คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #22 : ตอนที่ ๒๑ เมาแล้วแม้แต่เทพก็ลงมาคลุกดิน
ตอนที่ ๒๑ เมาแล้วแม้แต่เทพก็ลงมาคลุกดิน
“ครั้งนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับท่านจอมยุทธ์เฟยหรง เอ้า ดื่ม” จินฟู่ยกจอกเหล้าซดทีเดียวหมด
จะว่าไปเรื่องดื่มเหล้านี้ตั้งแต่ได้รู้จักกับศิษย์พี่ร่วมอาจารย์เพียงหนึ่งเดียวในหอจันทรา
ก็ถูกเขาบังคับให้ดื่มเป็นเพื่อนอยู่หลายหน ช่วงแรกทำเป็นอ้างว่าให้ฉันหัดเอาไว้
ไปๆมาๆถึงได้รู้ว่าศิษย์พี่เพียงอยากหาคนมานั่งฟังเขาพร่ำเพ้อเรื่องที่จีบหัวหน้าหน่วยห้าไม่สำเร็จสักทีเท่านั้น
ไอ้ครั้นจะไปพร่ำเพ้อให้ลูกหน่วยฟังก็ดูไม่เข้าท่า
ไปพร่ำเพ้อให้หัวหน้าหน่วยด้วยกันฟังก็ไม่เข้าที
หันซ้ายหันขวาในที่สุดก็มาคว้าเอาฉันซึ่งไม่ได้สังกัดหน่วยไหนทั้งยังเป็นศิษย์น้องของเขาเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง
ถูกบังคับมาฟังเขาเช่นนี้หลังจากสลบเหมือดคาไหเหล้าไปหลายรอบ
ในที่สุดทักษะการดื่มเหล้าก็พัฒนานั่งฟังเขาพร่ำเพ้อจนจบแถมหลังๆยังแบกเขากลับไปส่งเรือนพักได้อีกด้วย
นับว่าพัฒนาจนถึงขีดสุดจริงๆ
ฉันยกจอกเหล้าขึ้นดื่มรวดเดียว
จินฟู่ส่งเสียงเฮ
“เจ้านี่ไม่เบาเลยจริงๆ”
ทองคำอันแสนมั่งคั่งยิ้มร่า “นอกจากได้หัวใจสาวงามมาแล้ว
ยังได้หนทางไปสู่ภารกิจอีก ไม่เบาๆ”
ฉันถลึงตาใส่
อยากจะว่าก็ว่าได้ไม่เต็มปาก ย้อนไปตอนที่อยู่คฤหาสถ์คหบดีจ้าง
เจ้าจินฟู่ไม่เสียแรงที่เป็นคนจากหอนภา
พูดคุยกับคหบดีไปไม่เท่าไหร่ก็ตีสนิทได้อย่างรวดเร็ว
คุยเรื่องการค้าทั้งภายในภายนอกแคว้นอย่างออกรส
คุยจนกระทั่งคหบดีเผลอปรับทุกข์มาว่ายังหาคนคุ้มกันขบวนสินค้าที่จะไปเมืองตานหยางไม่ได้
เนื่องจากสินค้าครั้งนี้เป็นอัญมณีสูงค่าที่จะส่งไปให้ขุนนางผู้หนึ่ง
นอกจากคนคุ้มกันต้องมีฝีมือแล้วยังต้องไว้ใจได้อีกด้วย
ตอนแรกจินฟู่เพียงไต่ถามเลียบๆเคียงๆทั่วๆไป
กลับได้รู้ว่าขบวนสินค้านี้เมื่อส่งของให้ขุนนางเมืองตานหยางเสร็จ จะรับของจากตานหยางกลับไปเมืองหลวงเพื่อส่งให้เสนาบดีคลังอีกต่อหนึ่ง
เท่านั้นทองคำอันแสนมั่งคั่งก็ดั่งเกิดประกายในดวงตา
อาศัยทักษะพ่อค้าที่ได้ฝึกฝนมาลากพูดเรื่องโน้นเรื่องนี้
จบที่เสนอการช่วยเหลือโดยให้หยางชุนจิ้นเหอและฉันเข้าร่วมขบวนคุ้มนี้กันด้วย
คหบดีจ้างเกรงอกเกรงใจอย่างมาก
เนื่องจากตอนแรกที่เขาเสนอของมีค่าเพื่อเป็นการตอบแทนฉันเรื่องที่ช่วยบุตรสาวเขานั้นฉันไม่ได้รับไว้
จะให้มารับความช่วยเหลือเพิ่มเช่นนี้ก็อย่างไรอยู่
เจ้าจินฟู่กับคุณหนูซือเหมยช่วยกันเกลี้ยกล่อมอยู่นานจนในที่สุดเขายอมตกลง
ยังกล่าวยกย่องฉันอีกด้วยว่าเป็นจอมยุทธ์ที่เปี่ยมทั้งความสามารถและคุณธรรม
“ชื่อเฟยหรงนั่นเจ้าไปเอามาจากไหนกัน”
จิ้นเหอถาม
ตอนแนะนำตัวจินฟู่จัดแจงเปลี่ยนชื่อให้ฉันเรียบร้อยว่าเฟยหรง
ท่าทางเขาตอนพูดแนะนำนั้นหากไม่สังเกตให้ดีจะไม่ทราบเลยว่าเขาชะงักไปนิดหนึ่งในตอนจะพูดชื่อ
แต่เพียงนิดเดียวก็พูดต่อได้อย่างไหลลื่นไร้พิรุธ
“จะเอามาจากไหนเล่า
ข้าก็คิดได้มั่วๆเอาตอนนั้นนั่นแหล่ะ” เจ้าจินฟู่ตอบ
ได้ยินคำว่ามั่วๆของเขาแล้วฉันก็มีอันต้องยกเหล้าขึ้นดื่มอีกจอกย้อมใจ
“เสนาบดีคลังผู้นั้นใช่ว่าจะได้เข้าพบง่ายๆ
พวกเจ้ามีโอกาสได้ไปส่งสินค้าให้เขาเช่นนี้จะได้สืบหาช่องทางวางแผนต่างๆไปด้วย
แม้การเดินทางไปตานหยางแล้วกลับไปเมืองหลวงจะนานอยู่สักหน่อยก็นับว่าคุ้มอยู่”
หยางชุนพยักหน้าเห็นด้วย
“เมืองตานหยางอยู่ทางตะวันตกของแคว้นฉู่ใกล้กับแคว้นฉิน
บางทีอาจได้ข่าวความเคลื่อนไหวของฉินมาบ้าง”
“พูดถึงแคว้นฉินแล้วก็นึกขึ้นได้”
จินฟู่วางจอกเหล้า “เมื่อสามเดือนก่อนข้าเจอยี่สิบสอง
พวกเจ้าจำนางได้หรือไม่”
“จำได้
นางก็อยู่หอนภาเหมือนรึ” ฉันถามกลับ
ยังจำได้ดีถึงแม่ค้าประจำรุ่นผู้นั้น
“นางผ่านการทดสอบเข้าสู่หอนภาเช่นเดียวกับข้าตอนนี้อยู่สังกัดค้าเร่
สามเดือนก่อนผ่านมาแถวนี้จึงแวะมาเยี่ยม
มาเยี่ยมแล้วก็บอกข่าวว่าได้พบกับสิบสองที่แคว้นฉิน”
จิ้นเหอหันมอง
“งูพิษนั่นไปทำอะไรที่แคว้นฉิน”
“เรื่องนี้ข้าไหนเลยจะรู้”
จินฟู่ตอบ “ถามแล้วนางก็ตอบเพียงว่าหอวารีคงส่งนางไปประจำอยู่ที่นั่น
ส่วนอยู่ในบทบาทใดนั้นนางไม่ได้บอกข้า”
“เหตุใดนางถึงไม่บอก”
“หอวารีพวกเจ้าก็รู้กันอยู่
หน้าที่พวกเขาหลักๆแล้วคือแฝงตัวเข้าไปสืบข่าวรวมถึงให้การสนับสนุนหออื่นอย่างลับๆ
ดังนั้นตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาจำเป็นต้องกลบไว้ให้มิดที่สุดเพื่อเล่นไปตามบทบาทที่ได้”
“เช่นนั้นก็แปลว่าสิบสองอยู่แคว้นฉิน
จะเหลือก็แต่สิบเก้า เจ้าได้ข่าวเขาบ้างหรือไม่”
“ไม่เลย
ข้าไม่ได้ข่าวใดของเขาแม้แต่น้อย พวกเจ้าทำภารกิจกันไปทั่วไม่เจอเขาบ้างรึ”
“ข้าไหนเลยจะได้ออกไปข้างนอกบ่อยๆ” ฉันตอบ ตอบแล้วก็มองหยางชุนกับจิ้นเหอสลับไปมา
“ข้าไม่เคยพบเขา”
หยางชุนตอบสั้นๆ
“ข้าเองก็ไม่เคยพบเจ้านั่นเลย”
จิ้นเหอตอบ
“แปลกจริง”
ฉันพึมพำ ในใจนึกเป็นห่วงขึ้นมา “เจ้าลองเลียบๆเคียงๆถามพวกวารีที่อยู่แถวๆนี้ดูไม่ได้รึ”
เงยหน้าขึ้นมองจินฟู่ แต่เขาก็ส่ายหน้า
“พวกวารีขึ้นชื่อเรื่องปิดปากเงียบยิ่งกว่าผู้ใด
พวกเขาจะไม่บอกสิ่งใดนอกจากเรื่องที่ควรบอก”
“บทบาทที่เขาได้รับอยู่ตอนนี้อาจยากต่อการเข้าถึง”
หยางชุนพูดเสริม “จากพรสวรรค์ของเขาที่มีมาตั้งแต่ต้น
ไม่แน่ว่าอาจเป็นบทบาทสำคัญ”
“จริงของเจ้า”
ฉันเห็นด้วย “สิบเก้าโดดเด่นเรื่องหาข่าวมาแต่ไหนแต่ไร
ได้รับการชี้แนะจากหอวารีไม่แน่ว่าบัดนี้จะกลายเป็นเจ้าแห่งการสอดรู้ไปแล้ว
หนทางสอดรู้รุ่งโรจน์สว่างสไวเป็นอย่างมาก”
จินฟู่สำลัก
ไอไปก็กล่าวหาฉันว่าพูดถึงสิบเก้าทั้งหน้ามึนๆอย่างไร้สำนึกเช่นนั้นไม่รู้สึกผิดต่อเขาบ้างหรืออย่างไร
ต้องโดนทำโทษให้ดื่มคนเดียวจนหมดกา
พวกเราพูดคุยกินดื่ม
จากกาเริ่มเป็นไห ที่ผ่านมานึกว่าตัวฉันถูกศิษย์พี่เคี่ยวกรำจนคอแข็ง
เหล้าธรรมดาไม่สามารถทำอะไรได้ ไม่คาดพวกเขาทั้งหมดต่างก็ถูกเคี่ยวกรำมาคอแข็งอย่างร้ายกาจไม่ต่างกัน
“จำได้ว่าตอนป่าทดสอบนั่นข้าออกมาเป็นคนสุดท้าย”
เจ้าจินฟู่ยกไหดื่มอึกหนึ่งก่อนจะเช็ดปากพูด
แม้หน้าจะแดงก่ำแต่สภาพยังไม่ถึงกับล้มพับ “พวกเจ้าแต่ละคนผ่านมาได้อย่างไรไม่มีโอกาสได้ถามสักที”
“ก็ผ่านออกมาอย่างที่เจ้าเห็นนั่นอย่างไรเล่า”
จิ้นเหอตอบ
ลากเก้าอี้ไปนั่งขัดสมาธิกอดไหเหล้าพิงตู้หนังสือของจินฟู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่อาจทราบ
“ข้าเห็น?!” จินฟู่ทวนคำเสียงสูง “เห็นสิ่งใด
ตอนนั้นดวงวิญญาณจะหลุดออกจากร่างอยู่รอมร่อ เจ้าอยู่ตรงนั้นไม่เห็นรึ!” พูดเสียงดังลั่นไม่พอ เอามือข้างหนึ่งชี้หน้าหยางชุนด้วย
ฉันส่ายหน้า
ลุกขึ้นจากพื้นเดินโงนเงนไปดึงมือเขาให้ชี้ไปทางจิ้นเหออย่างถูกต้อง
เมื่อถูกต้องแล้วก็โงนเงนกลับมานั่งพื้นที่เดิม
“จริงด้วย”
จิ้นเหอทำท่านึกได้ “เจ้าอ้วกใส่ธงหอนภา
ข้าจำได้”
“เรื่องนั้นทำข้าต้องล้างบันไดหอไปเป็นเดือน
เป็นหอการค้าดันอุตริสร้างบันไดยาวยิ่งกว่าหอสุริยันเสียอีก บ้าบอโดยแท้!”
คราวนี้ฉันเงยหน้ามองเพดานส่ายหัวไปมา
หากมีคนจากหอนภาอยู่แถวนี้โปรดทราบว่าฉันไม่เกี่ยวข้องใดๆกับเจ้าบ้านั่นทั้งสิ้น
“จำได้ว่าหอเจ้าต้องสังหารหนึ่งชีวิต”
จินฟู่หันไปหาหยางชุน บัดนี้ตรงโต๊ะน้ำชาเหลือเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่นั่งอยู่
“เจ้าผ่านมาได้อย่างไร”
นายท่านผู้ล้ำเลิศนั่งหลังตรง
บุคลิกสงบนิ่ง นอกจากหน้าที่แดงจางๆแล้วยากจะดูออกว่าเขาเองก็โดนไปหลายกา
“ข้าถูกซุ่มโจมตี”
หยางชุนตอบ “ระหว่างกำลังสู้กับฝูงหมาป่าพวกเขาก็รุมเข้ามา
จึงจัดการไปแล้วผ่านเกณฑ์”
จินฟู่เลิกคิ้ว “จัดการ อย่างไร?”
“ตายหมด”
คิ้วจินฟู่ตกลง
“กี่คน”
“สาม”
“แล้วหมาป่า”
“ตายหมด”
เกิดความเงียบขึ้นในห้องพักส่วนตัวของนายใหญ่แห่งแว่วเสียงคีตา
หยางชุนยกจอกเหล้าขึ้นดื่มเงียบๆ ส่วนจินฟู่หันมาสบตากับฉันที่นั่งกองอยู่บนพื้น
สบอยู่พักหนึ่งจึงหันไปทางจิ้นเหอ
“แล้วเจ้าเล่า
ไม่ใช่ว่าตอนแรกอยากเข้าสุริยันหรืออย่างไร”
จิ้นเหอไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที
“ข้าไปไม่ทัน”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “ไอ้เจ้าบ้านั่นอาศัยจังหวะข้าต่อสู้ติดพัน
วิ่งแซงออกไปหน้าด้านๆ!” พูดแล้วก็ลุกพรวดขึ้นยืนบนเก้าอี้
มือข้างหนึ่งกอดไหอีกข้างทำเป็นคว้าทวนจากด้านหลัง “หากไม่ติดว่าก่อนหน้านี้ข้าหลงทาง
ผู้ใดก็แซงข้าไม่ได้!”
ฉันเงยมองจิ้นเหอที่กำลังถือทวนล่องหนชี้ไปด้านหน้า
“แล้วเจ้าสังหารผู้ใดถึงผ่านเกณฑ์ได้”
จินฟู่ถาม ตามองมือจิ้นเหอที่กำอากาศไม่ต่างจากฉัน
“นอกจากหมีแล้วข้าก็ไม่ได้สังหารผู้ใด” จิ้นเหอตอบ ทำท่าเอาทวนค้ำไว้กับพื้น ติดอยู่เพียงว่าในมือเขาไม่มีทวนจริงๆก็เท่านั้น “ไปไม่ทันสุริยัน แต่จันทรากลับบอกว่าข้าผ่านเกณฑ์ของพวกเขาแทน”
“หลักเกณฑ์ของจันทราคือสังหารหนึ่งชีวิต
ไม่ได้ระบุว่าต้องเป็นชีวิตคนหรือสัตว์” หยางชุนพูดเรียบๆ “ข้าได้ยินตัวแทนจันทราพูดว่าจิ้นเหอฆ่าหมีไปเกือบหมดป่า
อย่างไรเขาก็ผ่านเกณฑ์”
ตัวฉันที่กำลังจะเลื้อยลงไปเอาหน้าแนบพื้นพลันแข็งทื่อ
ที่แท้หนึ่งชีวิตที่ว่านั้นกลับมีช่องโหว่
พวกเขาไม่ได้ทดสอบความโหดเหี้ยมแต่ทดสอบสติปัญญาไปด้วย
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง”
จินฟู่พยักหน้าเข้าใจ “ที่ว่าพวกเขาโหดเหี้ยม
แท้จริงแล้วมีแต่พวกเราเข้าใจไปเอง แล้วเจ้าเล่าหลิ่งเฟย”
“พอได้แล้ว”
หยางชุนพูดขัดขึ้นมา “แยกย้าย”
“แยกย้ายอะไรของเจ้า”
ทองคำอันแสนมั่งคั่งถามงงๆ คนบอกแยกย้ายกลับนั่งนิ่งไม่ขยายความใดต่อ
ฉันพลิกตัวจากท่าคุกเข่ากึ่งคลานมานั่งดีๆ
มองรูปภาพดอกไม้ที่ติดอยู่ตรงผนังแล้วก็พูดขึ้นมาว่า
“สองชีวิต
มนุษย์ที่ข้าสังหารในป่าแห่งนั้น”
จินฟู่ที่กำลังอ้าปากจะถามหยางชุนอีกรอบชะงักกึก
คนทั้งสามหันมองฉันเป็นสายตาเดียว
“หนึ่งคือยี่สิบเจ็ด
อีกหนึ่งนั้นคือสามสิบแปด” พูดแล้วหันกลับไปยิ้มให้
พวกเขาต่างนิ่งอึ้ง
อึ้งอยู่นานจนฉันยิ้มไม่ออกได้แต่หุบยิ้มแล้วเลี่ยงหลบสายตา
เป็นจิ้นเหอที่ลุกอุ้มไหเหล้าเดินมานั่งลงข้างๆ ฉันมองหน้าเขา เขามองหน้าฉัน
มองกันไปมาอยู่ๆเจ้าหมาบ้ากลับยกไหเหล้าเทรดหัวฉันหน้าตาเฉย
เหล้าชั้นดีไหลเปียกลงไปทั่วตัว ฉันยิ่งกว่าอึ้ง ยังไม่ทันได้อ้าปากพูดสิ่งใดเขากลับเป็นฝ่ายถามออกมาก่อน
“มันยิ้มหรือไม่”
ดวงตาเรียวดุสบประสานดวงตาฉัน “ตอนสุดท้ายมันได้ยิ้มหรือไม่”
หัวใจดั่งถูกฟาดเข้าอย่างแรง
อาจด้วยตอนนี้ฉันเมามากแล้วจิตใจอ่อนไหวกว่าปกติ
พอถูกฟาดเช่นนี้ภาพจิ้นเหอในสายตาจากที่แจ่มชัดจึงพร่ามัวขึ้นมาเฉยๆ ฉันพยักหน้า
ไม่อาจตอบสิ่งใดออกไป เพียงพยักหน้าแล้วปล่อยให้หยดน้ำจากดวงตาไหลปะปน
หวังให้หยดเหล้าช่วยอำพราง
ซ่า
เหล้าสาดเข้าเต็มหน้าจิ้นเหอ
เจ้าหมาบ้าเงยหน้าไปอ้าปากเตรียมอาละวาด แต่คนสาดกลับชิงพูด
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว”
จินฟู่ทิ้งตัวนั่งลงอีกข้าง ส่งยิ้มกวนให้ก่อนจะผลักหัวฉันไปข้างหน้าเบาๆทีหนึ่ง
“ดีแล้ว”
“พวกเจ้าไม่...”
ฉันพยายามพูด มองพวกเขาไปมา
เหตุใดจึงยังคงมองฉันด้วยสายตาเป็นมิตรเช่นนี้ได้อีก
“ข้ารู้จักยี่สิบเจ็ดดี”
จินฟู่วางแขนพาดบนไหล่ฉัน “แล้วข้าก็รู้จักเจ้าดี”
“แค่มันมีความสุขก็พอแล้ว”
จิ้นเหอพูด มือยกเสยผมที่เปียกโชกออกจากหน้า
“ชีวิตของคนอย่างพวกเรา
หากได้จากไปอย่างมีความสุขก็นับเป็นจุดสิ้นสุดที่ไม่เลว” จินฟู่เสริม
กอดคอฉันแน่นขึ้น
รอยยิ้มสุดท้ายของยี่สิบเจ็ดปรากฏในความคิด
บางทีสวรรค์อาจเห็นว่าคนอ่อนโยนอย่างเขาไม่เหมาะกับที่นี่ตั้งแต่แรก
จึงต้องจากเพื่อไปสู่ภพชาติที่ดีกว่า ในที่ที่เขาจะมีความสุขอย่างแท้จริง
“ไยเอาแต่นั่งทื่ออยู่ตรงนั้นเล่า
เจ้าอ่านบรรยากาศไม่เป็นหรืออย่างไร” จินฟู่ร้องถามหนึ่งเดียวที่ยังคงนั่งอยู่ตรงโต๊ะน้ำชา
ความกล้าบ้าบิ่นในตัวเพิ่มสูงขึ้นตามปริมาณเหล้าที่เข้าปากอย่างไม่ต้องสงสัย
คนถูกหาว่าอ่านบรรยากาศไม่เป็นนั่งนิ่ง
ไม่มีผู้ใดทราบว่าเขาตั้งใจจะลุกขึ้นตั้งแต่ก่อนจิ้นเหอแล้วแต่ลุกไม่ได้
เมื่อลุกไม่ได้จึงนั่งดื่มต่อไปอย่างหดหู่เพียงคนเดียวอย่างนั้น
หยางชุนขมวดคิ้วมุ่น ขมวดอยู่ครู่หนึ่งก็ลุกพรวด จังหวะก้าวขากลับทรงตัวไม่อยู่เซถลาเอียงกะเท่เร่จนเกือบไปชนชั้นหนังสือ
นายท่านผู้ล้ำเลิศดึงตัวเองกลับ เดินมาคว้าไหเหล้าบนโต๊ะด้วยสีหน้าเรียบสนิท
หลับตาส่ายหน้าไปหนึ่งทีแล้วก้าวเดินต่อ ระยะทางแค่นี้สำหรับเขากลับยากยิ่ง
ถอยหน้าถอยหลังอยู่หลายครั้งในที่สุดก็เดินมาถึงจนได้
ฉันพูดไม่ออก
จิ้นเหอพูดไม่ออก กระทั่งจินฟู่ก็ยังพูดไม่ออก
ผู้เคลื่อนไหวเพียงหนึ่งเดียวในห้องนี้หยุดยืนหน้าเจ้าของห้อง
ยกไหเหล้าเทรดหัวเขาโดยไม่พูดสิ่งใด เทแล้วก็เซมานั่งลงต่อหน้าฉันอย่างทุลักทุเล
ฉันพูดไม่ออก
จิ้นเหอพูดไม่ออก กระทั่งจินฟู่ที่มีเหล้าหยดติ๋งๆจากปลายผมก็ยังพูดไม่ออก
พวกเราทั้งสามมองนายท่านผู้ล้ำเลิศซึ่งเปี่ยมด้วยกิริยาสูงสง่ามาโดยตลอดอย่างพร้อมเพรียง
นายท่านผู้ล้ำเลิศกลับยื่นไหที่มีเหล้าเหลืออยู่ครึ่งหนึ่งให้ฉัน
“ถึงตาเจ้าเทรดข้า”
ใจผวาเฮือก
กระทั่งน้ำตาก็ดั่งไหลย้อนกลับ ฉันมองสายตามุ่งมั่นของนายท่านตรงหน้า
ยื่นมืออันสั่นเทาไปรับ
“เทได้เลย”
หยางชุนพูด นั่งขัดสมาธิกอดอกด้วยบุคลิกสูงส่ง
ฉันกลืนน้ำลายเอื้อก
เหล่มองจิ้นเหอกับจินฟู่พวกเขาก็อ้าปากค้างสติหลุดไปเสียแล้ว
อดีตรัชทายาทเหยียนจวิ้นพยักหน้าให้ ในใจฉันฟูมฟาย
กราบขอขมาปู่ย่าตาทวดสายเลือดมังกรของเขาไปสามสี่ตลบ ขอขมาแล้วคุกเข่าโน้มตัวไปหา
หลับตายกเหล้าเทราดหัวเขาดังโจ้ก
กอดไหเปล่ากำลังจะถอยกลับ
ไม่ทันได้ถอยข้อมือก็ถูกคว้าจับไว้ ในใจคิดว่าโดนแล้ว
เจอเหล้าราดหัวเข้าไปเช่นนี้สติเขาคงคืนกลับมาอย่างน้อยก็สองในสี่
ลืมตาขึ้นมากลับไม่ใช่ หยางชุนมองฉัน สีหน้าหาได้มีความขุ่นเคืองใดๆ นอกจากจะไม่ขุ่นเคืองแล้วริมฝีปากยังเผยรอยยิ้มกว้างที่ไม่เคยได้เห็น
ทำเอาคนเห็นในระยะประชิดอย่างฉันตาแทบพร่า
“ไม่เป็นไร
จากนี้เจ้ายังมีข้า ยังคงมีข้าตลอดไป”
เหล้าหยดลงจากปลายผมของเขาที่เปียกโชก
ดวงตาเป็นประกายไม่แพ้รอยยิ้มที่ส่งมา
ฉันนิ่งอึ้ง เมื่อครู่...เผลอหยุดหายใจไปอีกแล้ว
“จากนี้เจ้ายังมีข้า
ยังคงมีข้าตลอดไป ฮ่าๆๆ” จินฟู่หัวเราะลั่น
กลิ้งตัวไปมาในศาลากลางสวน “ความทรงจำของข้าเกี่ยวกับเขาคืนนั้นอย่างไรก็จะไม่ยอมให้ผู้ใดมาลบไปได้
ฮ่าๆๆ”
นายใหญ่แห่งแว่วเสียงคีตาเกาะขอบที่นั่งในศาลาหัวเราะอย่างหมดมาด
ฉันยกน้ำชาขึ้นจิบ
"เขาไม่พูดกับพวกเรามาสองวันแล้ว
เจ้ายังไม่เลิกขำอีก” ปากเอ่ยปรามแต่เจ้าจินฟู่กลับหัวเราะก๊ากอีกรอบอย่างไร้สำนึก
"เมื่อก่อนข้าหลงกลัวเขาอยู่ได้ตั้งนาน
ไหนเลยจะรู้ที่แท้เขาก็มนุษย์ธรรมดาไม่ต่างจากเรา
ดั่งคำกล่าวเมาแล้วแม้แต่เทพก็ลงมาคลุกดินโดยแท้ ฮ่าๆๆ"
"คืนนั้นข้านึกว่าเขาเกิดล้มหัวฟาดไปตอนพวกเราไม่ทันเห็น"
จิ้นเหอพูดบ้าง
"นึกว่ากับผีนี่"
ฉันแขวะเข้าให้ "เจ้าจะเอาไหเหล้าทุบหัวเขา
หาว่าเขาเป็นคนจากพรรคปฐพีทมิฬปลอมตัวมา ลำบากข้ากับจินฟู่ต้องจับแยก"
หลังจากนายท่านผู้ล้ำเลิศส่งรอยยิ้มเจิดจ้ามาแล้ว
เจ้าหมาบ้าจิ้นเหอก็สติแตกตามไปทันที
หาว่าหยางชุนที่นั่งยิ้มหวานอยู่ตอนนี้เป็นตัวปลอม
ตะคอกบังคับให้เขาเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา ตะคอกไปมือก็ง้างไหเหล้าไปด้วย
กว่าจะจบเรื่องวุ่นวายได้ห้องพักจินฟู่ก็เละเทะดั่งพายุหมุนทะเลสาด
สาวใช้ที่มาทำความสะอาดตอนเช้าคงได้ก่นด่าสาปแช่งพวกเราไปจนถึงต้นตระกูล
"พูดถึงปฐพีทมิฬ"
จินฟู่เลิกหัวเราะหันกลับมา "ครั้งก่อนที่สุริยันมาปฏิบัติภารกิจก็เจอเข้ากับพวกเขา
ปะทะกันใหญ่โต หัวหน้าหน่วยสุริยันคนหนึ่งเกิดพลาดให้ทางการเห็นเข้า
ป้ายประกาศจับยังติดกลางตลาดอยู่จนถึงตอนนี้”
"เหอะ
พวกน่ารำคาญ" จิ้นเหอพ่นลมหายใจ "ข้าเคยถูกส่งให้ไปช่วยขุนนางผู้หนึ่งที่ถูกเจ้าพวกนั้นบุกปล้น
วิชาต่อสู้พวกมันชวนหงุดหงิดน่ารำคาญจริงๆ"
พรรคปฐพีทมิฬที่พูดถึงกันอยู่นี้เป็นพรรคโจรขนาดใหญ่พรรคหนึ่ง
ด้วยความที่เป็นพรรคโจรขนาดใหญ่จึงทราบดีถึงตัวตนของไร้นาม มีเหตุให้ต้องปะทะกันอยู่หลายหนจนกลายเป็นอริกันมาอย่างช้านาน
ไร้นามนั้นจริงอยู่เราปล้นฆ่า
แต่ที่ปล้นฆ่าส่วนใหญ่ล้วนเป็นบ้านขุนนางโฉดพ่อค้าชั่ว
หรือผู้ที่เสี่ยงต่อการทำลายสมดุลเจ็ดแคว้น แม้จะค้าขายเลี่ยงภาษีบ้าง
แต่ก็แตกต่างจากปฐพีทมิฬที่เป็นพรรคโจรเต็มขั้นอย่างสิ้นเชิง เพราะพวกเขาปล้นฆ่าไม่เลือกหน้า
ดำรงตนตรงข้ามกับกฏหมายอย่างไม่เกรงกลัวผู้ใด
ข่าวว่าพวกเขามีฐานที่ตั้งซ่อนอยู่ในแคว้นฉิน
แต่จนบัดนี้ฉินก็ยังนิ่งเฉยไม่กระทำการสิ่งใด
"เสียดายเจ้าสิบเก้าไม่ได้อยู่ด้วย
ข้าได้ยินข่าวลือมาว่าประมุขปฐพีทมิฬมีเรื่องบาดหมางกับประมุขแห่งไร้นามมาตั้งแต่กาลก่อน"
จินฟู่กอดอกพูด
"จริงรึ"
ฉันอุทาน
กล่าวกันว่าสิ่งที่ลึกลับที่สุดของไร้นามก็คือประมุขใหญ่ผู้ที่อยู่เหนือประมุขทั้งสี่ของหอหลัก
กุมอำนาจสูงสุดทั้งมวล หลายครั้งฉันนึกสงสัย เขาเป็นคนอย่างไร
จุดประสงค์แท้จริงของเขาที่เป็นนายใหญ่แห่งพรรคนั้นเพียงรักษาสมดุลเจ็ดแคว้น
หรือแท้จริงแล้วเขามีเป้าหมายใดซ่อนอยู่ หากแต่อย่างที่กล่าวเขาเป็นดั่งเงาของเงา
อยู่ที่ไหนเป็นผู้ใดคงมีเพียงประมุขหอทั้งสี่เท่านั้นที่รู้ได้
"เรื่องนี้ผู้ใดจะกล้ายืนยัน
ข้าเองก็ไม่กล้าถามต่อ อย่าว่าแต่ประมุขใหญ่เลย ประมุขหอนภาข้ายังเคยเห็นเขาแค่ครั้งเดียว"
"เจ้าเคยเจอประมุขหอด้วยรึ"
ฉันถามทึ่งๆ "ข้าตั้งแต่อยู่หอจันทรามาไม่เคยมีโอกาสได้เห็นประมุขหอสักครั้ง"
"ก็แค่ครั้งเดียวไกลๆ
หัวหน้าข้าที่เป็นเจ้าของแว่วเสียงคีตาคนเก่าไปพบเขาเลยให้ข้ารออยู่ด้านนอก
ข้าชะเง้อมองไปจึงได้เห็นเขานั่งเล่นหมากล้อมอยู่ไกลๆ” จินฟู่ตอบ
“เล่นหมากล้อมเช่นนี้ท่าทางเขาคงเป็นคนฉลาด”
ฉันพึมพำ พูดถึงฉลาดแล้วก็นึกถึงหยางชุนขึ้นมา “จริงด้วย ข้าต้องไปรับของที่สั่งไว้!” ลุกพรวดด้วยความตกใจ “จิ้นเหอ เร็วเข้า!” ดึงแขนเจ้าหมาบ้าให้ลุกขึ้นแล้วพวกฉันก็รีบแล่นไปร้านทำเครื่องประดับทันที
ถึงวันนัดหมายให้คุ้มกันขบวนสินค้าของคหบดีจ้าง
หลังจากเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้วฉันรีบวิ่งไปหาจิ้นเหอชวนเขาไปห้องหยางชุน
ระหว่างทางเจอจินฟู่ที่จะไปส่งพอดีจึงไปหาหยางชุนด้วยกันเสียทั้งหมด
กระซิบนัดแนะกับจิ้นเหออีกรอบหน้าห้อง เจ้าหมาบ้าแม้สีหน้าไม่เต็มใจเป็นอย่างมากแต่ก็ไม่ได้ค้านสิ่งใด
ประตูห้องหยางชุนเปิดออก
พรึ่บ
หน้ากากถูกล้วงมาวางทาบหน้าอย่างพร้อมเพรียง
ของฉันสีขาว ของจิ้นเหอสีแดงเข้มจนเกือบดำ หยางชุนนิ่งอึ้ง จินฟู่เองก็อึ้งแต่อึ้งอยู่พักหนึ่งกลับหลุดขำออกมา
พอได้หลุดแล้วก็กลั้นไม่อยู่อีกเกาะขอบประตูหัวเราะก๊ากอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ
“ข้าว่าแล้วว่ามันไม่เข้าท่า!” จิ้นเหอเอาหน้ากากออก
หันไปเห็นจินฟู่หัวเราะจนน้ำหูน้ำตาไหลก็เตะก้นไปทีหนึ่งด้วยความหงุดหงิด
“นี่มัน…”
หยางชุนยังคงพูดไม่ออก
ฉันเอาหน้ากากออกยิ้มแห้งๆ
“ข้าเห็นเจ้าใส่หน้ากากคนเดียวกลัวจะเหงา
เลยปรึกษากับจิ้นเหอทำมาใส่เป็นเพื่อน”
“ข้าไม่ได้เหงา” เขาตอบ สีหน้าเรียบเฉยปรากฏแววงุนงงแฝงอยู่
ฉันพลิกหน้ากากสีขาวกับมือไปมา
“เจ้าใส่หน้ากากเช่นนี้ท่าทางอึดอัด
ข้าดูแล้ว ถ้าปล่อยเจ้าอึดอัดอยู่เพียงคนเดียวก็จะขัดต่อคำกล่าวที่ว่า
มีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้าน”
“เช่นนั้นเจ้าเลยจะมาอึดอัดร่วมต้านทุกข์เป็นเพื่อนเขาอย่างนั้นรึ” จินฟู่พูด พูดแล้วก็หัวเราะก๊ากอีกรอบจนโดนฝ่ามือจิ้นเหอตบหัวทิ่ม
หยางชุนถอนหายใจเฮือก
“ข้าใส่เพียงคนเดียวยังสามารถอ้างได้ว่าใบหน้ามีรอยแผลฉกรรจ์จึงต้องปกปิดไว้
หากพวกเจ้ามาใส่ด้วย คนสามคนเดินใส่หน้ากากจะไม่เป็นพิรุธหรืออย่างไร”
“แล้วผู้ใดใช้ให้เจ้าไม่ยอมพูดกับพวกข้าเล่า!”
จิ้นเหอหันมาโวย “ก่อนหน้านี้หลิ่งเฟยเพียงอยากทำมาไว้เผื่อวันไหนใส่ออกทำภารกิจพร้อมกับเจ้า
มาตอนนี้นางกลัวเจ้าจะคิดมากเรื่องที่ถูกล้อเลยเอามาใส่หวังให้เจ้าเห็นแล้วหายโกรธ
เจ้านี่มัน”
“เอาน่า
ไม่เป็นไรหรอก” ฉันหันไปปรามจิ้นเหอ “อย่างไรมันก็ไม่เข้าท่าจริงๆ” ว่าแล้วก็หัวเราะแห้งๆไป
หยางชุนมองหน้าฉันกับจิ้นเหอสลับไปมาสีหน้าครุ่นคิด
“ไหนพวกเจ้าลองใส่มันอีกรอบ”
“เหตุใดข้าต้องใส่อีกรอบด้วย!”
เจ้าจิ้นเหอโวย
“ใส่แล้วใส่อีกจะเป็นไร”
เจ้าหมาบ้าเหล่มองฉันพอเห็นฉันพยักหน้าก็หยิบหน้ากากมาใส่
ฉันกับจิ้นเหอใส่หน้ากากยืนกะพริบตาปริบๆ
พักหนึ่งหยางชุนก็หยิบหน้ากากสีดำของตนเองขึ้นมาใส่ด้วย
นายท่านผู้ล้ำเลิศเดินผ่านพวกฉันไปยืนด้านหน้า
“เป็นผู้คุ้มกันขบวนสินค้าคงไม่เป็นไร” เอามือไพล่หลังเงยหน้ามองฟ้า ถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนจะก้าวขาออกเดิน “ไปกัน”
ฉันกับจิ้นเหอเดินตามในขณะที่จินฟู่ซึ่งอยู่ด้านหลังหัวเราะดังลั่น
นายใหญ่แห่งแว่วเสียงคีตาบัดนี้ไหลลงไปกองกับพื้น หัวเราะจนตัวงอ จนน้ำตาไหลพราก
จนนึกอยากจับพู่กันวาดภาพหอจันทราทั้งสามพร้อมหน้ากากคนละสีตอนนี้ไว้
ติดข้างฝาผนังห้องนอน เผื่อวันไหนมีเรื่องทุกข์ใจจะได้นั่งมอง
“หลิ่งเฟย
จิ้นเหอ หยางชุน ข้าส่งพวกเจ้าตรงนี้แล้วกัน ฮ่าๆๆ”
------------------------------------------------------------
บ๊ายบายจินฟู่ อยู่กับจินฟู่นี่แลดูเฮฮาปาจิงโกะไร้สาระมาก ฮ่าๆๆ ตอนนี้มีเบาะแสของสิบสองมานิดหน่อย
หยางหยางอยู่กับเจ้าพวกนี้มากๆ ภาพลักษณ์จะไม่เหลือแล้ว
ความคิดเห็น