ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Free zone 2

    ลำดับตอนที่ #197 : ความปรารถนา

    • อัปเดตล่าสุด 8 มิ.ย. 63




    Application

    ◣Profile◥



    (เปิดได้ก็ดีครับ ตอนนั่งปั่นผมก็ฟังเพลงนี้วนมาหลายสิบรอบละ)



    ถึงจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่ฉันจะพยายามให้ถึงที่สุดค่ะ

    "หุบปากไปซะก่อนที่ชั้นจะเอาของดีรัสเซียยัดตูดแก"

    "จำไม่เห็นได้เลยนะครับว่าผมพูดไปแบบนั้น"

    "น่ารักจัง นี่เบอร์ชั้นนะ อย่าลืมโทรมาล่ะ ไว้เจอกัน พอดีมีคนที่ต้องไปฆ่าน่ะ~~"

    "เวลามันยังไงเดินต่อไป มันไม่เคยช้าลง มันไม่เคยเร็วขึ้น มันไม่เคยหยุดนิ่ง และมันไม่เคยเดินย้อนกลับมา"

    ".....นี่….พอทำแบบนี้แล้ว….ฉันเป็นคนดีพอหรือยัง….ฉันเป็นดีถึงครึ่ง...ไม่สิ เป็นคนดีมากกว่ามันหรือยัง"


    บทบาท : ผู้วิเศษหมายเลขเจ็ด 

     

    ชื่อ/นามสกุล : โมนิก้า เฟธ ดาเนลล่า || Monica Faith Daniella

     

    ชื่อเล่น : โมนิก้า || Monica : ชื่อที่ถูกเรียกโดยคนไม่ได้สนิท

    เฟธ || Faith : ชื่อเล่นที่ถูกเรียกโดยคนสนิท

    เฟย์ || Faye : ชื่อของบุคลิกต่อสู้

    ฟลินน์ || Flynn : ชื่อของบุคลิกประสานงาน

    ฟราน || Fran : ชื่อของบุคลิกฆ่าล้าง

    ผู้จัดการ / เมเนเจอร์ || Manager : ชื่อของบุคลิกควบคุม


    ความหมายของชื่อ : โมนิก้า - ภาษาละติน แปลว่าที่ปรึกษา

    เฟธ - ภาษาฮิบรู แปลว่าความศรัทธา

    ดาเนลล่า - ภาษาฮิบรู แปลว่าพระเจ้าเป็นผู้ตัดสิน

    เฟย์ - ภาษาฝรั่งเศสโบราณ แปลว่าความจงรักภัคดี

    ฟลินน์ - ภาษาไอริสดั้งเดิม แปลว่าไม่เป็นที่รู้จัก

    ฟราน - ภาษาละติน แปลว่าผู้เป็นอิสระ

    เมเนเจอร์ - ภาษาอังกฤษ แปลว่าผู้จัดการ

     

    สัญชาติ : อเมริกา


    เชื้อชาติ : ออสเตรีย - เอสโตเนีย

     

    เพศ : หญิง (Lesbian)

     

    ลักษณะภายนอก : โมนิก้านั้นเป็นหญิงสาวที่มีเรือนผมลอนปล่อยยาวสีบลอนด์อร่ามยาวถึงหัวเข่าโดยที่ไม่ได้จัดทรงอะไรมากนักนอกจากมัดไว้เป็นหางม้า ดวงตาสีแดงทับทิมนั้นฉายแววสนุกสนานแต่ก็ผสมปนเปด้วยความรู้สึกมากมาย ทั้งความเจ็บปวด ความเศร้าและความสิ้นหวัง ขนตาของเธอที่ไม่ได้หนาหรือบางจนเกินไป ใบหน้ารูปไข่ที่มักจะมีรอยยิ้มร่าเริงอยู่ตลอดเวลา คิ้วสีบลอนด์นั้นเรียงตัวได้อย่างสวยงามและพอดีโดยที่ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งอะไรมาก ทั้งจมูกและปากของเธอเองก็ราวกับเป็นตัวที่คอยส่งเสริมความงดงามบนใบหน้าได้อย่างดีหากไม่รวมดวงตาอันน่าอดสูคู่นั้น

    เธอนั้นเป็นอีกคนหนึ่งเลยที่มีรูปร่างที่ดี ทั้งส่วนสูงของเธอที่สูงกว่าผู้หญิงทั่วไปหรือราวๆ 178 เซนติเมตร น้ำหนักของเธอที่หนักอยู่ที่ 66 กิโลกรัมซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี ร่างกายของเธอนั้นมีกล้ามเนื้อที่สวยงามและพอเหมาะพอดีโดยเฉพาะลอนกล้ามเนื้อหน้าท้องเป็นซิกส์แพ็คเหมือนกับคนออกกำลังกายทั้งๆ ที่เธอก็จำไม่ได้ว่าเธอออกกำลังกายตั้งแต่เมื่อไหร่ ผิวขาวนวลที่มีร่องรอยแผลเป็นจากเรื่องในอดีตของตัวเธอเอง ทั้งต้นขา ลำตัว ไหล่ ด้านหลัง หรือแม้แต่บริเวณลำคอ ราวกับเป็นเครื่องเตือนใจถึงความโหดร้ายในวันวานที่หล่อหลอมให้เธอเป็นเช่นนี้

    การแต่งกายของโมนิก้านั้นมักจะแต่งกายด้วยชุดที่มิดชิดไม่เปิดเผยร่างกายเท่าไหร่นักนับตั้งแต่คอยันเท้าเพื่อไม่ให้ผู้อื่นสังเกตเห็นแผลของเธอ และชุดโทนสีหม่นก็ถือว่าเป็นสไตล์โปรดของเธอก็ว่าได้ ชอบใส่กระโปรงมากกว่ากางเกง แต่ในบางคราว เมื่อเธอรู้สึกตัวเธอก็สวมกางเกงอยู่ รองเท้าบูทนั้นก็เป็นอีกอย่างที่เธอชื่นชอบเช่นกันเนื่องจากเห็นว่ามันสะดวกกว่าส้นสูงมากๆ มักจะสะพายกระเป๋าไว้เพื่อเก็บของต่างๆ ทั้งทั้งยางรัดผม สมุดบันทึก แว่นตา และสีพรางหน้าแบบทหารซึ่งเธอก็ไม่มั่นใจว่ามันมาได้ยังไง ลักษณะท่าทางของเธอดูเป็นคนที่ร่าเริง แต่ก็มีความไม่มั่นใจปนอยู่มากและซึมเศร้าแฝงอยู่ลึกๆ ภายในจนยากจะสังเกต

    เมื่อบุคลิกอื่นได้ครอบครองร่างกายของเธอนั้น พวกเขาเหล่านั้นจะเปลี่ยนแปลงการแต่งตัวหรือบุคลิกของเธอเสียใหม่ หากเฟย์ได้ครอบครองร่าง เธอนั้นจะจัดทรงผมให้มันสะดวกไม่เกะกะการออกท่าทาง ใช้สีพรางหน้าของทหารที่อยู่ในกระเป๋าละเลงไปยังใบหน้าราวกับกำลังอยู่ในสนามรบ แววตาของเธอจะดูแข็งกร้าวและรุนแรงมากขึ้น รอยยิ้มที่แสดงถึงความมั่นใจจะปรากฎบนหน้าของเธอ และจะพับแขนเสื้อขึ้นเพื่อความสะดวกหรือหากกำลังเปลี่ยนชุด เธอคนนี้จะใส่เป็นชุดทหารของรัสเซียที่ถูกยัดไว้ในซอกหลีบของตู้เสื้อผ้า

    หรือถ้าเป็นฟลินน์ แว่นตาที่ถูกเก็บไว้ในกระเป๋าจะถูกนำมาสวมในทันที แววตาที่สร้างความกดดันและดูราวกับกำลังพิจารณาผู้ที่กำลังถูกมองอยู่ รอยยิ้มพิศวงที่ชวนไม่น่าไว้วางใจเท่าไหร่นัก และบุคลิกที่จะดูสง่างามและน่าเกรงขามขึ้นอย่างน่าประหลาด สมุดบันทึกในกระเป๋าจะถูกหยิบเตรียมขึ้นมาไว้บนมือเพื่อให้ใช้ได้อย่างสะดวกและทันที ถ้าเปลี่ยนชุดได้ เขาจะเปลี่ยนไปใส่ชุดสูทสีดำที่ดูเป็นทางการและให้ความน่าเชื่อถือ

    ส่วนฟรานนั้นเมื่อได้ร่างแล้ว ใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มอันแสนเป็นมิตร และเปล่งประกายอย่างน่าประหลาด หลังจากที่เธอได้ลิ้มรสเลือดแล้วเธอนั้นดูแข็งแกร่งและน่าสะพรึงกลัวมากขึ้น รอยยิ้มของเธอนั้นจะกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะเรียกได้ว่ากำลังฉีกยิ้มเหมือนกำลังสนุกสนานกับการฆ่า ผมที่ถูกรวบอยู่จะถูกปล่อยออกมา และชุดที่เธอใส่อยู่นั้นจะถูกฉีกออกให้คล่องตัวมากที่สุด หากใส่กระโปรงยาว มันจะถูกฉีกออกจนเธอเคลื่อนไหวได้ง่าย หรือแขนเสื้อที่รุ่มราม ก็จะถูกฉีกทิ้งราวกับกระดาษ แต่หากเธอได้โอกาสเปลี่ยนชุด เธอจะใส่เป็นกางเกงยีนส์และเสื้อเอวลอยที่โชว์ถึงสัดส่วนต่างๆ ของเธอให้เห็นได้ชัดเจนเหมือนต้องการอวดมันต่อสายตาประชาชี

    และคนสุดท้าย ผู้จัดการ เธอคนนี้จะไม่ยุ่งอะไรเลยเกี่ยวกับการแต่งกายของโมนิก้า แต่จะมีออร่าที่ดูสงบนิ่งและน่านับถือลอยออกมา ท่าทางต่างๆ ราวกับชนชั้นสูงที่ถูกฝึกฝนมาอย่างดี รอยยิ้มอันอบอุ่นและเป็นกันเองนั้นก็จะถูกนำมาใช้ด้วย แต่ว่าเมื่อผู้จัดการได้ครองร่างแล้ว ดวงตาของร่างนี้จะหลับลงและไม่ลืมตาขึ้นมาจนกว่าผู้จัดการจะปล่อยการควบคุม 


    จุดที่มีตราผู้วิเศษปรากฏ : ข้างลำตัวเหนือช่วงเอว


    ปีศาจที่หวาดกลัวมากที่สุด : เฟธ - เลวิอาธานซึ่งเป็นตัวแทนของความริษยา 

    เฟย์ - ซาตานซึ่งเป็นตัวแทนของความโกรธ

    ฟลินน์ - แมมม่อนซึ่งเป็นตัวแทนของความโลภ

    ฟราน - อัสโมเดียสซึ่งเป็นตัวแทนของตัณหา

    ผู้จัดการ - ลูซิเฟอร์ซึ่งเป็นตัวแทนของความเย่อหยิ่ง 

     

    อายุ : 21 ปี  


    อุปนิสัย : 

    เฟธ - บุคลิกหลักของเธอ ซึ่งหลายๆ ครั้งเมื่อถูกบุคลิกอื่นเข้าครอบครองร่าง ความทรงจำจะตัดไป ทำให้เธอคิดว่าตัวเธอนั้นเป็นโรคความจำเสื่อม

    [เสแสร้งว่าเข้มแข็ง]

             เฟธเป็นหญิงสาวที่ดูร่าเริงอยู่ตลอดๆ ไม่ว่าจะด้วยน้ำเสียงที่สดใส ท่าทางลักษณะต่างๆ ของเธอ รอยยิ้มอันสดใสที่เปล่งประกายอยู่บนใบหน้าอันงดงามนั้นช่วยให้เธอดูราวกับเป็นเด็กน้อยที่กำลังสนุกสนานและมีความสุข ความร่าเริงของเธอนั้นมันดูราวกับไม่มีที่สิ้นสุดและไม่อาจทำให้มันหายไปได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด เป็นคนที่ชอบเข้าไปทักทายคนอื่นก่อนเสมอและชอบที่จะฟังคนอื่นพูดเรื่องของเขา/เธอคนนั้นมากกว่าต้องมารับฟังเธอ

             ที่เธอทำแบบนี้ไม่ใช่เพราะว่าเธอนั้นร่าเริงจริงๆ หากสังเกตดีๆ แววตาของเธอนั้นจะมีความเศร้าซ่อนอยู่ภายใน เธอแค่แสร้งทำเป็นว่าเธอโอเค เธอไม่เป็นไร เธอยังคงยืนไหวให้กับชีวิตอันมืดมนนี้โดยที่ไม่ต้องการลากคนอื่นเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย เพราะเธอคิดว่าการทำแบบนั้นมันเหมือนเป็นการสร้างปัญหาให้คนอื่น

    [โอบอ้อม]

    เฟธนั้นเป็นคนที่ชอบที่จะแก้ไขปัญหาของคนอื่นหรือเป็นที่ปรึกษาในหลายๆครั้ง เธอเป็นคนประเภทที่แคร์คนอื่นมากเกินไป โดยที่แทบจะไม่แคร์ตัวเองเลย เธอนั้นชอบที่จะช่วยเหลือคนอื่นจนคำพูดติดปากของเธอจะกลายเป็นคำว่า “มีอะไรให้ช่วยไหม” อยู่แล้ว นอกจากนี้เธอยังมีนิสัยที่เป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ และการแบ่งปันเป็นเหมือนสิ่งที่เธอชอบทำย่างมาก ไม่ใช่แค่กับคน กับสัตว์ก็เช่นกัน

    แต่บุคลิกนี้มันก็เกินไปหลายอย่าง เธอนั้นให้อภัยคนได้ง่ายๆ ราวกับมันไม่มีอะไร ต่อให้เธอโดนทรมาณเป็นปีๆ โดนด่าทอ ดูหมิ่นหรือดูถูกต่างๆ มากมาย เธอนั้นก็ยิ้มรับและเอ่ยคำว่า “ไม่เป็นไร” ออกมาเสมอ เพราะตัวเธอเองนั้นเชื่อว่าตัวเธอเองไม่มีค่าพอที่จะโกรธหรือเกลียดพวกเขาเหล่านั้น เธอมันแค่ตัวไร้ค่าที่ไม่มีใครต้องการ การที่เธอมาโกรธหรือเกลียดพวกเขา/เธอเหล่านั้นมันก็เหมือนเป็นการยกตัวที่สูงเกินไปเสียหน่อย เธอก็แค่อยากจะเป็นคนดีในสายตาของคนอื่นเท่านั้นเอง

    [ใจดีและชอบช่วยเหลือ]

    เฟธเป็นหญิงสาวที่เรียกได้ว่าใจดี และใจดีจนเกินไป เธอพยายามจะช่วยเหลือทุกคนเท่าที่ทำให้แม้ว่านั่นจะทำให้เธอลำบากทั้งกายและใจก็ตาม แต่นั่นก็ทำให้เธอได้รับความยินดีของผู้อื่นที่เธอช่วยเหลือและพอจะช่วยเยียวยาจิตใจของเธอได้บ้างไม่มากก็น้อย

    แต่ว่าผู้คนที่เธอช่วยเหลือนั้นไม่ได้มีแค่คนดีเสมอไป เธอช่วยทุกคนที่เธอเห็นและนั่นก็นำพาสถานการณ์เลวร้ายต่างๆ มาสู่เธอในบางครั้ง ทั้งการหลงเข้าไปในกับดักและเกือบจะถูกข่มขืน หรือโดนปล้นเมื่อช่วยเหลือคนแปลกหน้าที่ทำเป็นสลบ หากไม่มีบุคลิกอื่นๆ เธออาจไม่รอดมาจนถึงวันนี้ หรือในบางครา คนที่เธอช่วยไว้ ก็หันกลับมานินทาและแว้งกัดเธอเสียเอง หรือตอกย้ำว่าการช่วยเหลือของเธอนั้นไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย

    และหลายๆ คนที่เธอช่วยนั้นมักจะชอบบอกว่าเธอเป็นแค่คนโกหก การที่เธอช่วยพวกเขามันก็แค่เพราะว่าเธอต้องการยกตัวตนของเธอให้มันสูงขึ้น ไม่ได้เพราะห่วงใยหรืออะไรเลย ทั้งๆ ที่ความต้องการช่วยเหลือพวกนี้มันออกมาจากใจไม่มีสิ่งอื่นเจือปนเลยแม้แต่น้อย เธอก็ทำได้แค่ปล่อยให้มันผ่านไปโดยไม่โต้แย้งหรือว่ากล่าวอะไร เธอนั้นอยากจะเป็นคนดี แล้วมันผิดตรงไหนล่ะ

    [หวาดหวั่น]

    เฟธนั้นรองรับแรงกดนั้นได้น้อยมากจนถึงน้อยที่สุด แค่คำพูดสองสามคำก็ทำให้เธอซึมไปตลอดทั้งสัปดาห์หรือมากกว่านั้น มันเหมือนเป็นการตอกย้ำความไร้ค่าของตัวเธอให้มากขึ้นไปอีก ว่าตัวของเธอนั้นไม่มีค่าพอที่จะอยู่บนโลกนี้ หากไม่มีเธอไปอะไรๆ คงจะดีขึ้นกว่านี้ และเธอก็คิดมากกับเรื่องพวกนี้เสียด้วย 

    หากเธอซึมไปแล้วมันจะเหมือนเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ เมื่อเธอได้ยินคำที่คล้ายกำลังจะด่าหรือผิดหวังในตัวเธอก็จะนำไปคิดว่านั่นหมายถึงเธอ แม้ว่าจะไม่ได้กล่าวถึงตัวเธอก็ตาม หรือหากร้ายแรงกว่านั้น แค่คำพูดธรรมดาที่ไม่มีความหมายในเชิงนั้นเธอก็ยังนำไปคิดว่าเป็นการพยายามขับไล่เธออย่างอ้อมๆ ได้เลย


    [กลัวเกินกว่าจะขอความช่วยเหลือ]

    เฟธนั้นไม่ชอบเลยที่จะต้องขอความช่วยเหลือคนอื่นหรือแสดงความอ่อนแอออกมาให้เห็น เธอกลัวว่าคนที่ช่วยเธอนั้นไม่ได้ทำด้วยความเต็มใจและกำลังรังเกียจเธอ แต่ต้องช่วยเพราะจำยอม ควมคิดลบจำพวกนี้จะวนเวียนอยู่ในสมองของเธอตลอดเวลา

    เธอจึงพยายามหลีกเลี่ยงการที่คนอื่นจะมาช่วยอยากถึงที่สุด ปากของเธอก็พร่ำบอกว่าไม่เป็นไร ถึงจิตสำนึกส่วนลึกที่สุดของเธอกำลังพยายามร่ำร้องเรียกหาความช่วยเหลือ เธอกลัวเกินไปกว่าที่จะเอ่ยปากออกมา กลัวว่าจะเป็นตัวภาระ กลัวว่าจะขัดขวางความเจริญคยอื่ย กลัวว่าเธอทำคนที่เข้ามาช่วยต้องรับเคราห์ด้วย ทำให้เธอนั้นได้แต่ยิ้มและทำเป็นเข้มแข็งต่อไป

    [ซุ่มซ่าม]

    ความซุ่มซ่ามของเธอนั้นมีมากจนอาจจะทะลุหลอดไปแล้ว เธอสามารถทำให้ทุกอย่างหลุดจากมือหรือแม้กระทั่งสะดุดล้มแม้แต่ในที่ๆ มีการปูยางกันลื่นไว้อย่างดีแล้ว นั่นก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เธอมักจะบาดเจ็บบ่อยๆ และเมื่อเธอทำอะไรทำนองนั้นไปแล้วก็จะพยายามจะขอโทษอยู่เรื่อยๆ จนกว่าจะพอใจแม้ว่าเธอจะได้รับคำให้อภัยไปแล้วก็ตาม ความซุ่มซ่ามนี้ในบางครั้งก็จะทำให้คนรอบตัวพลอยได้รับผลกระทบไปด้วยบ่อยๆ เธอจึงพยายามอย่างมากที่จะระมัดระวัง แต่เหมือนเป็นชะตากรรม เพราะมันไม่ได้ช่วยอะไรเลย

    [อยากที่จะเป็นคนที่ดี]

    ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคนที่ดีในความหมายของเธอนั้นหมายถึงอะไร เธอนั้นยอมทนทั้งคำนินทา ดูหมิ่นว่าร้าย หรือแม้แต่การอดทนต่อความเจ็บปวดและความเหนื่อยล้า เพื่อช่วยเหลือผู้คน แต่ทำไมเธอถึงไม่ถูกยอมรับว่าเป็นคนดีล่ะ ทำไมทุกคนถึงเอาแต่บอกว่าเธอมันแค่เสแสร้ง เธอมันไม่มีความจริงใจ เธอแค่อยากจะยกตัวตนของตัวเองให้สูงกว่าพวกเขาเหล่านั้น แต่นั่นก็ไม่ทำให้เธอยอมแพ้ เธอจะยังคงพยายามต่อไปเพื่อที่จะเป็นคนดีให้ได้ แม้ว่าคนทั้งโลกจะเกลียดเธอก็ตาม

    [ต้องการความรักและห่วงใย]

    เฟธนั้นต้องการความห่วงใยและคำปลอบโยนจากผู้อื่นอยู่เสมอ นั่นเป็นไม่กี่สิ่งที่คอยหล่อเลี้ยงจิตใจของเธอไม่ให้มันแตกสลายไปมากกว่านี้ มันเป็นเหมือนเชื้อเพลิงในการขับเคลื่นชีวิตน้อยๆ ของเธอให้ก้าวเดินต่อไปได้ และแสงสว่างไม่กี่สิ่งในชีวิตของเธอ คำปลอบโยนเหล่านี้มักจะมาจากไม่กี่ที่โดยเฉพาะคนที่รู้ว่าความจริงเธอเปราะบางขนาดไหน 

    มันเป็นเหมือนห่วงที่คอยรั้งเธอไว้ไม่ให้เธอจมลงสู่ความมืดมิดและสิ้นหวัง หากใครก็ตามที่ให้ความห่วงใยกับเธอแล้ว เฟธจะพยายามทำทุกทางเพื่อให้คนๆ นั้นคอยเป็นแสงสว่างในชีวิตของเธอ และคอยช่วยเหลือในทุกสิ่งที่เธอจะสามารถทำได้

    [อิจฉา]

    ในอดีตเธอนั้นอิจฉาทุกคนที่เธอเห็น เธอคิดว่าทุกคนนั้นล้วนแล้วแต่ได้รับความรักความอบอุ่น ไม่เหมือนกับเธอ สิ่งที่เธอได้ในวัยเยาว์นั้นมีแต่ความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมาณ แต่เมื่อเธอได้เติบใหญ่ขึ้นแล้วเธอก็รู้ว่าใช่ในชีวิตทุกคนจะสวยงามเสมอไป บางคนอาจจะมีชีวิตที่เลวร้ายกว่าเธอด้วยซ้ำ ทำให้ความรู้สึกนี้ถูกเก็บไว้ในส่วนลึกของจิตใจ แต่มันก็พร้อมที่จะออกมาทุกเมื่อหากถูกกระตุ้นโดยสิ่งเร้าภายนอก และยังรวมถึงการเป็นคนดีด้วย บางคนนั้นถูกยกยอให้เป็นคนดี แต่ทำไมมันไม่ใช่เธอ ทั้งๆ ที่เธอพยายามจะช่วยเหลือทุกคน เธอต้องการจะให้ทุกคนมีความสุข ทำไมเธอถึงไม่ได้มีอะไรแบบนั้นบ้างล่ะ

    ความอิจฉานั้นเหมือนเป็นระเบิดที่ซ่อนอยู่ในจิตใจของเธอ เมื่อมันออกมาแล้วมันจะทำลายล้างทุกสิ่งด้วยความอิจฉา ทำไมทุกคนถึงคิดว่าเธอเป็นคนเสแร้งล่ะ ทำไมทุกคนไม่คิดว่าเธอเป็นคนดีล่ะ ทำไมถึงคิดว่าคนนั้นเป็นคนดีล่ะ ต้องไม่มีใครที่ได้มากไปกว่าเธอ ต้องไม่มีใครที่มีความสุขไปกว่าเธอ ต้องไม่มีใครที่ก้าวล้ำไปกว่าเธอ ต้องไม่มีใครได้รับความรักไปมากกว่าเธอ

    [วิปลาส]

    มันเหมือนเป็นอาการที่จะออกมาเมื่อความอิจฉาในส่วนลึกนั้นถูกกระตุ้นออกมา เธอนั้นจะควบคุมไม่ได้อีกต่อไป เหมือนเป็นการปลดปล่อยสัตว์ร้ายออกมาจากกรงขัง เฟธจะทำทุกอย่างที่เธอนั้นพอใจที่จะทำ เธอจะเจาะมือเพื่อดูว่ากระดูกตนเองน่าตาเป็นยังไง เธอจะใช้นิ้วล้วงไปในลูกตาตัวเองเพื่อดูว่ามันรู้สึกยังไง เธอจะทำร้ายทุกคนที่เธออิจฉาให้ต่ำต้อยไปกว่าเธอ และเธอจะไม่หยุดง่ายๆ จนกว่าจะพอใจ ทั้งการใช้วิธีทรมาณเหมือนที่เธอประสบมาตอนเด็ก หรือการใช้คัตเตอร์กรีดหน้าท้องและควักไส้ออกมาทั้งเป็น พร้อมทั้งถามว่า “ฉันเป็นคนดีพอหรือยัง”

    อาการที่เมื่อมันออกมาแล้วจะทำให้สงบได้มีหลายวิธี ทั้งรอให้เธอพอใจ ทำให้เธอสลบไป หรือให้บุคลิกอื่นมายึดร่างของเธอ แต่ว่าการที่จะยึดร่างของเธอในสภาวะวิปลาสนั้นทำให้ยากมาก แม้แต่ผู้จัดการก็ต้องใช้ความพยายามอย่างสูงหรือแม้กระทั่งร่วมมือกับฟรานเพื่อยึดร่างของเธอมา และเมื่อเธอฟื้นคืนจากอาการนั้นแล้ว เธอจะจำไม่ได้ว่าตัวเธอทำอะไรลงไป เฟธนั้นจะรู้สึกเหมือนเธอพึ่งดูภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ทั้งๆ ที่นั่นมันคือความจริง อาการนี้ออกมาแค่ครั้งเดียว และไม่ออกมาหลายปีแล้ว


    เฟย์ - บุคลิกต่อสู้ บุคลิกนี้จะทำหน้าที่เหมือนบอร์ดี้การ์ด เมื่อเกิดการต่อสู้จะทำให้บุคลิกนี้ออกมาเพื่อปกป้องจากอันตราย แต่ก็ออกมาเวลาปกติได้เช่นกันหากผู้จัดการอนุมัติ


    [บ้าดีเดือด]

    เฟย์เป็นบุคลิกที่เลือดร้อนและหุนหันพลันแล่น เมื่อเลือดขึ้นหน้าแล้วไม่ว่าอะไรก็หยุดเธอไม่ได้ และก็บ้าพอที่จะทำอะไรเสี่ยงอันตรายเสมอๆ เช่นการยืนบนหลังคารถหรือกระโดดจากชั้นสามของตึก โดยในบางครั้งเธอก็ลืมนึกถึงความสามารถทางกายภาพของร่างนี้ทำให้เกิดอันตรายได้ในบางครั้ง

    แต่ความบ้าของเธอนั้นก็เป็นประโยชน์อยู่เหมือนกัน เพราะอะไรๆ ที่คนอื่นไม่กล้าทำมันก็อาจจะเป็นทางออกของสถานการณ์นี้ เหมือนพระเอกหนังแอคชั่นที่มีการทะลุหน้าต่าง โดดจากสะพาน หรือขับรถแบบผาดโผน และด้วยความบ้านี้ทำให้หลายต่อหลายครั้งเธอก็รอดมาได้

    [อารมณ์ร้อน]

    เหมือนกับพวกนักเลงหรือแยงกี้ เฟย์นั้นเป็นบุคลิกที่เดือดได้ง่ายมาก แค่อะไรมากระทบกระเทือนนิดๆ หน่อย ร่างกายก็พร้อมที่จะปะทะอยู่เสมอ เธอมักจะบ่นอยู่ตลอดๆ กับทุกเรื่องที่ขัดใจหรือว่าไม่พอใจ รวมถึงยังพูดกับคนที่ตัวเองไม่ชอบอย่างน่าตาเฉยว่าไม่ชอบ ไม่มีการถนอมรักษาน้ำใจใดๆ ไว้เลย ทำให้พาลจะโดนเกลียดขี้หน้าอยู่บ่อยๆ และกระทบถึงบุคลิกหลักด้วย

    นอกจากนี้ความอดทนของเธอนั้นยังต่ำเตี้ยเรี่ยดินจนแทบจะเรียกได้ว่ามุดได้มุดไปแล้ว แค่การรอคอยอะไร 5 นาทีเธอรู้สึกเหมือนว่ามันยาวนานเป็น 5 วัน ทำให้มีความชอบที่ต้องการอะไรที่มันสะดวกและรวดเร็วอย่างเช่นของจำพวกฟาสต์ฟู้ดที่กินเป็นประจำ แต่นั่นก็ทำให้เกิดความผิดพลาดต่างๆ ได้ง่ายจากความใจร้อนจนทำให้ไม่ทำตามแผนการที่วางเอาไว้เลย

    [ตรงๆ ไม่อ้อมค้อม]

    เฟย์เป็นคนที่พูดตรง เห็นอะไรก็พูด เห็นอะไรก็ทักโดยไม่แม้แต่พยายามเปลี่ยนแปลงทำพูดให้ซอฟต์ลงหรือเงียบไว้บ้างก็ดี เธอนั้นไม่ค่อยถนอมน้ำใจคนอื่นนักและไม่ชอบให้ใครมาเล่นลิ้นหรือว่าทำตัวหลอกลวงกับเธอเช่นกัน หากเธอเจอคนแบบนั้นเมื่อไหร่ก็พร้อมจะเอาหมัดของเธอกระแทกหน้าเข้าจังๆ โดยไม่สนใจสถานที่หรือเวลาเกิดเหตุแม้แต่น้อย ขนาดอยู่กลางห้องเธอยังชกหน้าคนๆ นั้นได้แบบไม่เกรงกลัวสิ่งใด

    นั่นทำให้เธอมีความขัดแย้งกับบุคลิกอย่างฟลินน์อย่างมากจนอยากจะซัดหน้ากันทุกครั้ง ไอ้บุคลิกเหมือนพวกต้มตุ๋นแบบนั้นใครจะไปชอบกัน? แต่ติดที่ว่าที่ซัดไปนั่นมันคือหน้าตัวเอง เลยทำให้ได้แค่เก็บความรู้สึกเอาไว้ในใจและระบายออกมาผ่านทางคำพูดเท่านั้น

    [มีอารมณ์ขัน แต่เล่นมุขฝืด]

    เป็นคนที่มีอารมณ์ขันและเส้นตื้นอย่างมาก มุขบางมุขที่คนอื่นเขาไม่ฮากัน แต่เฟย์กลับลงไปนอนกลิ้งหัวเราะแล้วทั้งๆ ที่ก็ไม่แน่ใจว่ามันตลกตรงไหนหรือมีอะไรให้ตลก พยายามจะสร้างบรรยากาศที่ดีในเวลาสนทนากับผู้อื่นด้วยการเล่นมุขตลกฝืดๆ ของตนเอง แต่ก็นั่นแหละ มันฝืดเกินจนหัวเราะไม่ออกเลย

    มุขที่ชอบเล่นคือ”ของดีรัสเซีย” ซึ่งไม่แน่ใจว่าของดีรัสเซียที่หมายถึงคืออะไร อาก้า? มาคารอฟ? หรือวอดก้ากันแน่ แต่เธอนั้นเล่นมุขนี้บ่อยมาก วิธีเล่นก็ง่ายๆ เอาประโยคมาซักประโยคแล้วยัดคำว่าของดีรัสเซียเข้าไป เช่น “กินๆ เข้าไปเหอะน่า หรือจะโดนของดีรัสเซียยัดปาก” ซึ่งไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะโดนอะไรยัดปากหากไม่ยอมกิน ถ้าเอามาคารอฟมายัดปากคงขำไม่ออก

    [ชอบดื่มเหล้า]

    วอดก้ากับชาวรัสเซียนั้นถือว่าเป็นของคู่กันก็ว่าได้ เฟย์นั้นสามารถกระดกวอดก้าได้ทุกที่ทุกเวลา ทั้งเช้า กลางวัน เย็น หรือก่อนนอนราวกับน้ำเปล่า หรือถ้าทำได้เธอคนเทอาบไปแล้ว เธอนั้นคอเแข็งมากจนทำให้การเมาจนขาดสติแทบไม่เคยเกิดขึ้นเลย แต่ในบางครั้งเธอก็พยายามจะยัดเยียดให้คนอื่นดื่มโดยกรอกใส่ปากทั้งๆ ที่รู้ว่าดีกรีขนาดนั้นคนคออ่อนมีหวังสลบแน่ๆ วอดก้านั้นเป็นเหมือนของคู่ชีวิตของเธอ ขาดไม่ได้ หากขาดวันใดก็เหมือนกับปลาที่ขาดน้ำ

    [ยุติธรรม]

    แต่ยังไงก็ตาม บุคลิกนี้เป็นบุคลิกที่มีความยุติธรรมมากที่สุด เฟย์ที่อยู่ในบุคลิกนี้จะไม่ทำร้ายคนที่ไม่มีทางสู้ หรือว่ายอมแพ้ไปแล้ว รู้ดีว่าอะไรถูกอะไรผิด ไม่ทำร้ายคนพร่ำเพื่อแต่จะทำเท่าที่จำเป็นต้องทำ ยอมหักไม่ยอมงอ ไม่ชอบการโกงหรือการดูหมิ่นคนอื่น หากเธอได้เห็นของพวกนี้แล้วจะเรียกว่ายอมรับไม่ได้เลยก็ว่าได้ นั่นก็เป็นอีกสาเหตุที่ไม่ชอบบุคลิกอย่างฟลินน์เท่าไหร่นัก  

    [อาฆาต]

    หากเธอโกรธใครไปแล้ว ความโกรธนั้นจะติดตัวอยู่ตลอดเวลาจนกว่าจะแก้แค้นได้สำเร็จ และนั่นก็ยังแสดงกับคนที่อยู่รอบตัวด้วย คนที่อยู่รอบตัวจะถูกใช้เป็นสนามอารมณ์เมื่อระบายอารมณ์โกรธของเธอออกมา การที่เธอจะหายโกรธได้นั้นฟังดูไม่ยาก แต่ความเป็นจริงแล้วมันยากมาก คือการทำให้เธอนั้นพอใจกับผลลัพธ์นั้น ไม่ว่าจะเป็นการซ้อมคนที่เธอโกรธ ดุด่าหรืออะไรก็็ตาม ในบางครั้งอาจจะถึงขั้นฆ่าแกงกันได้ ตอนนี้เธอพยายามลดลงมาหน่อยแล้วนั่นก็คือแค่ขอโทษก็พอ

    แต่มันยังคงติดตัวไปตลอด เมื่อใดก็ตามที่ถูกกระทบหรือปั่นหัวมากๆ เข้าจนโกรธจัด มันจะไม่จบแค่การขอโทษ แต่จะกลับคืนสู่แบบเดิม คือจนกว่าจะพอใจ นี่เป็นอีกจุดอ่อนหนึ่งของเธอเลยก็ว่าได้ เพราะเมื่อโกรธแล้วจะไม่ฟังใครทั้งนั้น ทำตามความคิดตนโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้างเลย


    ฟลินน์ - บุคลิกประสานงาน บุคลิกนี้เป็นเหมือนมือขวาของผู้จัดการ คอยจัดการและประสานกับผู้จัดการว่าควรให้บุคลิกไหนออกมา และจะออกมาเวลาที่ต้องเจรจาต่อรองหรือถูกกดดันมากๆ รวมถึงเป็นคนที่คอยจดบันทึกด้วยว่าแต่ละบุคลิกทำอะไรลงไปบ้างเพื่อไม่ให้บุคลิกหลักสับสน แต่จะกรองมาแต่เฉพาะอันที่บุคลิกหลักรับได้เท่านั้น รวมถึงออกมายามปกติได้หากผู้จัดการอนุมัติ เป็นบุคลิกเดียวที่เป็นผู้ชาย


    [ใจเย็นและอดทนสูง]

    ฟลินน์เป็นประเภทที่มองภาพรวมมากกว่าภาพในมุมแคบหรือระยะสั้น ทำให้เขานั้นมีความใจเย็นและอดทนสูงมาก การรอเป็นปีๆ อาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสำหรับเขา นอกจากนี้ยังทนรับแรงกดดันได้อย่างมหาศาลราวกับไม่ทุกร้อนใดๆ เลย ความอดทนต่อความเครียดของเขานั้นสูงมากจนอาจจะพูดได้ว่าสูงเกินไปจนเหมือนไม่ใช่มนุษย์

    [เจ้าเล่ห์เพทุบาย]

    จิ้งจอกอสรพิษ คำๆ นี้คงเหมาะกับเขาเป็นอย่างยิ่ง เขานั้นอาจจะเรียกได้ว่าเป็นจอมบงการตัวฉกาจ กลิ้งกลอกไปมาหาความจริงใจไม่ได้ ใช้กลโกงทุกอย่างเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ เล่ห์เหลี่ยมมากมาย หากถูกทำลายไปหนึ่ง จะมีเพิ่มมาอีกสอง ราวกับมันอยู่ในหัวเขาตลอดเวลา โกหกได้อย่างง่ายดายเหมือนกับการหายใจเข้าออก 

    [โกหกเก่ง]

    ฟลินน์นั้นมีความสามารถในการโกหกที่สูงมาก เขาสามารถโกหกได้อย่าแนบเนียน เพราะเขานั้นโกหกอยู่เกือบจะตลอดเวลา การที่จะจับโกหกเขานั้นเป็นอะไรที่ยากมาก หรือต่อให้คุณรู้ว่าโกหก เขาก็ไม่ได้สะทกสะท้านอะไรเลยแม้แต่น้อยเพื่อให้คุณได้สงสัยว่านั่นมันคำโกหก หรือความจริงกันแน่ แต่นั้นก็เป็นการโกหกเพื่อปกป้องตนเอง และหากอยู่ข้างเดียวกับเขา การโกหกของเขาจะไม่ทำร้ายคุณเป็นอันขาด

    [ใช้คนเป็นและอ่านคนออก]

    ใช้คนให้ถูกงานเป็นสิ่งที่ถูกสอนในการบริหารทรัพยากรบุคคล หากไม่ทำเช่นนั้นก็เหมือนกับเอาหมอไปตัดหญ้า เอาวิศวะไปว่าความ และนั่นทำให้ฟลินน์ฝึกฝนจนอ่านคนออกได้ง่ายดายราวกัยมีตัวหนังสือเขียนอยู่บนใบหน้า เพื่อที่เขาจะได้ใช้คนได้ถูกต้องและได้ประโยชน์จากการบริหารทรัพยากรอย่างสูงที่สุด

    คนที่ถูกฟลินน์ใช้งานนั้นจะไม่มีใครได้รับรู้ข้อมูลทั้งหมด แต่จะรู้แค่เพียงส่วนเล็กๆ เกี่ยวกับเนื้องานของตนเองพอ ทำให้โอกาสที่ข้อมูลจะรั่วนั้นเป็นไปได้ยากมาก นอกจากนั้นเขายังสามารถรับรู้เจตนาและจุดประสงค์ของการกระทำต่างๆ ที่คนๆ นั้นทำ หรือล่วงรู้ความคิดเลยก็ได้หากไม่ปกปิดมันให้เนียนพอ

    [วาทะศิลป์เป็นเลิศ]

    คำพูดเป็นเหมือนอาวุธของนักเจรจา คำพูดของฟลินน์นั้นสามารถชักจูงบุคคลอื่นได้อย่างง่ายดาย ด้วยลีลาการพูดที่ให้ความรู้สึกน่าเคารพและเกรงขามไปพร้อมๆ กัน หรือแม้แต่การใช้น้ำเสียงและท่าทางที่ทำได้อย่างยอดเยี่ยมราวกับเป็นนักพูดชั้นหนึ่ง ทำให้เขาสามารถขายน้ำแข็งให้ชาวเอสกิโมได้เลยล่ะ

    ด้วยคำพูดนั้น ทำให้เขาชอบที่จะบงการและปั่นหัวคนอื่นเล่นเพื่อความสนุกส่วนตัว โดยไม่ได้ใส่ใจกับผู้ที่ถูกกระทำด้วยซ้ำว่าเขาหรือเธอคนนั้นจะรู้สึกยังไง แต่ก็นะ บางคนยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังถูกบงการหรือปั่นอยู่

    [พลิกลิ้น]

    เขาสามารถกลับคำพูดของเขาได้ง่ายๆ โดยไม่มีความละอายใจใดๆ ราวกับทำอยู่ทุกวัน หากไม่มีหลักฐานมาต้อนให้เขาจนมุมเขาก็จะไม่มีทางยอมรับเด็ดขาดว่าเขาได้พูดออกไปและนั่นทำให้ความเชื่อใจในตัวเขาหาไม่ได้เลย ต้องใช้ยันต์กันผีอย่างสัญญาทุกครั้งหากต้องการให้เขารับปากอะไร

    [ย้ำคิดย้ำทำ]

    เป็นพวกที่เมื่อทำอะไรแล้วจะต้องทำให้สุด หยุดกลางคันไม่ได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม อย่างเช่นเมื่อเขากำลังล้างมืออยู่ ต่อให้น้ำไม่ไหล เขาก็จะล้างมืออยู่ในท่านั้นต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเสี็จสิ้นกระบวนการล้างมืออย่างถูกหลักอนามัย 

    นอกจากนี้ตัวเขาเองก็ยังเป็นคนที่รอบคอบจนน่าปวดหัว ไม่มีคำว่าพอในการตรวจทานของเขา เขาสามารถตรวงสิ่งต่างๆ เป็นพันๆ ครั้งได้โดยไม่เบื่อหรือเหนื่อยเลย

    [เครียด]

    ถึงเขานั้นจะดูชิลล์ๆ อยู่ตลอดเวลา รอยยิ้มของเขาก็จะปรากฎอยู่บนหน้าเสมอไม่ว่าตอนไหน ราวกับไม่เคยรู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลย แต่ในบางครั้ง หากถึงคราวที่ความชห.มันมาเยือนจริงๆ ความเครียดของเขาจะพุ่งสูงขึ้นเป็นอยากมากจนอาจทำให้ปวดหัวไมเกรนได้เลย และก็จะมีนิสัยที่ชอบกัดเล็บตัวเองเวลาเครียดๆ ซึ่งทำให้ผู้อื่นสังเกตเห็นท่าที่ที่ไม่ดีจากเขาได้

    [ไม่ดูหมิ่นคนอื่น]

    เขาไม่เคยดูหมิ่นใครเลย มีความเชื่อที่ว่าทุกคนบนโลกนี้ล้วนมีหนทางของตัวเองที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ อยู่ที่ว่าจะหาเจอหรือไม่ ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่คิดที่จะดูถูกใคร เพราะหากคนที่ดูถูกไปได้ดีกว่าตัวเองขึ้นมาก็คงจะจบไม่สวยแน่นอน

    ดังนั้นแล้วทำให้เขามองคนที่ความสามารถมากกว่าอำนาจหรือฐานะ เขาปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกันไม่ว่าจะจนหรือรวย มีอำนาจมากหรือไร้อำนาจ พิการหรือปกติ คนดีหรือคนเลว ทุกคนในสายตาเขาล้วนแล้วแต่เป็นมนุษย์เหมือนกัน

    [คุณชาย]

    บุคลิกของเขานั้นอาจจะเปรียบกับคุณชายได้ไม่ยาก ทั้งชื่นชอบของหรูๆ และความเนี๊ยบ เขานั้นใช้เงินจำนวนมากหมดไปกับเรื่องพวกนี้จนทำให้ถูกบุคลิกอื่นตำหนิอยู่บ่อยๆ เรื่องการสิ้นเปลืองของเขา แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อมันเป็นเหมือนนิสัยติดตัวอยู่ตลอดเวลาซึ่งยากจะแก้ไข

    เขานั้นมีความรู้สึกที่ไม่ดีทุกครั้งเวลาต้องใช้ของราคาถูกๆ เขาให้เหตุผลว่าเหมือนกำลังโดนกดให้ต่ำอยู่เลย ดังนั้นหากเป็นของราคาถูกล่ะก็เขาจะไม่แตะเป็นอันขาด

    [โลภและรักผลประโยชน์]

    ฟลินน์นั้นเป็นบุคลิกที่มีความโลภสูงเป็นอย่างมาก เขานั้นยอมที่จะทำทุกอย่างเพื่อเงินและผลประโยชน์แม้ว่ามันจะชั่วช้าแค่ไหนก็ตาม ถึงในตอนนี้ จากคำแนะนำของผู้จัดการและเฟย์ที่พยายามจะซัดหน้าเขาบ่อยๆ ทำให้เลิกนิสัยแบบนี้ แต่มันยังคงติดตัวเป็นสันดานภายในที่ยากจะแก้ และแน่นอน เขาพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อเงิน


    ฟราน - บุคลิกฆ่าล้าง บุคลิกนี้จะออกมาได้เมื่อจิตใจถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจนเกิดความรู้สึกชั่ววูบที่อยากจะฆ่าขึ้นมา ในยามที่อดรีนารีนในร่างมันกำลังพุ่งพรวด หรือว่าผู้จัดการต้องการให้ออกมา แต่บุคลิกนี้สามารถเร่งการหลั่งของอดรีนารีนได้ทำให้เธอสามารถยึดร่างได้โดยไม่ต้องอาศัยผู้จัดการ รวมถึงเวลาไปมหาลัย บุคลิกนี้จะชอบออกมาบ่อยๆ (ออกมาส่องสาว)


    [ขี้เล่น]

    ฟรานเป็นบุคลิกที่มีนิสัยขึ้เล่นและชอบที่จะแหย่ทุกคนอยู่เสมอทั้งเหยื่อ พวกเดียวกัน หรือศัตรู ซึ่งนั่นก็เป็นเหมือนการยั่วยุให้เกิดโมโหขึ้นพาให้ขาดสติ รวมถึงชอบที่จะกลั่นแกล้งคนอื่นอยู่ตลอด ซึ่มักจะเป็นแบบเล่นขำๆ มากกว่าแกล้งอะไรจริงจังจนบาดเจ็บ แต่นั่นมันทำให้เธอนั้นเป็นประเภทที่ไม่ค่อยเอาจริงเอาจังเท่าไหร่นักและทำตัวเล่นๆ ตลอดแม้จะเป็นเรื่องสำคัญก็ตาม

    [พูดมาก]

    คำพูดของฟรานนั้นยากที่จะหาอะไรมาหยุดได้ ด้วยการที่ตัวเธอนั้นพูดแบบน้ำไหลไฟดับราวกับมีเรื่องที่จะพูดมากมายไม่จบไม่สิ้น และบางครั้งเรื่องที่จะพูดมันก็ไม่ได้สำคัญอะไรเช่นการแซวสาวคนนั้นคนนี้ไปเรื่อยจนถ้าคนที่ความอดทนต่ำนั้นก็อาจจะทนคุยกับเธอไม่ไหวเลย แม้กระทั่งเรื่องสำคัญที่เธอจะเกร่นมาด้วยเรื่องอะไรก็ไม่รู้แบบชักแม่น้ำทั้งห้ามารวมกัน เพื่อที่จะคอยดูว่าคนฟังจะทนได้ถึงส่วนที่สำคัญหรือเปล่า

    [สนุกกับการฆ่า]

    การฆ่าคนของฟรานนั้นมันเหมือนกับเป็นสิ่งที่มีไว้ผ่อนคลายและเป็นศิลปะ ฆาตกรแต่ละคนก็จะมีสิ่งที่เป็นเหมือนลายเซ็นของตัวเองเพื่อให้รู้ว่าใครเป็นคนฆ่า และสิ่งที่เปรียบเหมือนลายเซ็นของเธอคือเหยื่อที่ถูกเธอฆ่าจะเปลือยกายและคอที่หมุนไปในทิศทางที่มนุษย์ปกติไม่สามารถทำได้แน่ๆ

    ฟรานนั้นได้อ้างว่างเธอรู้วิธีการเป็นฆาตกรที่สมบูรณ์แบบ ชอบที่จะสังเกตการฆ่าของคนอื่นๆ และติว่าตรงไหนที่เป็นคววามผิดพลาด เธอบอกว่าฆาตกรที่ผิดพลาดพวกนี้มันไม่มีสไตล์เอาซะเลย เหมือนเอาเด็กน้อยมาจับพู่กันวาดรูป ไร้ซึ่งศิลปะโดยสิ้นเชิง ต้องการการฝึกฝนอย่างมากเพื่อจะเป็นฆาตกรที่เชี่ยวชาญได้ และมักจะพูดแซะอยู่บ่อยๆ

    [ทำตามใจตัวเอง]

    เกลียดสิ่งที่เรียกว่าคำสั่งมาก เธอไม่ยินยอมที่จะปฏิบัติตตามคำสั่งใดๆ ไม่ว่ามันจะมาจากใครก็ตาม ถ้าหากมันตรงกับเป้าหมายของเธอพอดี เธอก็จะทำเป้าหมายนั้นโดยไม่สนใจแผนการเลย เธอไม่ชอบพวกที่ดีแต่สั่งหรือเอาแต่นั่งโต๊ะไปวันๆ โดยไม่เคยมาลงสนามจริงหรอก รวมถึงเธอยังชอบที่จะทำตามใจตัวเองด้วยไม่ว่าจะถูกห้ามหรือไม่ เธอก็ยังทำอยู่ดี

    และนั่นก็ทำให้เธอเป็นพวกที่ไม่สนใจกฎหมายเลย การที่อยากจะฆ่าใครก็ฆ่า ไม่ได้สนใจว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน เป็นคนดีหรือคนเลว ราวกับฆ่าแค่เพราะอยาก

    [ลาขาดศีลธรรม]

    ศีลธรรมนั้นเป็นเรื่องที่เอามาพูดถึงยากกับเธอ เธอไม่เคยสนใจสิ่งเหล่านั่น ฟรานไม่เชื่อมั่นในความดีหรือความชั่ว เธอคิดว่ามนุษย์ทุกคนก็คือมนุษย์ คนที่ชั่วคือคนที่ไม่ทำตามสิ่งที่สังคมปั้นไว้ว่าดี คนที่ดีคือคนที่ทำตามระเบียบนั้นอย่างเคร่งครัด นั่นทำให้เธอเลือกที่จะไม่มองมนุษย์ด้วยความดีหรือชั่ว เธอมองแค่ว่าทำให้ตัวเองมีสุขได้ก็พอแล้ว 

    พวกแบบทดสอบทางศีลธรรมอะไรเทือกนี้ก็แทบจะไม่ได้ผลสำหรับเธอ เช่นปัญหารถราง เธอก็เลือกที่จะขับรถไปทับ 5 คน แทนที่จะเบี่ยง ไม่ได้มีประเด็นอะไรซับซ้อน แค่’ฆ่า 5 คนมันน่าสนใจกว่าฆ่าคนเดียว’ ก็แค่นั้น

    [คาสโนวี่]

    ฟรานเป็นคนที่เจ้าชู้และไม่ชอบการผูกมัด เธอเลือกที่จะ One Night Stand มากกว่าความสัมพันธ์ในระยะยาวอย่างแฟน คำพูดของเธอนั้นเป็นสิ่งที่คอยดึงดูดและหลอกล่อใจของหญิงสาวมากมายด้วยคารมและความขี้เล่นของเธอที่ทำให้ผู้หญิงหลายๆ คนนั้นหลงไหลและยอมที่จะมีอะไรด้วยแม้ว่าจะรู้ทั้งรู้ว่ายังไงก็ไม่มีทางได้เป็นตัวจริงแน่นอน เธอชอบที่จะหว่านสเน่ห์ไปยังผู้หญิงทุกๆ คนที่เธอเคยพบแม้ว่าคนๆ นั้นจะมีแฟนแล้วหรือยังไม่มี หรือแม้กระทั่งคนในคฤหาสน์ก็ยังทำได้เลย

    [เสพติดเซ็กส์]

    เป็นประเภทที่มีเซ็กส์ได้แทบทุกที่ทุกเวลา ฟรานชื่นชอบที่จะหาผู้หญิงน่ารักๆ ซักคนแล้วไป One Night Stand เกือบทุกวัน แถมถ้าติดใจใครก็ยังมีนัดแนะวันเวลามาใหม่อีกด้วย เธอยังแทบจะไม่สนใจว่าใครมาเห็นหรืออะไร แถมถ้าคนที่มาเห็นถูกใจเธอล่ะก็ คำพูดแนวๆ ชวนมาร่วมด้วยคงไม่พ้นที่จะหลุดออกมาจากปาก แต่ก็ใช่ว่าเธอจะไม่เลือกอะไร คนที่เธอพึ่งพอใจที่จะมีอะไรด้วยคือผู้หญิงแค่นั่นแหละ การที่ต้องถูกเสียบโดยผู้ชายนี่มันน่าขยะแขยงเกินทน 

    นอกจากนี้เธอนั้นยังไม่แคร์ด้วยว่าจะเรือนร่างของเธอถูกใครเห็น เธอคิดว่ามันเป็นเหมือนการอวดสื่งที่เธอภูมิใจออกสู่สายตาของคนอื่น ดังนั้นต่อให้เธอถูกเห็นตอนแก้ผ้า เธอนั้นก็ไม่มีปฏิกิริยาของความเขินอายใดๆ แถมยังพยายามโชว์ด้วยซ้ำ


    ผู้จัดการ - บุคลิกควบคุม เธอคนนี้จะเป็นบุคลิกที่คอยจัดการว่าจะให้ใครออกมาเวลาไหน ถือเป็นผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดในการควบคุมบุคลิกทั้งหมด (ยกเว้นกับฟรานที่เร่งอดรีนารีนเพื่อให้ตัวเองออกไปได้) นอกจากนี้ยังออกมาเวลาต้องมีการประชุมหรือวางแผนต่างๆ และรับหน้าเวลาพบจิตแพทย์ด้วย เป็นบุคลิกเดียวที่ไม่มีชื่อ และตาบอด


    [สงบนิ่ง]

    ผู้จัดการถือเป็นบุคลิกที่มีอารมณ์มั่นคงที่สุด ไม่มีอะไรสามารถเข้าไปทำลายความเยือกเย็นนี้ได้ราวกับภูเขาน้ำแข็งที่ไม่มีวันพังทลาย...แต่จะเป็นแบบนั้นหรือเปล่านะ คำพูดยั่วยุนั้นแทบไม่มีผลกับเธอเพราะเธอนั้นไม่เห็นค่าอะไรที่จะต้องทำตาม เธอนั้นจะมองล่วงหน้าและคำนึงถึงผลดีผลเสียเสมอ และจะทำในสิ่งที่เธอเห็นว่าเหมาะสมแล้วเท่านั้น

    [เรียบง่าย]

    เธอเป็นคนที่ดูไม่ถือตัวและเรียบง่ายมาก ไม่ติดหรู มีอะไรให้ก็ใช้ได้หมด นอกจากนี้ยังไม่สนใจเสียงสรรเสริญเยินยอต่างๆ เพราะเธอเห็นเป็นเพียงแค่สิ่งที่มันจะผ่านไปได้ทุกเมื่อ มองโลกนี้เป็นวัฏจักร ทุกอย่างมีเกิดก็มีดับ มีผูกพันธ์ก็มีแตกหัก มีอยู่ ก็หายไป และมันจะวนเวียนอย่างนี้เรื่อยๆ จึงไม่เชื่อเรื่องของการเก็บอำนาจลาภยศมากนัก

    [ฉลาด]

    ความฉลาดของผู้จัดการนั้นอาจจะเทียบได้กับอัจฉริยะซักคน เธอมีความรู้มากมาย ทั้งด้านภาษาศาสตร์ สังคม หรือแม้แต่ทางด้านตรรกะก็ตาม ความฉลาดของเธอนั้นอาจจะมาจากความที่เธอเรียนรู้ได้ไวอย่างมากจนแทบจะเรียกได้ว่าพูดภาษาใหม่ๆ อย่างคล่อยแค่วได้ในสามเดือนเลย นอกจากนี้เธอนั้นยังเก่งด้านการวางกลยุทธต่างๆ จากที่เธอศึกษามาทั้งตำราพิชัยสงคราม บันทึกของเออร์วิน รอมเมล หรือแม้กระทั่งแบบเรียนของโรงเรียนเสนาธิการก็เคยผ่านมันมาแล้ว ดังนั้นการวางกลยุทธก็เป็นงานง่ายๆ ของเธอ

    [ผู้พูดที่ดี]

    ผู้จัดการเป็นผู้พูดที่ดี ถึงแม้จะไม่ได้เก่งเหมือนฟลินน์ แต่เธอก็เป็นคนที่เรียกได้ว่ามีความเป็นมิตรและหวังดีมากกว่า ชอบที่จะให้กำลังใจผู้อื่นหรือปลอบโยนด้วยคำพูด เธอดัดเสียงให้มีน้ำเสียงแบบ Pink Noise ที่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกสบาย ผ่อนคลาย และช่วยให้คล้อยตามได้ และยังรู้ด้วยว่าสิ่งใดควรพูด สิ่งใดไม่ควรพูด ดังนั้นเธอจึงเหมาะมากในการคุยกับคนที่กำลังเศร้าเพื่อปลอบโยนให้ดีขึ้นได้ 

    [ใส่ใจคนอืน]

    ผู้จัดการเหมือนกับเฟธที่ใส่ใจคนอืนเหมือนกัน แต่เฟธนั้นจะใส่ใจและช่วยเหลือแบบเกินตัวโดยไม่ดูตัวเองเลยว่าไหวหรือไม่ ส่วนเธอนั้นจะช่วยเหลือเฉพาะคนที่เห็นว่าไหวเท่านั้น หากไม่ไหว เธอก็จะใช้คำพูดของเธอให้กำลังใจและแนะนำหนทางต่างๆ เพื่อที่จะให้มันดีขึ้น

    ผู้จัดการยังคอยสอดส่องดูแลทุกคนเพื่อให้รู้ว่ามีใครไม่สบายใจอะไรอยู่ แม้จะพยายามปิดมันไว้แต่เธอก็รู้ได้ราวกับมีพลังจิตคอยอ่านใจอยู่ตลอดเวลา และยังรู้อีกด้วยว่าคนๆ นั้นต้องการอะไร คำปลอบโยนหรือแนวทาง หรือไม่ต้องการอะไรเลย แค่ปล่อยเวลาให้ไหลไปก็พอ

    [อัตตาที่ซ่อนภายใน]

    ภายในลึกๆ ของเธอนั้นเต็มไปด้วยความหยิ่งยโห เธอไม่ต้องการให้มีใครที่เทียบเธอไม่ได้เข้าใกล้เธอ เธอเกลียดที่จะหายใจเอาอากาศร่วมกับคนแบบนั้นเข้าไปในปอด ทำไมเธอถึงต้องช่วยพวกนั้นกันนะ ความไม่พอใจเล็กๆ นี้ก่อตัวขึ้นมาทีละน้อยโดยที่แม้แต่เธอเองก็ไม่รู้สึกตัว ในอดีตเมื่อเธอรู้สึกเช่นนั้น เธอก็หันไปพึ่งพาปรัชญาและศาสนาที่คอยกำจัดมันลงไปได้ โดยเธอคิดอยู่เสมอว่านั่นมันคือวัฏจักร แต่หากวันใดมันถูกกระตุ้นออกมาแล้ว มันคงเป็นวันที่ปั่นป่วยไม่น้อยเลย เธอจะไม่ยอมแม้กระทั่งมองเห็นใบหน้าของคนที่ต่ำกว่าเธอ




    ประวัติ :

    [ดรุณีผู้น่าอดสู]


    โมนิก้า หญิงสาวผู้ซึ่งเกิดมาจากคู่สามีภรรยาชาวออสเตรีย-เอสโตเนียชนชั้นกลางทั่วๆ ไปที่หาได้ดั่งทรายที่ชายหาด ในอดีตแล้วชีวิตของเธอก็มีความสุขดี ไม่ได้ลำบากอะไร ครอบครัวก็รักไคร่กันดี หากแต่ว่าเรื่องราวทั้งหมดกลับพลิกผัน เช้าวันหนึ่งในตอนที่เธออายุแค่สามขวบพ่อของเธอก็หายตัวไป พบแค่เพียงจดหมายฉบับเดียวเท่านั้นวางทิ้งไว้อยู่กลางโต๊ะอาหาร


    “พ่อขอโทษ” เนื้อความในจดหมายมีเพียงเท่านี้


    แม่ของเธอกระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก พยายามทำทุกอย่างเพื่อที่จะตามหาสามีของเธอที่หายตัวไป เธอคนนั้นไม่ได้นอนเลยเป็นเวลากว่าสองวันจนกระทั่งได้มีคนแจ้งว่าพบเขาแล้ว แต่อยู่ในสภาพของร่างไร้วิญญาณ เขาได้ยิงตัวตายในเขตก่อสร้างแห่งหนึ่งพร้อมกับกระเป๋าที่บรรจุไว้ซึ่งเอกสารต่างๆ มากมาย ทั้งใบแจ้งหนี้ จดหมายขู่ หรือกระทั่งจดหมายไล่ออก


    เขาคนนั้นพยายามจะปกปิดทุกอย่างกับครอบครัวตนเอง ทั้งเรื่องที่ตัวเองถูกไล่ออกแล้วจากสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ทั้งเรื่องที่กู้ยืมเงินมาเพื่อใช้จ่ายในครอบครัว เพราะการที่ตัวของโมนิก้าได้เกิดขึ้นมาทำให้ค่าใช้จ่ายที่มากอยู่แล้วต้องเพิ่มขึ้นไปอีก หรือการที่บ้านนั้นกำลังจะถูกยึดในเวลาไม่นาน และในตอนสุดท้าย เขาก็หนีปัญหาไปเพียงคนเดียว ทิ้งให้เธอและมารดาต้องอยู่บนโลกนี้ต่อไป


    เหมือนกับทุกสิ่งทุกอย่างพังทลายลงไป บ้านที่เธอเคยอยู่ถูกยึด ต้องย้ายไปอาศัยในห้องเช่ารูหนูเล็กๆ ภายในสลัมแห่งหนึ่ง แม่ของเธอก็ต้องออกไปทำงาน แต่กระนั้นก็ไ่มีที่ไหนรับจนต้องจำใจไปทำงานในสถานบันเทิง และหญิงสาวผู้นั้นก็ไม่ได้สนใจเธออีกต่อไปแล้ว เธอคนนั้นมองโมนิก้าราวกับว่าเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต 



    “แกนี่มันไม่น่าเกิดมาเลยจริงๆ...เพราะแก! ทั้งหมดเพราะแกคนเดียว!” เสียงของแม่เธอตะคอกใส่เธอทุกครั้งที่กลับมาถึงบ้าน จนทำให้เธอได้แต่หดตัวด้วยความหวาดกลัว


    เธอนั้นต้องใช้ชีวิตเองตั้งแต่นั้นมา ทั้งที่จำเป็นอาหารที่ต้องพยายามทำด้วยตัวเองไม่อย่างนั้นก็แทบจะไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย เสื้อผ้าต่างๆ ที่ไม่เคยได้ซักและต้องใส่ติด่อกันเป็นเดือนๆ หรือหนักเข้าเธอก็ต้องรับการระบายอารมณ์ของแม่เธอหลังจากกกลับมาจากงาน ทั้งถูกทุบตี บุหรี่จี้ ใช้มีดกรีด หรือการใช้เชือกรัดจนกลายเป็นแผลเป็นทั้งตัว แทนที่จะได้นอนดีๆ หรือบนพื้นก็ยังได้ แม่ของเธอก็เอาเธอไปแขวนไว้กับเชือกให้ทั้งตัวลอยอยู่กลางอากาศทั้งคืน และจะได้ลงมาก็ต่อเมื่อเธอคนนั้นกลับมาเท่านั้น และที่เอาลงมาก็เพื่อเป็นที่รองรับอารมณ์ของตน ไม่ใช่เพราะความสงสารเลยแม้ต่น้อย


    “ขอโทษค่ะ..ขอโทษค่ะ...ขอโทษที่เกิดมาค่ะ….หนูมันไม่สมควรเกิดมาค่ะ….ขอโทษค่ะ” เด็กสาวผู้น่าสงสารได้แต่พูดพล่ำขอโทษไปมาโดยไม่สนใจว่าจะมีใครได้ยินหรือไม่ เธอไม่เคยหลับลงเลยเมื่อถูกแขวนเช่นนี้ เธอได้แต่พูดเช่นนี้วนไปวนมาทั้งคืน โดยที่ไม่มีการหยุดพัก แววตาอันว่างเปล่าและไร้ประกายเริ่มปรากฎชัด ใบหน้าอันเรียบนิ่งโดยไร้ซึ่งสีหน้าใดๆ แสดงออกมา และโดยที่เธอไม่รู้ตัว กลไปป้องกันตัวเองของจิตใจก็เริ่มทำงานอย่างช้าๆ


    หลายเดือนถัดไป เด็กสาวก็ต้องรู้สึกแปลกใจที่ตัวเองไม่ได้ถูกลงโทษหรือแขวนไว้บนอากาศอีกแล้ว เสื้อผ้าเองก็ถูกเปลี่ยนเป็นตัวที่ซื้อมาใหม่ๆ อาหารการกินก็ถูกทำขึ้นโดยแม่ของเธอเอง ตัวของโมนิก้านั้นรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมากว่ามันเกิดอะไรขึ้น จะว่าแม่ของเธอคิดได้แล้วมันก็ไม่น่าจะใช่ แต่หลังจากนั้นไม่นาน ตัวของเธอก็ได้พบกับคำตอบ


    “ผู้ชายคนนี้จะมาเป็นพ่อใหม่ของลูกนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป” ผู้ที่เป็นแม่ของเธอได้พูดขึ้น ผู้ชายคนนั้นเป็นชายวัยกลางคนที่เรียกได้ว่าหน้าตาดี เขานั้นใส่ชุดสูทและดูมีภูมิฐานอย่างมาก แต่ว่าดวงตาของเขานั้นดูไม่น่าไว้วางใจเอาเสียเลย แต่ก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว เธอจึงได้แต่ยอมรับมัน


    เธอได้ย้ายไปอยู่ที่อเมริกาซึ่งเป็นประเทศบ้านเกิดของพ่อใหม่เธอ และคนๆ นี้ก็เหมือนว่าเขานั้นจะเป็นเศรษฐี เขาได้ใช้เงินของเขาในการปลดหนี้ของครอบครัวออกไปทั้งหมด เธอเองก็ยินดีไปด้วย เพราะต่อจากนี้เธอเองก็คงไม่ต้องถูกทรมานแบบเก่าอีกแล้ว แม่ของเธอได้งานเป็นผู้จัดการของดิสเคาน์สโตร์แห่งหนึ่งในตัวเมืองนิวยอร์ค และพ่อใหม่ของเธอนั้นก็เป็นนักเล่นหุ้นที่เชี่ยวชาญจนทำให้เขาร่ำรวยได้เพราะหุ้นของเขา เธอก็ต้องไปเรียนโรงเรียนอนุบาลในนิวยอร์ค พบเจอกับเพื่อนใหม่ๆ และหวังว่านี่มันจะเปลี่ยนชีวิตของเธอ

    .

    .

    .

    แต่สุดท้ายแล้วมันไม่ได้เปลี่ยนอะไรไปเลย แม่ของเธอนั้นยังคงทำร้ายเธอเหมือนกับทุกๆ วันราวกับเป็นสันดานที่มิอาจเปลี่ยนได้ ส่วนพ่อเลี้ยงของเธอนั้นก็มักจะเข้ามาพยายามที่จะลวนลามเธออยู่เสมอ ความรู้สึกต่างๆ เริ่มเกาะกินในใจของเธออีกครั้ง และกำลังรวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะระเบิดออกมา เด็กอายุแค่สี่ขวบที่ไหนมันจะทนกับเรื่องพวกนี้ได้กันล่ะ


    เหมือนวันที่กำหนดไว้ได้มาถึง  ในวันนั้นเธอถูกข่มขืนโดยพ่อเลี้ยงของเธอเอง เธอพยายามกรีดร้องออกมาแค่ไหนก็ไม่มีใครสนใจ ราวกับว่าตัวเธอเป็นแค่อากาศธาตุ ตัวเธอที่เกิดมานั้นนำพาความลำบากมาสู่แม่ของเธอและทำให้พ่อของเธอต้องตาย หากการเกิดมาของเธอมันเป็นเช่นนี้ เธอไม่จำเป็นต้องเกิดมาเสียดีกว่า ความคิดอยากที่จะตายเช่นนั้นวนเวียนไปมาอยู่ในหัว มือของเธอขยับไปคว้ามีดพับนั้นไว้เบาๆ และจากนั้นเธอไม่รู้สึกตัวอีกต่อไป


    เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเธอก็รู้สึกตัวอีกที โมนิก้ากลับต้องประหลาดใจในภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้า ห้องนั้นถูกย้อมไปด้วยสีแดงของเลือดไปเสียแล้ว และรวมถึงตัวของเธอด้วยเช่นกัน เด็กน้อยนั้นที่ยังคงตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ค่อยๆ ก้มลงไปดูในมือก็พบกับมีดพับที่พ่อเลี้ยงของเธอพึ่งนำมาใช้ขู่เธอ และสายตาของเธอก็ไปโฟกัสเข้ากับสิ่งๆ หนึ่ง


    มันคือศพของพ่อเลี้ยงของเธอที่ถูกกรีดท้องและควักอวัยวะภายในออกมา ลำไส้ไหลกระจัดกระจาย ปอดที่ถูกยกออกมาภายนอก กระเพาะที่ถูกแทงจนแทบจะดูไม่ออกว่ามันเคยเป็นอะไรมาก่อน และหัวใจที่ถูกเหยียบเละ สภาพทั้งหมดนี้ทำให้เธอแทบจะอ้วกออกมา ก่อนที่จะได้ทำอะไรไปมากกว่านี้ ประตูห้องก็ถูกผลักออก


    “นี่แกทำอะไรลงไป! นังเด็กปีศาจ!” เสียงตะคอกอันเต็มไปด้วยโทสะดังขึ้นมาจากปากของหญิงสาวผู้นั้น มือสองข้างรวบไปที่ลำคอของโมนิก้าและยกมันขึ้นจนทำให้หายใจไม่ออก เธอไม่สามารถเอ่ยคำพูดใดๆ ออกมาได้เลย ภาพข้างหน้าของเธอค่อยๆ เลือนลางจนมองไม่เห็น และสติของเธอก็ได้ดับไปอีกครา


    [ความหวังครั้งใหม่]


    เธอนั้นลืมตาขึ้นมาอีกครั้งในสถานีตำรวจพร้อมกับมีตำรวจหญิงคอยปลอบเธออยู่ไม่ห่าง เธอนั้นไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะถามออกไป ตำรวจหญิงคนนั้นทำหน้างงอยู่พักหนึ่งและพูดกับเธอ


    “จำไม่ได้เลยหรอจ๊ะว่าเกิดอะไรขึ้น” คนตรงหน้าถามเธอด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความสงสัย ทั้งๆ ที่เป็นคนเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดมาแท้ๆ เด็กสาวไม่ได้พูดอะไรออกมาหลังจากนั้นนอกจากการส่ายหน้า ทำให้เจ้าหน้าที่ผู้นั้นต้องอธิบายเหตุการณ์ออกมา


    ทั้งการที่พ่อแม่ของเธอเสียชีวิตจากการถูกฆ่าอย่างไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่สันนิษฐานว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่อง หากแต่มีอีกเรื่องหนึ่งที่เธอไม่รู้ว่าจะบอกดีไหม คือเรื่องการที่โมนิก้านั้นถูกข่มขืน เธอคงคิดว่าเด็กแค่นี้คงจะจำเรื่องอะไรแบบนั้นไม่ได้ แต่มันผิด เด็กสาวยังคงจำได้ดี แต่เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบทางจิตใจที่เกิดขึ้น นักสังคมสงเคราห์และนักจิตวิทยามากมายก็ต่างเข้ามาเพื่อเยียวยาเธอ แต่ใครจะไปรู้กันล่ะว่ามันสายเกินไปแล้ว เธอได้สร้างบุคลิกต่างๆ เพื่อปกป้องตัวเธอเอง โดยอ้างอิงจากรายการโทรทัศน์ที่เธอเคยรับชม หนังสือที่เธอเคยอ่าน หรือคนรอบตัวเธอ มารวมกันและสร้างออกมาเป็นทั้งหมด 4 บุคลิกด้วยกัน และยังไม่มีใครทราบเรื่องนี้ แม้แต่ตัวของเธอเองก็ตาม


    มรดกทั้งหลายถูกยกให้กับเธอเนื่องด้วยเธอเป็นลูกบุญธรรมของเขาและเขานั้นก็ไม่มีญาติคนอื่นอีกแล้ว โมนิก้าได้ถูกรับไปเลี้ยงโดยตำรวจหญิงคนนั้น คนๆ เดียวกันกับคนที่ไปเจอเธอและคอยปลอบใจเธอ หญิงสาวคนนี้ไม่ได้คาดหวังทรัพย์สมบัติจากมรดกของเด็กน้อย แต่ว่าต้องการที่จะได้ดูแลเธอให้ถึงที่สุด ด้วยความที่ในอดีตของเธอนั้นก็ต้องเผชิญกับเรื่องร้ายๆ และไม่ต้องการให้เด็กสาวตรงหน้าต้องประสบกับความทรมานเช่นเธอ


    เธอคนนั้นได้ดูแลโมนิก้าด้วยความรักและเอาใจใส่ ทำให้ตัวของเธอนั้นรู้สึกกลับมาเป็นผู้เป็นคนอีกครั้งหนึ่ง หญิงสาวแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่เมื่อเห็นรอยแผลเป็นมากมายบนร่างกายของเด็กน้อย เมื่อต้องรู้ว่าเด็กคนนี้ต้องประสบกับความทุกข์มากมายขนาดไหน เธอจึงตัดสินใจที่จะเลี้ยงดูให้ถึงที่สุด และนั่นก็ทำให้โมนิก้าเปิดใจ เรียกหญิงสาวคนนั้นว่า”แม่”โดยไม่กระดากอายเลยแม้แต่น้อย และในตอนนี้เองที่โมนิก้าได้ใช้นามสกุล “ดาเนลล่า” 


    โมนิก้าถูกส่งไปเรียนยังโรงเรียนแห่งหนึ่งในนิวยอร์คตั้งแต่เกรด 1  ความรักและความเอาใจใส่ของหญิงสาวที่เลี้ยงดูเธอมันไม่เคยจะลดลงเลยแม้แต่วันเดียว เธอยังคงคอยให้ความรักและความอบอุ่นแก่เด็กสาวผู้ที่ถูกโชคชะตากลั่นแกล้ง ตำรวจผู้นั้นไม่เคยใช้เงินมรดกของโมนิก้าเลยแม้แต่เพนนีเดียว และบอกว่าจะเก็บไว้ให้เธอได้ใช้ ส่วนโมนิก้านั้นก็พยายามจะนำเงินนั่นออกมาใช้ แต่ไม่ได้ใช้แค่ตัวเองแต่ยังใช้เพื่อแม่คนใหม่ของเธอที่เธอเคารพรักยิ่งกว่าใครจนทำให้ถูกตำหนิบ่อยๆ  เรื่องการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือย แต่ทำไมกันนะ [เธอจำไม่เห็นได้เลยว่าซื้อของพวกนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่] โมนิก้ายึดถือหญิงสาวคนนี้เป็นโรลโมเดลของเธอ และต้องการที่จะเป็นคนดีให้ได้แบบผู้หญิงคนนี้ แต่เหมือนฟ้าจะไม่เป็นใจนัก เมื่อสวรรค์ได้กลั่นแกล้งเธออีกครั้งหนึ่ง


    [พังทลาย]


    เมื่อเธออายุได้ 14 ปี หญิงสาวที่คอยเลี้ยงดูเธอมาตลอดได้บาดเจ็บสาหัสจากการยิงต่อสู้กับโจรปล้นธนาคาร เธอนั้นนิ่งเงียบ ไม่ใช่ว่าเธอไม่เสียใจหรืออะไร เธอกำลังเสียใจเป็นอย่างมากต่างหาก เธอเสียใจจนไม่สามารถพูดออกมาได้ราวกับตกอยู่ในอาการช็อค โมนิก้ารีบตรงดิ่งไปยังโรงพยาบาลก่อนจะวิ่งตรงไปยังห้องฉุกเฉินโดยที่ไม่สนใจคำห้ามปรามของใครทั้งสิ้น


    “แม่...แม่คะ...ฟื้นสิ...อย่าทิ้งหนูไปเลยนะ ขอร้องล่ะ!” เด็กสาวคุกเข่าลงที่ข้างเตียงก่อนจะพูดซ้ำไปซ้ำมาอยู่เรื่อยๆ น้ำตาเริ่มไหลออกมาเป็นสายโดยไม่อายใคร ทุกๆ คนที่อยู่ในบริเวณนั้นล้วนสงสารเด็กคนนั้นจับใจ แต่ไม่มีใครทำอะไรได้ ชีวิตที่เสียไปแล้วไม่มีใครนำกลับคืนมาได้


    ราวกับปาฏิหาริย์ มือที่ถูกกุมไว้จู่ๆ ก็รัดแน่นขึ้น ร่างตรงหน้าค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ ทั้งๆ ที่แผลขนาดใหญ่จากการโดนกระสุนปืนเจาะไปนั้นยังคงอยู่ แต่เธอกลับไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดใดๆ เลย เธอได้เอ่ยกับโมนิก้าด้วยรอยยิ้ม


    “ไม่เป็นอะไรนะ คนดีของแม่” เสียงอันนุ่มนวลอันเป็นเอกลักษณ์ถุกเปล่งออกมาจากลำคอของหญิงสาว แต่เสียงนี้กลับไม่หนักแน่นเหมือนทุกที เป็นเสียงที่เหมือนกับคนที่พร้อมจะจากไปทุกเมื่อ แต่เด็กน้อยไม่ได้สนใจอีกต่อไป เธอโน้มตัวเข้าไปกอดหญิงสาวที่นอนบนเตียง น้ำตาอุ่นๆ ค่อยๆ ไหลลงเปื้อนชุดของเธอ แต่เธอกลับไม่ว่าอะไร ก่อนจะใช้มือลูบหัวเด็กสาวอย่างแผ่วเบา


    “ลูกจงอยู่ต่อไปอย่าได้คิดจะตามแม่มาเชียวล่ะ…เป็นคนดีให้ได้อย่างที่หวังไว้นะ..ลูกรัก” สิ้นเสียงสุดท้าย ในห้องนั้นก็ไม่มีเสียงอะไรอีกต่อไปนอกจากเสียงของเครื่องวัดการเต้นของหัวใจที่กราฟเป็นเส้นตรงสนิท และเสียงสะอื้นเท่านั้นที่ดังออกมา ฝนค่อยๆ ไหลรินใจกลางกรุงนิวยอร์คจนขยายขนาดไปทั่วเมือง ทั้งๆ ที่มันควรเป็นฝนธรรมดาสิ...แต่ทำไมกลับดูเหมือนว่ามันทำให้รู้สึกหดหู่เหลือเกิน


    ห้องเช่าที่เคยเป็นของแม่เธอ บัดนี้กลายเป็นของเธอแต่เพียงผู้เดียว แต่นั่นก็เทียบไม่ได้กับตอนที่มีแม่อยู่ ทั้งเสียงหัวเราะ ทั้งรอยยิ้ม ทั้งความสุข ทั้งความอบอุ่นที่มีมันคงเลือนหายไป พระเจ้า ใยท่านต้องกลั่นแกล้งเด็กน้อยคนนี้ด้วยเล่า ความสุขเพียงไม่นานของเธอต้องพังทลายอีกแล้วหรือ ถ้าเธอไม่เกิดมามันคงดีแค่ไหนกันนะ


    [ก็แค่อยากจะเป็นคนดีเท่านั้นเอง]


    โมนิก้าได้พยายามที่จะเป็นคนดีตามที่แม่ของเธอได้หวังไว้ ทั้งการช่วยเหลือคนอื่น การแนะนำหรือให้คำปรึกษาคนอื่น เธอก็ล้วนทำมาแล้ว และไม่เคยหวังผลแม้แต่ครั้งเดียว แต่ทำไมกันนะ ทุกคนถึงต้องเกลียดเธอล่ะ


    “โมนิก้าหรอ ยัยนั่นมันก็แค่แสร้งเป็นคนดีแค่นั้นแหละ”


    “ไม่มีคนบ้าที่ไหนหรอกช่วยคนอื่นแบบไม่หวังผลน่ะ”


    “แต่ก็ดีนะ จะได้หลอกใช้ยัยนั่นได้ไง”

    “พวกที่พยายามจะยกตัวอีกแล้ว น่ารังเกียจจริงๆ”


    เธอไม่เคยได้รับสิ่งใดตอบแทนมาเลยแม้กระทั่งคำชื่นชม ทุกคนก็ต่างนินทาเธอ ทำไมกันนะ ทำไมพวกเขาถึงคิดว่าเป็นแบบนั้น เพราะเธอกำพร้าแม่? เพราะเธอทำตัวแบบนี้กับทุกคน? หรือสุดท้าย พวกเขาอาจจะไม่ได้คิดอะไรเลย แค่เกลียดเธอแค่นั้นแหละ เธอเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดมาเพื่อถูกเกลียดแท้ๆ 


    โมนิก้าไม่เคยสนใจเลยว่าเธอนั้นช่วยใครหรือคนที่เธอช่วยนั้นเป็นอะไร เธอเคยช่วยเหยื่อจากการกลั่นแกล้งของกลุ่มวัยรุ่นผู้ชาย และสุดท้ายตัวเธอแหละที่ต้องมาเป็นเหยื่อเสียเอง เธอนั้นถูกกลั่นแกล้งต่างๆ มากมาย ทั้งการถูกเอาน้ำราดตัว นำกระเป๋าไปทิ้งถังขยะ ทากาวลงบนเก้าอี้ หรือเยาะเย้ยดูถูกเธอ แต่หนักกว่านี้ก็เจอมาแล้ว จะสะทกสะท้านทำไม ทุกๆ ครั้งที่พวกเขาเหล่านั้นแกล้งเธอ หญิงสาวกลับสังเกตเห็นคนๆ หนึ่ง คริสตัล ริกเกอร์...ชายหนุ่มที่เธอดูครั้งแรกก็รู้ได้เลยว่าเขานั้นเป็นเช่นไร เขาทำตามเพราะไม่อยากถูกทิ้ง ไม่ใช่ความต้องการของเขาจริงๆ ถึงแม้เขาจะลงมือรุนแรงกับเธอไปบ้าง...แต่นั่นมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ตราบใดที่เธอยังเป็นคนดีได้ก็พอ แต่เธอไม่เคยโต้กลับอะไรไปเลย ซ้ำแล้วยังพยายามจะช่วยเหลืออีก ซึ่งทำให้ดูเหมือนเป็นการท้าทาย และถูกกลั่นแกล้งรุนแรงกว่าเดิม


    “ทำไมถึงต้องเข้ามายุ่งด้วย อยู่ส่วนของเธอไปก็คงดีแล้วแท้ๆ” คำถามของเพื่อนที่โมนิก้าได้ช่วยไว้ดังขึ้นมา เพื่อนคนที่ช่วยไว้เมื่อเขาคนนี้ถูกกลั่นแกล้ง เขาสงสัยเป็นอย่างมากว่าสิ่งที่เธอทำไปนั้นได้อะไรกลับมา ทั้งๆ ที่เธออยู่เฉยๆ เธอคงไม่ต้องมาโดนแบบนี้


    “เพราะว่า..การเห็นคนอื่นกำลังลำบากเนี่ย...คนดีก็ต้องเข้าไปช่วยเหลืออยู่แล้วไม่ใช่หรอคะ” โมนิก้าถามกลับไปด้วยความสงสัย บริบทของคนดีในความหมายของเธอมันต่างไป ไม่ใช่ช่วยเท่าที่ทำได้ แต่เป็นการช่วยทุกคนที่เห็น แม้ว่าบางครั้งกำลังของเธอจะไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย


    [ต่อให้จะถูกเกลียดชังโดยคนทั้งโลกก็ตามที]


    ตัวของโมนิก้านั้นได้ถูกกลั่นแกล้งมาโดยตลอดจนกระทั้งถึงเกรดสิบที่ดูเหมือนว่าพวกนั้นจะเบื่อแล้วเลยเลิกระรานเธอ แต่กระนั้นแทนที่เธอจะได้เอาเวลาไปทำสิ่งที่เธอชื่นชอบอย่างการช่วยเหลือคนอื่น เธอกลับต้องมายับยั้งศัตรูในจิตใจของเธอเอง ความอิจฉา


    โมนิก้านั้นอิจฉาคนๆ หนึ่ง เขาเป็นผู้ชายที่ดูเป็นคนดีเลยทีเดียว ชายคนนั้นมักจะคอยช่วยเหลือคนอื่นอยู่เสมอๆ ทำทุกๆ อย่างเหมือนกับที่เธอทำ แต่สิ่งที่โมนิก้าไม่เข้าใจนั้นก็คือทำไมคนรอบตัวถึงได้ชื่นชมเขากัน แต่หากเป็นเธอแล้วพวกเขาเหล่านั้นกลับเอาแต่นินทาว่าร้ายเธอ ทั้งๆ ที่เธอทำด้วยใจจริง นั่นทำให้เธอยิ่งอิจฉามากขึ้นไปอีกจนจิตใจของเธอเริ่มเกิดความรู้สึกแปลกๆ


    เธอนั้นต้องการที่จะทำให้เขาหายไป


    แม้ว่าเธอจะทำดีแค่ไหนกลับไม่ได้อะไรมาตอบแทนเลย แต่หากเป็นเขาคนนั้นกลับได้รับทุกสิ่งที่เธออยากได้ เพราะนั่นเป็นเหมือนเครื่องหมายแสดงว่าเธอเป็นคนดีแล้ว ความเข้าใจของเธอมันผิดอย่างมหันต์ แต่ก็ไม่มีเลยที่จะมีใรมาแก้ความเข้าใจผิดกับเธอ เธอได้คิดวนไปวนมาเรื่องนี้เป็นเวลาหลายวันจนเธอแทบไม่ได้คิดเรื่องอื่นเลย


    “ฉันเป็นคนดีพอหรือยัง”


    “แบบนี้ล่ะ เป็นคนดีหรือเปล่า”


    “หรือว่าแบบนี้กันล่ะ”


    “ทั้งๆ ที่ทำขนาดนี้แล้ว ทำไมยังไม่ได้ชื่อว่าเป็นคนดีกันนะ...”


    ก่อนที่เธอรู้ตัวอีกทีว่าในมือของเธอก็มีมีดคัตเตอร์ที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด พร้อมกับร่างหนึ่งที่นอนจมโลหิตอยู่ตรงหน้า ชายคนนั้นที่เธออิจฉาเขามาตลอด แต่กระนั้นเธอกลับไม่รู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย ดวงตาของเธอไม่ส่อแววถึงอารมณ์ใดๆ เหมือนกับว่าโมนิก้าไม่ได้ทำอะไรไปเลย สิ่งที่เธอเห็นตรงหน้ามันก็เป็นแค่ภาพยนตร์เรื่องหนึ่งเท่านั้น...หากแต่ภาพยนตร์เรื่องนั้นมันเป็นของจริง


    และนั่นไม่ได้ถูกกระทำโดยบุคลิกไหนเลยนอกจากบุคลิกของเฟธ หรือก็คือตัวตนจริงๆ ของเธอ ยิ่งไปกว่านั้นบุคลิกอื่นๆ พยายามจะหยุดเธอด้วยซ้ำ เพียงแต่เธอยังไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง...ว่าตัวเองทำอะไรลงไป และเมื่อเวลาจะผ่านไปเท่าไหร่ก็ไม่มีวี่แววของความรู้สึกผิดเลย


    [มีอะไรให้ช่วยไหมคะ?]



    ในระยะหลังมานี้เธอรู้สึกเหมือนความทรงจำขาดช่วงบ่อยๆ บางครั้งก็มีของที่ไม่ได้ซื้อมาอยู่ในห้อง บางครั้งก็มีคนไม่รู้จักมาทักทาย หรือจู่ๆ เงินในบัญชีเล่นหุ้นก็เพิ่มขึ้นทั้งๆ ที่เธอจำไม่เห็นได้เลยว่าเคยเล่นด้วย เธอจึงคิดว่าเธอนั้นเป็นโรคความจำเสื่อม และเริ่มที่จะจดบันทึก มันให้ผลดีมากเพราะเธอจดเหตุการณ์ที่เธอจำไม่ได้ไว้ในสมุดเล่มนั้นเสมอ หารู้ไม่ ว่านั่นมันเป็นการจดของบุคลิกอื่น เธอเลือกที่จะเรียนในคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในนิวยอร์ค และทำงานพิเศษควบคู่ไปด้วยเพราะไม่อยากจะใช้เงินของอดีตพ่อเลี้ยงเธอ โมนิก้ายังคงอาศัยในห้องเช่าของแม่เธอ มันเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความรักและอบอุ่นในอดีต รวมทั้งความจริงจำของแม่เธอยามที่จากไปแล้วด้วยเช่นกัน


    และเมื่อเธอเจอคนที่เคยแกล้งเธอในสมัยเรียน เธอกลับไม่ได้โกรธแค้นอะไรเลย นอกจากคำทักทายอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวไปเสียแล้ว


    “มีอะไรให้ช่วยไหมคะ?”





     

    ลักษณะการพูด : 

    เฟธ - บุคลิกนี้จะแทนตัวเองว่า “ฉัน” และจะแทนคนอื่นว่า “คุณ” ด้วยความสุภาพ และมักจะเติมคำนำหน้าว่าคุณไปกับชื่อของทุกๆ คน มีลักษณะการพูดที่ดูสุภาพและร่าเริง รวมถึงถ้อยคำต่างๆ ที่ออกมานั้นจะยังคงไว้ซึ่งความสุภาพเสมอโดยไร้ซึ่งคำหยาบคายใดๆ คำพูดติดปากก็คือ “มีอะไรให้ช่วยไหม” และมักจะพึมพำอะไรอยู่คนเดียวในบางครั้ง

    [Situation 1 : Helper]

    คุณมีอะไรให้ช่วยไหมคะ?” หญิงสาวนั่งลงข้างๆ ชายคนหนึ่งที่กำลังนั่งอยู่บนม้านั่ง ชายคนนั้นหันหน้ามามองเธอด้วยความประหลาดใจว่าทำไมคนแปลกหน้าถึงเอ่ยปากถามถึงสิ่งที่เขาต้องการจะให้ช่วย

    “เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอก...แค่กำลังนั่งพักน่ะ” ชายหนุ่มตอบกลับด้วยรอยยิ้มเพื่อยืนยันว่าเขาไม่ได้เป็นอะไร เฟธไม่ได้เซ้าซี้อะไรไปมากกว่านั้นนอกจากจะลุกขึ้นแล้วก็เดินจากไป แต่ก่อนที่เธอจะไปเกินนั้น เธอก็พูดพับชายคนนั้นเป็นครั้งสุดท้าย

    คนที่ไม่มีเรื่องทุกข์ใจนี่ดีจังเลยนะคะ

    [Situation 2 : Liar]

    “โมนิก้าอีกแล้ว” กลุ่มเด็กสาวที่นั่งด้านหลังเธอนั้นได้พูดกับเพื่อนๆ ของตัวเองเหมือนกำลังนินทาอยู่ แต่เฟธกลับได้ยินมันชัดเจนแจ่มแจ้งยิ่งกว่าอะไร ราวกับคนเหล่านั้นต้องการให้เธอได้ยิน

    “แม่นั่นแสเสร้งเก่งนะ ทำเป็นคนดีแม่พระช่วยเหลือคนไปทั่ว อยากจะอ้วกเลยล่ะ” เสียงหัวเราะดังขึ้นจากตำแหน่งเดียวกัน เฟธไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไป นอกจากที่จะพึมพำกับตัวเองเบาๆ

    ทำไมทุกคนถึงคิดว่าฉันโกหกล่ะ...ทั้งๆ ที่อยากจะเป็นคนดีแท้ๆ

    [Situation 3 : Scared]

    ฮึก...” เสียงสะอื้นดังขึ้นมาจากลำคอของเฟธ น้ำตาของเธอกำลังค่อยๆ ไหลออกมาช้าๆ ด้วยความรู้สึกผิด ทั้งๆ ที่เธอตั้งใจจะช่วยเขา แต่มันกลับทำให้เรื่องแย่กว่าเดิม

    “ซวยละ ไม่ร้องนะ ชั้นขอโทษ” ดูเหมือนคนที่ต่อว่าเธอพึ่งจะตระหนักได้ว่าทำอะไรลงไป หญิงสาวผู้นั้นพยายามจะเอ่ยคำขอโทษออกมา แต่ว่าน้ำตาของเฟธก็ไหลลงมามากกว่าเดิม

    ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ ฉันผิดเอง ผิดเองที่ทำให้ทุกอย่างมันแย่ลงไปกว่าเดิม” เธอพูดแค่นั้นก่อนจะหันมามองหน้าของหญิงสาวด้วยรอยยิ้ม แต่ว่า ใบหน้าของเธอในตอนนี้กำลังเปื้อนคราบน้ำตาอยู่ และมันยังไม่หยุดไหลง่ายๆ แน่


    เฟย์ - บุคลิกนี้จะแทนตัวเองว่า “ชั้น” แทนคนอื่นว่า “แก” ไร้ซึ่งคำลงท้าย คำพูดแต่ละคำพูดนั้นเต็มไปด้วยความดุดันและกร้าวแข็ง ไม่มีความนุ่มนวลแผงอยู่เลย แต่กระนั่นกลับเป็นบุคลิกเดียวที่มีมุขตลกออกมาจากคำพูดบ่อยๆ ถึงมันจะฝืดก็เถอะ

    [Situation 1 : Flat Jokes]

    แกรู้ไหมว่าผลไม้อะไรเปลือกแข็งที่สุด” คำถามถูกเอ่ยขึ้นโดยหญิงสาวในชุดทหาร เฟย์ได้จ้องมองไปยังใบหน้าของชายหนุ่มคนนั้นด้วยสีหน้าคาดหวัง เขาได้แต่เออๆ ออๆ ตอบกลับมา

    “มะพร้าวมั้ง” หลังจากสิ้นสุดคำพูดของชายหนุ่ม เฟย์ก็ได้ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาจนแทบจะหายใจไม่ทัน เสียงหัวเราะนั่นดังขึ้นชั่วครู่ ก่อนจะเงียบไปเหลือแต่เสียงหอบเหนื่อย

    ผิด! คำตอบคือผลไม้กระป๋อง มุขชั้นตลกไหมล่ะ” เธอได้ยิ้มและเฉลยคำตอบออกมา แต่สีหน้าของชายหนุ่มนั้นกลับฉงนมากขึ้นกว่าเดิม

    “ห้ะ...” นี่มันเชี่ยอะไรวะเนี่ย เขาได้แต่คิดในใจ

    [Situation 2 : Angry]

    หุบปากหุบปากหุบปาก หุบปากไปให้หมด” เธอตวาดดังละ่นไปทั่วห้องจนทั้งห้องนั้นตกอยู่ในความเงียบงัน

    ไหนวะ ไอ้เวรตัวไหนที่มันบังอาจมาท้าทายชั้น” คนทั้งห้องพร้อมใจกันชี้ไปที่ชายคนหนึ่ง เขาพยายามจะพูดปฏิเสธออกไป แต่ในตอนนี้มันไม่อาจแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว


    ฟลินน์ - บุคลิกนี้จะใช้คำแทนตัวว่า “ผม” เรียนคนอื่นว่า”คุณ” โดยที่ไม่สนใจเลยว่าจะต่ำกว่าหรือสูงกว่าเขา เขาก็ยังเรียกว่าคุณเช่นเดิม มีน้ำเสียงที่สุภาพและน่าฟัง แต่ก็แฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์เล็กๆ มีคำลงท้ายว่าครับเสมอไม่ว่าจะพูดกับใครก็ตาม มีคำพูดที่ดูเป็นทางการอยู่เวลาพูด

    [Situation 1 : Smooth Talker]

    เรื่องนี้เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ครับ ผมนั้นเสียใจกับผลการกระทำที่เกิดขึ้นจริงๆ” รอยยิ้มพิมพ์ใจของเขานั้นถูกเผยขึ้น น้ำเสียงเรียบนิ่งของเขาแฝงไปด้วยเสน่ห์ที่อาจจะทำให้ผู้คนคล้อยตามได้เลย

    “มะ..ไม่เป็นไรค่ะ เรื่องแค่นี้เอง” หญิงสาวตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ดีขึ้นรวมถึงรอยยิ้มบนใบหน้า ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นยังโกรธเขาอยู่เลย

    [Situation 2 : Forgot]

    ผมเคยพูดอะไรแบบนั้นด้วยหรอครับ?” ฟลินน์เอ่ยถามด้วยความสงสัย ไม่ใช่เขาจำไม่ได้ แต่เขาตั้งใจที่จะไม่จำต่างหาก

    ไม่เห็นมีหลักฐานเลยนี่ ว่าผมเคยพูดด้วย” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนหน้าของเขาอีกครั้ง

    ฟราน - บุคลิกนี้จะแทนตัวเองว่า “ชั้น” แทนผู้อื่นว่า “นาย/เธอ” ยกเว้นคนน่ารักๆ ถูกใจเธอจะแทนว่า “สาวน้อย” ส่วนคนที่อายุมากกว่าจะแทนว่า “คุณ” แต่กับคนที่ไม่ชอบจะใช้ว่า “แก” เสียงของเธอนั่นนุ่มนวลกับคนที่เธอพยายามจะจีบ ร่าเริงแต่แฝงไปด้วยการจิกกัดในน้ำเสียงเวลาพูดปกติ แต่ดูน่าสยดสยองยามเธอฆ่า ความนอบน้อมของเธอนั้นอาจจะเรียกได้ว่ามันหายไปแล้ว เพราะจะพูดล้อเล่นได้กับทุกคน และไม่มีคำลงท้ายเลย และภาษาอังกฤษของเธอจะติดสำเนียงญี่ปุ่นด้วยเล็กๆ

    [Situation 1 : Lovely Girl]

    อ้ะ สาวน้อยที่เจอเมื่อตอนนั้นนี่นา เป็นไงบ้าง สบายดีไหม” เธอเอ่ยทักไปด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่นที่พอเข้าใจได้ ร่างเล็กไม่ได้ตอบอะไรนอกจากปากที่พยายามจะสะกดคำว่า”ช่วยด้วย”ออกมา เพราะตอนนี้เธอนั้นถูกล้อมรอบไปด้วยชายฉกรรจ์ราวๆ สี่คน 

    “เห้ย จะมายุ่งอะไรด้วยวะ หรืออยากจะร่วมแจม หา?” ชายที่ดูเป็นหัวโจกเอ่ยขึ้น พร้อมกับจ้องมองไปยังร่างกายของฟรานที่แต่งชุดเอวลอยโชว์สัดส่วนอยู่พร้อมกับผิวปาก

    ถึงชั้นจะชอบเรื่องอย่างว่าก็เถอะ แต่กับผู้ชายนี่มันน่าขยะแขยงว่ะ” เธอใช้มือของเธอกดไหล่ของคนๆ นั้นจนทำให้ล้มลง พร้อมกับเสียงดังกร๊อบของกระดูกที่หักไป ชายคนนั้นกรีดร้องอย่างทรมาณ ส่วนคนอื่นๆ น่ะหรอ วิ่งหนีไปหมดแล้วล่ะ

    สุดท้ายก็ดีแต่ปากสินะ….” ฟรานพุดลอยๆ ก่อนจะรับอ้อมกอดของหญิงสาวตรงหน้า เธอลูบหัวคนๆ นั้นอย่างแผ่วเบา

    จะไปต่อไหนดีล่ะ ห้องชั้นหรือโรงแรม

    [Situation 2 : Want to join us?]

    “โมนิก้า ชีทที่เธอฝากให้ถ่ายได้แล้วนะ” เสียงเรียกของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นหน้าประตู ก่อนที่จะถือวิสาสะเปิดเข้าไปในห้องเพื่อนสนิทของเธอ

    โอเคๆ วางไว้แถวๆ นั้นแหละ” ฟรานได้พูดขึ้นโดยที่ไม่สนนใจสภาพของเธอเลยแม้แต่น้อยว่าขณะนี้เธอกำลังอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าพร้อมกับสาวน้อยคนหนึ่งที่กำลังนอนสลบอยู่บนเตียงข้างๆ เธอเช่นกัน เพื่อนของเธอปิดหน้าด้วยความเขินอาย จนทำให้ฟรานต้องสะกิดอีกครั้ง

    รออะไรอยู่ล่ะ หรืออยากเหมือนกัน โอ้ 3P ก็ดีนะเนี่ย” ไม่รอช้า เพื่อนคนนั้นรีบที่จะวางเอกสารลงบนโต๊ะและวิ่งออกไปจากห้องทันที

    ผู้จัดการ - บุคลิกนี้จะแทนตัวเองว่า “เรา” และแทนคนอื่นว่า “ท่าน” โดยไม่สนใจระดับอายุหรือยศชั้นเลย แต่กระนั้นเธอกลับไม่เคยมีคำลงท้ายในคำพูดแม้แต่ครั้งเดียว สำนวนการพูดนั้นเป็นสำนวนการพูดที่เป็นทางการและสุภาพอย่างมาก และน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนโยนและน่าเคารพนั้นช่วยเยียวยาใครหลายๆ คนได้เป็นอย่างดี

    [Situation 1 : Counsel]

    ทุกอย่างวนเวียนเป็นวัฏจักร” เมเนเจอร์วางชาลงตรงหน้าคู่สนทนา กลิ่นหอมอ่อนๆ ของมันค่อยๆ ลอยออกมาเพื่อสร้างความผ่อนคลาย เธอค่อยๆ ลากเก้าอี้ออกและนั่งลงในฝั่งตรงข้าม ถึงแม้ว่าดวงตาของเธอจะมองไม่เห็น แต่เธอกลับทำเรื่องเช่นนี้ได้โดยไม่เกิดข้อผิดพลาด

    ทั้งความสุข ความเศร้า ความทุกข์ ความเวทนา ความยินดี...มีเกิดมาแล้วก็ดับไป แล้วมีเรื่องอะไรจะปรึกษาหรอ ดวงตาที่ปิดสนิทไม่ได้ทำให้ความน่าเคารพของเธอหม่นลงไปเลยแม้แต่น้อย รอยยิ้มของเธอค่อยๆ เผยออกเพื่อคลายความกังวลของคู่สนทนา และรับฟังสิ่งที่เขาคนนั้นต้องการจะพูดออกมา

    [Situation 2 : Why]

    ทำไมเราถึงต้องมาใช้อากาศหายใจร่วมกับคนเช่นนี้นะ” ความคิดชั่ววูบแล่นเข้ามาในหัวเธอ แต่นั่นมันก็ทำให้เธอประหลาดใจ ทำไมกันเธอถึงมีความคิดเช่นนี้ได้ มันควรจะหายไปแล้วสิ หรือว่ามันจะยังคงอยู่ และแฝงอยู่ภายใน

    เราเป็นอะไรไปกันนะ...เมื่อกี้คิดอะไรอยู่กันแน่


     

    พลังพิเศษ : 

    [เร่งอุณหภูมิ] 

    เธอสามารถแผ่รังสีความร้อนออกไปรอบตัวได้ ซึ่งมันจะค่อยๆ เพิ่มอุณหภูมิของสิ่งต่างๆ ในระยะ 10 เมตรรอบตัวเธอวินาทีละ 1 องศาเซลเซียส และค่อยๆ ลดหลั่นไปเรื่อยๆ ตามระยะที่ห่างออกไป และยังกำหนดอุณหภูมิสูงสุดที่วัตถุนั้นจะไปถึงได้ด้วย

    นอกจากนี้เธอยังสามารถโฟกัสการส่งอุณหภูมิไปยังวัตถุเดียวได้ ซึ่งจะเพิ่มสูงถึง 10 องศาเซลเซียสต่อวินาที แต่ระยะจะลดลงเหลือแค่ 2 เมตรเท่านั้น รวมถึงยังเลือกที่จะไม่ส่งอุณหภูมิไปยังวัตถุใดที่เธอไม่ต้องการได้

    แต่การจะทำเช่นนั้นต้องใช้สมาธิอย่างมาก ทำให้เป็นการยากในการไม่ส่งอุณหภูมิไปยังวัตถุหลายๆ อย่าง ทำให้อากาศรอบๆ ตัวเธอนั้นมักจะร้อนเสมอเวลาใช้พลัง (ต่อให้ไม่ส่งอุณหภูมิไปในอากาศรอบตัว แต่เพื่อนที่ยืนใกล้ๆ ก็โดนอยู่ดี จึงเลือกที่จะไม่ส่งไปยังเพื่อน ทำให้อากาศร้อน แต่เลือดเพื่อนจะไม่เดือดไปเสียก่อน)


    [เพทนาแฝงสายฝน]

    สร้างและควบคุมฝนได้ และสามารถแฝงความรู้สึกไปผ่านสายฝนได้ เช่น แฝงความเจ็บปวดไปกับสายฝนที่ตกลงมา ทำให้ฝนทุกเม็ดที่กระทบร่างกายนั้นก่อเจ็บปวดราวกับถูกเข็มแทง หรือแฝงความเศร้าไปทำให้ยิ่งฝนตกกระทบโดนตัวมากเท่าใคร ความเศร้าในจิตใจก็จะถูกขุดขึ้นมามากเท่านั้น

    มันส่งผลกระทบต่อทุกคนที่โดนฝน แม้แต่ตัวเธอก็ตาม ทำให้ต้องพกร่มติดตัวตลอดเวลา

    การจะแฝงความรู้สึกใดไปกับสายฝน ต้องสัมผัสถึงความรู้สึกนั้นเสียก่อน และการจะสร้างฝนก็ขึ้นอยู่กับไอน้ำในบริเวณนั้นด้วย หากอากาศแห้ง ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะสร้าง



    ความสามารถพิเศษ : เฟธ : ทำอาหารเก่ง - เธอต้องอยู่ตัวคนเดียว การที่ทำอาหารไม่ได้เลยมันคงจะแย่ไม่น้อย

    ทำงานฝีมือได้ - อะไรทำเองได้ก็ควรทำเอง เช่นเย็บเสื้อผ้า

    ความจำดี (แต่คิดว่าตัวเองความจำเสื่อม) - ความจำดีขนาดที่จำย่อหน้าไ้เลยว่าสื่งที่พูดถึงอยู่ย่อหน้าไหน แต่ด้วยอาการหลายบุคลิกทำให้ตัวเธอคิดว่าเธอความจำเสื่อม


    เฟย์ : การใช้อาวุธปืน - บุคลิกนี้กล่าวว่าเคยฝึกทหารมาก่อน 

    ศิลปะป้องกันตัวของรัสเซียหรือซิสเตม่า - จากการฝึกของเธอ ถ้าไม่มีปืนแล้วจะเอาอะไรสู้ คำตอบง่ายๆ มีด ไม่ก็หมัด

    ความสามารถด้านวิศวกรรม - การซ่อมเครื่องจักรมันจำเป็นอยู่แล้ว โดยเฉพาะการซ่อมรถถังที่เสียในแดนศัตรู


    ฟลินน์ : กฎหมาย - ศึกษาตำรากฎหมายจนทะลุปรุโปร่ง

    การเจรจาต่อรอง - ชอบในด้านนี้มากจนทำให้ฝึกพูดทุกวัน

    ปั่นหัวคน - ชอบเหมือนอันด้านบน เผลอๆ อาจจะมากกว่า


    ฟราน : ความสามารถในการใช้อาวุธเกือบทุกประเภท ทั้งมีด ปืน(ทั้งปืนพกหรือไรเฟิล) ระเบิด หรือของรอบตัวเช่นกัน - เรียนรู้มาจากหลายๆ ที่ และที่สำคัญคือไม่ได้เรียนรู้เล่นๆ แต่จริงจังมาก

    ความสามารถทางร่างกายที่สูงกว่าปกติจากอดรีนารีนที่หลั่งมากขึ้นเมื่ออยู่ในบุคลิกนี้ - เะอนั้นควบคุมปริมาณการหลังของอดรีนารีนได้ ทำให้เธอใช้มันเพื่อเพิ่มความสามารถด้านร่างกายของเธอ

    ศิลปะการต่อสู้ เช่น MMA เทควันโด และคาโอเปร่า - เรียนมาเพื่อใช้ฆ่าคนโดยเฉพาะ ทำให้มันรุนแรงกว่าเดิมมาก

    ความอ่อนตัวของร่างกายเหมือนนักยิมนาสติก(เป็นบุคลิกเดียวที่ใช้ความตัวอ่อนของร่างได้สมบูรณ์แบบ) - การกระโดดสูงๆ เนี่ยต้องใช้ยิมนาสติกนะ ทำให้เธอนั้นฝึกฝนร่างนี้มา แต่ก็ไม่มีใครใช้คล่องเท่าเธออีกแล้ว


    ผู้จัดการ : การวางแผน - แผนที่เธอวางนั้นถึงจะไม่เชื่อได้ว่าไม่มีวันที่จะผิดพลาด แต่มันก็มีโอกาสน้อยมากที่จะเป็นเช่นนั้น

    การพูดให้คนนับถือและเชื่อฟัง - คำพูดของเธอทรงพลังมากพอๆ กับพวกนักพูดและนักการเมือง มากพอที่จะทำให้คนทำตามได้เลย

    การบริหารจัดการ - เธอศึกษาเรื่องพวกนี้เพราะต้องการที่จะคุมบุคลิกอื่นให้อยู่

    เรียนรู้เร็วมาก - เรียนรู้เร็วจนน่าตกใจ ใช้เวลาไม่นานในการเข้าใจเรื่องต่างๆ

    การเยียวยาจิตใจ - เธอมีความสามารถในการพูดและรู้ว่าอะไรที่ควรพูดหรือไม่ควรพูด และใช้มันในการเยียวยาได้

     

    สิ่งที่ชอบ : เฟธ - การได้ช่วยเหลือคนอื่น : แค่ได้เห็นคนอื่นมีความสุขก็พอใจแล้ว...งั้นหรอ

    คำชื่นชมและปลอบโยน : มันเหมือนกับรางวัลความสำเร็จที่ยืนยันว่าเธอเป็นคนดี ส่วนคำปลอบโยนนั้น มันเยียวยาเธอได้ไม่มากก็น้อย

    อาหารอร่อยๆ : ไม่มีอะไรทำให้อารมณ์ดีได้เท่ากับการกินอาหารอร่อยๆ ใช่ไหมล่ะ


    เฟย์ - การต่อสู้ : เลือดลมสูบฉีดมากขึ้นเหมือนเป็นการออกกำลังกาย

    วอดก้า : ดื่มแทนน้ำเปล่ายังได้

    มุขตลก : ผ่อนคลายจากความเครียด


    ฟลินน์ - เงิน :เมื่อมีเงินแล้ว อย่างอื่นก็จะตามมาเองแหละ

    ของหรูๆ : เหมาะสมกับเขาดี

    การปั่นหัว : สนุกดีนะ


    ฟราน - ผู้หญิงน่ารักๆ : เป็นเหมือนดอกไม้ที่สวยงามและอยากจะเด็ดมาครอบครอง

    การฆ่า : มันเป็นเหมือนศิลปะ ทั้งสุนทรีย์และสวยงาม

    พูดคุย : คนพูดมากถ้าไม่ได้พูดก็เหมือนโดนทรมาณแหละ


    ผู้จัดการ - การเยียวยา : การที่คอยประคับประคองผู้อื่นนั้นเป็นสิ่งที่ดีต่อใจไม่น้อย

    รอยยิ้ม : เป็นสิ่งที่ช่วยให้โลกที่มืดมนนี้สดใสมากขึ้น

    กาแฟ : โดยเฉพาะกาแฟดำไม่ใส่น้ำตาลเลย

     

    สิ่งที่ไม่ชอบ : เฟธ - การอยู่คนเดียว : เหมือนกับการต้องเคว้งคว้างโดยไร้เป้าหมาย เธอต้องการทำให้ผู้อื่นมีความสุข แล้วถ้าไม่มีใครรอบๆ เธอจะทำให้ใครมีความสุขล่ะ

    กาแฟ : ขมขนาดนั้นใครจะไปดื่มได้

    แอลกอฮอล์ : ดื่มแล้วขาดสติ ก่อเรื่องตามมามากมาย


    เฟย์ - คนเจ้าเล่ห์ : พวกนี้มันไว้ใจไม่ได้ พลิ้กลิ้นเพื่อผลประโยชน์ตน

    การต้องรอ : หงุดหงิดจนอยากจะพังของซักชิ้นสองชิ้น


    ฟลินน์ - พวกสมองกล้ามเนื้อ : คุยด้วยยาก น่ารำคาญ


    ฟราน - เวลาที่ต้องเงียบ : เหมือนจับนกมามัดปีกไม่ให้โผบิน

    เนื้อสัตว์ : เห็นแบบนี้ บุคลิกนี้เป็นมังสวิรัตนะ


    ผู้จัดการ - ของหวาน : หวานขนาดนี้ใครจะไปกินลง

     

    สิ่งที่เกลียด : เฟธ - การโดนต่อว่า : นั่นสินะ เธอเองมันก็ไม่จำเป็นต้องอยู่บนโลกก็ได้


    เฟย์ - คนที่ไร้ความยุติธรรม : พวกนี้แหละที่เป็นตัวปัญหาของโลกนี้

    คนที่ดูถูกคนอื่น : ทุกคนที่ดูถูกความตั้งใจของคนอื่นนั้นเป็นเหมือนกับเชื้อไฟที่จะทำให้คนๆ นั้นรู้สึกแย่


    ฟลินน์ - ของราคาต่ำ : รู้สึกเหมือนโดนกดค่าของตัวเองลงอย่างมาก

    สุนัข : ไม่ชอบอ่ะ แมวน่ารักกว่าเยอะ ทำไมคนถึงชอบได้ ทั้งแยกเขี้ยวน้ำลายไหลหรือกระโดดมาเลียหน้าเนี่ย


    ฟราน - ผู้ชาย : แค่คิดถึงก็ขยะแขยงจนอยากจะฆ่าไปให้หมดโลก


    ผู้จัดการ - คนที่ไม่ยอมฟัง : เธอไม่ได้อะไรกับคนพวกนี้ เธอแค่รำคาญแค่นั่นเอง แต่เธอก็เข้าใจพวกเขาเหล่านั้นดี..ล่ะมั้ง


    สิ่งที่แพ้ : เฟธ - ไม่มี

    เฟย์ - ไม่มี

    ฟลินน์ - แพ้ถั่ว (เหมือนจิตใจสั่งให้แพ้ แต่ร่างกายไม่ได้แพ้จริงๆ)

    ฟราน - ไม่มี

    ผู้จัดการ - ไม่มี


     

    สิ่งที่กลัว : เฟธ - การถูกทิ้ง : ทำไมถึงต้องทิ้งเธอไปล่ะ….เธอเป็นคนดีไม่พอหรอ

    ความสูง : ตอนเด็กเธอเคยถูกทรมาณด้วยการจับแขวนไว้ ทำให้เธอกลัวความสูงอย่างมากแม้ว่ามันจะสูงในระดับที่ไม่เป็นอะไรก็ตาม


    เฟย์ - ความโกรธของตัวเอง : กลัวว่ามันจะไปทำลายคนรอบข้างด้วย เธอไม่ต้องการให้มันเป็นเช่นนั้น จึงพยายามควบคุมตัวเองเสมอมา


    ฟลินน์ - ความทุกข์ยาก : ไม่มีใครหรอกที่ต้องการสัมผัสความทุกข์ยากน่ะ เธอเองก็เป็นหนึ่งในนั้น


    ฟราน - การที่เธอจะไม่ได้ฆ่าอีกต่อไป : เหมือนจิตกรที่วาดรูปไม่ได้อีกต่อไปแหละ มันเหมือนเป็นชีวิตของเธอไปแล้ว


    ผู้จัดการ - ตัวเธอเอง : เธอกลัวว่าวันใดวันหนึ่งอัตตาที่ซ่อนภายในจะถูกกระตุ้นให้ออกมา และนั่นก็จะทำร้ายทุกคนรอบข้างเธอ


     

    เพิ่มเติม : 

    ข้อมูลของบุคลิกต่างๆ 

    เฟธ - บุคลิกหลัก ผู้หญิง อายุ 21 ปี ชาวออสเตรียที่ย้ายมาเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา ศึกษาในคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ต้องการที่จะเป็นคนดี พูดอังกฤษและเยอรมันได้

    เฟย์ - บุคลิกต่อสู้ หญิงสาวอายุ 28 ปี เป็นชาวรัสเซียที่บอกว่าตัวเองเคยเป็นทหารมาก่อน ใช้ภาษาอังกฤษและรัสเซีย แต่ภาษาอังกฤษจะติดสำเนียงสลาวิก

    ฟลินน์ - บุคลิกประสานงาน ชายหนุ่มอายุ 32 ปี นักธุรกิจชาวอังกฤษ ทำให้สำเนียงของเขานั้นออกไปทางบริติชมากกว่าอเมริกัน 

    ฟราน - บุคลิกฆ่าล้าง หญิงสาวอายุ 19 ปี ฆาตกรต่อเนื่อง พูดภาษาญี่ปุ่นและจีน แต่อังกฤษนั้นถึงจะไม่ค่อยคล่องแต่ก็พอได้ และติดสำเนียงญี่ปุ่นอย่างมาก

    ผู้จัดการ - บุคลิกควบคุม ไม่เคยกล่าวถึงประวัติของตนเอง พูดได้เกือบสิบภาษาและยังใช้อักษรเบลล์ได้อย่างคล่องแคล่ว รวมถึงยังสื่อสารด้วยภาษามือได้แม้จะมองไม่เห็นก็ตาม เป็นบุคลิกเดียวที่ตาบอด


    - อ้างอิงอาการหลายบุคลิก กดเลย (https://pantip.com/topic/35636975)

    - ปัจจุบันเรียนควบคู่กับการทำงานร้านสะดวกซื้อ แต่เงินมรดกยังเหลืออยู่เช่นกัน ซึ่งเธอไม่อยากจะใช้มันเลย

    - เมื่อมาอยู่ที่คฤหาสน์แล้ว มักจะกลับไปที่ห้องเช่าเดิมของเธอบ่อยๆ นั่นมันเป็นเหมือนที่ๆ เธอรู้สึกปลอดภัยมากที่สุด

    - ไม่ได้ถูกทุกคนเกลียด แต่จะมักคิดว่าถูกทุกคนเกลียด

    - ต้องเข้าพบจิตแพทย์บ่อยๆ เนื่องจากอาการดาวน์ของเธอที่อาจจะำไปสู่การฆ่าตัวตายได้หากดิ่งมากเกินไป

    - ทั่วร่างกายของเธอมีแผลมากมายจนเปิดเสื้อผ้าออกตรงไหนตรงนั้นก็ต้องมีแผลแน่ๆ

    - ออกกำลังกายบ่อยมาก แต่จำม่ได้ว่าออกเพราะคนออกคือเฟย์

    - คิดไม่ออกแล้วครับ เดี๋ยวคิดออกมาเพิ่มครับ




    แม่คนใหม่ของเธอและคนที่เธอรักที่สุด

    ชื่อ : แมรี่ ดาเนลล่า || Marry Daniella

    อายุ : 32 ปี

    สถานะปัจจุบัน : เสียชีวิต



    【Interview】


    สวัสดีครับ ก่อนอื่นก็คงต้องทำความรู้จักกันก่อน...คุณชื่ออะไรเหรอ?

    : รอยยิ้มอันงดงามปรากฎขึ้นบนใบหน้าของหญิงสาว เธอเอ่ยชื่อของตัวเองออกไปด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริง

    โมนิก้า เฟธ ดาเนลล่าค่ะ เรียกว่าเฟธก็ได้” เมื่อเธอเอ่ยจบ จู่ๆ แววตาและน้ำเสียงของเธอก็เปลี่ยนไป จากเสียงที่ร่าเริงเมื่อครูกลายเป็นเสียงที่นุ่มละมุนและชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย ดวงตาของหญิงสาวหลับลงไป

    ต่อจากนี้เราจะเป็นคนพูด เด็กคนนี้มีหลายบุคลิกด้วยกัน ถ้าจะให้ไล่ก็มีเฟธ เฟย์ ฟลินน์ ฟราน และตัวเรา ผู้จัดการ เรียกเมเนเจอร์ก็ได้ตามสบาย

    ∆ เป็นชื่อที่ดีนะครับ แล้ว...คุณรู้สึกยังไงบ้างที่พบว่าตัวเองเป็นผู้วิเศษ?

    : เป็นเหมือนโชคชะตาที่เล่นตลก มันจะนำพาเรื่องเลวร้ายมาแน่นอน เราสังหรณ์เช่นนั้น แต่มันคงมิอาจเลี่ยงได้” ดวงตาของเธอเปิดขึ้นอย่างช้าๆ สายตาของเธอฉายแววขี้เล่นและสนุกสนาน เธอมองไปยังคนตรงหน้าด้วยความรื่นเริงสบายอารมณ์

    รู้สึกยังไงหรอ~ ก็คงรู้สึกดีล่ะมั้ง การฆ่าในแบบใหม่ๆ น่ะ ไม่ใช่อะไรซ้ำซากจำเจแบบเดิม” เธอคนนี้พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม 

    ∆ งั้นเหรอครับ แล้วคุณคิดว่าตัวเองจะเป็นประโยชน์แก่มวลมนุษย์มากแค่ไหนกัน?

    : ต้องถามกลับกันครับ ว่ามวลมนุษย์จะเป็นประโยชน์ให้ผมหรือเปล่า การเลี้ยงดูอย่างดีแลกกับการไปตายนี่มันก็ดูๆ จะไม่คุ้มค่านะครับ” เธอหยิบแว่นตาขึ้นมาสวมก่อนจะพูดจาด้วยสำนวนทางการพูดแบบผู้ชาย แต่ยังไม่ทันไรแว่นนั้นก็ถูกเก็บลงไป แววตาของเธอนั้นแข็งกร้าวขึ้นและพูดออกมาด้วยเสียงที่ดูเหมือนกำลังโมโหอยู่

    โว้ย นี่แกคิดว่าชั้นไม่มีประโยชน์รึไง! ก็จะเป็นคนฆ่าพวกปีศาจเวรนั่นให้พวกแกไง แล้วแกก็จะได้นอนหลับอย่างสบายไม่ต้องกังวลว่าเมียหรือลูกของแกจะถูกฆ่า!” เสียงนั่นเงียบลงไป ก่อนที่เธอจะกลับมาหลับตาเช่นเดิม

    ∆ โอ้... แล้วคุณคิดยังไงกับพวกปีศาจล่ะ?

    : ปีศาจนั้นอาจจะเป็นสิ่งมีชิวิตอีกอย่างที่น่าเศร้า แต่มันก็เป็นวัฏจักร การเกิดและการตายเช่นกัน พวกนั้นทำให้เราหวนคืนสู่จุดเริ่มต้นด้วยการฆ่า และเราก็จะทำให้พวกนั้นหวนคืนสู่จุดเริ่มต้นเช่นกัน สุดท้ายแล้ว กงล้อก็จะหมุนอีกครั้งหนึ่ง” เมเนเจอร์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ไม่ได้ใส่อารมณ์เข้าไปทำให้แทบจะจับไม่ได้เลยว่ารู้สึกอะไรกับพวกปีศาจ

    แต่นั่นแหละน้า มันก็เป็นเรื่องสนุกดีกับการฆ่าโดยไม่ผิดกฎหมายล่ะ!” น้ำเสียงอันร่าเริงกลับมาอีกครั้ง แววตาขี้เล่นนั้นกำลังส่อให้เห็นถึงความสนุกสนานที่กำลังจะเกิดขึ้นจากการฆ่าของเธอ

    ∆ ฮะๆ โอเคครับ สำหรับคำถามในวันนี้ก็หมดลงเพียงเท่านี้ ขอให้โชคดีครับ :)

    : โชคดีน้า~~” เมื่อเธอพูดจบ แว่นตาก็ถูกนำมาใส่อีกครั้ง สมุดบันทึกถูกนำขึ้นมาจดข้อมูลต่างๆ ทั้งคำถามและคำตอบของการสัมภาษณ์ครั้งนี้ และแว่นตานั้นก็ถูกถอดออก

    อ้ะ ขอโทษค่ะ เหม่อนิดหน่อย เริ่มคำถามได้เลยค่ะ…..” เฟธนั้นยิ้มด้วยความร่าเริ่ง แต่ว่าเธอก็ประหลาดใจเมื่อคนตรงหน้าไม่ถามอะไรเธอ เธอสังเกตเห็นสมุดบันทึกในมือและเปิดออกดู เธอก็รู้ทันทีว่าการสัมภาษณ์จบลงแล้ว

    คงต้องฝึกความจำไว้แล้วเรา...แต่ยังไงก็ขอบคุณค่ะ!” เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะก้มหัวลงเพื่อแสดงความขอบคุณ และเดินออกจากห้องไป 



    【Talk with parents】

    แฮะะ นานๆทีจะหาเรื่องคุย//เขินตัวบิด—เอาเป็นว่าสวัสดีค่ะ ทางนี้ชื่อสโนว์หรือโนนะคะ ทางนู้นชื่ออะไรเอ่ยย

    : ด้าครับผม เจอกันเป็นเรื่องที่สี่แล้วนะครับ

    ∆ อาจจะเวิ่นเว้อพล่ามเยอะเรื่องพล็อตไปหน่อย... แต่คิดยังไงถึงมาเรื่องนี้คะ ;;w;;

    : ตามมาจากเรื่องก่อนๆ ครับ แถมชอบแนวแฟนตาซีและมีตัวละครแนวที่ชอบด้วย

    ∆ โนไม่ใช่คนขยันหรือเก่งอะไรนะคะ อาจมีการเงียบหายไปบ้างไม่ว่ากันนะคะ จะไม่เรียกว่าดองให้ใจเสียหรอกค่ะ พยายามจะไม่ทำแบบนั้น5555 (ไม่นานนู๋จิกลับมา—)

    : ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวค่อยจิก-----//โดนถีบ

    ∆ โนไม่ค่อยถนัดฉากหวานๆเท่าไหร่ และเนื้อเรื่องอาจไม่ได้เน้นความรักอย่างเดียว มันอาจมีอะไรดาร์คๆมานิดนึง ซึ่งอาจลามไปถึงตัวละครด้วยที่อาจจะโดนย่ำยี(?) และถูกโนกระทำชำเรา(?)บ้างนะคะ อาจมีตายด้วย ไม่ว่ากันนะคะ แจ้งไว้ก่อนเนอะ ;;w;;

    : ตามสบายครับ รับได้ ชำเราตามสบาย(?)

    ∆ ถ้าหากว่าตัวละครนี้ไม่ติดตามบทบาทที่ต้องการ จะอนุญาตให้เปลี่ยนบทบาทหรือรับกลับคะ

    : ตามสบายครับ

    ∆ มีอะไรจะบอกโนไหมคะ อย่างเช่นอยากให้โนข่มขืนตัวละค—แค่ก เช่น อยากได้ฉากไหนเป็นพิเศษไหมอ่ะค่ะ ถ้าทำได้จะจัดให้เน้อ! =w=

    : อืมๆ ฉากที่อยากได้เป็นพิเศษ ก็คงเป็นน้องเฟธโหมดวิปลาสล่ะมั้งครับ แล้วก็อาจจะมีคนมาอธิบายเกี่ยวกับความดีจริงๆ ให้น้องฟัง ไม่ก็ฉากฝนตกครับ

    ขอบคุณที่สมัครนะคะ ขอให้โชคดีค่ะ!//เตรียมของเซ่นไหว้ให้(?)





    { Winter Dark Theme }
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×