ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ผ่านภพบรรจบฟ้า (ตีพิมพ์กับสนพ. คำต่อคำ)

    ลำดับตอนที่ #23 : ตอนที่ ๒๒ คุ้มกันขบวนสินค้า

    • อัปเดตล่าสุด 4 มิ.ย. 59



    ตอนที่ ๒๒ คุ้มกันขบวนสินค้า



    เมืองตานหยางตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของแคว้นฉู่เกือบติดชายแดนแคว้นฉิน เป็นหนึ่งในเมืองใหญ่ของแคว้นที่ความสำคัญอย่างยิ่ง การเดินทางจากเซี่ยไปตานหยางนั้นใช้เส้นทางบก ตลอดเส้นทางมีทั้งที่ราบและเนินเขาจึงเสี่ยงต่อการถูกซุ่มโจมตีหากเป็นขบวนสินค้า ด้วยเหตุนี้ขบวนสินค้าของคหบดีจ้างจึงต้องมีคนคุ้มกันคอยตรวจตราขบวนตลอดการเดินทาง


    ไปตานหยางครั้งนี้คหบดีจ้างติดกิจสำคัญไม่อาจคุมขบวนไปด้วยตนเองได้ จึงมอบหมายอำนาจให้พ่อบ้านคนสนิทนามว่าหลวนเหยาเป็นหัวหน้าขบวนสินค้าครั้งนี้ หลวนเหยาเป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ทำงานกับคหบดีจ้างมานาน เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่คนถือตัว ในตอนพูดคุยนัดแนะเวลากับรายละเอียดต่างๆของภารกิจเกิดคุยกันถูกคอ เขาเลยให้พวกฉันเรียกว่าพี่หลวนเหมือนกับคนอื่นๆ


    ขบวนสินค้าออกจากเซี่ยมาไกลแล้ว ตอนนี้จึงแวะให้ทั้งม้าและคนพักกินดื่มคลายเหนื่อย


    “ขบวนสินค้าขบวนนี้บรรทุกของไปส่งให้ขุนนางที่ตานหยางหลายเจ้า รวมๆกันแล้วก็มีไม่น้อย คงใช้เวลานานกว่าจะไปถึง” ฉันกวาดตามองเกวียนที่จอดเรียงกันอยู่ก่อนจะพูด “ไหนจะขากลับไปเมืองหลวงอีก เห็นว่าจะอ้อมเซี่ยไปแม่น้ำฮั่วไอ๋แล้วล่องเรือไปจนถึงเมืองหลวง กว่าพวกเราจะเจอเป้าหมายมีอันได้ถูกคนจากหอส่งมาตรวจสอบก่อนพอดี”


    หยางชุนที่ยืนอยู่ข้างๆมองตาม ด้วยความที่แยกตัวออกมายืนใต้ต้นไม้ที่ห่างออกมาจากกลุ่มคน จึงสามารถพูดคุยเรื่องภารกิจกันได้โดยใช้เสียงไม่ดังนัก


    “ก่อนออกจากเซี่ยข้าได้เขียนจดหมายรายงานฝากให้จินฟู่ส่งกลับไปแล้ว คิดว่าพวกเขาคงยังไม่มาตรวจสอบพวกเราเร็วๆนี้”


    “เจ้านี่ฉลาดรอบคอบไม่เปลี่ยน” ฉันพูดชมทึ่งๆ ไม่เห็นเขาแสดงท่าทีอะไรจึงพูดต่อ  “อืม จะว่าไปเรื่องเสนาบดีคลังผู้นี้ข้ายังคงมีข้อสงสัยอยู่ แม้จะฉ้อราษฎร์บังหลวงแต่หากเขาตายไป ผู้ใดจะยืนยันได้ว่าคนที่ขึ้นมาแทนเขาจะไม่คดโกง อย่างไรเขาก็เป็นคนของอ๋องฉู่ คนที่จะขึ้นมาแทนได้ก็ย่อมต้องเป็นคนของอ๋องฉู่ พวกเดียวกันไม่ใช่ว่านิสัยจะเหมือนๆกันหรอกรึ แบบนี้จะมีสิ่งใดต่าง”


    “หากคนที่ขึ้นมาแทนเป็นคนของอ๋องฉู่ย่อมไม่ต่าง แต่หากคนผู้นั้นแท้จริงแล้วเป็นคนของเรา”


    “เจ้าหมายความว่า...” ฉันชะงัก ในหัวคิดตาม


    “แต่ไหนแต่ไรภารกิจของพวกเรามักเชื่อมโยงกับหออื่นๆอยู่เสมอ อย่างตอนขโมยของที่คฤหาสถ์เจ้าเมืองหลินเซียง เห็นว่าของที่อยู่ในกล่องไม้นั่นเป็นบัญชีรายชื่อซึ่งถูกส่งต่อไปให้วารี อีกทั้งพอพวกเจ้าขโมยของออกมาเสร็จ สุริยันที่ซุ่มรออยู่แล้วก็เข้าบุกโจมตี สังหารเจ้าเมืองเป็นการปิดปากทั้งยังกลบเกลื่อนร่องรอยของพวกเราให้อีกด้วย เห็นได้ว่าภารกิจที่เราได้ในตอนนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งในภารกิจใหญ่ที่พวกเขาทำอยู่อีกที” หยางชุนอธิบาย


    “ครั้งนี้เจ้าจึงคิดว่าคนที่จะขึ้นไปแทนเสนาบดีคลังเป็นคนจากวารีอย่างนั้นรึ”


    “ข้าเพียงคาดเดา จากประสบการณ์ที่ผ่านมาการสังหารเสนาบดีคลังน่าจะเป็นเพียงส่วนหนึ่งในแผนการใหญ่ของพวกเขา ที่มีความเป็นไปได้ที่สุดคือส่งคนแฝงตัวเข้าไปในราชสำนักฉู่ คิดว่าวารีน่าจะส่งคนเข้าไปนานแล้ว นานพอให้ได้รับความไว้วางใจจากอ๋องฉู่ จนพวกเขามั่นใจว่าหากเสนาบดีคลังผู้นี้ตาย คนของพวกเขาต้องได้เข้าไปแทนจึงมีใบภารกิจนี้มา”


    “แล้วเช่นนี้จะกระทบสิ่งใดต่อเจ้าหรือไม่” ฉันถาม ในขณะที่หยางชุนชะงักไปเล็กน้อยด้วยสีหน้าประหลาดใจก่อนจะตอบ


    “หากเป็นเช่นนั้นเขาน่าจะเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ ไม่ได้อยู่ฝ่ายอ๋ององค์ปัจจุบันอย่างแท้จริง”


    “อืม ข้าเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องบทบาทหน้าที่ในราชสำนักเสียด้วย หากไม่กระทบเจ้าก็ดีแล้ว” ฉันเอาพัดจีบแตะคางพยักหน้า ครั้นพอหันกลับไปมองคู่สนทนา เขาที่มองอยู่ก่อนกลับสะดุ้งเล็กน้อยแล้วหันหนี


    ฉันเอียงคอมองตาม เห็นแต่ผมสีดำสนิทของเขาจากด้านหลัง เมื่อครู่เหมือนจะเห็นหน้าเขาแดงท่าทางจะตาฝาด แดงคงแรงเกินไป


    “เอ๊ะ” ฉันนึกขึ้นได้ “เจ้าว่าคนของวารีผู้นั้นจะเป็นสิบเก้าได้หรือไม่”


    หยางชุนหันกลับมาส่ายหน้า


    “เป็นไปไม่ได้ หากเขาส่งคนเข้าไปแฝงตัวจนได้รับความเชื่อถือถึงเพียงนั้นจริงย่อมต้องใช้เวลา ไม่มีทางเป็นสิบเก้าไปได้ อีกอย่างเขาอายุน้อยเกินไป”


    “จริงของเจ้า” ฉันถอนหายใจ “เช่นนั้นแล้วเจ้านั่นไปอยู่ที่ไหนกัน ไม่ใช่แกว่งปากไปโดนคนใหญ่คนโตในหอเลยโดนลอยลำไปอยู่เยี่ยนหรอกนะ”


    “เยี่ยนเป็นแคว้นเล็ก ไม่มีบทบาทสำคัญใดกับการเมืองระหว่างแคว้นนัก เขาไม่น่าถูกส่งไปที่นั่นหรอก”


    “จะว่าไปหากไม่ได้เป็นอย่างที่เป็นอยู่ ได้ลงหลักปักฐานที่แคว้นเยี่ยนก็คงไม่เลว ตะวันตกติดแคว้นจ้าว ตะวันออกติดทะเล แคว้นเล็กๆทางเหนือที่แม้ไม่แข็งแกร่งแต่ก็ไม่ได้คิดแก่งแย่งกับผู้ใด อยู่กันอย่างเงียบสงบกับสายลมแสงแดด อืม ถ้ามีโอกาส” ท้ายประโยคพึมพำกับตนเอง หากจบเรื่องราวทั้งหมดแล้วฉันยังมีโอกาส ไม่ตกตายกลายเป็นผีเฝ้าบ่อให้เทพบุตรไปเสียก่อน


    หยางชุนไม่ได้พูดสิ่งใดต่อ ฉันเองก็จมอยู่กับภวังค์ความคิดของตนเองไม่ทันเห็นสายตาแฝงความเศร้าที่มองมาของเขา ไม่ทันเห็นว่าเขาแบมือขึ้นแล้วกำเข้าหากันยามสายลมพัดผ่าน แต่สายลมนั้นอย่างไรก็ยังคงเป็นสายลม มันจึงเพียงพัดผ่านช่องว่างระหว่างมือแล้วเลือนหายไป


    “จริงด้วย เจ้าจิ้นเหอไปตรวจตราเกวียนสินค้าตั้งนาน...” ฉันนึกได้ พูดยังไม่ทันจบประโยคที่เกวียนท้ายขบวนสินค้าก็เกิดเสียงเอะอะโวยวายขึ้น ขารีบออกวิ่งด้วยกลัวว่าจะเกิดเหตุร้ายมีคนลอบโจมตี ไปถึงภาพที่เห็นกลับเป็นจิ้นเหอกำลังยืนจังก้าชี้หน้าดรุณีน้อยนางหนึ่ง


    “กลับบ้านเจ้าไปเดี๋ยวนี้!” เจ้าหมาบ้าตวาดเสียงดัง


    ดรุณีน้อยที่ว่าไม่ใช่คนอื่นไกล คุณหนูซือเหมยบุตรสาวคนเดียวของคหบดีจ้างนั่นเอง


    “ข้าไม่กลับ!” ซือเหมยตะโกนตอบ ดวงตาท่าทางขึงขังหาได้เกรงกลัวหมาบ้าตรงหน้าไม่


    “แอบติดตามมาเช่นนี้มีแต่จะสร้างปัญหา กลับไป!


    “เจ้าจะให้ข้ากลับอย่างไรได้ ข้าไม่...” ดวงตากลมโตฉายแววดื้อรั้นคู่นั้นพลันหันมาเห็นฉัน ท่าทางแข็งกร้าวแปรเปลี่ยน ซือเหมยหุบปากก้มหน้าลงเล็กน้อย พูดเสียงเบาลง “ข้าไม่กลับไปหรอก”


    ไม่ทันแล้วเจ้า ฉันคิดในใจ มาดคุณหนูสุดแสบเท้าเอวตะโกนใส่จิ้นเหอเมื่อครู่ข้าเห็นเต็มๆตาเสียแล้ว มาเปลี่ยนเป็นอ่อนหวานเรียบร้อยเอาตอนนี้อย่างไรก็ไม่ทัน


    “คุณหนู!” พี่หลวนหัวหน้าขบวนสินค้าวิ่งหน้าตาตื่นมา “เหตุใดท่านมาอยู่ที่นี่!


    “นางก็แอบขึ้นเกวียนสินค้ามาอย่างไรเล่า!” จิ้นเหอตอบแทน


    “ครั้งนี้ท่านพ่อติดกิจสำคัญไม่อาจมาด้วยได้ ข้าที่เป็นลูกสาวจะนิ่งดูดายได้อย่างไร” ซือเหมยพูดไม่เต็มเสียงนัก


    “แต่มันอันตราย หากนายท่านรู้เข้า”


    “ถึงรู้ท่านพ่อก็ทำสิ่งใดไม่ได้แล้ว อีกอย่างท่านเฟยหรงก็อยู่ จะมีอันตรายใดได้”


    อ้าว ฉันหน้าเหลอหลา ยืนอยู่เฉยๆแท้ๆฟ้าดันผ่าลงมากลางหัวเสียได้


    “คุณหนู!


    “เจ้าไม่ต้องพูดสิ่งใดแล้ว อย่างไรข้าก็มาจนถึงที่นี่จะให้ข้ากลับไปตอนนี้ก็ไม่ได้ ให้ข้าไปด้วยไปเรียนรู้งานไม่ดีกว่าหรืออย่างไร”


    พี่หลวนกุมหน้าผาก เห็นสีหน้าหนักใจของเขาแล้วฉันก็กางพัดจีบปิดหน้า ค่อยๆก้าวขาถอยหลังออกมาช้าๆด้วยสังหรณ์ใจไม่ดี


    “เฟยหรง” เท้าที่ยกขึ้นยังไม่ทันแตะลงพื้น “ฝากเจ้าช่วยดูแลคุณหนูด้วย ข้าจะส่งคนกลับไปแจ้งท่านคหบดี”


    พัดจีบถูกดึงลงจากหน้า หันมองข้างกายแล้วก็แทบผง่ะ นางมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เร็วเกินไปแล้ว!


    “เหอะ” จิ้นเหอแค่นเสียง “รอให้พวกโจรรู้ว่าขบวนนี้มีลูกสาวคหบดีจ้างจากเมืองเซี่ยมาด้วย พวกเราทั้งหมดคงได้สนุกกัน!


    ด้วยเหตุนี้นอกจากคุ้มกันขบวนสินค้าแล้ว ฉันจึงได้รับสิทธิพิเศษเป็นพี่เลี้ยงคุณหนูซือเหมยไปด้วยโดยปริยาย

     





    ตอนแรกการเป็นพี่เลี้ยงคุณหนูซือเหมยก็ไม่มีสิ่งใดให้ลำบากมากนัก ฉันเพียงขี่ม้าอยู่ข้างๆเกวียนที่นางนั่ง ปล่อยให้นางเกาะขอบหน้าต่างจ้องฉันไปเงียบๆอย่างนั้น เพียงแต่นางเกาะอยู่พักหนึ่งก็เริ่มรวบรวมความกล้าได้ ชวนฉันคุยเรื่องต่างๆ ความจริงคุยกับนางฉันก็ไม่ได้ขัดข้องสิ่งใด เพียงแต่สิ่งที่นางคุยมานั้นกว่าครึ่งฉันล้วนแล้วแต่ไม่เข้าใจ


    ยกตัวอย่างนางบอกว่าเมฆก้อนหนึ่งบนฟ้ารูปร่างเหมือนฉัน ตรงนั้นเป็นพัด ตรงโน้นเป็นแขนเสื้อ ฉันแหงนหน้าหรี่ตามองจนเกือบตกม้า เพ่งให้ตายก็ยังไม่เห็นว่ามันจะเหมือนฉันตรงไหน จบเรื่องเมฆเป็นเรื่องกระต่าย นางเกิดสงสัยขึ้นมาว่าเหตุใดหางมันถึงไม่ยาวเหมือนกระรอก ครั้นจะตอบฉันก็ไม่รู้จะตอบสิ่งใด จะบอกว่าช่างเรื่องของกระต่ายมันเถิด เหตุใดเจ้าต้องไปยุ่งกับหางมันด้วยเล่าก็ใช่ที่ ได้แต่ตอบไปว่า


    “คงเป็นเพราะหางยาวแล้วจะทำความสะอาดยากกระมัง”


    “เช่นนั้นหางกระรอกไม่ทำความสะอาดยากหรอกรึ” ซือเหมยถามกลับ


    ฉันเหงื่อตก


    “กระรอกมักอยู่บนต้นไม้ พอว่างๆมันคงเอาหางปัดๆตีๆกับลำต้นถือเป็นการทำความสะอาดไป”


    “เช่นนี้นี่เอง” ซือเหมยพยักหน้า “ท่านเฟยหรงช่างรอบรู้จริงๆ”


    ฉันลองคิดทบทวน เหตุใดตนเองถึงได้ลำบากลำบนกับการพูดคุยกับหญิงสาวธรรมดาผู้หนึ่งนักตอนอยู่ในค่ายก็ใช่ว่ารอบตัวจะมีแต่เด็กผู้ชายอย่างเดียว กับสิบสองก็คุยกันอยู่บ่อยครั้ง คิดไปคิดมาก็สะดุ้งตกใจผมเกือบตั้ง นี่ฉันเอาสิบสองไปเปรียบเทียบกับหญิงสาวธรรมดาได้อย่างไร ลบหลู่นางที่อยู่ห่างจากคำว่าปกติธรรมดาอย่างมากเช่นนี้นับว่าผิดต่อนางแล้ว


    ขบวนสินค้าเดินทางได้อย่างราบรื่น ซือเหมยกำลังบ่นเรื่องเหวินเซียงที่ฉันเคยซัดกระเด็นออกจากโรงเตี๊ยมไปว่าหากนางยังอยู่เซี่ย ในตอนที่ท่านพ่อไม่ว่างเช่นนี้มีอันได้โดนเจ้าเหวินเซียงนั่นคิดอุบายลวงนางไปพบอีกเป็นแน่ หูฟังนางพูดตากวาดมองสอดส่อง นับว่าทักษะแยกประสาทพัฒนาขึ้นมาอีกขั้น





     

    หลายวันผ่านไป ซือเหมยนับเป็นคุณหนูที่นิสัยดีอยู่มาก ตอนแรกนึกว่านางจะดื้อรั้นสร้างปัญหาตามลักษณะคุณหนูที่ถูกตามใจแต่ก็ไม่ นอกจากตามติดฉันแล้วก็ไม่ได้สร้างปัญหาใดอีก


    “พวกท่านสามคนบุคลิกนิสัยดูแตกต่าง เหตุใดจึงมาคบหากันได้” นางถามขึ้นมาในตอนที่ขบวนสินค้าหยุดพัก ตอนนี้ทั้งหยางชุนและจิ้นเหอต่างพากันหลบเลี่ยงไม่มาข้องเกี่ยวกับฉันทั้งคู่ จิ้นเหอยังพอเข้าใจได้ว่าเขาไม่ค่อยชอบใจซือเหมยนัก แต่หยางชุนไม่ทราบด้วยเหตุใด ได้แต่เดาว่าเขาอาจไม่ถนัดในการอยู่ร่วมกับผู้หญิง


    “พวกข้าแตกต่างกันอย่างไร” ฉันถามกลับ มองซือเหมยซึ่งตัวเล็กกว่า


    นางกอดอก “เจ้าจิ้นเหอนั่นป่าเถื่อนมุทะลุ ไม่รู้มารยาท หน้าตาพร้อมจะมีเรื่องอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่ท่านหยางชุนบุคลิกสูงสง่า เงียบขรึม บางครั้งดูทรงอำนาจจนน่าหวาดหวั่น แค่พวกเขาสองคนก็แตกต่างกันราวบนเหวกับใต้มหาสมุทร ซ้ายสุดกับขวาสุดไม่น่าเข้ากันได้แม้แต่น้อย”


    ฉันอมยิ้ม “บนเหวกับใต้มหาสมุทรอย่างนั้นรึ”


    ซือเหมยพยักหน้า “หากจะให้เปรียบล่ะก็ ดั่งจิ้นเหอเป็นไฟแล้วท่านหยางชุนเป็นน้ำแข็งเลยทีเดียว”


    “แล้วข้าเล่า”


    “ท่านเป็นดั่งสายลมที่พัดอยู่ระหว่างไฟกับน้ำแข็ง” ซือเหมยตอบ “บางทีที่พวกเขาเข้ากันได้ทั้งๆที่แตกต่างกันเช่นนั้นอาจเป็นเพราะท่าน เป็นเพราะท่านใช่หรือไม่” นางเงยหน้าขึ้นถาม ดวงตาเป็นประกาย


    ฉันนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้า


    “ถึงไม่มีข้าพวกเขาก็เข้ากันได้ด้วยตัวของพวกเขาเองอยู่ดี” ในตอนที่เข้าจันทรามาใหม่ๆก็เห็นพวกเขาไปไหนมาไหนด้วยกันได้เป็นอย่างดี ไม่น่าเกี่ยวข้องกับตัวฉันเท่าไหร่


    “ข้านึกว่าท่านเป็นคนพาพวกเขาสองคนมารู้จักกันเสียอีก ในหมู่พวกท่านทั้งสามคนท่านดูเป็นคนใจดีที่สุดแล้ว”


    “ข้าอย่างนั้นรึใจดี” ฉันถามงงๆ ตัวฉันมีสิ่งใดบ่งบอกว่าใจดีกัน


    “อื้อ” ซือเหมยพยักหน้าสองแก้มแดงเรื่อ แดงเรื่อแล้วก็ไม่ขยายความสิ่งใดอีก


    เห็นนางก้มหน้าก้มตาเขินอายเช่นนี้ก็พาลสับสน ใจหนึ่งอยากบอกนางไปตามตรงว่าจริงๆแล้วฉันเป็นเพียงผู้หญิงซื่อบื้อไม่ได้ความคนหนึ่งอย่างที่จินฟู่เคยพูด ไม่ใช่จอมยุทธ์หนุ่มล้ำเลิศเปี่ยมคุณธรรมอย่างที่นางคิด แต่อีกใจก็กลัวว่านางจะผิดหวัง อาการซือเหมยนั้นทำให้นึกถึงเพื่อนสนิทในภพก่อนที่มักเอานิยายทะลุมิติมาให้อ่าน เป็นอาการเดียวกับเวลาเพื่อนฉันคนนี้แอบปลื้มรุ่นพี่สักคน เพียงแค่แอบปลื้มแม้ไม่ได้มีโอกาสใกล้ชิดก็ไม่เป็นไร เห็นอย่างนี้แล้วในใจก็รู้สึกเอ็นดูขึ้นมา


    การเดินทางเข้าสู่เขตที่มีเทือกเขาทอดตัวขนาบข้าง บรรดาผู้คุ้มกันขบวนต่างประสาทเกร็งเขม็ง ระแวดระวังอยู่ตลอด ฉันปลดผ้าที่พันกระบี่ออก เตรียมพร้อมไว้สำหรับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน ขบวนผ่านส่วนที่คนมักถูกโจรซุ่มโจมตีได้อย่างราบรื่น หลายคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก ซือเหมยโผล่หน้าออกมาจากหน้าต่าง


    “กระบี่ของท่านงดงามแปลกตา...”


    นางพูดยังไม่ทันจบประโยคดีก็เกิดเสียงเฮดังจากรอบด้าน กลุ่มโจรที่แอบซุ่มอยู่ตามพุ่มไม้กระโจนเข้าใส่ในตอนที่ทุกคนลดการป้องกันลง


    “ปิดหน้าต่าง!” ฉันสั่งคุณหนูเพียงหนึ่งเดียวในขบวนเสียงดัง มือดึงสายบังเหียนม้าคว้ากระบี่ออกจากฝักเข้าต่อสู้


    เหล่าโจรบุกมาอย่างเป็นระบบ มีพลธนูคอยซุ่มยิงจากบนต้นไม้และเนินผาเตี้ยๆที่พวกเราเพิ่งผ่าน พี่หลวนสั่งคนของตนเองให้ตั้งรับ หยางชุนต่อสู้อยู่หัวขบวน ท้ายขบวนเห็นจิ้นเหอถือทวนควบม้าพุ่งแหวกออกไป คงตั้งใจไปจัดการพวกพลธนู ฉันตั้งรับต่อสู้ หันไปเห็นโจรผู้หนึ่งพุ่งไปทางเกวียนที่ซือเหมยนั่งอยู่ก็กระโจนขึ้นหลังคาเกวียนตามไปสังหาร โจรกลุ่มนี้ฝีมือไม่ได้ด้อย แต่งกายด้วยชุดกางเกงสีน้ำตาล เปิดเผยใบหน้าอย่างไม่เกรงกลัว


    ไอสังหารร้ายกาจพุ่งเข้าใส่จากเบื้องหลัง ฉันกระโดดลงจากหลังคาเกวียนหันกลับ ดาบสีเงินทอประกายอยู่เหนือหัว


    เคร้ง


    ยกกระบี่ขึ้นรับ แสงอาทิตย์สะท้อนคมดาบกระทบรอยแสย่ะยิ้มของฝ่ายตรงข้าม ทั้งฉันและเขากระโดดถอยออก ผ้าคาดหัวสีน้ำตาลปลิวสะบัด ดวงตากระหายเลือดกับรอยยิ้มร้ายกาจ ดูจากการแต่งตัวที่ดีกว่าโจรคนอื่นแล้วเขาผู้นี้เป็นตัวหัวหน้าการซุ่มโจมตีครั้งนี้ไม่ผิดแน่


    เสียงร้องคำรามก่อนที่ดาบหนักหน่วงจะฟาดใส่ ฉันตั้งรับงัดเอาเพลงกระบี่เก้าทลายภูเขาขึ้นใช้


    ตู้ม!


    แรงพลังจากดาบทำให้ต้องรีบถอยห่างออกจากขบวนสินค้า ฉันหลบปลายดาบได้อย่างฉิวเฉียด พลิกกระบี่เอี้ยวตัวหมุนหมายเข้าแทง ดาบเล่มนั้นกลับฟาดตรงๆเข้าใส่ กระบี่เบี่ยงลงพื้นจนหน้าฉันเกือบถลาทิ่มดีที่ขายันพื้นไว้ได้ อาศัยความคล่องตัวลังกาหลบพลิกตัวย่อกายมารับคมดาบไว้ได้อย่างทันท่วงที ดวงตากระหายเลือดคู่นั้นดั่งทอแววถูกใจ ลักษณะนิสัยการต่อสู้คล้ายเจ้าจิ้นเหออย่างมาก ออกจะบ้าบิ่นมากกว่าเสียด้วยซ้ำ ราวกับพอได้ประมือกับฉันแล้วเขาก็เลิกสนใจขบวนสินค้าหันมาฟาดฟันฉันเพียงอย่างเดียว


    เสียงคำรามข่มขู่มาพร้อมเพลงดาบอันหนักหน่วง แม้คมกระบี่จะเฉือนโดนเนื้อก็ไม่อาจทำให้เขาชะงักได้ คู่ต่อสู้ประเภทบ้าบิ่นกระหายเลือดต่อสู้ตามสัญชาตญาณเช่นนี้นับว่าฉันแพ้ทางเป็นที่สุด เพราะไม่อาจคาดเดาได้ว่าเขาจะมาไม้ไหน แขนเสื้อข้างหนึ่งถูกฟันขาดเป็นแนวยาวกินเนื้อที่แขนไปเล็กน้อยจนมีเลือดไหลซึมออกมา แม้เก้าทลายภูผาจะมีกระบวนท่าตั้งรับรอจังหวะสวนกลับยังไม่อาจรับเพลงดาบเขาทั้งหมดได้


    ประสาทเครียดเกร็ง ฉันเปลี่ยนไปใช้เพลงกระบี่จันทรา อาศัยความเร็วเน้นโจมตีเข้าสู่จุดตาย หลายปีที่ผ่านนี่เป็นครั้งแรกที่เจอคู่ต่อสู้ตึงมือเช่นนี้


    เคร้ง ชิ้ง ตู้ม!


    การต่อสู้กินบริเวณกว้างจนต้องถอยมาสู้ด้านหลังไกลออกมาจากขบวนสินค้าให้มากที่สุด หวังให้พวกที่เหลือถูกจิ้นเหอหยางชุนและพวกพี่หลวนจัดการให้สำเร็จแล้วค่อยมาช่วยกัน


    “ย้ากกก!


    ดาบฟาดลงฝั่งขวาข้างตัวฉัน จังหวะที่จะเบี่ยงหลบอีกฝ่ายกลับแสย่ะยิ้มพลิกดาบเป็นแนวนอนเหวี่ยงเข้าใส่ ฉันสลับกระบี่มามือซ้าย รับคมดาบแล้วทิ้งตัวไถลลอดใต้ใบดาบ ลุกขึ้นพร้อมๆสลับกระบี่มามือขวา หมุนกลับเหวี่ยงกระบี่เข้าใส่หมายบั่นคอ จังหวะเดียวกันนั้นเขากลับพลิกข้อมือขึ้นดึงเอาดาบที่เหวี่ยงไปแล้วกลับเข้าใส่ฉันอีกรอบ


    ตู้ม!


    ฝุ่นตลบ ทั้งฉันและเขาถูกแรงพลังผลักออกมา เลือดหยดจากรอยบาดที่แก้มซ้ายของหัวหน้าหน่วยซุ่มโจร ที่ต้นแขนซ้ายฉันเองก็มีเลือดไหลออกมาไม่ต่างกัน หัวหน้าโจรแสย่ะยิ้ม ใช้มือปาดเลือดที่แก้มมาเลีย


    “ไม่เลว ไม่มีผู้ใดทำข้าสนุกเช่นนี้มานานแล้ว”


    มือฉันกำด้ามกระบี่แน่น ระวังตัวรอบด้าน


    “ท่านสาม เราจับตัวบุตรสาวคหบดีจ้างได้แล้ว” หนึ่งในพวกเขาเข้ามารายการ ฉันหันขวับ “ตอนนี้มีพวกมันคนหนึ่งไล่ตามไป ฝีมือร้ายกาจมาก”


    “เช่นนั้นพวกเจ้าก็ไปจัดการมัน รอข้าฆ่าเจ้านี่ได้ก่อนจะตามไปทีหลัง”


    “หัวหน้าใหญ่บอกว่าหากจับตัวบุตรสาวคหบดีจ้างได้แล้วให้กลับค่ายทันที กำชับว่าท่านก็ต้องกลับทันที”


    ท่านสามที่สมุนโจรเรียกทำสีหน้าไม่พอใจในขณะที่ฉันยังคงยืนถือกระบี่อยู่ที่เดิม ในหัวคิดประเมินสถานการณ์ พวกเราคนหนึ่งที่ไล่ตามไปฝีมือร้ายกาจหากไม่ใช่จิ้นเหอก็คงเป็นหยางชุน หน้าที่ฉันตอนนี้คือต้องไม่ปล่อยให้เจ้าสามอะไรนี่กลับไปสมทบกับพวกได้ คิดได้แล้วมือขวาก็ยกกระบี่ตั้งท่า ทะยานเข้าใส่


    เคร้ง


    เจ้าสามยกดาบรับการโจมตี ถีบสมุนโจรของเขาออกไม่ให้เกะกะแล้วเริ่มการต่อสู้


    “ท่านสาม หัวหน้าใหญ่กำชับ!” สมุนโจรที่กลิ้งหลุนๆไปลุกขึ้นมาตะโกน


    เขาสบถมาคำหนึ่ง เหวี่ยงดาบใส่ด้วยพลังอันหนักหน่วงจนฉันกระเด็นไปแล้วจึงกระโจนหนีเข้าป่าไปอย่างไม่เต็มใจนัก ฉันรีบพุ่งตัวตาม เข้าสู่ป่าลึกด้านหลังเนินผา จมูกได้กลิ่นคาวเลือดนำมาก่อน พอไปถึงจุดที่มีคนตะลุมบอนกันอยู่เจ้าสามที่อยู่ด้านหน้าฉันก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง กระโจนฟาดดาบตู้มลงไปกลางวงไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ผู้ที่รับดาบไว้ได้คือจิ้นเหอ เจ้าหมาบ้าหน้ากากหายไปไหนแล้วไม่อาจทราบ รอยเลือดเปื้อนไปกว่าครึ่งหน้าสบตากับเจ้าสามใช้ทวนขึงรับดาบที่กดลงมา


    “หยางชุนตามไปแล้ว เจ้ารีบตามไป!” เขาตะโกนหันหน้าบอกทิศทางก่อนจะยกทวนผลักใส่เจ้าสาม เหวี่ยงกวาดกลับมาตั้งท่าพร้อมต่อสู้


    ฉันพยักหน้า สังหารโจรที่ขวางทางอยู่แล้วพุ่งไปทิศทางนั้นอย่างรวดเร็ว


    ตู้ม!


    คล้อยหลังไม่ทันไรเสียงปะทะก็ดังสนั่น พวกคลั่งการต่อสู้มาเจอกันเช่นนี้นับว่าหายนะโดยแท้ วิชาตัวเบาพุ่งตามร่องรอยเลือดร่างสมุนโจรกับคนของพี่หลวนที่อยู่ตลอดทางไปจนถึงลานโล่ง ที่ต้องบอกว่าเป็นลานโล่งเนื่องจากต้นไม้ถูกโค่นล้มไปหลายต้นจนโล่งไปเสียแล้วโดยไม่ได้ตั้งใจ ตรงกลางมีร่างสองร่างยืนประจันหน้ากัน


    หนึ่งคือหยางชุนในชุดสีดำสนิท มือขวาถือดาบประจำกาย อีกหนึ่งเป็นบุรุษร่างสูงใหญ่หนวดเฟิ้ม สวมเสื้อสีน้ำตาลเช่นเดียวกับพวกสมุนโจร กล้ามเนื้อกับรอยแผลเป็นบนตัวเขานั้นบ่งบอกได้ดีถึงประสบการณ์การต่อสู้ที่โชกโชน ในมือมีดาบชั้นยอดเล่มหนึ่งไม่ต่างจากหยางชุน


    ฉันกำลังจะขยับตัวเมื่อเห็นว่าด้านหลังเขามีสมุนโจรคุมตัวคุณหนูซือเหมยที่ถูกมัดไว้อยู่ หากแต่หยางชุนที่พุ่งเข้าใส่บุรุษร่างสูงใหญ่ผู้นั้นทำให้หยุดชะงัก ดาบปะทะดาบ แม้จะเป็นนายท่านผู้ล้ำเลิศอย่างหยางชุน เพลงดาบของเขากลับไม่สามารถทำอันตรายบุรุษผู้นั้นได้โดยง่าย


    ฉันตกตะลึง เพลงดาบของโจรผู้นี้คล้ายคลึงกับที่เจ้าสามอะไรนั่นฟาดฟันใส่ฉัน หากแต่ไม่ได้เอากำลังเดินหน้าเข้าสู้เพียงอย่างเดียวเหมือนเจ้าสาม มีทั้งบุกโจมตี ตั้งรับพลิกแพลง ฟาดฟันสวนกลับ ประสบการณ์ของเขาทำให้ดูแล้วเหนือกว่าหยางชุนเสียด้วยซ้ำ ฉันกำด้ามกระบี่ ตาเบิกกว้างตอนเห็นหยางชุนกำลังจะพลาดท่า พุ่งเข้าใช้กระบี่ขวางก่อนจะพลิกแทงเข้าใส่


    ร่างสูงใหญ่ถอยหลบ ต้านกระบวนท่าของฉันอย่างไร้ความตื่นตระหนก มีเพียงดวงตาที่หรี่ลงเล็กน้อยในตอนที่เห็นกระบี่ฉัน หลบดาบของหยางชุนผลักกระบี่ฉันออกแล้วเขาก็กลับไปรับกระบวนท่าของหยางชุนต่อ เมื่อทั้งฉันและหยางชุนเข้าโจมตีพร้อมกันเขาก็ใช้ท่าผสานกำลังภายในโจมตีเป็นวงกว้าง


    ตู้ม!


    แรงปะทะรุนแรงผลักทั้งฉันและหยางชุนกระเด็นออก ฉันกุมต้นแขนซ้าย แผลที่ได้มาก่อนหน้าเหมือนจะฉีกกว้างขึ้น บาดเจ็บซ้ำไม่อาจลุกขึ้นทันเขาที่ตามไปซ้ำหยางชุนที่อยู่อีกด้านได้ เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นเลือดไหลออกจากมุมปากนายท่านผู้ล้ำเลิศผู้นั้น หยางชุนหลบการโจมตีไปอีกทาง จังหวะนั้นกลับมีของบางอย่างตกลงมา


    ตราหยกอันหนึ่งหงายขึ้นอยู่บนพื้น อักษรสลักคำว่าเหยียนจวิ้นบนหยกงดงามชัดเจน


    “เหยียนจวิ้น” โจรชั่วอ่านออกเสียง เขาหันขวับกลับไปทางหยางชุนที่ยืนตั้งท่าไม่กล้าสุ่มสี่สุ่มห้าเข้ามา “หรือว่าเจ้าคือ...” พูดยังไม่ทันจบเขาก็พุ่งตัวเข้าไปโจมตีใส่


    หยางชุนรับการโจมตีได้ หากแต่การโจมตีนี้ก็ทำให้หน้ากากของเขาแตกออกเป็นสองส่วนร่วงลงจากใบหน้า


    “เจ้าคือรัชทายาทผู้นั้น”


    ผู้ถูกหาว่าเป็นรัชทายาทผลักดาบออกถอยไปตั้งรับ ยกมือขึ้นเช็ดเลือดจากมุมปาก ไม่ตอบสิ่งใด


    “ที่แท้เจ้ายังไม่ตาย ข้านึกอยู่ว่ามีบางอย่างแปลกๆ การที่น้องรองไปตายอยู่กับองครักษ์ของพวกเจ้าไกลจากจุดโจมตีถึงเพียงนั้นยิ่งแปลก เขาไล่ตามเจ้าไปนั่นเอง”


    หยางชุนตกตะลึง ในขณะที่โจรชั่วยกยิ้ม


    “เป็นพวกข้าอย่างไรเล่าที่ได้รับมอบหมายให้สังหารเจ้าเมื่อ 8 ปีก่อน” คราวนี้ฉันตกตะลึงบ้าง มองร่างสูงใหญ่ที่ยืนพูดด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อนนั้นทั้งตาเบิกกว้าง “ข้าไล่ตามพ่อเจ้าไป น้องสามไล่ตามแม่เจ้า คนอารักขาพวกเจ้านั้นนับว่าฝีมือไม่เลว ไม่เสียทีที่ลุงของเจ้าคัดเลือกมาด้วยตนเอง อีกทั้งแม่เจ้าก็ใจเด็ด เมื่อเห็นน้องสามฆ่าผู้อารักขาหมดแล้วนางก็ปลิดชีพตนเองอย่างไม่ลังเล”


    มือหยางชุนที่ถือดาบอยู่กำแน่น ดวงตาสีดำสนิทวาวโรจน์


    “ส่วนพ่อเจ้า” อีกฝ่ายยังคงยืนพูดอย่างไม่เกรงกลัว “รู้หรือไม่เขาทำอย่างไร” ถามน้ำเสียงขบขัน เมื่อไม่เห็นอดีตรัชทายาทตอบก็พูดต่อ “หลังจากองครักษ์ตายหมดเขาก็หนีขึ้นไปจนถึงหน้าผา ข้ายังนึกสงสัย มือข้างหนึ่งจูงลูกชายเพียงคนเดียวที่เป็นถึงรัชทายาท เหตุใดเขาถึงจับมือลูกกระโดดหน้าผาลงไปอย่างไม่ลังเล ที่แท้เพื่อกลบเกลื่อนให้เจ้า หึหึหึ นับว่าสมกับที่เป็นถึงองค์ชายใหญ่ ร่างของเขากับเด็กคนนั้นแหลกเหลวจนไม่อาจแยกแยะได้ว่าเป็นผู้ใด”


    “อ๊ากกก!


    โจรชั่วพูดยังไม่ทันจบคำดีหยางชุนก็คำรามพุ่งเข้าใส่ เพลงดาบปั่นป่วนไม่สามารถควบคุมได้ ฉันยันกระบี่ลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล


    “หยางชุน!” ตะโกนเรียกหากแต่เขาไม่ได้ยิน เข้าโรมรันอย่างบ้าคลั่ง


    เลือดสาดกระเซ็น ฉันรีบกัดฟันเข้าแทรกการต่อสู้ ผลักเขาที่โดนฟันเข้ากลางหลังออก รับมือกับโจรต่ำช้าผู้นี้แทน


    “กระบี่เพ่ยเฮย เหตุใดมาอยู่ที่เจ้า”


    ฉันชะงัก ชะงักเพียงจังหวะเดียวนี้หวิดได้สิ้นชีพ ดาบของโจรชั่วเสยขึ้นเกือบถึงคอ แม้หลบได้ปลายดาบยังคงเกี่ยวบาดได้เลือดไปจากคางฉัน หยางชุนลุกขึ้นพุ่งสวนเข้าใส่ แม้จะสร้างบาดแผลให้กับอีกฝ่ายได้บ้างแต่ก็ไม่อาจสร้างบาดแผลที่ส่งผลถึงชีวิตได้


    “พวกเจ้า!” เสียงจิ้นเหอตะโกน วิ่งตามเข้ามา


    โจรชั่วระเบิดพลัง กระแทกฝ่ามือเข้าหน้าท้องฉัน หันดาบฟาดผลักหยางชุนจนกระเด็นไปชนต้นไม้ เจ้าหมาบ้าทะยานเข้าใส่ทันทีหากแต่ไม่ทัน เขากลับถอยหนีเข้าป่าโดยไม่สนใจซือเหมยที่ถูกคุมตัวอยู่ ก่อนไปยังพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันทิ้งไว้ว่า


    “เหยียนจวิ้นกับผู้สืบทอดกระบี่ของจอมยุทธ์หญิงที่หายสาปสูญไปนาน ไม่เลวๆ”


    ร่างสูงใหญ่หายฟุ่บเข้าป่า ไม่คาดหยางชุนกลับลุกขึ้นพุ่งทะยานตามไปด้วย


    “หยางชุน!” ฉันตะโกนเรียก อยากจะห้ามก็ห้ามไม่ทัน


    “หลิ่งเฟย” จิ้นเหอจะวิ่งมาหา แต่ฉันก็ชิงตะโกนบอก


    “ไปช่วยซือเหมย!


    เขาหันกลับไป สมุนโจรกำลังจะพาตัวซือเหมยหนีตามนายใหญ่ หากแต่ไม่พ้นมือเจ้าหมาบ้าที่พุ่งเข้าหาอย่างรวดเร็ว ฉันหยิบกระบี่กุมท้องลุกขึ้น


    “เจ้าพาซือเหมยไปส่งให้พี่หลวน ข้าจะตามหยางชุนไป!


    “พวกพี่หลวนรับมือไอ้คนใช้ดาบอยู่ให้ข้ามาช่วยพวกเจ้า หลิ่งเฟย!” เขาตะโกนเมื่อเห็นฉันทำท่าจะพุ่งตามหยางชุน “นี่มันเกิดสิ่งใดขึ้น!


    “ข้าไม่มีเวลาอธิบาย พาซือเหมยออกไป!” พูดแล้วก็กระโจนเข้าป่าวิ่งตามหยางชุนไปทันที



    จิ้นเหอสับสน ภาพเหตุการณ์ที่เขาเห็นไม่เหมือนการต่อสู้กับกลุ่มโจรปกติ จังหวะนั้นซือเหมยที่ยังคงหน้าซีดเผือกก็กระตุกชายเสื้อขาดวิ่นของเขา มือชี้ไปยังของชิ้นหนึ่งที่ตกอยู่บนพื้น จิ้นเหอเดินไปหยิบป้ายหยกขึ้นดู ด้านหนึ่งสลักอักษรคำว่าเหยียนจวิ้น อีกด้านอ่านได้ชัดเจนว่าตำแหน่งรัชทายาท


    “มันตกลงมาจากตัวท่านหยางชุน” ซือเหมยพูด เสียงยังคงสั่นด้วยความหวาดกลัวจากเหตุการณ์ที่ได้พบ


    มือเปื้อนเลือดของจิ้นเหอกำป้ายหยกแน่น ในหัวยังคงปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ได้ เขาไม่รู้สิ่งใดเลย เหตุการณ์ซับซ้อนเหล่านี้ยากเกินกว่าที่เขาจะคาดเดาและทำความเข้าใจได้ หยางชุนไม่เคยเล่าให้เขาฟัง หลิ่งเฟยเองก็ไม่เคยพูดสิ่งใด ดังนั้นที่เขารู้จึงมีเพียงสิ่งที่เขาเห็น เขาเห็นหยางชุนไม่ปกติ เห็นหลิ่งเฟยได้รับบาดเจ็บ เห็นว่าคนทั้งคู่กำลังตกอยู่ในอันตราย


    “เจ้า” ผู้ที่ถูกขนานนามว่าเป็นหมาบ้าประจำรุ่นหันมาพูดกับซือเหมย “ตรงนี้ไม่มีผู้ใดแล้ว กลับไปหาพี่หลวนเองได้หรือไม่”


    ซือเหมยตกใจ หากแต่เมื่อมองสีหน้าแววตาของคนพูดแล้วนางก็กัดฟันพยักหน้า จิ้นเหอเก็บป้ายหยกไว้ในเสื้อ หันกายไปทิศทางเดียวกับหลิ่งเฟยและหยางชุน  เมื่อสหายตกอยู่ในอันตรายก็ต้องช่วยเหลือ คนโง่ๆที่อ่านสถานการณ์ใดไม่เป็นอย่างเขาคิดได้เพียงเท่านี้ เท้าถีบทะยานพุ่งตามไป เท่านี้ก็พอ

     


    -----------------------------------------------------------

    ตอนที่ค่อนข้างยาวมากเลยช้าหน่อย ความจริงเขียนๆมาก็แอบสงสารจิ้นเหออยู่เรื่องที่หลิ่งเฟยกับหยางชุนรู้บางอย่างกันอยู่สองคน คิดว่าถ้าเป็นคนอื่นได้มีน้อยใจกันบ้าง แต่พอเป็นจิ้นเหอ เจ้าหมาบ้าที่ซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาไม่ค่อยคิดอะไรซับซ้อนแล้ว จิ้นเหอคงไม่น้อยใจกับอะไรแบบนี้ เพียงแค่เลือกทำในสิ่งที่ตัวเองเชื่อต่อไป

    ขอบคุณสำหรับคำนิยมค่ะ อ่านแล้วก็ปลื้ม ขอบคุณที่รีดช่วยตอบคำถามรีดด้วยกันให้ด้วย อ่านคอมเม้นแล้วสนุกจริงๆค่ะ คราวก่อนเป็นเรนเจอร์ ตอนที่แล้วกลายเป็นอัศวินเซเลอร์ซะอย่างนั้น ฮ่าๆๆ จะไม่เหลือทางให้เดินแล้วตัวละครเรื่องนี้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×