คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : :: Outreach :: Chapter.3
TALK ::
สวัสดีค่าทุกท่าน ^ ^ มาอัพแล้วเจ้าค่ะ (... เลทไปสองวัน OTL 555555)
ช่วงนี้รู้สึกเหมือนหัวไม่ค่อยแล่นยังไงก็ไม่รู้ค่ะ แล้วก็ไม่ค่อยได้มีเวลานั่งแต่งจริงๆจังๆ
หรือเพราะเป็นดราม่าที่ปาร์คเจ็บเลยแต่งไม่ถนัดยังไงก็ไม่รู้ (ฮา)
ถ้าหากมีตรงไหนที่ผิดพลาดไปก็ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ (_ _ )
ถึงจะกลัวว่าจะน่าเบื่อจนไม่มีคนติดตาม เอิ๊ก >"<
แต่ตราบใดที่ยังมีคนอ่านอยู่ มายด์ก็พอใจแล้วล่ะค่ะ ^ ^
ขอบคุณทุกๆคอมเมนท์ที่เป็นกำลังใจให้มาโดยตลอดนะเจ้าคะ
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านด้วยค่า : )
PS. ตอนนี้มายด์เปิดรับคอมเมนท์ฟิคชัน Rendezvous แล้วนะเจ้าคะ >"<
ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาตอนพิเศษ ปก หรืออะไรก็ตาม สามารถติชมได้ที่ http://pink-luna.exteen.com/20120318/comment-rendezvous นะค้า ~
Chapter.3
“อ้าว ยูชอน ทำไมมานั่งอยู่คนเดียวแบบนี้วะ”
นักศึกษานิติศาสตร์หนุ่มชอง ยุนโฮที่เดินมากับคนรักร่างบางเอ่ยทักผู้เป็นเพื่อนสนิททันทีหลังจากที่เห็นว่าปาร์ค ยูชอนซึ่งมักจะอยู่ข้างกายคนน่ารักประจำคณะบริหารอยู่เสมอๆนั้น ในตอนนี้กลับมานั่งเงียบๆอยู่บริเวณเก้าอี้ม้าหินตัวประจำเพียงคนเดียวจนดูแปลกตา
ยูชอนชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเบือนใบหน้าคมคายกลับมาหา ด้วยสีหน้าเรียบเฉยซึ่งเดาไม่ถูกว่าเจ้าตัวกำลังคิดอะไรอยู่ “
ว่าไง ?”
“ฉันถามว่าทำไมนายมานั่งอยู่คนเดียว
ปกติจะตัวติดอยู่กับจุนซูตลอดเลยไม่ใช่รึยังไงกัน แล้วไม่ตามไปนั่งเฝ้าจุนซูซ้อมงานแสดงหรือยังไง ?”
“
จุนซูไม่ให้ตามไป”
“ฮะ ?” คราวนี้เป็นแจจุงเองที่เอ่ยพลางเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย “จุนซูเนี่ยนะไม่ให้นายไปด้วย ? อย่ามาล้อเล่นน่า !”
“
.”
ชายหนุ่มร่างโปร่งไม่ได้เอ่ยปากอะไรตอบกลับ แม้ว่าภายในใจของเขานั้นจะรู้ดีว่าทำไมคนตัวเล็กถึงได้เป็นฝ่ายห้ามไม่ให้เขาไปที่นั่น เหตุผลทั้งหมดก็คงจะไม่พ้นการที่ไม่อยากให้เขาเข้าใกล้กับชเว มินกีไปมากกว่านี้อย่างแน่นอน เพราะตลอดเกือบๆสองอาทิตย์ที่ผ่านมา เขาตามจุนซูไปที่ห้องซ้อมดนตรีตลอด จนกลายเป็นว่าได้พูดคุยกับมินกีที่สนใจในเปียโนเหมือนกันบ่อยมากขึ้นไปโดยปริยาย
“พรุ่งนี้จุนซูก็จะแสดงแล้วไม่ใช่เหรอ ไม่รอดูซ้อมใหญ่รึไง ?”
“จุนซูบอกว่าให้รอดูพรุ่งนี้ก็พอ”
“แล้วนายก็เออๆออๆไปตามนั้น แล้วมานั่งหงอยคนเดียวเนี่ยนะ ?”
“เขาไม่ได้ต้องการฉัน” เพราะจุนซูก็คงมีชิม ชางมินคอยอยู่ใกล้ๆอยู่แล้ว
“ยูชอน
” แจจุงเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าคล้ายกับว่าลำบากใจและเป็นห่วงอยู่ในที “นายจะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปอีกนานแค่ไหน นายกับจุนซูน่ะ
มันคลุมเครือเกินไปแล้วนะ”
“
.”
“ตอนนี้พวกนายสองคนเป็นอะไรกัน ฉันยังเดาไม่ออกเลยด้วยซ้ำไป !”
“มันก็ไม่ได้คลุมเครือนี่”
“
.”
“
เพราะจุนซูเป็นจุนซูของฉัน”
“
.”
“ฉันไปงีบที่ห้องสมุดก่อนนะ”
“เฮ้ย ! เดี๋ยวสิยูชอน ! ยูชอน
!”
เป็นอีกครั้งที่เจ้าของผิวขาวจัดไม่สนใจคำเอ่ยรั้งของผู้เป็นเพื่อน เขาเลือกที่จะเดินจากออกมาหลังจากเอ่ยประโยคสั้นๆออกไปแล้ว เพราะไม่อยากทนรับความจริงที่ว่าความคลุมเครือนั้นมันเริ่มชัดเจนมากขึ้นทุกวันๆจนเขาเองยังรู้สึกได้
เพราะจุนซูเป็นของเขา
เป็นของเขาทุกอย่างยกเว้นเพียงแค่หัวใจ
ริมฝีปากหยักหนากระตุกยิ้มน้อยๆราวกับต้องการจะเยาะเย้ยตนเอง ก่อนจะเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ภายในหัวใจมันเจ็บแปลบสลับกับการกระตุกวูบโหวงเพียงแค่คิดว่าในตอนนี้ร่างเล็กคงจะอยู่กับใครอีกคนหนึ่ง คนที่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีวันเอาชนะได้เลยแม้แต่นิดเดียว
ขายาวพาร่างของตนเองมาหยุดอยู่ตรงหน้าห้องสมุดใหญ่ภายในมหาวิทยาลัย ยืนนิ่งชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง จนในที่สุดก็ตัดสินใจเดินเข้าไป เพื่อหวังว่าจะได้ความสงบที่สามารถทำให้หัวใจของตนเองได้พักผ่อนอย่างต้องการ
ยูชอนเลือกที่นั่งบริเวณหน้าตู้หนังสือประวัติศาสตร์ขนาดใหญ่ซึ่งรวบรวมหนังสือเล่มหนาชนิดที่ว่าสามารถใช้เป็นอาวุธฆ่าคนได้มาเป็นที่งีบหลับของตนเอง เพราะน้อยคนนักที่จะมานั่งอ่านหนังสือแถบนี้ กับบางคนเพียงแค่เดินผ่านยังรู้สึกขยาดเลยเสียด้วยซ้ำไป
ริมฝีปากอิ่มพรูลมหายใจออกมาแผ่วเบา โน้มใบหน้าคมของตนเองให้ค่อยๆฟุบลงไปกับท่อนแขนแกร่ง ปิดตาลงอย่างช้าๆเพื่อให้รู้สึกผ่อนคลาย พยายามสลัดความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมดที่ตนเองมีให้หายพ้นไปจากหัวสมองแม้เพียงแค่ไม่กี่นาทีก็ยังดี
“หวา ~ สูงจังเลย”
เสียงทุ้มติดหวานที่ดังขึ้นมาภายในความเงียบงันทำให้ยูชอนที่กำลังจะหลับไปต้องปรือตาตื่นขึ้นมาด้วยความงุนงงปนเปไปกับอาการหงุดหงิดเล็กน้อย ใบหน้าคมหันมองซ้ายขวาไปมาเพื่อที่จะหาต้นเสียงนั้น ก่อนจะพบว่าร่างผอมๆของใครบางคนกำลังเขย่งสุดปลายเท้าเพื่อจะเอื้อมหยิบหนังสือประวัติศาสตร์เล่มหนาจากชั้นบนสุดมาไว้ในมือ
ท่าทางดูช่างลำบากยากเย็นนั้นทำให้ยูชอนนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะเตรียมลุกขึ้นยืนเพื่อตรงเข้าไปช่วยเหลือ หากแต่เสียงแหบเล็กและคำพูดของผู้เป็นเพื่อนสนิทก็กลับดังขึ้นมาภายในโสตประสาทของตนเองเสียก่อน
“เหตุผลของฉันก็คือไม่อยากให้ยูชอนเข้าใกล้มินกีไง !”
“อย่าเข้าใกล้มินกีอีกนะ นิดเดียวก็ไม่ให้ !”
ประโยคห้ามของร่างเล็กทำให้กายแกร่งชะงักไปครู่หนึ่งอย่างลังเล
หากแต่เพียงไม่นานนัก ยูชอนก็ตัดสินใจไม่ใส่ใจต่อคำพูดเอาแต่ใจเหล่านั้น เพราะเขาคิดแค่ว่าเป็นการช่วยเหลือเพื่อนคนหนึ่งตามธรรมดาที่คนทั่วไปก็คงทำกัน
“มินกี”
แม้เสียงเรียกที่คนร่างโปร่งเอ่ยออกไปจะไม่ได้ดังสักเท่าใดนัก หากแต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ร่างนั้นสะดุ้งสุดตัวแล้วหันกลับมาหน้าเสีย
“อ
อ๊ะ ยูชอน ! ขอโทษนะ เราเสียงดังรึเปล่า ?”
“ไม่เป็นไร ฉันแค่กำลังจะนอน”
“ข
ขอโทษจริงๆนะ” เจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มเอ่ยเสียงเบาพลางโค้งศีรษะแล้วโค้งศีรษะอีก “ด
เดี๋ยวเราไปเอาบันไดมาปีนดีกว่า ขอโทษที่ทำให้ตื่นนะยูชอน --- อะ !”
เสียงหวานอุทานออกมาเบาๆ เมื่อจู่ๆคนตัวสูงกว่าก็ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้นั่ง เดินตรงเข้ามาใกล้และหยิบหนังสือเล่มหนาให้ด้วยการทำเพียงแค่เอื้อมมือเล็กน้อยเท่านั้น
“จะเอาเล่มนี้ใช่มั้ย ?”
“ช
ใช่ๆ ขอบคุณนะยูชอน นายนี่สุดยอดเลย แค่เอื้อมก็หยิบถึงแล้ว ทั้งๆที่เราลองกระโดดเอื้อมหยิบดูยังหยิบไม่ได้เลยนะ”
“
นายตัวเล็กเกินไปต่างหาก”
“ยูชอน !”
เสียงหวานนั้นขึ้นสูงเล็กน้อยด้วยสีหน้าเบ้ๆเชิงว่าไม่พึงพอใจจนร่างโปร่งต้องหลุดหัวเราะออกมาเบาๆกับสีหน้าท่าทางเหล่านั้น
อาการที่เหมือนกับคิม จุนซูยามถูกล้อว่าตัวเล็กไม่มีผิด แม้ว่าคนตรงหน้าจะดูน่ารักไม่เท่ากับร่างเล็กๆนั้นก็ตาม
“ฮะๆ ขอโทษทีที่พูดความจริง ทำไมนายมาอ่านหนังสือที่นี่ล่ะ ? ไม่ซ้อมดนตรีหรือไง”
“วันนี้มีเฉพาะคนที่ขึ้นงานแสดงเขาซ้อมกันน่ะ เราก็เลยกะว่ามานั่งอ่านหนังสือสักหน่อย”
นัยน์ตาคมของยูชอนปรายสายตามองหนังสือเล่มหนาปึกในอ้อมแขนของคนตรงหน้าพลางเลิกคิ้วขึ้นขณะเอ่ยถาม
“นายชอบอ่านหนังสือประเภทนี้เหรอ
แปลกดีนะ”
“เราชอบอ่านประวัติศาสตร์ของพวกศิลปะ หรือดนตรีสากลอะไรทำนองนั้นน่ะ อีกอย่างที่ตรงนี้ก็เงียบดี เพราะปกติไม่ค่อยจะมีคนเท่าไหร่
”
“จะบอกว่าเพราะฉันมันเลยไม่ปกติงั้นสิ ?”
“ม
ไม่ใช่นะ ! เราหมายถึงแบบว่า --- เออ
คือ ขอโทษที่รบกวนเวลานอนนะ”
“พิลึกคนจริงๆ”
“ยูชอน !”
จากการที่หยอกล้อกันไปมาเบาๆ จนท้ายที่สุดแล้วกลายเป็นว่าหนังสือประวัติศาสตร์เล่มหนานั้นก็ถูกวางเอาไว้บนโต๊ะเฉยๆ
แทนที่ด้วยบทสนทนาของคนสองคนที่เลือกมานั่งเก้าอี้ตรงข้ามกันตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ พูดคุยเรื่องสัพเพเหระต่างๆที่ดูราวกับว่าทั้งคู่จะสามารถคุยกันได้อย่างถูกคอจนเกือบลืมเวลา
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น
ภายในหัวใจของยูชอน ก็ยังคงมีแต่คำว่าจุนซู
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“เอาล่ะทุกคน วันนี้พอแค่นี้ พักผ่อนให้มากๆแล้วพรุ่งนี้ทำให้เต็มที่เหมือนตอนซ้อมนะ”
เสียงของประธานชมรมดนตรีชิม ชางมินเอ่ยกับผู้ร่วมงานแสดงทุกคนด้วยท่าทางเป็นมิตรหลังจากกล่าวให้หยุดการซ้อมไว้แต่เพียงเท่านี้ เสียงของคนภายในชมรมเอ่ยขอบคุณเป็นเสียงเดียวกันก่อนที่ร่างสูงสีน้ำผึ้งจะเดินตรงเข้าไปหาคนตัวเล็กซึ่งกำลังคว้าขวดน้ำขึ้นมาเปิดดื่ม
“ทำได้ดีมากเลยนะจุนซู”
คนที่กำลังดื่มน้ำชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะหันหน้ามาด้วยใบหน้าขึ้นสีระเรื่อ รอยยิ้มของรุ่นพี่สีน้ำผึ้งตรงหน้าดูเอ็นดูและอ่อนโยนเสียจนจุนซูแทบจะทำอะไรไม่ถูก
“ไม่หรอกฮะ เพราะว่าทุกคนช่วยกันมากกว่า
ถ้าลำพังแค่ผมคนเดียว มีหวังงานต้องล่มแน่ๆเลยฮะ แหะๆ”
“ที่พี่ตัดสินใจเลือกให้จุนซูแสดง ก็เพราะว่าเชื่อในฝีมือของจุนซูนะ” มือหนายกขึ้นมาลูบศีรษะกลมของคนอายุน้อยกว่าแผ่วเบา “พี่ชอบเสียงของจุนซูมากนะ ทุกคนเองก็คงจะคิดเหมือนกัน เพราะฉะนั้น พรุ่งนี้ก็สู้ๆเขานะ”
ทั้งรอยยิ้มและน้ำเสียงของคนตรงหน้าทำให้หัวใจดวงน้อยอุ่นวาบด้วยความรู้สึกดีๆเต็มอก คนตัวเล็กช้อนสายตาขึ้นมองเจ้าของใบหน้าคมเข้มที่ยังคงดูแสนอ่อนโยนตรงหน้า ก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างตอบรับคำพูดเหล่านั้นด้วยความดีใจจนพวงแก้มขึ้นสีชัดเจนกว่าเดิม
“ฮะ”
เขาสบายใจทุกครั้งที่ได้คุยกับรุ่นพี่ชางมิน
มันเป็นความรู้สึกชื่นชมและปลาบปลื้มอยู่ในใจ เพียงแค่ได้เห็นหน้า ได้ยินเสียง ได้ใกล้ชิดก็รู้สึกว่าหัวใจมันพองโตเสียจนกระทุ้งกระแทกคับแน่นอยู่ภายในอก
ลำพังแค่ได้อยู่เคียงข้าง หรือกระทั่งมองห่างๆจุนซูก็มีความสุขมากพอแล้ว เขาไม่ได้ต้องการที่จะครอบครองหรือเป็นคนรักของชิม ชางมิน หากแต่ก็ไม่ปรารถนาให้ชายหนุ่มสีน้ำผึ้งมีใครอื่นเช่นเดียวกัน
แค่ให้เขาได้รักรุ่นพี่ชางมินอย่างนี้ต่อไป แค่นั้นมันก็เพียงพอสำหรับเขาแล้ว
หัวใจของเขาเป็นของรุ่นพี่ชางมินคนเดียว
“ขอบคุณนะฮะที่อุตส่าห์มาส่ง”
หลังจากรถออดีสีเงินเข้าเทียบจอดนิ่งสนิท ร่างเล็กซึ่งลงมาจากรถแล้วก็เอ่ยขอบคุณร่างสูงสีน้ำผึ้งซึ่งอาสาทำหน้าที่เป็นสารถีจำเป็นมาส่งถึงหน้าคอนโดที่เขาพักอยู่กับปาร์ค ยูชอนด้วยใบหน้าสดใสแต้มสีระเรื่อ ผ่านทางกระจกรถของชายหนุ่มที่ลดลงให้สามารถมองเห็นหน้ากันได้ถนัดถนี่
ภายในรถที่มีเพียงเขากับรุ่นพี่สองคนคุยเรื่องสัพเพเหระมาตลอดเส้นทางนั้นทำให้จุนซูมีความสุขมากจนแทบจะลอยได้
“จะใช้คำว่าอุตส่าห์ได้ยังไง พี่เต็มใจมาส่งเรานะ
อีกอย่าง พี่ชอบคุยกับจุนซูนะ เพลินดี”
ถ้าหากว่าพวงแก้มใสสามารถจะระเบิดได้ล่ะก็
ป่านนี้คิม จุนซูคงจะระเบิดตัวเองไปนานแล้ว
“ข
ขอบคุณอีกครั้งนะฮะ”
“พักผ่อนเยอะๆก็แล้วกันนะ พรุ่งนี้ทำให้เต็มที่นะครับ ไว้เจอกัน”
“ฮะ”
ร่างสีน้ำผึ้งนั้นยกมือขึ้นเป็นเชิงบอกลาด้วยรอยยิ้มใจดี ก่อนที่รถคันหรูจะเคลื่อนตัวออกไป ปล่อยให้คนตัวเล็กที่หัวใจเต้นแรงยืนอยู่อย่างนั้น แทบจะม้วนตัวเดินขึ้นคอนโดเพราะเขินจนทนไม่ไหว ก้อนเนื้อในอกซ้ายพองโตจนต้องฮัมเพลงออกมาอย่างอารมณ์ดี
ริมฝีปากเล็กเปล่งเสียงเพลงแผ่วๆออกมากระทั่งหยุดยืนอยู่บริเวณหน้าห้องพัก มือข้างน้อยควานหาคีย์การ์ดภายในกระเป๋าสะพายข้างของตนเองก่อนจะใช้มันเปิดประตูเข้าไป
“กลับมาแล้วเหรอ”
เสียงเอ่ยทักทำให้จุนซูต้องหันไปมองเพื่อนร่วมห้องซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่เงียบๆบนโซฟาสีอ่อน คนตัวเล็กยกยิ้มน้อยๆก่อนจะเดินตรงไปหาและหย่อนกายลงนั่งเคียงข้างอีกฝ่าย เอียงศีรษะกลมของตนพิงกับไหล่กว้างแผ่วเบา จนยูชอนต้องยกยิ้มเล็กน้อย
“เหนื่อยมั้ยวันนี้ ?”
“อื้มมม ก็ซ้อมตลอดตั้งแต่เลิกเรียนเลย แต่สนุกมากเลยนะ ทุกอย่างก็ออกมาดีมากเลยล่ะ”
“
งั้นเหรอ”
“อื้อ ! เมื่อกี้พี่ชางมินก็มาส่งฉันด้วยล่ะ ~ เหมือนฝันเลยยูชอน ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองจะลอยได้เลย”
“
อืม”
เลิกพูดถึงเขาด้วยสีหน้าแบบนั้นให้ฉันฟังซะทีได้ไหม
“แล้วอีกอย่างตอนซ้อมร้องเพลง พี่ชางมินก็คอยอยู่เป็นเพื่อนเกือบจะตลอดเลย วันนี้ฉันมีความสุขจังเลยยูชอน”
เลิกพูดด้วยน้ำเสียงมีความสุขแบบนั้นซะที
“พี่ชางมินบอกว่าเขาไว้ใจฉันเลยให้ฉันขึ้นแสดง
”
พอที ฉันไม่อยากฟัง
“แล้วตอนที่เขาบอกว่าเขาชอบเสียงของฉันน่ะนะ หัวใจของฉันมันเต้นแรงจนกลัวว่าจะหลุดออกมานอกอกเลยล่ะ”
พอซะทีได้ไหม
“
งั้นเหรอ”
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจจะพูดความจริงภายในหัวใจได้
จึงทำได้เพียงแค่เอ่ยตอบรับออกไปด้วยเสียงแผ่วพร่าเท่านั้น
“แล้ววันนี้ยูชอนเลิกเรียนก็กลับมาที่ห้องเลยเหรอ ?” มือข้างน้อยของคนที่กำลังอิงซบศีรษะกับไหล่กว้างยื่นออกไปกุมสัมผัสมือหนา เล่นนิ้วคนตัวสูงกว่าไปมาขณะเอ่ยถาม
“เปล่า
ไปงีบที่ห้องสมุดมาน่ะ”
“อ๋อ
”
“แล้วก็บังเอิญเจอมินกีพอดี” มือเล็กที่กำลังเกี่ยวนิ้วอีกฝ่ายเล่นไปมาชะงักไปเล็กน้อย หากแต่เป็นเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น “ก็เลยนั่งคุยกันนานเลย เพิ่งจะกลับถึงห้องได้สักพักเองล่ะ”
“อืม
” เสียงแหบหวานครางในลำคอรับคำบอกเล่าของคนตัวสูงกว่า และไม่ได้พูดอะไรอีกหลังจากนั้น ทำให้เกิดความเงียบงันที่ไม่อาจบอกได้ว่าแท้จริงแล้วเป็นบรรยากาศอันสงบสบายหรืออึดอัดกันแน่
แต่กระนั้นปาร์ค ยูชอนก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมา จนจุนซูต้องเป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบเสียแทน
“
ยูชอน”
“หือ ---”
ร่างสูงโปร่งจำต้องนิ่งชะงักไป เมื่อจู่ๆคนที่เพิ่งจะเอ่ยนามของตนออกมานั้นก็ปล่อยมือของเขาออก พร้อมกับศีรษะกลมซึ่งเคยแนบอิงลาดไหล่ที่ผละออกมา ก่อนจะลุกขึ้นและทิ้งตัวนั่งลงบนตักแกร่งโดยหันหน้าเข้าหาผู้เป็นเพื่อนสนิทจนกลายเป็นอยู่ในท่าทางที่อาจเรียกได้ว่าล่อแหลม หากแต่ยูชอนเองก็ไม่นึกแปลกใจอะไรกับท่าทีคล้ายจงใจยวนเย้าเหล่านั้น
“พรุ่งนี้นายจะไปดูฉันแสดงใช่รึเปล่า
?”
“ฉันเคยไม่ไปดูด้วยหรือไง”
“ยูชอน”
“
รู้แล้วน่า” มือหนาค่อยๆโอบรอบเอวเล็กของคนตรงหน้าเอาไว้หลวมๆ “ยังไงฉันก็ต้องไปดูอยู่แล้ว”
“ห้ามลืมนะ”
“อืม”
“ยูชอน”
“
.”
“รักฉันคนเดียวใช่มั้ย ?”
แขนเพรียวเล็กโอบรอบลำคอแกร่งของคนตรงหน้า น้ำเสียงที่เอ่ยถามฟังดูคล้ายเด็กเอาแต่ใจ ไม่ต่างไปจากดวงหน้าน่ารักที่ดูคาดคั้นแสนเอาจริงเอาจังจนให้ความรู้สึกน่าเอ็นดูนั้น
คำถามที่เจ้าตัวเองก็น่าจะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว หากแต่ก็คงต้องการเพียงให้เขาเป็นฝ่ายเอ่ยปากเพื่อย้ำให้ฟังอีกครั้งเท่านั้น
“
.”
“ยูชอน”
“
รักสิ” ถึงแม้ว่าจุนซูจะไม่ได้รักเขาเลยก็ตาม “ฉันรักนายคนเดียว”
“ยูชอนน่ารักจัง”
น้ำเสียงที่แสดงว่าพึงพอใจนั้นดังขึ้นมาพร้อมๆกับการประทับจุมพิตแผ่วเบายังแก้มสากของชายหนุ่ม ปลายนิ้วเล็กไล้ผ่านลำคอแกร่งเรื่อยจนมาถึงแผงอกกว้าง ค่อยๆปลดเม็ดกระดุมด้านบนออกอย่างช้าๆด้วยรอยยิ้มยั่วเย้าเจือแววอ่อนเดียงสา
และก็เป็นอีกครั้งที่ยูชอนพ่ายแพ้
ละเลยความรู้สึกผิดชอบชั่วดีรวมทั้งบาดแผลจากการถลำลึกเหล่านั้น
ริมฝีปากอิ่มกดจูบหนักหน่วงยังกลีบปากบางอย่างกระหาย แทะเล็มและไล้เลียตามมุมริมฝีปากเล็กอย่างชำนาญ สัมผัสแนวฟันซี่เล็กเป็นระเบียบด้วยปลายลิ้นหยุ่นที่ส่งเข้าไปฉกชิมความหอมหวาน กระหวัดเกี่ยวและดูดดุนอย่างร้อนเร่าจนสามารถเรียกเสียงครางเครือหวานหูจากภายในลำคอของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี
เจ้าของดวงหน้าน่ารักปรับเอียงองศาใบหน้าไปตามท่วงทำนองของการป้อนมอบจุมพิตอย่างไม่เกี่ยงงอน นัยน์ตาเรียวรีคู่งามหลับพริ้มรับรสสัมผัสรัญจวนพร้อมๆกับมือข้างเล็กที่กลับขึ้นไปโอบรอบลำคอของคนตัวสูงกว่าเอาไว้อีกครั้งหนึ่ง เปล่งเสียงครางอือเบาๆกับการเสียดสีบริเวณสะโพกอวบของตนเองกับความอุ่นร้อนภายใต้เนื้อผ้าของเจ้าของตักแกร่งซึ่งทวีความวาบหวามมากขึ้นไปทุกที
“อืมมม
ยูชอน
อ๊ะ พรุ่งนี้ฉันมีแสดงนะ
”
“
นายเป็นคนเริ่มก่อนเองนะ” เสียงทุ้มพร่าเอ่ยแนบชิดริมฝีปากเล็ก “อยากให้ฉันหยุดหรือไง ?”
“ใครว่าล่ะ
”
สะโพกมนบดเบียดเข้าหาร่างสูงโปร่งตรงหน้าอย่างจงใจยั่วยวน เช่นเดียวกับน้ำเสียงแหบหวานยวนเย้าซึ่งกระซิบแผ่วเฉียดริมฝีปากอิ่มที่ตามคลอเคลียอยู่ไม่ห่าง
“
ฉันหมายถึงว่าเราทำได้แค่ครั้งเดียวต่างหาก”
ริมฝีปากทั้งสองคู่มอบรสสัมผัสมัวเมา
ฝ่ามือหนาปลดเปลื้องอาภรณ์ของคนตัวเล็กอย่างรวดเร็ว
ไล้ลูบไปทั่วเรือนร่างขาวเนียนเพื่อปลุกปั่นอารมณ์รัญจวนให้ไต่ทะยานขึ้นสูง เช่นเดียวกับเจ้าของดวงหน้าอ่อนหวานที่พยายามรั้งเสื้อเชิ้ตสีสะอาดให้พ้นจากกายของชายหนุ่มเช่นเดียวกัน
มือหนาไล้สัมผัสตามสะโพกนิ่มของอีกฝ่ายอย่างเนิบช้าหากแต่เคลือบแฝงไปด้วยความปรารถนาอันรุ่มร้อน ก่อนจะค่อยๆช้อนกายเล็กของอีกฝ่ายขึ้นอุ้มในอ้อมแขน พาเดินตรงไปยังห้องนอนของตนเองทั้งๆที่ยังไม่ผละริมฝีปากออกจากกัน
“อืมมม
ยูชอน
”
แผ่นหลังบางแนบกับพื้นเตียงนุ่ม ดวงหน้าหวานเริ่ดขึ้นเล็กน้อยยามที่จมูกโด่งเป็นสันคมตามมาคลอเคลียซุกไซ้บริเวณลำคอขาวผ่อง เรือนกายเนียนละเอียดซึ่งบัดนี้ไร้อาภรณ์ชิ้นใดปิดบังงดงามราวกับประติมากรรมล้ำค่า เสียงครางเครือหวานแว่วคล้ายท่วงทำนองเอ่ยเรียกนามของชายหนุ่มเบื้องบนเป็นระยะๆ เกาะกอดแผ่นหลังกว้างเอาไว้แนบแน่นยามที่ร่างทั้งสองแนบชิดกันสนิทไร้ช่องว่าง
“อา
จุนซู
”
“อ่ะ
! ยูชอน ช้าหน่อย อ๊ะ
! อ๊า !”
กายแกร่งแทรกผ่านร่างนวลเข้าไปจนสุดในคราเดียวจนคนตัวเล็กต้องผวากอดอีกฝ่ายเอาไว้แนบแน่น นัยน์ตาเรียวหวานปรือปรอยคลอน้ำช้อนขึ้นมองคนด้านบนอย่างติดจะแง่งอนอยู่เล็กน้อยจนดูน่ารักน่าชัง หากแต่ไม่นานก็ต้องหลับตาลงเมื่อร่างโปร่งขยับกายโดยไม่ทันให้ตั้งตัว
เสียงครวญครางต่างคีย์อันเกิดจากความสุขสมดังขึ้นสะท้อนก้องภายในห้องสีสลัว ตามจังหวะการประสานกายซึ่งเพิ่มทวีความถี่กระชั้นและความหนักหน่วงมากขึ้นเรื่อยๆจนภายในหัวสมองขาวโพลน ละทิ้งสติสัมปชัญญะทั้งหมดที่มีเพื่อเพียงตอบรับความเสียวซ่านซึ่งฉุดรั้งกายให้ดำดิ่งสู่ห้วงแห่งดำฤษณาของกันและกันเท่านั้น
“อะ อ๊ะ
ยู
! อ๊า !”
“เรียกชื่อฉันอีกสิจุนซู”
“อึ่ก
อ๊ะ
!”
“ชื่อของฉัน
เรียกสิจุนซู
เรียกชื่อของฉัน
”
“ย
อ๊ะ ยู
! ยูชอน อะ อ๊า
ยูชอน !”
เสียงแหบหวานของร่างน้อยที่ติดอยู่ในห้วงแห่งอารมณ์เอ่ยเรียกนามของชายหนุ่มตรงหน้าอย่างว่าง่าย ความเสียวกระสันแล่นขึ้นเป็นริ้วๆปราดไปตามไขสันหลังจนแผ่นหลังบางต้องแอ่นโค้งขึ้นจากผืนเตียง บดเบียดสะโพกกลมกลึงของตนเองตอบรับจังหวะเร่งเร้านั้นอย่างเผลอใจ โดยมีเสียงทุ้มพร่าครางต่ำราวกับเป็นการตอบรับ
ทอดนัยน์ตาคู่คมสีรัตติกาลมองคนใต้ร่างด้วยแววตาซึ่งสะท้อนความรู้สึกมากมายออกมาจนยากจะคาดเดา
ทั้งๆที่รัก รักมาก
มากเสียจนอยากครอบครอง อยากเป็นเจ้าของจนแทบบ้า
หากแต่สิ่งที่ได้มาก็มีเพียงแค่ร่างกายเท่านั้น
ทั้งๆที่เขาไม่เคยได้ยินเสียงนายแบบนี้
ไม่เคยได้เห็นสีหน้าของนายแบบนี้
ไม่เคยได้ใกล้ชิดนายแบบนี้
ไม่เคยได้สัมผัสนายแบบนี้
แล้วทำไม เขาถึงเป็นคนที่ได้หัวใจของนายไปล่ะ จุนซู
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
To Be Continued ...
ความคิดเห็น