกลออกไปจนหายเงียบ
“ผมคงจะได้พบคุณในอีกไม่ช้า ศาสตราจารย์มักกอนนากัล” ดัมเบิลดอร์กล่าวขณะก้มหัวให้เธอ ศาสตราจารย์มักกอนนากัลสั่งน้ำมูกเป็นคำตอบ
เช่นนั้นเขาจึงหมุนตัวกลับไป หยุดลงที่หัวมุมถนน หยิบที่ดับไฟสีเงินออกมา เพียงกดกริ๊กเดียวซอยพรีเว็ตก็กลับมาสว่างด้วยไฟสีส้มอีกครั้ง พอจะให้เห็นแมวลายที่เดินเลี้ยวไปยังอีกหัวมุมถนนที่อยู่ไกล ๆ
ดัมเบิลดอร์มองกลับไปยังห่อผ้าเล็ก ๆ สองผืนเป็นครั้งสุดท้าย
“โชคดีนะ แฮร์รี่ ไซลาส” ว่าจบเขาก็สะบัดผ้าคลุมและหายไป
สายลมเย็น ๆ ยังคงพัดผ่านซอยพรีเว็ตอันเงียบสงบภายใต้ท้องฟ้าสีดำมืด สถานที่สุดท้ายที่คุณจะคิดว่ามันมีเรื่องประหลาดขึ้น เด็กชายสองคนพลิกตัวไปมาในผ้าสีขาว คนหนึ่งนามแฮร์รี่ พอตเตอร์เขาไม่รู้หรอกว่าตัวเองเป็นคนดังมากแค่ไหนในฐานะ ‘เด็กชายในผู้รอดชีวิต’
ในขณะที่เด็กชายอีกคนนาม ไซลาส ลินเดน ก็ยังไม่รู้หรอกว่าตัวเองกำลังอยู่ที่ไหน เขายังคงคิดว่าตัวเองกำลังฝันหวานอยู่บนเตียง ความฝันของเขาช่างประหลาดนัก เขาฝันว่าตัวเองได้พูดคุยกับ ‘พระเจ้า’ แต่บทสนทนาประหลาดยิ่งกว่า ‘พระเจ้า’ บอกกับเขาว่าเขาจะได้รับโอกาสให้มีชีวิตใหม่อีกครั้ง มันฟังดูน่าเหลือเชื่อเกินจะเป็นความจริง แต่ก็ไม่นานนักหรอกเขาจะรู้ว่าความฝันของตัวเองเป็นจริงเข้าให้ เพราะเขาจะตื่นขึ้นด้วยเสียงกรี๊ดของนางจอห์นสัน และนางเดอร์สลีย์ที่ดังแทบจะพร้อมกันในเช้าวันถัดมา
…
ตอนนี้ไรท์อยากได้ฟิลฉากเปิดในแฮร์รี่พอตเตอร์ฉบับนิยายแปลไทย บางส่วนเลยหยิบมาจากนิยายต้นฉบับด้วย อย่างไรก็ฝากเจ้าหนูไซลาสไว้ในอ้อมอกทุกคนด้วยน้าา จุ๊บ ๆ
ความคิดเห็น