ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [TVXQ Fiction] :: Outreach :: [YooSu]

    ลำดับตอนที่ #4 : :: Outreach :: Chapter.3

    • อัปเดตล่าสุด 29 มี.ค. 55


    TALK ::

    สวัสดีค่าทุกท่าน ^ ^ มาอัพแล้วเจ้าค่ะ (... เลทไปสองวัน OTL 555555)
    ช่วงนี้รู้สึกเหมือนหัวไม่ค่อยแล่นยังไงก็ไม่รู้ค่ะ แล้วก็ไม่ค่อยได้มีเวลานั่งแต่งจริงๆจังๆ
    หรือเพราะเป็นดราม่าที่ปาร์คเจ็บเลยแต่งไม่ถนัดยังไงก็ไม่รู้ (ฮา)

    ถ้าหากมีตรงไหนที่ผิดพลาดไปก็ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ (_ _ )
    ถึงจะกลัวว่าจะน่าเบื่อจนไม่มีคนติดตาม เอิ๊ก >"<
    แต่ตราบใดที่ยังมีคนอ่านอยู่ มายด์ก็พอใจแล้วล่ะค่ะ ^ ^

    ขอบคุณทุกๆคอมเมนท์ที่เป็นกำลังใจให้มาโดยตลอดนะเจ้าคะ
    ขอบคุณนักอ่านทุกท่านด้วยค่า : )

    PS. ตอนนี้มายด์เปิดรับคอมเมนท์ฟิคชัน Rendezvous แล้วนะเจ้าคะ >"<
    ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาตอนพิเศษ ปก หรืออะไรก็ตาม สามารถติชมได้ที่ 
    http://pink-luna.exteen.com/20120318/comment-rendezvous
     นะค้า ~










    Chapter.3






     

     

    อ้าว ยูชอน ทำไมมานั่งอยู่คนเดียวแบบนี้วะ

     

    นักศึกษานิติศาสตร์หนุ่มชอง ยุนโฮที่เดินมากับคนรักร่างบางเอ่ยทักผู้เป็นเพื่อนสนิททันทีหลังจากที่เห็นว่าปาร์ค ยูชอนซึ่งมักจะอยู่ข้างกายคนน่ารักประจำคณะบริหารอยู่เสมอๆนั้น ในตอนนี้กลับมานั่งเงียบๆอยู่บริเวณเก้าอี้ม้าหินตัวประจำเพียงคนเดียวจนดูแปลกตา

     

    ยูชอนชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเบือนใบหน้าคมคายกลับมาหา ด้วยสีหน้าเรียบเฉยซึ่งเดาไม่ถูกว่าเจ้าตัวกำลังคิดอะไรอยู่ “… ว่าไง ?

     

    ฉันถามว่าทำไมนายมานั่งอยู่คนเดียว ปกติจะตัวติดอยู่กับจุนซูตลอดเลยไม่ใช่รึยังไงกัน แล้วไม่ตามไปนั่งเฝ้าจุนซูซ้อมงานแสดงหรือยังไง ?

     

    “… จุนซูไม่ให้ตามไป

     

    ฮะ ? คราวนี้เป็นแจจุงเองที่เอ่ยพลางเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยจุนซูเนี่ยนะไม่ให้นายไปด้วย ? อย่ามาล้อเล่นน่า !”

     

    “….”

     

    ชายหนุ่มร่างโปร่งไม่ได้เอ่ยปากอะไรตอบกลับ แม้ว่าภายในใจของเขานั้นจะรู้ดีว่าทำไมคนตัวเล็กถึงได้เป็นฝ่ายห้ามไม่ให้เขาไปที่นั่น เหตุผลทั้งหมดก็คงจะไม่พ้นการที่ไม่อยากให้เขาเข้าใกล้กับชเว มินกีไปมากกว่านี้อย่างแน่นอน เพราะตลอดเกือบๆสองอาทิตย์ที่ผ่านมา เขาตามจุนซูไปที่ห้องซ้อมดนตรีตลอด จนกลายเป็นว่าได้พูดคุยกับมินกีที่สนใจในเปียโนเหมือนกันบ่อยมากขึ้นไปโดยปริยาย

     

    พรุ่งนี้จุนซูก็จะแสดงแล้วไม่ใช่เหรอ ไม่รอดูซ้อมใหญ่รึไง ?

     

    จุนซูบอกว่าให้รอดูพรุ่งนี้ก็พอ

     

    แล้วนายก็เออๆออๆไปตามนั้น แล้วมานั่งหงอยคนเดียวเนี่ยนะ ?

     

    เขาไม่ได้ต้องการฉัน เพราะจุนซูก็คงมีชิม ชางมินคอยอยู่ใกล้ๆอยู่แล้ว

     

    ยูชอน …” แจจุงเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าคล้ายกับว่าลำบากใจและเป็นห่วงอยู่ในที นายจะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปอีกนานแค่ไหน นายกับจุนซูน่ะ มันคลุมเครือเกินไปแล้วนะ

     

    “….”

     

    ตอนนี้พวกนายสองคนเป็นอะไรกัน ฉันยังเดาไม่ออกเลยด้วยซ้ำไป !”

     

    มันก็ไม่ได้คลุมเครือนี่

     

    “….”

     

    “… เพราะจุนซูเป็นจุนซูของฉัน

     

    “….”

     

    ฉันไปงีบที่ห้องสมุดก่อนนะ

     

    เฮ้ย ! เดี๋ยวสิยูชอน ! ยูชอน …!”

     

    เป็นอีกครั้งที่เจ้าของผิวขาวจัดไม่สนใจคำเอ่ยรั้งของผู้เป็นเพื่อน เขาเลือกที่จะเดินจากออกมาหลังจากเอ่ยประโยคสั้นๆออกไปแล้ว เพราะไม่อยากทนรับความจริงที่ว่าความคลุมเครือนั้นมันเริ่มชัดเจนมากขึ้นทุกวันๆจนเขาเองยังรู้สึกได้

     

     

    เพราะจุนซูเป็นของเขา

     

    เป็นของเขาทุกอย่างยกเว้นเพียงแค่หัวใจ

     

     

    ริมฝีปากหยักหนากระตุกยิ้มน้อยๆราวกับต้องการจะเยาะเย้ยตนเอง ก่อนจะเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ภายในหัวใจมันเจ็บแปลบสลับกับการกระตุกวูบโหวงเพียงแค่คิดว่าในตอนนี้ร่างเล็กคงจะอยู่กับใครอีกคนหนึ่ง คนที่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีวันเอาชนะได้เลยแม้แต่นิดเดียว

     

    ขายาวพาร่างของตนเองมาหยุดอยู่ตรงหน้าห้องสมุดใหญ่ภายในมหาวิทยาลัย ยืนนิ่งชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง จนในที่สุดก็ตัดสินใจเดินเข้าไป เพื่อหวังว่าจะได้ความสงบที่สามารถทำให้หัวใจของตนเองได้พักผ่อนอย่างต้องการ

     

    ยูชอนเลือกที่นั่งบริเวณหน้าตู้หนังสือประวัติศาสตร์ขนาดใหญ่ซึ่งรวบรวมหนังสือเล่มหนาชนิดที่ว่าสามารถใช้เป็นอาวุธฆ่าคนได้มาเป็นที่งีบหลับของตนเอง เพราะน้อยคนนักที่จะมานั่งอ่านหนังสือแถบนี้ กับบางคนเพียงแค่เดินผ่านยังรู้สึกขยาดเลยเสียด้วยซ้ำไป

     

    ริมฝีปากอิ่มพรูลมหายใจออกมาแผ่วเบา โน้มใบหน้าคมของตนเองให้ค่อยๆฟุบลงไปกับท่อนแขนแกร่ง ปิดตาลงอย่างช้าๆเพื่อให้รู้สึกผ่อนคลาย พยายามสลัดความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมดที่ตนเองมีให้หายพ้นไปจากหัวสมองแม้เพียงแค่ไม่กี่นาทีก็ยังดี

     

    หวา ~ สูงจังเลย

     

    เสียงทุ้มติดหวานที่ดังขึ้นมาภายในความเงียบงันทำให้ยูชอนที่กำลังจะหลับไปต้องปรือตาตื่นขึ้นมาด้วยความงุนงงปนเปไปกับอาการหงุดหงิดเล็กน้อย ใบหน้าคมหันมองซ้ายขวาไปมาเพื่อที่จะหาต้นเสียงนั้น ก่อนจะพบว่าร่างผอมๆของใครบางคนกำลังเขย่งสุดปลายเท้าเพื่อจะเอื้อมหยิบหนังสือประวัติศาสตร์เล่มหนาจากชั้นบนสุดมาไว้ในมือ

     

    ท่าทางดูช่างลำบากยากเย็นนั้นทำให้ยูชอนนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะเตรียมลุกขึ้นยืนเพื่อตรงเข้าไปช่วยเหลือ หากแต่เสียงแหบเล็กและคำพูดของผู้เป็นเพื่อนสนิทก็กลับดังขึ้นมาภายในโสตประสาทของตนเองเสียก่อน

     

     

    เหตุผลของฉันก็คือไม่อยากให้ยูชอนเข้าใกล้มินกีไง !”

     

    อย่าเข้าใกล้มินกีอีกนะ นิดเดียวก็ไม่ให้ !”

     

     

    ประโยคห้ามของร่างเล็กทำให้กายแกร่งชะงักไปครู่หนึ่งอย่างลังเล หากแต่เพียงไม่นานนัก ยูชอนก็ตัดสินใจไม่ใส่ใจต่อคำพูดเอาแต่ใจเหล่านั้น เพราะเขาคิดแค่ว่าเป็นการช่วยเหลือเพื่อนคนหนึ่งตามธรรมดาที่คนทั่วไปก็คงทำกัน

     

    มินกี

     

    แม้เสียงเรียกที่คนร่างโปร่งเอ่ยออกไปจะไม่ได้ดังสักเท่าใดนัก หากแต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ร่างนั้นสะดุ้งสุดตัวแล้วหันกลับมาหน้าเสีย

     

    อ๊ะ ยูชอน ! ขอโทษนะ เราเสียงดังรึเปล่า ?

     

    ไม่เป็นไร ฉันแค่กำลังจะนอน

     

    ขอโทษจริงๆนะ เจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มเอ่ยเสียงเบาพลางโค้งศีรษะแล้วโค้งศีรษะอีก เดี๋ยวเราไปเอาบันไดมาปีนดีกว่า ขอโทษที่ทำให้ตื่นนะยูชอน --- อะ !”

     

    เสียงหวานอุทานออกมาเบาๆ เมื่อจู่ๆคนตัวสูงกว่าก็ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้นั่ง เดินตรงเข้ามาใกล้และหยิบหนังสือเล่มหนาให้ด้วยการทำเพียงแค่เอื้อมมือเล็กน้อยเท่านั้น

     

    จะเอาเล่มนี้ใช่มั้ย ?

     

    ใช่ๆ ขอบคุณนะยูชอน นายนี่สุดยอดเลย แค่เอื้อมก็หยิบถึงแล้ว ทั้งๆที่เราลองกระโดดเอื้อมหยิบดูยังหยิบไม่ได้เลยนะ

     

    “… นายตัวเล็กเกินไปต่างหาก

     

    ยูชอน !”

     

    เสียงหวานนั้นขึ้นสูงเล็กน้อยด้วยสีหน้าเบ้ๆเชิงว่าไม่พึงพอใจจนร่างโปร่งต้องหลุดหัวเราะออกมาเบาๆกับสีหน้าท่าทางเหล่านั้น อาการที่เหมือนกับคิม จุนซูยามถูกล้อว่าตัวเล็กไม่มีผิด แม้ว่าคนตรงหน้าจะดูน่ารักไม่เท่ากับร่างเล็กๆนั้นก็ตาม

     

    ฮะๆ ขอโทษทีที่พูดความจริง ทำไมนายมาอ่านหนังสือที่นี่ล่ะ ? ไม่ซ้อมดนตรีหรือไง

     

    วันนี้มีเฉพาะคนที่ขึ้นงานแสดงเขาซ้อมกันน่ะ เราก็เลยกะว่ามานั่งอ่านหนังสือสักหน่อย

     

    นัยน์ตาคมของยูชอนปรายสายตามองหนังสือเล่มหนาปึกในอ้อมแขนของคนตรงหน้าพลางเลิกคิ้วขึ้นขณะเอ่ยถาม

     

    นายชอบอ่านหนังสือประเภทนี้เหรอ แปลกดีนะ

     

    เราชอบอ่านประวัติศาสตร์ของพวกศิลปะ หรือดนตรีสากลอะไรทำนองนั้นน่ะ อีกอย่างที่ตรงนี้ก็เงียบดี เพราะปกติไม่ค่อยจะมีคนเท่าไหร่ …”

     

    จะบอกว่าเพราะฉันมันเลยไม่ปกติงั้นสิ ?

     

    ไม่ใช่นะ ! เราหมายถึงแบบว่า --- เออ คือ ขอโทษที่รบกวนเวลานอนนะ

     

    พิลึกคนจริงๆ

     

    ยูชอน !”

     

    จากการที่หยอกล้อกันไปมาเบาๆ จนท้ายที่สุดแล้วกลายเป็นว่าหนังสือประวัติศาสตร์เล่มหนานั้นก็ถูกวางเอาไว้บนโต๊ะเฉยๆ แทนที่ด้วยบทสนทนาของคนสองคนที่เลือกมานั่งเก้าอี้ตรงข้ามกันตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ พูดคุยเรื่องสัพเพเหระต่างๆที่ดูราวกับว่าทั้งคู่จะสามารถคุยกันได้อย่างถูกคอจนเกือบลืมเวลา

     

     

    แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ภายในหัวใจของยูชอน ก็ยังคงมีแต่คำว่าจุนซู

     


     

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

     


     

    เอาล่ะทุกคน วันนี้พอแค่นี้ พักผ่อนให้มากๆแล้วพรุ่งนี้ทำให้เต็มที่เหมือนตอนซ้อมนะ

     

    เสียงของประธานชมรมดนตรีชิม ชางมินเอ่ยกับผู้ร่วมงานแสดงทุกคนด้วยท่าทางเป็นมิตรหลังจากกล่าวให้หยุดการซ้อมไว้แต่เพียงเท่านี้ เสียงของคนภายในชมรมเอ่ยขอบคุณเป็นเสียงเดียวกันก่อนที่ร่างสูงสีน้ำผึ้งจะเดินตรงเข้าไปหาคนตัวเล็กซึ่งกำลังคว้าขวดน้ำขึ้นมาเปิดดื่ม

     

    ทำได้ดีมากเลยนะจุนซู

     

    คนที่กำลังดื่มน้ำชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะหันหน้ามาด้วยใบหน้าขึ้นสีระเรื่อ รอยยิ้มของรุ่นพี่สีน้ำผึ้งตรงหน้าดูเอ็นดูและอ่อนโยนเสียจนจุนซูแทบจะทำอะไรไม่ถูก

     

    ไม่หรอกฮะ เพราะว่าทุกคนช่วยกันมากกว่า ถ้าลำพังแค่ผมคนเดียว มีหวังงานต้องล่มแน่ๆเลยฮะ แหะๆ

     

    ที่พี่ตัดสินใจเลือกให้จุนซูแสดง ก็เพราะว่าเชื่อในฝีมือของจุนซูนะ มือหนายกขึ้นมาลูบศีรษะกลมของคนอายุน้อยกว่าแผ่วเบา พี่ชอบเสียงของจุนซูมากนะ ทุกคนเองก็คงจะคิดเหมือนกัน เพราะฉะนั้น พรุ่งนี้ก็สู้ๆเขานะ

     

    ทั้งรอยยิ้มและน้ำเสียงของคนตรงหน้าทำให้หัวใจดวงน้อยอุ่นวาบด้วยความรู้สึกดีๆเต็มอก คนตัวเล็กช้อนสายตาขึ้นมองเจ้าของใบหน้าคมเข้มที่ยังคงดูแสนอ่อนโยนตรงหน้า ก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างตอบรับคำพูดเหล่านั้นด้วยความดีใจจนพวงแก้มขึ้นสีชัดเจนกว่าเดิม

     

    ฮะ

     

     

    เขาสบายใจทุกครั้งที่ได้คุยกับรุ่นพี่ชางมิน

     

     

    มันเป็นความรู้สึกชื่นชมและปลาบปลื้มอยู่ในใจ เพียงแค่ได้เห็นหน้า ได้ยินเสียง ได้ใกล้ชิดก็รู้สึกว่าหัวใจมันพองโตเสียจนกระทุ้งกระแทกคับแน่นอยู่ภายในอก ลำพังแค่ได้อยู่เคียงข้าง หรือกระทั่งมองห่างๆจุนซูก็มีความสุขมากพอแล้ว เขาไม่ได้ต้องการที่จะครอบครองหรือเป็นคนรักของชิม ชางมิน หากแต่ก็ไม่ปรารถนาให้ชายหนุ่มสีน้ำผึ้งมีใครอื่นเช่นเดียวกัน

     

     

    แค่ให้เขาได้รักรุ่นพี่ชางมินอย่างนี้ต่อไป แค่นั้นมันก็เพียงพอสำหรับเขาแล้ว

     

    หัวใจของเขาเป็นของรุ่นพี่ชางมินคนเดียว

     


     

    ……………………

     


     

    ขอบคุณนะฮะที่อุตส่าห์มาส่ง

     

    หลังจากรถออดีสีเงินเข้าเทียบจอดนิ่งสนิท ร่างเล็กซึ่งลงมาจากรถแล้วก็เอ่ยขอบคุณร่างสูงสีน้ำผึ้งซึ่งอาสาทำหน้าที่เป็นสารถีจำเป็นมาส่งถึงหน้าคอนโดที่เขาพักอยู่กับปาร์ค ยูชอนด้วยใบหน้าสดใสแต้มสีระเรื่อ ผ่านทางกระจกรถของชายหนุ่มที่ลดลงให้สามารถมองเห็นหน้ากันได้ถนัดถนี่ ภายในรถที่มีเพียงเขากับรุ่นพี่สองคนคุยเรื่องสัพเพเหระมาตลอดเส้นทางนั้นทำให้จุนซูมีความสุขมากจนแทบจะลอยได้

     

    จะใช้คำว่าอุตส่าห์ได้ยังไง พี่เต็มใจมาส่งเรานะ อีกอย่าง พี่ชอบคุยกับจุนซูนะ เพลินดี

     

    ถ้าหากว่าพวงแก้มใสสามารถจะระเบิดได้ล่ะก็ ป่านนี้คิม จุนซูคงจะระเบิดตัวเองไปนานแล้ว

     

    ขอบคุณอีกครั้งนะฮะ

     

    พักผ่อนเยอะๆก็แล้วกันนะ พรุ่งนี้ทำให้เต็มที่นะครับ ไว้เจอกัน

     

    ฮะ

     

    ร่างสีน้ำผึ้งนั้นยกมือขึ้นเป็นเชิงบอกลาด้วยรอยยิ้มใจดี ก่อนที่รถคันหรูจะเคลื่อนตัวออกไป ปล่อยให้คนตัวเล็กที่หัวใจเต้นแรงยืนอยู่อย่างนั้น แทบจะม้วนตัวเดินขึ้นคอนโดเพราะเขินจนทนไม่ไหว ก้อนเนื้อในอกซ้ายพองโตจนต้องฮัมเพลงออกมาอย่างอารมณ์ดี

     

    ริมฝีปากเล็กเปล่งเสียงเพลงแผ่วๆออกมากระทั่งหยุดยืนอยู่บริเวณหน้าห้องพัก มือข้างน้อยควานหาคีย์การ์ดภายในกระเป๋าสะพายข้างของตนเองก่อนจะใช้มันเปิดประตูเข้าไป

     

    กลับมาแล้วเหรอ

     

    เสียงเอ่ยทักทำให้จุนซูต้องหันไปมองเพื่อนร่วมห้องซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่เงียบๆบนโซฟาสีอ่อน คนตัวเล็กยกยิ้มน้อยๆก่อนจะเดินตรงไปหาและหย่อนกายลงนั่งเคียงข้างอีกฝ่าย เอียงศีรษะกลมของตนพิงกับไหล่กว้างแผ่วเบา จนยูชอนต้องยกยิ้มเล็กน้อย

     

    เหนื่อยมั้ยวันนี้ ?

     

    อื้มมม ก็ซ้อมตลอดตั้งแต่เลิกเรียนเลย แต่สนุกมากเลยนะ ทุกอย่างก็ออกมาดีมากเลยล่ะ

     

    “… งั้นเหรอ

     

    อื้อ ! เมื่อกี้พี่ชางมินก็มาส่งฉันด้วยล่ะ ~ เหมือนฝันเลยยูชอน ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองจะลอยได้เลย

     

    “… อืม

     

     

    เลิกพูดถึงเขาด้วยสีหน้าแบบนั้นให้ฉันฟังซะทีได้ไหม

     

     

    แล้วอีกอย่างตอนซ้อมร้องเพลง พี่ชางมินก็คอยอยู่เป็นเพื่อนเกือบจะตลอดเลย วันนี้ฉันมีความสุขจังเลยยูชอน

     

     

    เลิกพูดด้วยน้ำเสียงมีความสุขแบบนั้นซะที

     

     

    พี่ชางมินบอกว่าเขาไว้ใจฉันเลยให้ฉันขึ้นแสดง …”

     

     

    พอที ฉันไม่อยากฟัง

     

     

    แล้วตอนที่เขาบอกว่าเขาชอบเสียงของฉันน่ะนะ หัวใจของฉันมันเต้นแรงจนกลัวว่าจะหลุดออกมานอกอกเลยล่ะ

     

     

    พอซะทีได้ไหม

     

     

    “… งั้นเหรอ

     

    แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจจะพูดความจริงภายในหัวใจได้

    จึงทำได้เพียงแค่เอ่ยตอบรับออกไปด้วยเสียงแผ่วพร่าเท่านั้น

     

    แล้ววันนี้ยูชอนเลิกเรียนก็กลับมาที่ห้องเลยเหรอ ? มือข้างน้อยของคนที่กำลังอิงซบศีรษะกับไหล่กว้างยื่นออกไปกุมสัมผัสมือหนา เล่นนิ้วคนตัวสูงกว่าไปมาขณะเอ่ยถาม

     

    เปล่า ไปงีบที่ห้องสมุดมาน่ะ

     

    อ๋อ …”

     

    แล้วก็บังเอิญเจอมินกีพอดี มือเล็กที่กำลังเกี่ยวนิ้วอีกฝ่ายเล่นไปมาชะงักไปเล็กน้อย หากแต่เป็นเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น ก็เลยนั่งคุยกันนานเลย เพิ่งจะกลับถึงห้องได้สักพักเองล่ะ

     

    อืม …” เสียงแหบหวานครางในลำคอรับคำบอกเล่าของคนตัวสูงกว่า และไม่ได้พูดอะไรอีกหลังจากนั้น ทำให้เกิดความเงียบงันที่ไม่อาจบอกได้ว่าแท้จริงแล้วเป็นบรรยากาศอันสงบสบายหรืออึดอัดกันแน่

     

    แต่กระนั้นปาร์ค ยูชอนก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมา จนจุนซูต้องเป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบเสียแทน

     

    “… ยูชอน

     

    หือ ---”

     

    ร่างสูงโปร่งจำต้องนิ่งชะงักไป เมื่อจู่ๆคนที่เพิ่งจะเอ่ยนามของตนออกมานั้นก็ปล่อยมือของเขาออก พร้อมกับศีรษะกลมซึ่งเคยแนบอิงลาดไหล่ที่ผละออกมา ก่อนจะลุกขึ้นและทิ้งตัวนั่งลงบนตักแกร่งโดยหันหน้าเข้าหาผู้เป็นเพื่อนสนิทจนกลายเป็นอยู่ในท่าทางที่อาจเรียกได้ว่าล่อแหลม หากแต่ยูชอนเองก็ไม่นึกแปลกใจอะไรกับท่าทีคล้ายจงใจยวนเย้าเหล่านั้น

     

    พรุ่งนี้นายจะไปดูฉันแสดงใช่รึเปล่า?

     

    ฉันเคยไม่ไปดูด้วยหรือไง

     

    ยูชอน

     

    “… รู้แล้วน่า มือหนาค่อยๆโอบรอบเอวเล็กของคนตรงหน้าเอาไว้หลวมๆ ยังไงฉันก็ต้องไปดูอยู่แล้ว

     

    ห้ามลืมนะ

     

    อืม

     

    ยูชอน

     

    “….”

     

    รักฉันคนเดียวใช่มั้ย ?

     

    แขนเพรียวเล็กโอบรอบลำคอแกร่งของคนตรงหน้า น้ำเสียงที่เอ่ยถามฟังดูคล้ายเด็กเอาแต่ใจ ไม่ต่างไปจากดวงหน้าน่ารักที่ดูคาดคั้นแสนเอาจริงเอาจังจนให้ความรู้สึกน่าเอ็นดูนั้น คำถามที่เจ้าตัวเองก็น่าจะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว หากแต่ก็คงต้องการเพียงให้เขาเป็นฝ่ายเอ่ยปากเพื่อย้ำให้ฟังอีกครั้งเท่านั้น

     

    “….”

     

    ยูชอน

     

    “… รักสิ ถึงแม้ว่าจุนซูจะไม่ได้รักเขาเลยก็ตาม ฉันรักนายคนเดียว

     

    ยูชอนน่ารักจัง

     

    น้ำเสียงที่แสดงว่าพึงพอใจนั้นดังขึ้นมาพร้อมๆกับการประทับจุมพิตแผ่วเบายังแก้มสากของชายหนุ่ม ปลายนิ้วเล็กไล้ผ่านลำคอแกร่งเรื่อยจนมาถึงแผงอกกว้าง ค่อยๆปลดเม็ดกระดุมด้านบนออกอย่างช้าๆด้วยรอยยิ้มยั่วเย้าเจือแววอ่อนเดียงสา

     

    และก็เป็นอีกครั้งที่ยูชอนพ่ายแพ้ ละเลยความรู้สึกผิดชอบชั่วดีรวมทั้งบาดแผลจากการถลำลึกเหล่านั้น

     

    ริมฝีปากอิ่มกดจูบหนักหน่วงยังกลีบปากบางอย่างกระหาย แทะเล็มและไล้เลียตามมุมริมฝีปากเล็กอย่างชำนาญ สัมผัสแนวฟันซี่เล็กเป็นระเบียบด้วยปลายลิ้นหยุ่นที่ส่งเข้าไปฉกชิมความหอมหวาน กระหวัดเกี่ยวและดูดดุนอย่างร้อนเร่าจนสามารถเรียกเสียงครางเครือหวานหูจากภายในลำคอของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี

     

    เจ้าของดวงหน้าน่ารักปรับเอียงองศาใบหน้าไปตามท่วงทำนองของการป้อนมอบจุมพิตอย่างไม่เกี่ยงงอน นัยน์ตาเรียวรีคู่งามหลับพริ้มรับรสสัมผัสรัญจวนพร้อมๆกับมือข้างเล็กที่กลับขึ้นไปโอบรอบลำคอของคนตัวสูงกว่าเอาไว้อีกครั้งหนึ่ง เปล่งเสียงครางอือเบาๆกับการเสียดสีบริเวณสะโพกอวบของตนเองกับความอุ่นร้อนภายใต้เนื้อผ้าของเจ้าของตักแกร่งซึ่งทวีความวาบหวามมากขึ้นไปทุกที

     

    อืมมม ยูชอน อ๊ะ พรุ่งนี้ฉันมีแสดงนะ …”

     

    “… นายเป็นคนเริ่มก่อนเองนะ เสียงทุ้มพร่าเอ่ยแนบชิดริมฝีปากเล็ก อยากให้ฉันหยุดหรือไง ?

     

    ใครว่าล่ะ …”

     

    สะโพกมนบดเบียดเข้าหาร่างสูงโปร่งตรงหน้าอย่างจงใจยั่วยวน เช่นเดียวกับน้ำเสียงแหบหวานยวนเย้าซึ่งกระซิบแผ่วเฉียดริมฝีปากอิ่มที่ตามคลอเคลียอยู่ไม่ห่าง

     

    “… ฉันหมายถึงว่าเราทำได้แค่ครั้งเดียวต่างหาก

     

     

    ริมฝีปากทั้งสองคู่มอบรสสัมผัสมัวเมา

     

     

    ฝ่ามือหนาปลดเปลื้องอาภรณ์ของคนตัวเล็กอย่างรวดเร็ว ไล้ลูบไปทั่วเรือนร่างขาวเนียนเพื่อปลุกปั่นอารมณ์รัญจวนให้ไต่ทะยานขึ้นสูง เช่นเดียวกับเจ้าของดวงหน้าอ่อนหวานที่พยายามรั้งเสื้อเชิ้ตสีสะอาดให้พ้นจากกายของชายหนุ่มเช่นเดียวกัน

     

    มือหนาไล้สัมผัสตามสะโพกนิ่มของอีกฝ่ายอย่างเนิบช้าหากแต่เคลือบแฝงไปด้วยความปรารถนาอันรุ่มร้อน ก่อนจะค่อยๆช้อนกายเล็กของอีกฝ่ายขึ้นอุ้มในอ้อมแขน พาเดินตรงไปยังห้องนอนของตนเองทั้งๆที่ยังไม่ผละริมฝีปากออกจากกัน

     

    อืมมม ยูชอน …”

     

    แผ่นหลังบางแนบกับพื้นเตียงนุ่ม ดวงหน้าหวานเริ่ดขึ้นเล็กน้อยยามที่จมูกโด่งเป็นสันคมตามมาคลอเคลียซุกไซ้บริเวณลำคอขาวผ่อง เรือนกายเนียนละเอียดซึ่งบัดนี้ไร้อาภรณ์ชิ้นใดปิดบังงดงามราวกับประติมากรรมล้ำค่า เสียงครางเครือหวานแว่วคล้ายท่วงทำนองเอ่ยเรียกนามของชายหนุ่มเบื้องบนเป็นระยะๆ เกาะกอดแผ่นหลังกว้างเอาไว้แนบแน่นยามที่ร่างทั้งสองแนบชิดกันสนิทไร้ช่องว่าง

     

    อา จุนซู …”

     

    อ่ะ …! ยูชอน ช้าหน่อย อ๊ะ …! อ๊า !”

     

    กายแกร่งแทรกผ่านร่างนวลเข้าไปจนสุดในคราเดียวจนคนตัวเล็กต้องผวากอดอีกฝ่ายเอาไว้แนบแน่น นัยน์ตาเรียวหวานปรือปรอยคลอน้ำช้อนขึ้นมองคนด้านบนอย่างติดจะแง่งอนอยู่เล็กน้อยจนดูน่ารักน่าชัง หากแต่ไม่นานก็ต้องหลับตาลงเมื่อร่างโปร่งขยับกายโดยไม่ทันให้ตั้งตัว

     

    เสียงครวญครางต่างคีย์อันเกิดจากความสุขสมดังขึ้นสะท้อนก้องภายในห้องสีสลัว ตามจังหวะการประสานกายซึ่งเพิ่มทวีความถี่กระชั้นและความหนักหน่วงมากขึ้นเรื่อยๆจนภายในหัวสมองขาวโพลน ละทิ้งสติสัมปชัญญะทั้งหมดที่มีเพื่อเพียงตอบรับความเสียวซ่านซึ่งฉุดรั้งกายให้ดำดิ่งสู่ห้วงแห่งดำฤษณาของกันและกันเท่านั้น

     

    อะ อ๊ะ ยู …! อ๊า !”

     

    เรียกชื่อฉันอีกสิจุนซู

     

    อึ่ก อ๊ะ …!”

     

    ชื่อของฉัน เรียกสิจุนซู เรียกชื่อของฉัน …”

     

    อ๊ะ ยู …! ยูชอน อะ อ๊า ยูชอน !”

     

    เสียงแหบหวานของร่างน้อยที่ติดอยู่ในห้วงแห่งอารมณ์เอ่ยเรียกนามของชายหนุ่มตรงหน้าอย่างว่าง่าย ความเสียวกระสันแล่นขึ้นเป็นริ้วๆปราดไปตามไขสันหลังจนแผ่นหลังบางต้องแอ่นโค้งขึ้นจากผืนเตียง บดเบียดสะโพกกลมกลึงของตนเองตอบรับจังหวะเร่งเร้านั้นอย่างเผลอใจ โดยมีเสียงทุ้มพร่าครางต่ำราวกับเป็นการตอบรับ ทอดนัยน์ตาคู่คมสีรัตติกาลมองคนใต้ร่างด้วยแววตาซึ่งสะท้อนความรู้สึกมากมายออกมาจนยากจะคาดเดา

     

     

    ทั้งๆที่รัก รักมาก มากเสียจนอยากครอบครอง อยากเป็นเจ้าของจนแทบบ้า

    หากแต่สิ่งที่ได้มาก็มีเพียงแค่ร่างกายเท่านั้น

     

    ทั้งๆที่เขาไม่เคยได้ยินเสียงนายแบบนี้

    ไม่เคยได้เห็นสีหน้าของนายแบบนี้

    ไม่เคยได้ใกล้ชิดนายแบบนี้

    ไม่เคยได้สัมผัสนายแบบนี้





     

    แล้วทำไม เขาถึงเป็นคนที่ได้หัวใจของนายไปล่ะ จุนซู

     




     

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++






    To Be Continued ...





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×