คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ร่องรอยของอดีต
Akai x Shiho #Impossible Love รักที่เป็นไป (ไม่) ได้
Parinuttha
ตอนที่ 9 ร่องรอยของอดีต
เสียงนาฬิกายามสายปลุกชายหนุ่มให้ตื่นจากห้วงนิทรา เขาเดินออกจากห้องนอนรับรองแขกตรงไปยังห้องน้ำรวมชั้นหนึ่ง ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองตัวเองในกระจก มองใบหน้าที่แท้จริงปราศจากหน้ากากใดๆ นัยน์ตาสีเขียวมะกอกเลื่อนลงมองก๊อกน้ำ เอื้อมมือเปิดมัน แล้ววักของเหลวที่ไหลออกมาชำระผิวหน้า
เขาควรจะรู้สึกโล่งใจที่ไม่ต้องวุ่นวายกับการตื่นมาลงเมคอัพอย่างทุกวัน แต่บางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่าหน้ากากจอมปลอมนั้น สามารถทำให้เขาทำอะไรต่อมิอะไรได้มากกว่าใบหน้าแท้จริงเสียอีก
อากาอิปิดม่านเงียบในวันที่เขาไม่ต้องการรับแขก และไม่มีภารกิจต้องออกไปทำในฐานะ ‘โอกิยะ สึบารุ’ เช่นเดียวกับวันนี้ หลังเสร็จสิ้นแผนการขับไล่เงาทมิฬ
ชายหนุ่มเข้าไปในห้องครัว เปิดเครื่องทำกาแฟ ตวงของเหลวสีดำใส่กาน้ำชา หยิบขนมปังปิ้งหอมกรุ่นใส่จานติดมือมาสองแผ่น ก่อนจะเคลื่อนของไปยังห้องหนังสือ มุมประจำที่เขามักใช้เวลากับการจิบวิสกี้เย็นๆ หรือกาแฟร้อนรสขม ขณะเสียบหูฟัง ฟังเสียงจากบ้านหลังข้างๆ ไปพลาง จนกลายเป็นกิจวัตรประจำวัน
“ดร. ซอสหกหมดแล้วค่ะ หนูบอกแล้วไง ว่าอย่าเปิดฝาทิ้งไว้น่ะ”
“โทษทีนะ โทษที”
เสียงแหบชราและเสียงเจื้อยแจ้วดังออกมาจากเครื่องดักฟังที่เขาแอบติดเอาไว้ ทั้งคู่ยังคงสนทนากันเรื่องทั่วๆ ไป ไม่มีอะไรผิดแปลกให้ต้องกังวล ‘ดูเหมือนว่าจะปกติดีนะ’
อากาอิหวนนึกถึงแผนการใหญ่ของเจ้าหนูยอดนักสืบ แถมยังได้รับความร่วมมือจากเจ้าบ้านอย่างคุณยูกิโกะอีก เมื่อวานที่เขาต้องตามขึ้นรถไฟไปก็เพื่อขัดขวางเบอร์เบิ้นและช่วยไฮบาระ ตามข้อมูลก่อนหน้านี้ที่ได้มาจากคีร์ว่าเบอร์เบิ้นกำลังค้นหาตัวเชอร์รี่อยู่ รวมถึงสิ่งที่เจ้าหนูนั่นคาดการณ์ไว้ ช่างเป็นเด็กที่ทำให้เขาประหลาดใจได้ทุกครั้ง แถมยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับทุกเหตุการณ์ตั้งแต่เขากลับมาญี่ปุ่นด้วย
ใช่ ตั้งแต่เขากลับมาญี่ปุ่น ยังผ่านไปไม่ถึงครึ่งปีแต่กลับเกิดเรื่องขึ้นมากมาย เริ่มจากเหตุการณ์ใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นในตอนนั้น เมื่อเจ้าของอีเมลสำคัญที่เขาไม่อาจลบทิ้ง ได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับคืน...
อากาอิยืนนิ่งขณะฟังข่าวคดีปล้นเงินพันล้านผ่านช่องเคเบิลญี่ปุ่นที่กำลังออกอากาศสดอยู่ แก็งโจรที่ร่วมกันปล้นเงินสดมูลค่ากว่าหนึ่งพันล้านเยนไปจากธนาคารเบกะ ภายหลังถูกพบเป็นศพทั้งหมด และหนึ่งในสามคนร้าย คือ หญิงสาวนิรนาม วัย 25 ปี ถูกยิงเสียชีวิตในโกดังร้างใกล้ท่าเรือแห่งหนึ่ง
ชายหนุ่มตัวชา กลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ ก่อนหยิบมือถือขึ้นมาเปิดดูอีเมลสำคัญ ทว่า...เจ้าของอีเมลกลับไม่อยู่บนโลกนี้เสียแล้ว
“อากาอิคุง?” เสียงแหบห้าวของเจมส์ดังขึ้น ชายอาวุโสมองดูแผ่นหลังของอากาอิ แล้วรู้สึกเหมือนเขากำลังถูกเงาของปีศาจดึงจิตใจให้ดิ่งลงสู่บึงแห่งความมืดยิ่งกว่าเก่า
“ผมต้องไปญี่ปุ่นครับ”
“ถ้าเธอคิดจะไปแก้แค้นล่ะก็...”
“เปล่าครับ ไม่ใช่แบบนั้น”
ชายหนุ่มบอกปัด แม้ว่าในใจของเขาตอนนี้จะมีทั้งความเสียใจ รู้สึกผิด โมโห โกรธตัวเอง และสิ่งที่เรียกว่า ‘ความแค้น’ ปะทุอยู่เต็มอก แต่มันไม่ใช่แค่เรื่องนั้น เขาไม่มีสิทธิ์เอาชีวิตไปทิ้งอย่างสูญเปล่า ชีวิตที่เธออุตส่าห์ปกป้องไว้ เป็นชีวิตที่ยังมีสิ่งที่สมควรต้องทำในตอนนี้ นั่นคือ...ไปญี่ปุ่น เพื่อรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเธอ
ทว่าหลังจากลงเครื่องที่สนามบินฮาเนดะ อากาอิก็เอาแต่ขับรถหรือเดินวนรอบเมืองกว่าหนึ่งวัน ชายหนุ่มย้อนรอยตามสถานที่เก่าๆ ที่เคยไป เช่น ย่านการค้า ร้านอาหาร และสวนสาธารณะนั่น...สถานที่สุดท้ายที่เขาได้เจอกับเธอ
ถ้าหากตอนนั้น อาเคมิยอมคาย เป็นฝ่ายขายความลับของเขาซะ เธออาจจะไม่ต้องตายก็ได้ อากาอิหลับตาลง หวนนึกถึงความทรงจำในตอนนั้น ชายหนุ่มถอนหายใจ ก่อนตัดสินใจไปที่ร้านทำผมเล็กๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากนี้
“สวัสดีค่ะ คุณลูกค้า มิยาบิ ซาลอน ยินดีต้อนรับค่ะ”
พนักงานสาวคนหนึ่งเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงสดใส เมื่อเห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ผมดำยาวสลวยเดินเข้ามาในร้าน เธอเชิญให้เขานั่งบนเก้าอี้ว่าง แล้วสอบถาม
“คุณลูกค้าต้องการจะทำอะไรดีคะ สระ ไดร์ฟ อบไอน้ำ ย้อมสีผม หรือว่า...”
“ตัดครับ”
“เอ๊ะ” คำตอบอันแสนกระชับของอากาอิทำเอาพนักงานสาวงุนงง ต้องตั้งสติแล้วถามใหม่ “ไม่ทราบว่าคุณลูกค้า ต้องการตัดถึงไหนดีคะ”
“ตัดสั้นไปเลยครับ”
พนักงานสาวทำหน้าประหลาดใจ เมื่อชายหนุ่มตอบอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด เธอไล่สายตามองดูผมดำสลวยเงางามของเขาอย่างนึกเสียดายแทน “ไว้ยาวขนาดนี้แล้ว แถมตรงสวยด้วย ไม่เสียดายแย่เหรอคะ คุณลูกค้า”
“ไม่หรอกครับ ทิ้งไปได้เลยยิ่งดี” เขาตอบอย่างตรงไปตรงมา
ใช่ หากร่องรอยในอดีต สามารถตัดทิ้งได้ง่ายๆ อย่างเส้นผมพวกนี้ล่ะก็ มนุษย์คงไม่ต้องทนทรมานกับสิ่งที่เรียกว่าความเจ็บปวดหรอก
“ขอบคุณที่ใช้บริการนะคะ”
อากาอิก้าวออกมาจากร้านทำผมด้วยลุคใหม่ ผมสั้นเผยต้นคอ ทำให้ใบหน้าของเขาดูโฉบเฉี่ยวและคมชัดมากขึ้น เขาหยิบบุหรี่ออกมามวนหนึ่งแล้วจุดไฟสูบ ให้นิโคตินช่วยผ่อนคลายอารมณ์ก่อนต้องเริ่มงาน
ชายหนุ่มดับก้นบุหรี่แล้วโยนทิ้งลงในถังขยะหน้าร้าน ตอนนี้เขาพร้อมแล้ว พร้อมที่จะเริ่มทำในสิ่งที่สมควรต้องทำ
รถเชฟโรเลต C1500 สีดำเคลื่อนไปบนถนนด้วยความเร็วคงที่ ก่อนชะลอลงแล้วเปิดไฟเลี้ยวเข้าจอดป้ายข้างทาง เพื่อรับหญิงสาวชาวต่างชาติในชุดสูทกระโปรงวาบหวิวที่ยืนรออยู่
หญิงสาวเอื้อมมือเปิดประตูรถแล้วเข้ามานั่ง แต่ก็ต้องชะงักด้วยแววตาลุกวาวเมื่อสังเกตเห็นว่าฝ่ายที่มารับมีบางอย่างเปลี่ยนไป แต่อากาอิไม่เปิดโอกาสให้เธอทันได้ซัก พยักพเยิดให้หญิงสาวรีบปิดประตู แล้วออกรถหลังจากเธอรัดเข็มขัดนิรภัย และทันทีที่ล้อหมุน การสนทนาก็เริ่มขึ้น
“ว้าว ชู คุณดูเหมือนสมัยรุกกี้เลยนะ” หญิงสาวประหลาดใจกับผมส่วนยาวเฟื้อยของเขาที่หายไป
ชายหนุ่มไม่สนใจไยดีคำพูดนั้น และปัดมันตกไปด้วยคำถามใหม่ “เป้าหมายเป็นยังบ้าง”
“แหม ใจร้ายจัง เมินกันได้ยังไง” โจดี้บ่นอุบอิบ แต่ก็ละความรู้สึกน้อยใจไว้เท่านั้น แล้วตอบคำถามเขา “เป้าหมายเหมือนกำลังสนใจ ‘ใครบางคน’ อยู่น่ะ”
“ใครบางคน...” ชายหนุ่มทวนคำ “ใคร?”
“เป็นเด็กที่น่าสนใจมากเลยล่ะ แม้แต่ฉันยังพลอยสนใจไปด้วยเลย”
“เด็กงั้นเหรอ” อากาอิมุ่นหัวคิ้วนิดๆ
“อื้ม เป็นเด็กฉลาดที่รอบรู้ แถมหลักแหลมอย่างกับผู้ใหญ่ Cool kid ไงล่ะ” โจดี้นึกถึงเด็กชายสวมแว่นที่มักพูดคำใบ้ขึ้นมาให้พวกตำรวจฉุกคิดเรื่องต่างๆ ได้
“แล้ว...?” ชายหนุ่มลากเสียงค้าง เชิงถามเพื่อให้เธอเข้าเรื่องต่อ
“เป้าหมายก็เป็นอย่างที่คุณบอก เป็นแม่มดพันหน้าไงล่ะ” หญิงสาวอมยิ้มพลางหัวเราะในลำคอ “คงกำลังสนุกที่ได้จำแลงแปลงกายอยู่แน่ๆ เลย”
“โห...เธอเองก็พูดภาษาญี่ปุ่นเก่งขึ้นด้วยนี่” ชายหนุ่มกระตุกยิ้ม เมื่อได้ยินคำศัพท์ยากๆ ออกจากปากของเธอ
“อ้าว นึกว่าจะไม่ทักกันซะแล้ว” โจดี้เลิกคิ้วพร้อมรอยยิ้มบาง “ฉันมาญี่ปุ่นก่อนคุณตั้งเดือนกว่าแล้วนี่นา แถมอาชีพครูสอนภาษาอังกฤษ ก็ทำให้ได้คลุกคลีกับนักเรียน ได้เรียนรู้ศัพท์เพิ่มขึ้น นอกจากที่คุณสอนให้ฉันไงล่ะ”
ภาษาญี่ปุ่นยากๆ ที่เขาและเพื่อนของเธอเคยสอนมีประโยชน์ก็ในสถานการณ์แบบนี้เอง
“วันมะรืนเด็กคนนั้นที่เป้าหมายสนใจจะไปเล่นสกีกันกับพวกเพื่อนๆ และ ดร. ที่รู้จัก เป้าหมายต้องปรากฏตัวแน่ๆ” โจดี้บอกข้อมูลที่สืบมา ก่อนจะหันไปถามคนขับ “ส่วนคุณจะเป็นแบ็คอัพให้ฉันใช่ไหมล่ะ”
“มันก็ต้องเป็นแบบนั้นแหละ” ชายหนุ่มยกยิ้มมุมปาก “ฝากด้วยล่ะ อ.โจดี้”
เช้าวันต่อมาอากาอิไปยืนรอที่ป้ายรถบัสในเมืองเบกะตามแผนการ ชายหนุ่มสวมหน้ากากอนามัยและเสื้อโค้ทสีเทาอ่อน ถึงการตัดผมของเขาอาจจะมีประโยชน์พอดีในสถานการณ์แบบนี้ แต่ยัยแม่มดนั่นประมาทได้ซะที่ไหน บางทีหล่อนคงรู้ตัวอยู่แล้ว เพียงแต่ที่ยังทำนิ่งเฉยเพราะกำลังสนใจ ‘ใครบางคน’ อยู่เท่านั้น
ระหว่างที่รออยู่อากาอิสังเกตเห็นชายท่าทางไม่น่าไว้ใจสองคน สวมชุดและพกอุปกรณ์เล่นสกีตั้งแต่ยังไม่ถึงลานสกี จากสัญชาตญาณและประสบการณ์ของเขา บางทีทั้งคู่คงจะวางแผนร้ายอะไรสักอย่าง แต่นั่นไม่ได้มีค่าพอให้เขาละจากเป้าหมายสำคัญไปได้หรอก
อากาอิขึ้นรถตามหลังหมออาราอิเดะกับโจดี้ เจอเด็กชายสวมแว่นที่ยัยแม่มดกำลังสนใจอยู่ด้วย หลังจากรถเคลื่อนออกไปได้ไม่นาน ลางสังหรณ์ของเขาก็ถูกต้อง เมื่อชายสองคนนั้นคือโจรจี้รถที่ต้องการเรียกร้องให้ตำรวจปล่อยตัวพวกของตัวเอง
สำหรับอากาอิแล้ว สถานการณ์ยังคงดำเนินไปอย่างไม่น่ากังวล เพราะหากจวนตัวจริงๆ เขาและโจดี้คงหาจังหวะจัดการแมลงจุ้นจ้านน่ารำคาญนี้ได้
แต่ดูเหมือนว่านอกจากเอฟบีไออย่างพวกเขาแล้ว เด็กแว่นจอมซนที่นั่งอยู่ข้างหน้าเขาจะอยากรู้อยากเห็นเอาเรื่อง จนถูกหนึ่งในพวกมันจับได้หลายครั้ง แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าพอถึงเวลาคับขัน คนอย่างยัยแม่มดนั่นจะถึงกับยอมเอาตัวเองเข้าปกป้องเด็กคนนั้นไว้
สถานการณ์กำลังดำเนินมาถึงช่วงสุดท้าย เมื่ออากาอิถูกโจรสองคนนั้นเลือกให้ถอดชุดเปลี่ยนกับคนร้ายพร้อมกับหมออาราอิเดะ แต่คงไม่ต้องห่วงเพราะดูเหมือนว่าเด็กแว่นคนนั้นกับโจดี้จะลงมือทำอะไรไปแล้ว
หลังรถวิ่งพ้นอุโมงค์ เด็กคนนั้นก็ส่งสัญญาณให้คนรถเหยียบเบรกกะทันหันจนรถหมุนคว้าง ผู้โดยสารเทกระจาดล้มระเนระนาด อากาอิได้โอกาสจะจัดการคนร้าย แต่จู่ๆ มันก็ล้มลงซะก่อน
“คุณหมออาราอิเดะครับ จับแขนผู้หญิงคนนั้นไว้เร็วเข้า นาฬิกานั่นเป็นตัวจุดระเบิดล่ะ” เด็กชายสวมแว่นตะโกนบอก แต่ไม่ทันเสียแล้ว เมื่อผู้หญิงหนึ่งในแก็งโจรร้องเสียงหลงว่านาฬิกาทำงานไปแล้ว
ได้ยินเช่นนั้น เขาและผู้โดยสารทุกคนก็รีบกรูกันวิ่งลงจากรถบัส พยายามออกห่างให้ไกลที่สุด เพราะอีกแค่ไม่กี่วินาทีระเบิดก็จะทำงาน แต่แล้วเขาก็สังเกตเห็นว่าเด็กชายสวมแว่นวิ่งกลับขึ้นไป เพื่อช่วยเด็กหญิงสวมเสื้อฮู้ดสีแดงที่นั่งข้างกันออกมาก่อนที่รถบัสจะระเบิดได้ทัน
ถ้าหากอากาอิรู้ว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นคือเธอล่ะก็ เขาอาจเผลอเผยตัวตนไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้วก็ได้
“เป้าหมายคลาดสายตา จะทำการติดตามต่อไป” ชายหนุ่มวอล์คกี้ทอล์คกี้ถึงสังกัด เพราะเหตุการณ์วุ่นวายทำให้ยัยแม่มดนั่นหลุดรอดไปได้ แต่การติดตามจะไม่หยุดอยู่แค่นี้
หลังได้รับการรายงานจากเขา ไม่นานนักเจมส์ก็ตกลงบินมาญี่ปุ่นด้วยตัวเอง อากาอินัดเจอกับเจมส์แถวๆ โชว์แสดงละครสัตว์เคลื่อนที่ในเมืองเบกะ ชายหนุ่มรออยู่นานก็ยังไม่เห็นวี่แวว เพราะเจ้าตัวดันไปเกี่ยวข้องกับคดีลักพาตัวซะได้ แต่คนอย่างเจมส์น่ะ คงอยากทดสอบอะไรอยู่มากกว่า
อากาอิขับรถตามรถคันที่เจมส์ถูกพาตัวไป ระหว่างทาง เขาขับผ่านเด็กผู้ชายสวมแว่นจากคดีจี้รถบัสคราวก่อน กับเด็กผู้หญิงผมสีน้ำตาลคนหนึ่ง
‘เด็กแว่นคนนั้นอีกแล้ว’ หรือบางทีคนที่เจมส์อยากทดสอบอาจจะเป็นเจ้าหนูนี่ก็ได้
“อ๊ะ นายเห็นไหม หน้าของผู้ชายที่ขับรถคันเมื่อกี้น่ะ” โคนันปฏิเสธ ไฮบาระจึงได้แต่ตอบรับเสียงแผ่ว “งั้นเหรอ”
ตอนนั้นเขายังไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นจะเป็น...เธอ
อากาอิจอดรถเลียบข้างทางรออยู่ไม่ไกล หลังเจมส์ปลีกตัวออกมาจากคดีลักพาตัวกระจอกๆ นั่นได้ ชายอาวุโสก้าวขึ้นมานั่งบนเบาะหลัง ก่อนจะเอ่ยทัก
“แต่ว่าน่าตกใจจริงๆ ที่เธอตัดผมยาวๆ นั่นซะสั้นจู๋แบบนี้” เจมส์เข้าใจว่าอากาอิยังผมยาวอยู่ เพราะแบบนั้นถึงหาเขาไม่เจอสักที
“แค่อยากทำอารมณ์ใหม่น่ะครับ คนถูกแฟนหักอกก็แบบนี้แหละ” ชายหนุ่มว่าขณะจุดบุหรี่สูบ
“แล้วยังไง อุตส่าห์เรียกฉันมาถึงที่นี่ทั้งที ต้องการจะเรียกคนรักกลับคืนมาอย่างนั้นเหรอ”
“ครับ ผมจะทำให้เขาสำนึก ว่าการทิ้งผมไป มันต้องชดเชยด้วยน้ำตาโลหิต”
เอฟบีไอหนุ่มแสยะยิ้มเย็นยะเยือก ตอบรับคำเปรียบเปรยที่เข้าใจกันสองคน คนรักเก่าที่เป็นเหมือน...ศัตรูคู่อาฆาตคนนั้น
อากาอิยืนสูบบุหรี่อยู่บนดาดฟ้าตึกที่เอฟบีไอตกลงเช่าไว้เป็นสำนักงานชั่วคราวตอนสืบคดีที่ญี่ปุ่น ชายหนุ่มนึกถึงภารกิจเมื่อวานที่ต้องไปเฝ้าจับตาดูสำนักงานนักสืบ จะว่าไปผู้หญิงคนนั้น...ลูกสาวของนักสืบโมริ? รู้สึกเหมือนจะเคยเจอกันมาก่อนสินะ
ท่ามกลางสายฝนพรำในนิวยอร์กเมื่อปีกลาย ตอนที่เขาไล่ล่าฆาตกรโรคจิตผมเงินชาวญี่ปุ่น ซึ่งความจริงแล้วคือเบลม็อทปลอมตัวมา ยัยแม่มดนั่นคงต้องการล่อเขาออกมาจัดการ แต่กลับเป็นฝ่ายเสียเปรียบซะเอง
‘ถ้าไม่ติดว่าต้องจับเป็นล่ะก็...’ ตอนนั้นเขาคงยิงเข้ากลางแสกหน้าได้สบายๆ
ชายหนุ่มถอนหายใจ ทิ้งก้นบุหรี่ใส่ซองเก็บแล้วเดินลงไปจากชั้นดาดฟ้า ว่างจากงานเอฟบีไอก็ถึงคราวที่เขาต้องจัดการธุระของตัวเองบ้าง
เวลาผ่านไปเกือบเดือนนับตั้งแต่เขามาญี่ปุ่น แต่ธุระส่วนตัวที่ต้องจัดการก็ยังไม่ได้เบาะแสอะไรเพิ่มเติมเลย ชายหนุ่มคาบบุหรี่ เปิดประตูเดินออกมาจากตู้โทรศัพท์สาธารณะ ก็ต้องชะงักพลัน เมื่อเห็นผู้หญิงคนนั้น ลูกสาวของนักสืบโมริ เดินจูงมือเจ้าหนูแว่นท่ามกลางหิมะโปรย แถมยัง...ทำสีหน้าเหมือนตอนคดีที่นิวยอร์กไม่ผิด
“ร้องไห้อีกแล้วเหรอ” คำกล่าวทักของเขาทำเอาอีกฝ่ายงง “เธอเนี่ยร้องไห้อยู่เรื่อยเลยนะ”
“แล้วมันผิดด้วยหรือไง” เด็กสาวเช็ดน้ำตา ตอบกลับด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
“เปล่า แค่นึกขึ้นมาได้น่ะ ว่ามีผู้หญิงที่เหมือนเธอมากคนนึง” ชายหนุ่มยิ้มเยาะ “ต่อหน้าก็ทำเป็นหัวเราะ แต่ก็แอบไปร้องไห้ในเงามืด...เป็นผู้หญิงที่งี่เง่าจริงๆ”
อากาอิพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วเดินจากไป ใช่ ผู้หญิงงี่เง่าที่ยอม...และฝากทุกอย่างไว้กับเขา โดยเฉพาะ ‘น้องสาว’ ที่เธอรักมากที่สุด
อากาอิใช้เวลาแรมเดือนกว่าจะได้เบาะแสของชิโฮะ ตอนนั้นเขาไม่รู้เลยว่าควรเริ่มต้นหาจากตรงไหนดี เพราะข่าวล่าสุดที่รู้มาคือเธอหนีออกมาจากองค์กรแล้ว แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามหายังไงก็ไม่เจอเลยสักที่ ขนาดองค์กรยังตามกลิ่นไม่ได้
เช้าวันหนึ่ง ขณะที่อากาอิกำลังเดินอยู่ในเมืองซึ่งมีผู้คนพลุกพล่านแถวสถานีเบกะ โชคชะตานำพาให้เขาได้เจอเธออีกครั้ง เจ้าหนูแว่นเดินมาพร้อมกับเด็กผู้หญิงผมสีน้ำตาลแดง และเด็กผู้หญิงคนนั้นช่างมีใบหน้าละม้ายเธอตอนเด็ก
‘คงไม่ใช่หรอกมั้ง’
แต่ตอนนั้นเขายังเชื่อไม่ลง ใครจะไปคิดล่ะว่าเธอจะเป็นคนคนเดียวกันกับเด็กผู้หญิงคนนั้นจริงๆ จนกระทั่งมีเหตุการณ์ที่ทำให้เขาต้องตามสืบต่อ
เจมส์วางซองรูปถ่ายที่ให้ลูกน้องตามสะกดรอย ‘คุโด้ ยูกิโกะ’ ให้พวกเขาดู แม้จะยังไม่ปรากฏว่าเบลม็อทจะติดต่อหรือไปหาเธอ แต่ก็มีความเป็นไปได้ เพราะทั้งสองคนเคยเป็นเพื่อนที่สนิทสนมกันพอตัว
“อะ” ชายหนุ่มชะงัก เมื่อสายตาจับเข้ากับรูปของใครบางคน
“มีอะไรเหรอ ชู?”
“เจมส์ครับ รูปพวกนี้ผมขอก๊อปปี้สักชุดนะครับ” ชายหนุ่มคว้าซองเอกสารที่บรรจุรูปแอบถ่ายของยูกิโกะกับเด็กกลุ่มหนึ่งติดมือมา “แล้วก็...ขอเวลาไปทำธุระส่วนตัว”
“เหมือนเขาจะรู้อะไรนะคะ”
“ก็คงแบบนั้น แต่อากาอิคุงเป็นคนเจ้าความลับซะด้วยสิ ถึงเป็นฉันก็เดาไม่ออกหรอกว่าเขาคิดจะทำอะไรต่อน่ะ”
อากาอิขับรถออกไป ขณะขอให้รุ่นน้องตามสะกดรอยให้แทน เพราะถ้าเป็นเขา เด็กแว่นที่อยู่ด้วยกันอาจรู้ตัวเข้าเสียก่อน
จวนค่ำแล้ว แต่สถานที่ที่พวกเธอไปก็มีแค่ห้องแล็บโทโตะกับอะพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งเท่านั้น นอกจากนี้ยังไม่ปรากฏวี่แววของเบลม็อทเลยด้วยซ้ำ และอีกไม่นานอากาอิก็ได้รับแจ้งจากปลายสายที่ช่วยเขาสะกดรอยตาม
“งั้นเหรอ คลาดกันงั้นเหรอ...ช่างเถอะ สายป่านยังไม่ขาด ตามต่อไปก็แล้วกัน” ชายหนุ่มวางสายแล้วหันมองรูปถ่ายอีกครั้ง
‘แต่ว่า...เหมือนกันจริงๆ เลยนะ’ นัยน์ตาสีเขียวมะกอกจ้องมองใบหน้าของเด็กผู้หญิงผมน้ำตาล ‘เหมือนกับเธอ...ตอนที่ยังเป็นเด็กน่ะ’
และหลังจากนั้นไม่นาน...เขาก็ได้เบาะแสของเธออีกครั้ง
อากาอิขับรถอยู่ในเมืองท่ามกลางสายฝนห่าใหญ่ ขณะที่กำลังเปลี่ยนช่องรายการฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ ก็บังเอิญเห็นเด็กแว่นคนนั้นในรายการถ่ายทอดสดสัมภาษณ์รายการหนึ่ง ตอนนี้เด็กนั่นอยู่ที่ร้านข้าวต้มไข่ในห้างเบกะ และบางทีเธอก็อาจอยู่ที่นั่นด้วย
ชายหนุ่มคิดได้ดังนั้นก็รีบเลี้ยวรถขับตามไปที่ห้าง แต่ตอนที่ไปถึงก็เกิดคดีบางอย่าง ทำให้ลานจอดรถของห้างถูกปิดไม่ให้รถเข้าหรือออก
ขณะจอดรถเลียบข้างทางรอสังเกตการณ์อยู่สักพัก อากาอิก็เห็นโจดี้เดินนำดอกเตอร์อากาสะที่อุ้มเด็กผู้หญิงผมน้ำตาลออกมาจากลานจอดรถใต้ดิน อากาอิจึงรีบออกสตาร์ทขับตามรถโจดี้ไป จนถึงเมืองเบกะ หมู่ 2 แถวบ้านของดอกเตอร์ ซึ่งมีรถของหมออาราอิเดะจอดอยู่หน้าบ้าน เขาจึงได้แต่เฝ้าอยู่นอกรั้ว แล้วเชื่อใจให้โจดี้ที่อยู่ข้างในช่วยคุมสถานการณ์
ดูเหมือนว่าเป้าหมายของเอฟบีไอ...ยัยแม่มด จะเคลื่อนไหวชัดเจนแล้ว และสิ่งที่เธอกำลังตามอยู่ไม่ใช่เด็กแว่นจากสำนักงานนักสืบโมริ แต่เป็นคนคนเดียวกันกับธุระสำคัญที่เขาต้องถ่อมาถึงญี่ปุ่น
หลังรายงานเรื่องนี้กับเจมส์แล้ว อากาอิและเอฟบีไอยังคงตามจับตาดูอยู่ห่างๆ แต่ยังไม่เห็นว่าจะมีโอกาสเหมาะให้เป้าหมายเคลื่อนไหว จนกระทั่งเย็นนี้ที่บ้านข้างๆ บ้านดอกเตอร์อากาสะ บ้านที่มักจะเงียบเชียบหลังนั้น เหมือนมีเงาเคลื่อนไหวอยู่ คล้ายกับว่ามีคนเข้าออกหลายคน หากลางสังหรณ์ของเขายังไม่เพี้ยนไป อากาอิมั่นใจว่า ยัยแม่มดนั่นจะต้องลงมือคืนนี้แน่ !
ความคิดเห็น