คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : พบหน้าตอนนี้ไม่ได้
Akai x Shiho #Impossible Love รักที่เป็นไป (ไม่) ได้
Parinuttha
ตอนที่ 10 พบหน้าตอนนี้ไม่ได้
ชายหนุ่มเดินกลับมาจากห้องครัวอีกครั้งหลังเอาถ้วยกาแฟไปเก็บ แล้วหยิบขวดเบอร์บองวิสกี้ติดมือมาแทน เขาเลือกนวนิยายสืบสวนเล่มหนึ่งมาจากชั้นหนังสือ เปิดอ่านมันบนโต๊ะมุมเดิมและปล่อยอารมณ์ไปกับการจิบเหล้าเย็นๆ
“ดร. กินเสร็จแล้วก็ช่วยกันล้างหน่อยสิคะ” อากาอิยังคงฟังเสียงจากเครื่องดักฟัง จากบ้านรั้วข้างๆ บางครั้งเขาก็เปิดไว้แบบนี้ทั้งวัน คอยฟังว่าเธอทำอะไรอยู่ และหากเกิดเหตุฉุกเฉิน เขาจะได้รีบไปทันที
“อ๊ะ เดี๋ยวสิ แอบเอาขนมอะไรมาซุกไว้ตรงนี้อีกแล้วเนี่ย”
“หวา นั่นมันไดฟุกุของฉัน...อุ๊บ”
“แบบนี้ต้องทำโทษ เปลี่ยนเมนูอาหารเย็น”
“ไม่ได้นะ อย่าทำแบบนั้นเลยไอคุง ฉันจะไม่ซ่อนอีกแล้ว... อะ! ล้างจานสินะ เดี๋ยวฉันล้างให้”
อากาอิอมยิ้มกับความน่ารักของไฮบาระและดอกเตอร์อากาสะที่ตอนนี้แทบจะใช้ชีวิตเหมือนพ่อลูกหรือปู่หลานกันอยู่แล้ว แต่กว่าจะมาได้ถึงวันนี้ เธอต้องทนแบกรับความเสี่ยงมามากมาย เช่นเดียวกับตอนนั้น...
ชายหนุ่มแหวกผ้าม่านมองออกไปนอกหน้าต่าง คืนวันเพ็ญมีจันทร์ดวงกลมส่องสว่างลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าสีดำสนิท รัศมีของมันแย่งแสงระยิบจากดาวดวงกระจ้อยไปจนหมด ช่างเหมือนกับ ‘ตัวเอก’ ของคืนนี้
ชายหนุ่มฟังแผนการที่เจมส์ทวนอีกครั้งแบบผ่านๆ เพราะสำหรับเขาแล้ว ไม่มั่นใจนักว่าแผนแค่นี้จะสามารถจับคนอย่างยัยแม่มดนั่นได้ แต่มันก็ไม่มีแผนอะไรที่ดีไปกว่านี้แล้ว
“คืนนี้แหละ เราจะจับแอปเปิลทองคำให้อยู่หมัดให้ได้”
“แอปเปิลทองคำ? หึ” อากาอิขำกับฉายาที่เจมส์ตั้งให้ยัยแม่มดพันหน้านั่น แม้เขาจะไม่ได้ไยดีเธอเท่าไร แต่เรื่องการเอาตัวรอด เรียกว่าจับไม่ได้ ไล่ไม่ทัน “ผมว่าอย่าประมาทผู้หญิงคนนั้นจะดีกว่านะครับ”
เขาห่วงก็แต่โจดี้ที่อาสาไปรับตัวเด็กผู้หญิงคนนั้นกับเจ้าหน้าที่อีกสองคนที่ซุ่มรออยู่ ถึงพวกมันจะไม่นิยมทำงานกันเป็นกลุ่มใหญ่หรือทำอะไรโจ่งแจ้ง เอิกเกริก แต่แผนรับมือแค่นี้จะพอแน่เหรอ
แต่จะให้เขาไปซุ่มรอที่นั่นมันก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเท่าไร เพราะอาจทำให้เบลม็อทรู้ตัวซะก่อน และอาจไม่ยอมปรากฏตัวออกมา เพราะแบบนั้นเจมส์เลยอยากให้อากาอิไปดักทางหนีจุดอื่นแทน
แล้วก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้ เมื่อเจมส์ได้รับแจ้งว่า จู่ๆ โจดี้ก็บอกให้เจ้าหน้าที่ที่ซุ่มอยู่ถอนตัว
“อะไรนะ โจดี้คุงเนี่ยนะ เป็นไปไม่ได้หรอก”
“เหอะ ยัยแม่มดนั่น...” ชายหนุ่มบี้บุหรี่ในที่เขี่ยก่อนจะเดินพรวดพราดออกไป
“จะไปไหนเหรอ อากาอิคุง”
“ตามล่าแอปเปิลไงครับ” ชายหนุ่มหยุดกึกแล้วเหลียวหลังมาบอก “แต่ไม่ใช่แอปเปิลทองคำหรอกนะ”
สีหน้าเจือรอยยิ้มนิดๆ ของเขา ทำเอาเจมส์งุนงงกับท่าทางสบายอารมณ์นั่น แต่ถ้าเป็นอากาอิ แค่คนเดียวคงจัดการได้แน่ๆ ชายอาวุโสคิดว่าไม่ควรส่งทีมไปเพิ่ม ทางที่ดีควรปล่อยให้อากาอิจัดการดีกว่า
ชายหนุ่มเสียบกุญแจ เหยียบคันเร่งเชฟโรเลต C1500 มิด เขาเลี้ยวรถออกจากตึกสำนักงานชั่วคราว มุ่งหน้าตรงไปยังท่าเรือให้เร็วที่สุด
‘ขอให้ทันทีเถอะ’
เสียงเครื่องยนต์รถที่ดังอยู่ไม่ไกล ทำให้โคนันที่ซ้อนแผนเบลม็อทได้จนอีกฝ่ายเกือบจะจนแต้มแล้วต้องหันไปมอง หลังประตูรถแท็กซี่เปิดออกและปิดลง ปรากฏร่างของเด็กหญิงผมน้ำตาลกำลังเดินเข้ามาหาพวกเขา ไฮบาระกำมือแน่น หัวใจเต้นระส่ำยามเห็นเบลม็อทยืนยิ้มอยู่ตรงหน้า
“ไฮบาระ โธ่เว้ย!” โคนันอยากจะบ้าตาย “อย่าเข้ามานะ อย่าเข้ามาทางนี้ กลับไปซะ ยัยบ๊องเอ๊ย”
ไฮบาระไม่ฟังเสียงคัดค้าน ทำใจแข็งวิ่งตรงไปหาโคนัน ‘ไม่เอา คุโด้คุง นี่เป็นปัญหาของฉัน นายนั่นแหละที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เพราะฉะนั้น...เพราะฉะนั้น...อย่าตายนะ ตายไม่ได้นะ!’
‘แว่นตาสะกดรอยสำรอง? เธอซ่อนเอาไว้จริงๆ ด้วย’ โคนันร้องบอกไฮบาระให้หนีไป เบลม็อทจึงได้โอกาสตอนที่หนูน้อยเผลอ กลับด้านนาฬิกาแล้วยิงเข็มยาสลบใส่จนโคนันหมดสติไป
“Good Night Baby and…” เบลม็อทชักปืนสำรองออกมาจากถุงเท้า แสยะยิ้มแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “Welcome Sherry”
“ยัยผู้หญิงโง่ ทำให้แผนการน่ารักของหนูน้อยคนนี้พังหมด ไม่นึกเลยนะว่าอุตส่าห์มาตายแบบนี้” หญิงผมบลอนด์ยิ้มเยาะอย่างสะใจ
“ไม่ได้มาตายอย่างเดียวหรอก แต่จะมาทำให้มันจบๆ ไปสักที” ไฮบาระเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พลางเก็บแว่นสะกดรอยสำรองใส่ในกระเป๋าเดรสโค้ท “ถึงคุณจะถูกจับ แต่ตราบใดที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ พวกคุณก็คงไม่ยอมปล่อยให้ฉันรอดไปได้อยู่แล้ว”
“ดังนั้น ช่วยสัญญามาอย่างหนึ่งได้ไหม นอกจากฉันแล้ว อย่าทำร้ายคนอื่นเด็ดขาด” เด็กหญิงต่อรองด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “คุณจะสัญญามาได้ไหม”
“ได้สิ นอกจากผู้หญิงที่เป็นเอฟบีไอคนนี้แล้ว ฉันจะปล่อยไป” เบลม็อทตกลง ก่อนจะนึกหัวเราะเยาะอีกครั้ง “แต่ว่าก่อนอื่น เชอร์รี่ เธอ...ถ้าจะแค้นล่ะก็นะ ไปแค้นพ่อแม่นักวิทยาศาสตร์ของเธอที่เริ่มการวิจัยที่โง่เขลานี่ก็แล้วกัน หึหึหึ”
อากาอิขับรถวนมาถึงอีกฝั่งของท่าเรือ ชายหนุ่มดับเครื่องเชฟโรเลต C1500 ลง แล้วเงี่ยหูฟังบรรยากาศรอบด้าน
‘เงียบมาก เงียบจนผิดปกติ’
เปรี้ยง!
ทันใดนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงปืนดังมาไกลๆ ลักษณะแบบนี้ไม่ใช่การยิงทะลุเนื้อหนัง แต่เหมือนเสียงกระสุนกระทบเหล็กมากกว่า
‘หือ ทางนั้นสินะ’ ชายหนุ่มค่อยๆ ย่อง แฝงตัวไปกับเงามืดเพื่อเข้าถึงเป้าหมายโดยไม่ให้พวกมันรู้ตัว
คาวาดอสยังคงไล่ยิงเด็กสาวตัวดีที่จู่ๆ ก็โผล่ออกมาจากกระโปรงรถของแม่สาวเอฟบีไอเพื่อกระโจนไปช่วยเด็กหญิงผมน้ำตาล อย่างไม่ฟังคำสั่งของเบลม็อท
“เดี๋ยวก่อน คาวาดอส!” เบลม็อทร้องห้ามอย่างร้อนรน “หยุดนะ!”
“ฉันบอกว่าให้รอก่อนไงเล่า!” หญิงผมบลอนด์ยิงปืนไปแถวตู้คอนเทนเนอร์ เป็นสัญญาณบอกให้คาวาดอสหยุดยิง
สไนเปอร์หนุ่มหยุดยิงตามคำสั่ง แต่ก็ไม่เข้าใจเหตุผลเลยสักนิด “ทำไมกัน แค่เด็กผู้หญิงธรรมดาๆ คนเดียว”
“เรื่องแบบนี้ไม่ต้องรู้ก็ได้มั้ง”
เสียงทุ้มที่ดังอยู่ด้านหลังทำเอาคาวาดอสต้องหันขวับ แสงสลัวๆ จากไฟท่าเรือพอให้เขามองเห็นเจ้าของใบหน้าที่ปรากฏตัวในความมืด
“เฮ้ย แก...ไรย์”
“โอ้ ขอบใจนะที่ยังจำกันได้” แม้เขาจะไม่ได้สนิทสนมด้วย แต่อีกฝ่ายก็เป็นสไนเปอร์ที่เคยเจอกันมาหนสองหน “แต่เรื่องนั้นช่างเถอะ แทนที่จะตั้งคำถาม เตรียมตอบคำถามของพวกฉัน...”
ยังไม่ทันสิ้นคำ คาวาดอสก็คว้าปืนสั้นใกล้มือกำลังจะเหนี่ยวไกยิงศัตรูตามสัญชาตญาณ แต่ถูกอากาอิล็อกแขนไว้ก่อน แล้วบิดเสียแรงจนปืนหลุดจากมือ
“อ๊าก!”
“ชิ คนเขายังพูดไม่จบแท้ๆ” เอฟบีไอหนุ่มแสยะยิ้ม
“อยากแค่ขาหัก หรือแขนหักด้วยดีล่ะ” ทว่าก่อนจะทันตอบอะไร คาวาดอสก็ถูกอากาอิล็อกคอให้หมดสติและจัดการหักขาทั้งสองข้างเพื่อกันไม่ให้มันหนีไปได้ แล้วเก็บปืนทั้งหมดมา
‘นอนรอก่อนนะ สหายเก่า ฉันขอไปจัดการยัยแอปเปิลนั่นก่อนล่ะ’
ชายหนุ่มเหลือบมองเด็กหญิงผมน้ำตาลที่ถูกเด็กสาวจากสำนักงานนักสืบโมริเอาตัวบังไว้
‘ผู้หญิงคนนั้น...’
“เอาล่ะ ปล่อยเด็กผู้หญิงผมสีน้ำตาลคนนั้นซะ ถ้าไม่อยากตายล่ะก็” เบลม็อทขู่ พลางยิงปืนไปบนพื้นรอบๆ รันและไฮบาระหลายนัด หวังให้รันยอมถอยออกมา
“ไม่ได้นะ อย่าขยับสิ” รันร้องห้าม ขณะกอดบังไฮบาระไว้แนบพื้น
“ฉันเรียกตำรวจแล้ว ช่วยทนอีกแป๊บเดียวเท่านั้น ขอร้องล่ะ...” เด็กสาวร้องบอก แม้ร่างกายจะสั่นเทิ้มจากความกลัว แต่เธอจะไม่ยอมปล่อยเด็ดขาด
ไฮบาระมองรันด้วยความหวั่นไหวและเห็นภาพซ้อนทับกับพี่สาวของเธอ ‘พี่?’
การกระทำอันบ้าบิ่นของรันทำให้เบลม็อทนึกถึงวันนั้น ท่ามกลางสายฝนพรำที่นิวยอร์ก วันที่นางฟ้าและกระสุนเงินได้ช่วยเธอที่ปลอมตัวเป็นชายโรคจิตผมเงินเอาไว้ก่อนจะตกตึก
“ทำไม ทำไมถึงช่วยฉันไว้ เพราะอะไรกัน”
“หึ จำเป็นต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ เรื่องเหตุจูงใจให้คนฆ่ากันน่ะ ฉันไม่รู้ด้วยหรอกนะ แต่เหตุผลที่คนช่วยคนน่ะ มันจะมีคำอธิบายตามหลักเหตุผลได้ยังไงกันล่ะ”
“ถอยไปนะ!” เบลม็อทตวาดกร้าว คิดจะยิงขู่ต่อ แต่กระสุนดันหมดเสียก่อน จึงต้องเปลี่ยนปืนกระบอกใหม่ “Moved Angel!”
ฟิ้ว!
เบลม็อทช็อก เมื่อจู่ๆ ก็ถูกยิงเฉี่ยวแขนไป เธอหันไปมอง เห็นเอฟบีไอสาวเล็งปืนอยู่ “เข้ามุมอับ...ของไรเฟิลแล้ว”
โจดี้อาศัยจังหวะที่เบลม็อทมุ่งความสนใจไปที่เด็กผู้หญิงผมสีน้ำตาล หาโอกาสลอบเข้าถึงจุดบอดได้พอดี
“ตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย” หญิงผมบลอนด์ถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจเล็กน้อย
“ทิ้งปืนซะ ทิ้งปืนไปซะสิ! ไม่อย่างนั้นต่อไป...จะเป็นที่หัว” เอฟบีไอสาวเป็นฝ่ายขู่บ้าง แต่แล้วสถานการณ์ก็ดูเหมือนจะคับขันอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้ากำลังเดินเข้ามาทางด้านหลังพร้อมกับอาวุธ
‘เสียงปืนขึ้นไก ปืนลูกซองเหรอ’
“โอเค คาวาดอส มาช่วยกันจัดการมันเถอะ” เบลม็อทที่ยังคงไม่รู้เรื่องรู้ราว ยิ้มเยาะอย่างถือไพ่เหนือกว่า
‘แย่แล้ว มาจากด้านหลัง’ โจดี้เข้าตาจน นอกจากจะถูกยิงจนขยับลำบากแล้ว ลองถ้าถูกดักทางแบบนี้ เธอไม่มีโอกาสชนะได้เลย
เบลม็อทหัวเราะอย่างกระหยิ่มใจ “เอาล่ะ คาวาดอส ใช้ปืนลูกซองสุดที่รักของนาย ยิงแม่ลูกแมวเอฟบีไอนั่นให้กระจุยไปเลยสิ”
“โอ้ ผู้ชายคนนั้นน่ะ มันชื่อคาวาดอสงั้นเหรอ” หญิงผมบลอนด์หรี่ตามองอย่างผิดคาด เมื่อเจ้าของเสียงฝีเท้าที่ก้าวเข้ามา ไม่ใช่ชายที่เป็นแบ็คอัพให้เธอ
“มีทั้งไรเฟิล ทั้งลูกซอง แล้วก็ปืนสั้นอีกสามกระบอก นึกว่าเป็นพ่อค้าอาวุธที่ไหนซะอีก” ชายหนุ่มเล่นมุกในสถานการณ์ตึงเครียดด้วยรอยยิ้มสบายอารมณ์
“ชู...?”
“อากาอิ ชูอิจิ?”
“อ๋อ แต่ว่าขาหักสองข้างแบบนั้นคงค้าขายไม่ได้ไปอีกนานเลยล่ะ” คำพูดของอากาอิ ทำให้เบลม็อทต้องแหงนมองไปทางคาวาดอสที่นอนแผ่อยู่บนตู้คอนเทนเนอร์ในมุมมืด
“แหม เหล้าที่กลั่นจากแอปเปิลอย่างคาวาดอสเนี่ย มันก็เหมาะจะเป็นคู่หูกับแอปเปิลเน่าๆ อยู่แล้วนี่นะ”
“แอปเปิลเน่างั้นเหรอ?” เบลม็อทไม่พอใจกับคำพูดนั้น
“ฉายาที่ตั้งให้เธอไงล่ะ เพราะสมัยที่ดาราใหญ่อย่างชารอนโด่งดังบนเวที ก็ดังมาจากเรื่องโกลเดนแอปเปิล เธอยังสวยเหมือนตอนนั้นอยู่เลยนะ แต่ข้างในเต็มไปด้วยสิ่งเน่าเหม็นอย่างรอทเทนแอปเปิล” ชายหนุ่มอธิบายที่มา ก่อนจะเน้นเสียงตรงประโยคสุดท้าย “แอปเปิลเน่าๆ ยังไงล่ะ”
อากาอิเห็นเบลม็อทขยับเท้า จึงรีบขยับกันโจดี้ แล้วลั่นไกปืนลูกซองออกไปช็อตใหญ่ ทำเอาเบลม็อทกระเด็นไปตามแรงปะทะ
“มะ ไม่ได้นะ ชู”
“วางใจเถอะ ฉันรู้จากการเคลื่อนไหวของยัยนั่น ว่าคงใส่เกราะกันกระสุนหรือแผ่นเหล็กเอาไว้แล้วล่ะนะ” ชายหนุ่มกระตุกยิ้มสะใจ “อย่างน้อยก็แค่ซี่โครงหักไปสักสองสามซี่”
“ว่าแต่ดูสิ หน้าของยัยนั่นที่โดนกระสุนเฉี่ยวน่ะ แสดงว่านั่นคือใบหน้าที่แท้จริงของยัยนั่นยังไงล่ะ” เบลม็อทกัดฟันกรอดอย่างเจ็บใจ พยายามลุกขึ้น แต่ขืนเป็นแบบนี้คงสู้ไม่ได้แน่ คิดแล้วก็รีบวิ่งไปทางโคนันที่ยังสลบอยู่ จับเขาเป็นตัวประกันแล้วขึ้นรถไปด้วยกัน
“เชอะ พวกเด็กๆ เกะกะจริงๆ” อากาอิสบถหลังเสียท่า
เบลม็อททุบกระจกรถแล้วยิงขู่สองนัดก่อนสตาร์ทรถ แต่อากาอิก็ยิงโต้ ลั่นปืนลูกซองออกไปจนกระจกรถอีกฝั่งแหลกละเอียด ดีที่เธอก้มหลบทัน หญิงผมบลอนด์ออกรถไปแล้ว อากาอิยังคงไล่ยิงตามหลัง แต่จะรุนแรงก็ไม่ได้เพราะฝ่ายนั้นมีตัวประกันอยู่ เบลม็อทเล็งปืนจากกระจกส่องหลัง ยิงถังน้ำมันของรถคันที่เธอขับมาเพื่อทำลายหลักฐาน
“หึ สภาพนั้นน่ะ ยังยิงถังน้ำมันด้วยการเล็งจากกระจกส่องหลังได้ด้วยเหรอเนี่ย” อากาอิมองสภาพรถที่ระเบิดและลุกไหม้ด้วยรอยยิ้มเยาะ “หึๆๆ ร้ายจริงๆ แฮะ”
“ชู มัวสบายใจอะไรอยู่ล่ะ มันจับตัวประกันหนีไปแล้วนะ” โจดี้เอ็ด หลังเอาตัวเองกำบังรันและไฮบาระไม่ให้ถูกสะเก็ดไฟ
“เธอนั่นแหละ น่าจะดึงกุญแจรถออกมาซะ” ชายหนุ่มหันไปตำหนิ
“อ๊ะ เจ็บๆๆ ขอโทษน่า”
“เอาเถอะ ถ้าจะสอบปากคำน่ะ ใช้พวกยัยนั่นก็ได้” ชายหนุ่มแหงนมองไปบนตู้คอนเทนเนอร์ แต่แล้วก็ได้ยินเสียงปืนลั่นไก “เฮ้ๆ ยังมีปืนอยู่อีกเหรอเนี่ย”
ฆ่าตัวตายงั้นเหรอ...หมอนี่รู้สึกจะชื่อคาวาดอสสินะ เอาเถอะ สมาชิกระดับนั้น คงไม่รู้อะไรมากไปกว่าที่เขารู้สักเท่าไรหรอก บางทีอาจจะแค่ถูกเบลม็อทหลอกใช้เพราะดันไปหลงรักยัยนั่นเข้า อย่างที่เขาเคยได้ยินข่าวลือมาสมัยแฝงตัวอยู่ในองค์กรนั่นแหละ
เสียงไซเรนรถตำรวจแว่วมาใกล้ท่าเรือเรื่อยๆ คงจะเป็นรถตำรวจที่รันเรียกมา แต่หลบอยู่ในกระโปรงรถแบบนั้น คงฟังไม่ถนัดหรอกว่าพวกเธอคุยกันเรื่องอะไร และที่หมดสติไปคงเพราะคิดว่าถูกยิงไปแล้ว
“เฮ้อ จะว่าใจกล้าหรือยังไงดีล่ะเนี่ย”
“งั้นฝากจัดการต่อทีนะ”
ชายหนุ่มส่งไม้ต่อ ให้บอกไปว่าเจ้าหน้าที่สืบสวนของเอฟบีที่หยุดพักยาวมาที่ญี่ปุ่น แล้วบังเอิญเข้าไปพัวพันกับคดีลักพาตัวเด็ก ส่วนเรื่องผู้หญิงคนนั้นที่รอดไปได้ พูดเรื่องจริงไปก็คงไม่มีใครเขาเชื่อ ดีไม่ดีอาจทำให้งานเสีย
“แล้วฉันก็...ยังให้เด็กผู้หญิงผมน้ำตาลคนนั้น พบหน้าตอนนี้ไม่ได้ซะด้วยสิ” อากาอิเหลือบมองไฮบาระที่หมดสติอยู่ในอ้อมกอดของรัน ก่อนจะเดินจากไป
‘ใช่แล้ว เพราะเขาไม่มีสิทธิ์’
ชายหนุ่มเดินกลับไปขึ้นรถที่จอดไว้อีกฝั่ง รอดูสถานการณ์ให้รถตำรวจและรถพยาบาลมาถึงก่อน จนกระทั่งฟ้าสาง เรือลำใหญ่ที่ใช้จัดปาร์ตีฮาโลวีนนอกฤดูกาลก็มาจอดเทียบท่าเรือ อากาอิโทรรายงานสถานการณ์กับเจมส์ แม้ภายหลังเอฟบีไอจะเฝ้าติดตาม แต่เบลม็อทก็หนีไปได้อีกตามเคย ส่วนที่พักที่หล่อนเคยอยู่ก็ไม่มีเบาะแสสำคัญอะไรเหลือทิ้งไว้...มืออาชีพจริงๆ
หลังรายงานสถานการณ์กับเจมส์ก็มีอีกเรื่องที่อากาอิต้องคิดหนัก นั่นคือเรื่องของ ‘เธอ’ ถึงจะยังให้เธอเจอเขาตอนนี้ไม่ได้ แต่อย่างน้อยถ้าพอจะมีทางช่วยให้เธอปลอดภัยจากการตามล่าของฝูงอีกานั่นล่ะก็...
สายวันอาทิตย์ หลังการผ่าตัดของโจดี้ผ่านไปอย่างเรียบร้อย ชายหนุ่มมองหญิงสาวที่หลับเพราะฤทธิ์ยา ก่อนจะเดินออกไปหลังได้ยินเสียงเคาะประตูจากคนที่เขานัดพบ
อากาอิและเจมส์ปลีกตัวออกมาบนดาดฟ้าของโรงพยาบาล ชายอาวุโสมองแผ่นหลังของเอฟบีไอหนุ่มที่ยังคงยืนนิ่งเหมือนกำลังดำดิ่งกับความคิด เขาจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากเอง
“มีเรื่องอะไรจะคุยกับฉันเหรอ อากาอิคุง”
ชายหนุ่มถอนหายใจยาว “ผมมีเรื่อง...จะขอร้องครับ”
“ว่าไงล่ะ”
“ผมอยากให้คุณรับเด็กผู้หญิงผมน้ำตาลคนนั้นเข้าโปรแกรมพิทักษ์พยานครับ”
“อ๋อ เด็กคนนั้นที่ชื่อเชอร์รี่สินะ”
ชายอาวุโสนึกสงสัยมาตลอด เพราะนั่นเป็นชื่อเดียวกันกับผู้หญิงที่มาจากองค์กร เด็กสาวที่อากาอิเคยพยายามตีสนิทด้วยคนนั้น แต่ว่าทำไมกัน ทำไมเธอคนนั้นถึงได้มาอยู่ในร่างเด็กประถมแบบนี้ได้ ทีแรกเจมส์คิดว่าคงแค่ชื่อซ้ำกัน แต่เปล่าเลย พอเห็นท่าทางของอากาอิแล้ว เขาก็รู้ว่าไม่ใช่แบบนั้น แต่เธอคือคนเดียวกันจริงๆ
“ถึงเธอจะไม่ขอร้อง แต่กับเด็กผู้หญิงที่กุมความลับของบอสพวกมัน ยังไงฉันก็คิดเอาไว้อยู่แล้วล่ะ” เจมส์ไม่ขัดข้อง
ชายหนุ่มทบทวนหลายตลบแล้ว วิธีที่จะทำให้เธอปลอดภัยได้...การเข้าโปรแกรมพิทักษ์พยานเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าเธอจะยอมไว้ใจเอฟบีไอมากแค่ไหน
ไฮบาระเหม่อลอยทั้งวันจนเรียนไม่รู้เรื่อง เพราะมีเรื่องให้ต้องคิดในหัวอยู่ตลอดเวลา แต่บางทีมันอาจจะไม่สำคัญแล้วก็ได้ เพราะหากเธอรับเงื่อนไขนั้น ไม่ว่าจะเป็นการเรียนหรือชีวิตที่นี่ก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป
เด็กหญิงกางร่มเดินกลับบ้านพร้อมกับเพื่อนๆ กลุ่มนักสืบเยาวชน ท่าทางนิ่งงันของเธอ ทำให้โคนันต้องหาทางพูดให้สบายใจว่าเธอคงไม่ถูกเบลม็อทอะไรนั่นตามล่าแล้ว เพราะเมื่อคืนเขาขอให้แม่ช่วยปลอมเป็นไฮบาระแล้วออกมาเดินตามถนนก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น แต่แทนที่ไฮบาระจะโล่งใจ เธอกลับโกรธที่เขาทำอะไรเสี่ยงๆ คนเดียวอีกแล้ว
“จริงสิ ดร.อากาสะ บอกว่า เมื่อเช้านี้ อ.โจดี้โทรมาหาเธอนี่นา เขามีธุระอะไรกับเธองั้นเหรอ”
“เอ๊ะ”
“โทรมานัดแนะเรื่องให้ปากคำหรือเปล่า”
“มันก็...ประมาณนั้นแหละ”
เด็กหญิงเลี่ยงคำตอบ ก่อนจะหวนนึกถึงข้อเสนอที่เอฟบีไอให้มา นั่นคือขอให้เธอเข้าโปรแกรมพิทักษ์พยาน โดยจะต้องเปลี่ยนชื่อ ย้ายที่อยู่ และเปลี่ยนประวัติใหม่ทั้งหมด เพื่อปกป้องเธอจากการตามล่าขององค์กร
ไฮบาระยังคิดไม่ตก แม้ในใจจะมีคำตอบมากกว่า 80% แล้ว และแน่นอนว่าคำตอบนั้นคือ ตกลง
เพราะการจะปกป้องทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเธอ ทั้งดอกเตอร์อากาสะ เด็กๆ พวกนี้ และเขา...คุโด้คุง จากองค์กรที่อาจจะตามล่าเธออีกในอนาคต การปลีกตัว หายไปจากชีวิตทุกคน คงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด หากว่าไม่เกิดคดีโรคจิตไล่แทงคน ซึ่งทำให้ความมั่นใจของเธอสั่นคลอนอีกครั้ง
หลังคดีโรคจิตจบลง ไฮบาระก็รีบแยกจากทุกคนวิ่งตรงไปที่โรงพยาบาลกลางเบกะ เด็กหญิงเปิดประตูเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย เจอเจ้าหน้าที่โจดี้นั่งอยู่บนเตียง
“อ้าว ดีใจจังเลยที่เธอมาเยี่ยมฉันแบบนี้”
“ก็...” เด็กหญิงหอบหายใจ “ถ้าทิ้งไว้นานล่ะก็ ฉันอาจจะเปลี่ยนใจอีกก็ได้น่ะสิ”
“งั้นตัดสินใจแล้วสินะ ว่าจะยอมเข้าโปรแกรมพิทักษ์พยานหรือเปล่า”
“ใช่ แน่นอนค่ะ” น้ำเสียงของเธอหนักแน่น “แน่นอนว่า...ฉันขอปฏิเสธ”
โจดี้เลิกคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่ได้แปลกใจกับทางเลือกนั้นสักเท่าไร
“จริงอยู่ว่าการเปลี่ยนชื่อที่อยู่ให้เป็นคนละคนน่ะ มันอาจจะปลอดภัย แต่ว่ายังไงก็คงซ้ำรอยเดิมอยู่ดี ก็แค่เป็นคนอื่นที่มีชีวิตอยู่อย่างหลบซ่อน พอใกล้ความแตกก็จะเปลี่ยนเป็นอีกคนอีก ฉันทนไม่ได้หรอก” ไฮบาระบอกเหตุผล
“แล้วก็ไม่มีหลักฐานอะไรยืนยันว่าเอฟบีไออย่างพวกคุณสามารถเชื่อใจได้อย่างสนิทใจด้วย” ใช่ เพราะถ้าจะว่ากันตามจริงแล้ว อาจเป็นเพราะเอฟบีไอที่ทำให้เธอต้องมาเจอกับสถานการณ์แบบนี้
“แล้วก็...แล้วก็...”
เด็กหญิงนึกย้อนถึงคำพูดของอายูมิตอนอยู่ในรถ เพื่อแอบดูผู้ต้องสงสัยสามคนที่อาจจะเป็นโรคจิตคนนั้น
“ฉันเข้าใจความรู้สึกที่อยากจับคนร้ายให้ได้นะ แต่การหลบซ่อน ปลีกตัวออกห่าง ก็เป็นความกล้าอย่างหนึ่งนะ”
“แต่ว่า...แต่ว่าฉันน่ะ ไม่อยากจะหนี” อายูมิหันมาพูดกับไฮบาระด้วยน้ำเสียงและสีหน้าจริงจัง “ถ้าเอาแต่หนีก็ไม่ชนะน่ะสิ ไม่เอาด้วยหรอก”
เด็กหญิงกำหมัดแน่น “ฉัน...ไม่อยากหนีค่ะ”
อีกด้านของกำแพง เจมส์กำลังแอบฟังการสนทนานั้นอยู่ เขานับถือที่เธอแสดงความกล้าออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว แต่ถ้าเป็นแบบนี้ ความตั้งใจของอากาอิคง...
ชายหนุ่มแหงนมองแสงสนธยาที่ฉาบไปทั่วท้องฟ้ายามสายัณห์ เขาถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า อดลุ้นไม่ได้ว่าเธอจะให้คำตอบยังไง จนกระทั่งมีสายเรียกเข้าจากผู้เป็นหัวหน้า
“ครับ เจมส์”
“เธอไม่ยอมน่ะ”
“งั้นเหรอครับ” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว แปลกใจนิดๆ กับคำตอบของเธอที่เจมส์บอกมา “เธอพูดแบบนั้นเหรอครับ?”
“อา เข้าใจแล้วครับ”
ชายหนุ่มกดวางสาย แล้วหันมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง ‘ไม่ยอมจริงๆ ด้วยสินะ’
ความคิดเห็น