ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Rush of Ruin: The First Flame of Ruin เพลิงแรกแห่งการล่มสลาย

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่1:คนเถื่อน

    • อัปเดตล่าสุด 23 พ.ย. 67


    บทที่:1

    คนเถื่อน

    "ลักพาตัว?"

    “ใช่ ลักพาตัว” เดวิดยืนยัน

    เสียงอีกฝ่ายเงียบลงและมันก็เริ่มดังขึ้นมาอีกครั้ง

    “ค่าจ้างเท่าไหร่?” เอิร์ทถามเดวิดระหว่างถือสาย

    “นี่…” เสียงของเดวิดเริ่มขุ่นเคือง

    “ฉันล้อเล่น ทำเป็นจริงจังไปได้ มีข้อมูลอะไรมั้ง?”เอิร์ทถาม

    เดวิดถอนหายใจ สีหน้าที่พึ่งตึงเครียดเริ่มผ่อนเบาลงมา

    “ตอนนี้ฉันยังไม่รู้อะไร แต่ที่แน่ๆต้องให้นายร่วมงานด้วย”เดวิดพูด

    “เอาอีกแล้วนะ ‘ชาน’ ตลอดการทำงานรวมกับนายประมาณปีอะไรนะ ห้าหรือหก?”

    “เราเจอกันปีห้าสี่ ตอนนั้นมึงยังหนุ่มมากและฉายานั่นฟังดูเท่จริงๆ”เดวิดตอบ

    “ไม่..ไม่เชิง ฉันหมายถึงแผนที่นายใช้ ตลอด ตลอดทุกครั้งมันไร้รูปแบบของความเป็นแผน”เอิร์ทพูด

    “แต่แผนนั้นก็ทำผลงานได้ดีเลยนะ”เดวิดตอบกลับ

    “แต่มันก็เละทุกครั้ง..”เอิร์ทสวนกลับ

    “งี่เง่าจริง…ได้ ตอนนี้อยู่ไหน”เขาถาม

    "ไทย มาหาไรกินน่ะ พอรู้จักเครื่องวาร์ปของคาสันก็ประหยัดเงินค่าเครื่องบินไปได้เยอะเลย" เอิร์ทพูดอย่างภูมิใจ "ตอนนี้นายคงอยู่อเมริกาอยู่ใช่ไหม” เขาถาม

    "เออๆ เจอกันที่เดิม หน้าประตูสีทองนั่น งานนี้คาสันต้องได้ร่วมวงแล้ว"เดวิดทำหน้าเครียด

    "ได้ ฉันจะพยายามรีบไปให้ถึง ประมาณชั่วโมงได้"เอิร์ทตอบรับ

    เดวิดวางสายลง เขาปิดประตูตู้โทรศัพท์และเดินออกมาจากที่นั่น เดวิดนึกไม่ออกว่าอะไรเป็นเหตุผลที่กลุ่มลัทธินั่นต้องการอะไร เงิน? ข้อมูลอาวุธหรืออื่นๆที่ปีเตอร์ยังไม่ได้บอกเขา? เดวิดสงสัยและได้แต่ย้อนคิดว่ายังเหลืออะไรบ้างที่เดวิดยังไม่รู้

    ย้อนไปเมื่อหลายปีก่อน

     ตึกสำนักงานของปีเตอร์ที่ตั้งอยู่ในลาสเวกัส เป็นสถานที่ที่ปีเตอร์เปิดธุรกิจคาสิโนบังหน้าธุรกิจอันดำมืดของเขาที่เป็นองค์กรชื่อว่า"เอเดนเวย์" ในห้องสำนักงานเล็กๆที่พวกเขาสองคนช่วยกันวางแผนและดูงานต่างๆ ที่จำเป็นต้องทำในทุกๆสัปดาห์ 

    กระเบื้องขาวที่มองไปนานๆแล้วชวนปวดหัวกับกองกระดาษรายงานที่เดวิดและปีเตอร์ต้องอ่านมันทุกใบ มันเป็นช่วงเวลาที่เหนื่อย มันชวนหงุดหงิดและน่ากังวลเพราะเดวิดต้องใช้เวลาถึง9ชั่วโมงในห้องเล็กๆที่เขาเคยสบประมาทว่า"รูหนูก็อยู่ได้"แต่ตอนนี้ห้องมันกำลังบดขยี้จิตใจของเขา 

    เดวิดอยากลุกออกไปคลายกล้ามเนื้อแต่ทำไมได้เพราะงานกำลังเป็นไปได้สวย องค์กรนี้กำลังขยายตัวใหญ่ขึ้นกว่าใครในลาสเวกัส ปีเตอร์และเดวิดรู้ดีว่านี่จะเป็นการลงทุนครั้งสุดท้ายที่จะทำกำไรให้พวกเขายิ่งกว่าถูกหวย10ใบ เดวิดนั่งอ่านรายงานงบประมาณอาวุธและค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปกับการติดสินบนให้กับรัฐบาลข้างโต๊ะปีเตอร์แสงไฟจากโคมไฟส่องลงมาเพื่อให้มองเห็นตัวอักษรชัดขึ้น ตั้งแต่เดินเข้าห้องมาเขาต้องนั่งทำเอกสารต่างๆโดยไม่ได้ลุกไปไหนเลย เขาเกลียดงานนี้ เขาถูกฝึกอบรมในค่ายปักธงชัยเพื่อเป็นนักรบที่ดีที่สุดของประเทศไทยไม่ใช่นักทำบัญชีหรือนักทำรายงาน บรรยากาศที่น่าพะอืดพะอมของฝั่งเดวิดก็ตัดกับฝั่งบรรยากาศของมืออาชีพอย่างปีเตอร์ที่เห็นได้อย่างชัดเจน 

    ปีเตอร์ไม่ได้พูดอะไรที่เป็นบทสนทนาไร้สาระหรือประโยคยาวๆมากนักเขาแค่พยักหน้าและพูดในสิ่งที่เดวิดต้องการเกี่ยวกับงานเท่านั้น เดวิดทำหน้าบูดบึ้งเขาอยากออกจากห้องนี้จนใจจะขาดหรืออยากหาอะไรทำแก้เบื่อ

    “ปีเตอร์”เดวิดพูดพลางก้มมองไปที่แผ่นกระดาษบนโต๊ะของเขา “ผู้กองคิมที่อยู่รัฐซานเดียโก้เขาเรียกค่าใช้จ่ายเรื่องการปกปิดหลักฐานที่ฉันไปทำภารกิจไว้น่ะ” 

    “อืม"ปีเตอร์พูดโดยไม่เงยหน้าหันไปทางเดวิด "ฉันจะนัดเธอไปกินข้าวที่บาหลิ ไฮเรสท์ รอนท์ ประมาณ2วันหน้าฝากเขียนและวางไว้ตรงฝั่งการสื่อสาร”ปีเตอร์พูดหน้านิ่ง

    “อ่อเค ตรงนี้หรอ ใช่ป่ะ โตงงนี้”เดวิดชี้ไปที่โต๊ะซ้ำๆ เพื่อพยายามดึงความสนใจของปีเตอร์อย่างเต็มที่แต่ปีเตอร์ไม่ตอบอะไรเขาพยักหน้าเบาๆแล้วหันกลับไปเขียนข้อมูลลงในรายงานต่อ

    “ปีเตอร์กูเบื่อ….”เขาพูดตรงๆ

    ปีเตอร์ไม่สนใจเขาก็ก้มหน้าลงอ่านเอกสารต่อไป

    “อ่านกองเอกสารบ้านั้น กูพนันได้เลยว่า4วันกว่าจะหมด”เดวิดบอก

    “มันสำคัญชาน ฉันปล่อยช่องว่างของบริษัทเราไม่ได้”

    “คุณควรไปหาเลขาสักคนนะ คนเกาหลี ไม่ก็ไทย”เขาแนะนำ

    “ฉันมีคนหนึ่งที่รู้สึกน่าสนใจ คนอังกฤษ ไว้ฉันกับนายมีเวลามากพอฉันจะพานายไปทำความรู้จัก เธอเชี่ยวชาญเรื่องการดำเนินงานและการค้าขาย นับว่าดีเลยล่ะ แต่ตอนนี้เราต้องทำงานกันเองไปก่อน”ปีเตอร์พูด

    “ก็ดีน่ะ… แต่ขอถามไรหน่อยได้ไหม ไอ่หน้านิ่งอย่างคุณเนี่ยเคยไปทำอะไรให้ใครโกรธบ้างไหม เห็นแต่ไปสร้างมิตร”เดวิดถามเขา

    “หืม?”ปีเตอร์ที่ได้ยินก็เงยหน้าไปมองเดวิดเล็กน้อยก่อนจะส่ายหัวเบา

    “มันก็มีอยู่หรอก พวกศาสนา”ปีเตอร์

    เดวิดที่ได้ยินก็แปลกใจเล็กน้อยเพราะเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าปีเตอร์เคยไปยุ่งกับคนเหล่านั่นด้วย

    “รู้จักด้วยหรอ?”เดวิดถาม

    “แค่คุยงาน จำงานที่ฉันปฏิเสธไปได้ไหม ที่ฉันไม่ให้นายกับทีมไป”

    “จำได้แต่คุณไม่ได้บอกว่าทำไม แต่คุณก็รู้นิว่างานคืองาน น่าจะรับมันไปจะได้จบๆ”

    “มันไม่จำเป็น"ปีเตอร์ตอบสั้นๆ ทิ้งความสงสัยไว้ให้เดวิดไว้

    “ตั้งแต่กูรู้จักมึงมาเนี่ย มึงไม่เคยพูดถึงศาสนามาก่อนเลยนะปีเตอร์”เขาถามพลางมองหน้าปีเตอร์อย่างจริงจัง

    “ไม่สำคัญ”

    "มันไม่สำคัญสำหรับเอง แต่สำหรับกู... กูคิดว่าควรรู้มากกว่านี้นะ" เดวิดพูด

    ปีเตอร์วางปากกาลงและเอกสารลงอย่างเบาๆ “มันไม่มีอะไรมากไปกว่าการเจรจาในทางธุรกิจที่ฉันไม่อยากยุ่งเกี่ยวเท่านั้น กลุ่มนั่นน่ะมีเงื่อนไขที่ไม่เข้าทางเรา ฉันมีสิทธิเลือกที่จะไม่รับข้อเสนออยากลืมว่าฉันเป็นเจ้าขององค์กร นายเป็นหุ้นส่วนฉัน มันก็แค่นั้น”

    เดวิดนิ่งไปชั่วขณะก่อนจะถาม “เงื่อนไขแบบไหนกันที่มึงถึงต้องปฏิเสธ?”

    “…รอเวลาและเมื่อถึงแล้ว เวลาจะเป็นคนบอกนายเอง”

    ความเงียบเข้ามาปกคลุมห้องอีกครั้ง เดวิดรู้สึกได้ถึงความเย็นชาในน้ำเสียงของปีเตอร์ เป็นไปได้ว่าเรื่องนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ปีเตอร์เลือกที่จะไม่บอกใคร

    “แล้วถ้าพวกมันยังต้องการมึงและมึงปฏิเสธพวกแม่งไปอีกล่ะ?” เดวิดถามต่อด้วยความสงสัย

    ปีเตอร์นิ่งคิดสักครู่ก่อนจะพูด “พวกเขาอาจคิดว่าฉันจะเปลี่ยนใจ... และถ้าฉันไม่เปลี่ยนใจ พวกเขาก็พร้อมที่จะบังคับฉัน”

    “หมายความว่าไง?”เดวิดถาม

    “หมายความว่า พวกเขาอาจไม่หยุดแค่การเจรจา พวกเขาอาจทำมากกว่านั้น... และถ้าเป็นแบบนั้น เราทั้งคู่คงไม่ปลอดภัยอีก เรายังเล็กเกินไปเดวิดแต่ฉันเชื่อ เชื่อว่าเราจะไปได้ไกลกว่านี้” ปีเตอร์พูดด้วยเสียงเรียบง่ายก่อนจะก้มหน้ากลับไปอ่านเอกสารต่อ ทิ้งให้เดวิดที่เอนหลังเก้าอี้ไปเขานั่งไตร่ตรองอยู่สักพัก แต่มันก็นานแล้ว เขาลืมไปหมดแล้ว เขาลืมไปแล้วว่าตอนนั้นเขาคิดอะไร จนภาพตัดมาที่เดวิดที่อยู่บนถนน เขาวิ่งผ่านผู้คนอย่างพลุ่งพล่าน

    เดวิดไม่เคยรู้สึกเดือดดาลมาตั้งแต่หลังจบเหตุการณ์ต่อสู้กับพวกA.R.Iนานแล้วและตอนนี้หัวใจของเดวิดกำลังสูบฉีดเลือด สายเลือดของเทวทูตแห่งโลหิต เขารู้และยอมรับ มันเป็นเลือดที่ใครหลายคนต้องการมันแม้แต่พระเจ้าแห่งความบ้าคลั่งยังเคยยอมลงมาหาเขาเพื่อชวนเขาเข้าสู่ความบ้าคลั่งที่แท้จริง

    ในส่วนลึกของชั้นอุโมงค์ท่อระบายน้ำลาสเวกัส ซึ่งอยู่ภายใต้ความมืดที่ปกคลุมอยู่เป็นเวลาสามสิบนาที เดวิดแข่งกับเวลาแต่เขาก็วิ่งไม่หยุด กำลังปอดและกล้ามเนื้อขาของเขาไม่มีทางเสียหายแต่ถ้าเป็นคนธรรมดาวิ่งจากซานเดียโก้มาถึงลาสเวกัสก็คงมีส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างกายเสียหายอย่างแน่นอน เขาวิ่งผ่านซอกและมุมผนังที่สกปรกจากเศษขยะและพวกมูลสัตว์ในท่อระบายน้ำ 

    กลิ่นเหม็นนั้นไม่เคยส่งถึงเดวิดเพราะเขาวิ่งเร็วกว่าสิ่งใดรอบตัวเขาโดยเขาใช้พละกำลังทั้งหมดจากตัวเขาและอัดพลังเลือดเทวทูตกระตุ้นไปทั่วร่างกายจนเนื้อตัวเปล่งให้เห็นเลือดสีแดงเข็มที่กะพริบไปมา พลังเท่านี้ก็มากพอที่จะพาเขาไปยังสถานที่แห่งหนึ่งในชั้นท่อระบายน้ำและในระหว่างการวิ่งดวงตาของเดวิดถูกเปลี่ยนใช้เป็นโหมดล่าเหยื่อเพื่อมองกลางคืนกับที่มืดและสมองของเขาก็กำลังประมวลผลว่าทางต่อไปควรจะเป็นทางไหนเพราะต่อให้ร่างกายจะเร็วเพียงใดก็อาจจะทำให้เดวิดหยุดไม่ทันหรือหลงทางได้ 

    ตอนนี้เนื้อเยื่อของเขาแทบจะกรู่ร้องเป็นเสียงฉีกขาดเพราะมันแทบที่จะไม่สามารถทนแรงลมที่แรงมหาศาลและพลังกล้ามเนื้อที่ถูกกระตุ้นได้มากนัก  จนในที่สุดเขาก็มาถึง มันเป็นมุมๆหนึ่งของกำแพง มีสัญลักษณ์แปลกๆมากมายบนกำแพงที่มีเพียงแค่เขารู้เท่านั้น เดวิดหยุดพักสูดเอาลมหายใจเข้าปอดประมาณสี่ไม่ก็ห้ารอบก่อนจะคลำมือบนกำแพงเพื่อหาบางสิ่ง

    เดวิดใช้เวลาซักพักจนกระทั่งมือของเขาก็ผลักไปโดนบางอย่างในกำแพงเมื่อรู้อย่างนั้นแล้วเดวิดก็เอามือหมุนพวงมือหมุนไปด้านซ้ายที่อยู่หน้ากำแพงและทันใดนั้นเองกำแพงที่ดูธรรมดากลับเลื่อนไปทางด้านขวาจนสุดขอบมันก็ปรากฏ มันเป็นประตูวาร์ปสีทองคำขนาดกว่า5เมตร มันถูกแกะสลักลวดลายด้วยช่างฝีมือดีที่สุดของเหล่าชาวนครใต้ดินมันเป็นสัญลักษณ์ต่างๆมากมายที่สวยงามและดูประณีตที่สุด เดวิดชื่นชมแต่ความสนใจของเขาเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันเมื่อมีแสงสีขาวเจิดจ้าส่องมาจากนอกประตู ส่งสัญญาณถึงก้าวต่อไปของการเดินทาง

    สถานที่: จุดวาร์ปหน้าประตูทางเข้าเมืองหลวง ของกลุ่ม Hallowed Society of Mutants กลุ่มมนุษย์กลายพันธุ์ที่อายุมากกว่าหนึ่งพันปี

    บริเวณใกล้ๆประตูวาร์ปสีทองขนาดใหญ่มีเสียงคลื่นความถี่ต่ำเบาๆและละอองแสงสีขาวเล็กเล็ดลอดออกมาจากแสงของวาร์ปสีขาว ภูมิทัศน์รอบๆกระเพื่อมเป็นบางครั้งแต่ก็ไม่ส่งผลต่อทางกายภาพใดๆบนผนังเป็นถ้ำหินที่สูงราวๆสิบสามกิโลเมตรจากพื้น มีแร่คริสตัลที่งอกออกมาบนนั้นส่องแสงสว่างไปทั่วพื้นที่มันสว่างพอๆกับแดดบนชั้นพื้นโลกปกติ มันมีสรรพคุณที่คล้ายกับแดดจากดวงอาทิตย์แต่ปราศจากการแผดเผาไหม้

    ต่อหน้าจุดวาร์ปสีทองคำแล้วมันไม่ใช่เพียงประตูธรรมดาเท่านั้น มันเป็นประตูยักษ์โค้งขนาดใหญ่สูงเกือบตึกหกชั้นที่มันถูกแกะสลักอย่างประณีตด้วยสัญลักษณ์ของเชื้อสายโบราณต่างๆมากมายที่ประดับประดาด้วยอักษรรูนและอักษรโบราณที่ไม่รู้จักไปทั่วซุ้มประตู มันตั้งตระหง่านเชื่อมช่องว่างระหว่างเสาหินขนาดมหึมา แต่ละเสาถูกสลักด้วยประวัติศาสตร์และบทสวดของเหล่านักบวชที่ยาวนานมาสมัยพระศาสดาของพวกเขายังมีชีวิตอยู่

    นอกเหนือจากประตูยักษ์ ภายในเมืองนี้ก็มีการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างถ้ำธรรมชาติและโครงสร้างที่เกิดขึ้นอย่างประณีต ที่อยู่อาศัยของชาวเมืองสวยงามและมีสถานที่ประกอบการหลายแห่งเช่น โรงอาบน้ำสาธารณะ ห้องสมุด โรงเหล้า โรงอาหาร โรงตีเหล็กและที่อื่นๆราวกับว่าที่แห่งนี้โผล่มากจากโลกยุคกลางอังกฤษ โดยรายละเอียดที่หรูหรามันบ่งบอกถึงความสามารถทางศิลปะของช่างฝีมือในเมือง คริสตัลเรืองแสงห้อยลงมาจากเพดานถ้ำ เปล่งแสงอันนุ่มนวลที่เน้นความงามดั่งสวรรค์ของนครใต้ดิน

    ณ ทางเข้าเมือง หน้ากำแพงชั้นนอกสุด "สิงโตสวรรค์"

    ภาพปรากฏเป็นชายสวมเสื้อฮู้ดสีดำดาบดำดูสะดุดเขายืนเอามือเท้าคางจ้องมองไปยังความใหญ่โตของประตูทางเข้าเมือง สายตาภายใต้หน้ากากหมาจิ้งจอกมองทะลุไปทั่วทุกหนแห่งของประตูและกำแพงทุกการแกะสลักและรูปปั้นของอารยธรรมมากมายเหนือจินตนา

    “ท่าน”

    เสียงทุ้มต่ำนั้นทำให้เอิร์ทหันไปมองแหล่งที่มาของเสียง

    นักรบชุดเกราะสีดำแดงตัวใหญ่ที่สูงราวๆหนึ่งร้อยเก้าสิบสองซนเดินเข้ามาหาเอิร์ท เขาพูดพึมพัมด้วยภาษาโบราณที่ยากเกินจะเข้าใจแต่เสียงกลับผ่านสู่กล่องแปลภาษาที่ทันสมัยจากองค์กรของปีเตอร์ในสมัยที่กลุ่มทั้งสองได้เคยจับมือช่วยเหลือกันมานายหลายสิบปี

    “ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี้?”ชายในชุดเกราะถามเอิร์ท

    “เสียงมันเรียกฉันมา”เอิร์ทตอบกลับ “นับตั้งแต่สมัยสงครามกบฏตั้ง20ปี ท่านยังเรียกฉันว่าท่านอยู่อีกรึ?”เอิร์ทเอนหลังพิงระเบียงทางเดิน รอคำตอบ

    “เสมอไป”ชายในชุดเกราะตอบกลับ

    “ฉันอายุน้อยกว่านายตั้งหลายร้อยปีอีกนะ”เอิร์ทพูด

    “ข้าเคารพท่านที่ฝีมือมิใช่อายุ”เขาตอบ

    สายตาในหน้ากากหลับตาลงเขาหายใจเข้าลึกๆแล้วค่อยๆผ่อนลมหายใจออกมาอย่างช้าๆ 

    “รู้ไหม ครั้งแรกที่เดวิดมาถึงที่นี้ครั้งแรกเขาเรียกพวกท่านว่าอะไร”เอิร์ทเดินไปข้างหน้าถามต่อหน้าชายในชุดเกราะ

    ชายในชุดเกราะนั่นเขารู้ดี เขาได้ยินประโยคนั้นครั้งแรกตอนที่พวกเขาคิดว่าจะถูกกลุ่มกฏบจาก King of chaos ฆ่าทิ้งในพื้นที่ที่ลึกที่สุดของโลกใต้ดินและมันเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้รับการช่วยเหลือจากเทวทูตสีเลือดอย่างเดวิดที่ลงมาจากพื้นดินเพื่อช่วยเหลือเหล่าคนเถื่อน จนกลุ่มมนุษย์กลายพันธ์ุฝ่าย Hallowed Society of Mutants สามารถได้รับชัยชนะไป 

    จากการต่อสู้และการร่วมรบของกลุ่มมนุษย์กลายพันธ์ุใต้ดินและกลุ่มเดวิด เดวิดเคยมองคนพวกนี้เป็นพวกป่าเถื่อนไร้มนุษย์ธรรมแต่ไม่เลย เดวิดคิดผิด พวกคนเถื่อนเหล่านี้ยังต่อสู้เพื่อสิ่งที่พวกเขาต้องการปกป้องและเจตจำนงของพวกเขามันช่างแกร่งกล้าจนมันทำให้คำดูถูกกลายเป็นคำยกย่องกลุ่มคนเถื่อนเหล่านี้ว่า

    “คนเถื่อนผู้กอบด้วยเกียรติ”ชายในชุดเกราะพูด"

    “นินทาฉันให้วุ่นเลยนะ”

    เสียงพูดดังขึ้นมาทางประตูวาร์ปสีทองเดวิดปรากฏตัวผ่านแสงสีขาวของประตูเขาเดินลงจากประตูแล้วเดินมายังทางของตัวละครทั้งสอง

    “มาช้าจริงๆเดวิด”เอิร์ทพูด

    “นี้คงเป็นเรื่องใหญ่สินะ”อัศวินได้แต่คิดในใจ

    “อย่างที่เห็น ถ้าฉันมาที่นี่เกิน1คนฉันจะมาเที่ยวแน่นอนแต่เกินสองคืองานสำคัญ”เดวิดตอบพลางเดินเข้าไปหา

    “แต่เรามีแค่สองเองนะเดวิด”เอิร์ทแย้งเดวิด

    “ก็แค่ตอนนี้ เฮ้ยมิคาเอลเครื่องสื่อสารพลังจิตนั้นยังใช้ได้ใช่ไหม?”เดวิดถาม

    ชายในชุดเกราะพยักหน้าเบาๆ

    “ดี ขอยืมใช้หน่อยแล้วก็นายช่วยพาฉันไปเอาไอ้นั้นก่อนได้ไหม?”เดวิด กล่าว

    “อะไรล่ะนั้น?”เอิร์ทสงสัย

    เดวิดยิ้มไม่พูดอะไรก่อนจะหยิบเครื่องสื่อสารพลังจิตจากมือมิคาเอล มิคาเอลก็ได้หันหลัง โบกมือเป็นสัญญาณสำหรับทหารในนครใต้ดินเท่านั้นที่รู้เพื่อให้พวกเขาเปิดประตูสีทองยักษ์นี่ให้ ทั้งสองก็ไม่คิดอะไรมากเดินเข้าไปข้างในซักระยะและเมื่อหันกลับไปมองที่หน้าทางเข้าประตูก็กำลังจะปิดลง

    ณ นอกโลก

    ในที่ที่ไม่มีใครหยั่งถึง ที่.. ที่ไม่มีแม้กระทั่งผู้คนอาศัยอยู่ มีเพียงแต่แสงของดวงดาราเท่านั้นที่ประจักษ์ให้ได้แลเห็น ณ ที่แห่งนั้นที่ทุกคนเรียกว่าอวกาศ ก็มีชายผู้หนึ่งอาศัย อยู่ท่ามกลางที่อันแสนโดดเดี่ยวแห่งนี้

    เสียงแจ้งเตือนของเครื่องตรวจจับคลื่นได้ดังขึ้น

    "ดูท่าแล้ว แปลกกว่าทุกทีเลยแฮะ คลื่นที่ตรวจจับได้นี่น่ะ"

    เขาขยับสายไฟไปมา ใช้เครื่องมือระดับสูงที่ดูใช้งานยากเกินว่าคนธรรมดาจะเข้าใจมัน เขาใช้มันปรับตำแหน่งปุ่มที่อยู่ด้านหน้าของตัวเขาให้ถูกต้อง
    "คงต้อง… ถามอะไรสักหน่อย"
    --เชื่อมต่ออุปกรณ์สื่อสารเสร็จสิ้น--
    "ว่าไง ปลายสายคงเป็นนายใช่ไหม เดวิด" น้ำเสียงของชายปริศนาพูดออกมาอย่างใจเย็น
    "ก็เออสิวะ" เดวิดตอบกลับ
    "ฮะฮ่า นายไปมีเรื่องอะไรละเนี่ย คลื่นที่นายปล่อยเนี่ยมันแรงจนเครื่องตรวจจับของฉันดังหมดเลย ฮ่าฮ่าฮ่า" ชายปริศนาพูดด้วยอารมณ์ขัน
    "มึงช่วยจริงจังได้ไหม เรื่องที่เกิดขึ้นนี่มันค่อนข้างซีเรียสนะคาสัน" เดวิดตอบกลับพลางหงุดหงิดเล็กน้อย
    “น่าๆ เอาล่ะนายคงมีเรื่องที่น่าหนักใจจริงๆแหละ” คาสันพูดพลางใช้มือสัมผัสโฮโลแกรมที่เครื่องฉายออกมาต่อหน้าเขา ภาพโฮโลแกรมปรากฏเป็นข่าวสารทั่วโลกมากมายและข้อความจดหมายต่างที่มาจากประธานาธิบดีเกือบจะทุกคนบนโลกที่ติดต่อกับคาสัน
    "เอาเป็นว่าฉันต้องช่วยนายใช่ไหม" คาสันถามกลับ
    "ใช่ เรื่องรายละเอียด ฉันจะบอกทีหลัง ตอนนี้ฉันอยากให้พวกเราไปเจอกันที่นครใต้ดิน เข้าใจกันนะ"
    เดวิดตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง
    "คร๊าบ คร้าบ พ่อคนมีสายเลือดยมทูต งั้นอีกสัก 2 ชม. ฉันน่าจะไปถึง" คาสันตอบ

    “ไม่ 1 ชั่วโมง” เดวิด ต่อรอง

    “งั้นกูไม่ไปล่ะ”คาสันตอบด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย
    “ไอควาย มึงก็เป็นซะแบบนี้”เดวิด ตวาดเสียงใส่แต่น้ำเสียงกลับไม่มีความขุ่นเคืองใดๆมันเป็นประโยคที่คนสนิทกันจริงๆเท่านั้นที่จะกล้าพูดได้ 

    คาสันหัวเราะเบาๆก่อนจะเบี่ยงหน้าไปทางอื่น

    “ดี แต่ใช่เวลานานหน่อย”คาสันพูด

    "ทำไมนายถึงใช้เวลานานนักล่ะ ทั้งๆที่อุปกรณ์ก็หรูหราหมาเห่าแท้ๆ" เดวิดถามด้วยความฉงนใจ
    "ก็เครื่องทางฝั่งที่โลกมันถูกปิดใช้งานไปนานแล้วหลังจบเหตุการณ์ท้องฟ้าสีแดงจางลงน่ะ ฉันเลยจำเป็นจะต้องส่งหุ่นยนต์ไปบูตเครื่องใหม่ก่อนน่ะ ถ้าลงไปเองมีหวังตายแน่ นายก็รู้ว่าร่างฉันปวกเปียกแค่ไหนถ้าลงไปโหม่งโลกโดยตรงน่ะ" คาสันตอบ
    "อ่าๆ เข้าใจแล้วล่ะ รีบๆเข้าล่ะ" เดวิดพูด

    “จะพยายาม ตอนนี้นายอยู่กับใครบ้าง”คาสันถามอีกฝ่าย

    “อยู่กับเอิร์ท ตอนนี้ฉันกำลังไปที่คลังเก็บอาวุธ แม่งทางเดินยาวชิบหาย”เดวิดตอบ

    “งี่เง่า ไปเอาบ้าอะไรอีกล่ะแค่ไอ้ขวานนั้นยังไม่หน่ำใจอีกรึไง?”คาสันบ่น

    "ขวานมันเกินไป งานแค่นี้ไม่ต้องพึ่งของใหญ่ๆมันเกินหน้าที่ของมัน"เดวิดพูดแก้ข้อสงสัยของคาสัน

    "อ่อหรอ แล้วคิดว่าของที่จะไปเอาแค่นั้นจะทำอะไรได้มั่งล่ะ"

    "มากกว่าที่นายคิด"เดวิดพูดอย่างมั่นใจ

    "งั้นฉันจะรอดู" คาสันตอบพลางขำเบาๆ

    คาสันวางสาย เขาหันไปเดินยังห้องเก็บของที่เต็มไปด้วยอาวุธและเกราะมากมายราวกับว่ามันคือคลังแสงบนอวกาศที่เดียวที่อยู่นอกโลกในบริเวณนั้นเลย คาสันเช็คเครื่องมือแต่ล่ะชิ้นก่อนจะหันไปเจอสิ่งที่เขาสนใจ เขายิ้มออกมา

     

    เสียงน้ำหยดจากหินดังก้องกังวาน สะท้อนไปทั่วอุโมงค์ใต้ดิน สถานที่ซึ่งเป็นเหมืองเก่าอันรกร้างของรัฐยูทาห์

    กลิ่นอับชื้นของหินถ้ำที่เย็นยะเยือกโชยมาแตะจมูก รั้วลวดหนามสูงเสียดฟ้าล้อมรอบเหมืองทั้งสี่ด้าน 

    เต็มไปด้วยสนิมและหนามแหลม ความเก่าแก่และอันตราย แสงแดดส่องลอดผ่านรอยแตกบนผนังอุโมงค์ 

    ลงมาเป็นลำแสงบาง ๆ สร้างเงาตะคุ่ม ๆ บนพื้นอากาศที่เต็มไปด้วยฝุ่นละออง ซึ่งปรากฏร่างเงาของชายคนหนึ่งที่ถูกจับมัดเก้าอี้เหล็กไว้ด้วยหลวดหนามมันทำให้เลือดที่มือของเขาหยดลงบนพื้นอย่างช้าๆเขาก้มหัวลงและไม่พูดอะไร

    ต่อหน้าเขาเป็นผู้ชาย2คนที่แต่งตัวเหมือนกันราวกับเป็นสมาชิกลัทธิประหลาด พวกเขาสองคนตัวสูง สวมชุดคลุมสีแดงเข้มที่บ่งบอกว่าเขาเป็นผู้ศรัทธาในลัทธินี้ เสื้อคลุมประดับด้วยการเย็บปักอย่างดี หมวกคลุมศีรษะที่ถูกดึงลงมาปิดหน้าผาก ทำให้ใบหน้าของเขาบางส่วนถูกบดบัง รอบตัวของพวกเขามีสายสะพายคาดไว้แน่นรอบเอว มีการเขียนคำถากถางพระเจ้าจอมปลอมอยู่ในเนื้อผ้า

    หนึ่งในนั้นเดินเข้ามาใกล้และหยิบเข็มฉีดยาออกมา

    "ต้องการอะไร.." เขาเปิดปากถามเมื่อสมาชิกลัทธิเดินเข้ามาใกล้
    "มันอยู่ที่ไหน?" สมาชิกลัทธิยืนถามต่อหน้าเขา

    "ทำไมคุณไม่ลองอมไข่ให้ผมล่ะ ผมอาจจะบอกให้ก็ได้นะ"เขาพูดประชดด้วยสีหน้าเหนื่อยๆ

    "ปากดีสมกับชื่อเสียงคุณจริงๆ ปีเตอร์จอมปากดี" สมาชิกลัทธิพูดก่อนจะใช้เข็มฉีดไปที่คอของเขา 

    สารเหนียวสีดำในหลอดค่อยซึมเข้าไปในร่างกายผ่านคอของเขาอย่างช้าๆ เดาจากสีหน้าของปีเตอร์มันดูทรมานเหมือนถูกกรีดแขนหรือขาอะไรทำนองนั้น

    "เพนออฟไซเรน"สมาชิกลัทธิพูด

    “ชื่อฟังดู…โง่และปัญญาอ่อนมาก คุณคงไม่ได้เยี่ยวใส่ในนั้นใช่ไหม”ปีเตอร์พูดแดกดันพลางกัดฟัน

    เขาเหนื่อยและเจ็บปวดจนเหงื่อบนใบหน้าไหลย้อยรวมกับเลือดของเขา เขาเหนื่อยมาก เหนื่อยที่จะมาเจออะไรแบบนี้ เขาสงสัยกับตัวเองว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายตัวเองหลังโดนฉีดของประหลาดเข้าตัว

    “พูดมามันอยู่ไหน”

    “ฉันไม่เข้าใจ… พวกคุณต้องการอะไร”เขาตอบกลับ ในขณะที่ปากเต็มไปด้วยหยดเลือดจากการกัดของเขา

    เหล่านักบวชส่ายหน้าเบาๆ

    “ทำแบบนี้ไป ก็มีแต่จะยื้อความเจ็บปวดให้คงอยู่เท่านั้นแหละ”หนึ่งในนั้นพูด

    ปีเตอร์หัวเราะเบา ๆ ท่ามกลางความเจ็บปวดที่กำลังกัดกิน "พวกแกคงไม่เข้าใจจริงๆสินะ... ฉันไม่ใช่คนที่จะถูกขู่ได้ง่ายๆแบบนี้"

    "อย่าห่วงไปเลย... อีกไม่นาน นายจะได้เจอของจริง" ชายในชุดคลุมกล่าว พร้อมเอามือกดคอเสื้อของปีเตอร์ลงและ จ้องหน้าเขาใกล้ๆ "มันอยู่ที่ไหน?"

    ปีเตอร์ยิ้มพร้อมกับเลือดที่เต็มปาก"งั้นเรามาเห็นกันว่าของจริงคืออะไรกันไหม?"

     

    ณ ใต้ดิน

    เดวิดและเอิร์ทเดินลึกตามมิคาเอลเข้าไปในประสาทของนครใต้ดิน แต่มันกลับเงียบสนิท มีเพียงเสียงก้าวเดินของพวกเขาที่ก้องไปทั่วพื้นที่ ผนังเรียงรายไปด้วยอักษรโบราณที่แกะสลักและไม้เลื้อยที่มีดอกสีทองผลิออกมา เอิร์ทมองซ้ายมองขวาดูเหมือนจะระแวดระวังในทุกย่างก้าว กลับกันเดวิดเดินไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจราวกลับว่าเขาเคยผ่านที่นี่มานับครั้งไม่ถ้วน สายตาของเขาจ้องตรงไปยังทางข้างหน้าโดยไม่หันมองซ้ายขวาเหมือนเพื่อนร่วมทาง

    "ใกล้ถึงรึยัง" เอิร์ทพูดพลางยืดแขนของเขา "ฉันล่ะเบื่อจริง ทำไมที่นี่มันต้องอยู่ลึกขนาดนี้"

    เดวิดหันมามองเขา "เองก็รู้ดีว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ที่คนธรรมดาเข้ามาได้ง่ายๆ"

    “โอ้แล้วนายไม่ใช่คนธรรมดาสินะ”เอิร์ทพูดออกมาพลางเอามือสัมผัสด้ามดาบเบาๆ

    เดวิดหัวเราะเบาๆหลังได้ยิน"ก็อาจจะ ร่างกายกูมันเป็นแบบนี้ไปหมดแล้ว" เขาพูดพลางยกนิ้วชี้ตัวเองปรากฏแสงสีแดงดำภายในตัวสลับสว่างและดับกันไปมาก่อนเขาจะหันหน้าตามอัศวินมิคาเอลต่อไป

    ประตูหินขนาดใหญ่ตรงหน้าพวกเขาค่อยๆเปิดออก เผยให้เห็นห้องขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยอาวุธโบราณ ทองคำ อัญมณี และสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ ที่บรรจุอยู่บนชั้นวางขนาดใหญ่ที่วางเรียงราย ราวกับว่าที่นี้คือคลังเก็บของสำหรับเหล่าสมาชิกนครใต้ดินที่เหมาะสมเท่านั้นที่สมควรจะได้รับซึ่งแน่นอนว่ามีเดวิดเป็นหนึ่งในนั้น

    “เรามาถึงแล้ว”มิคาเอลพูดก่อนจะเดินหันกลับไป “ข้าหมดธุระกับท่านแล้วบุตรเทวาแห่งโลหิต ลอร์ดเทอร์มิเนตัสคงจะได้ทราบการกลับมาของท่านในไม่ช้าซึ่งข้าจะไปพูดคุยกับเขาเอง ไปเถิด ไปรับในสิ่งที่ท่านประสงค์จะต้องการ”

    เดวิดพยักหน้าเบาๆเป็นการตอบรับก่อนจะเดินเข้าไปข้างในห้อง

    เดวิดเดินเข้าไปข้างในผ่านสิ่งของมากมายหลายอย่าง หีบประหลาดที่มีนกแปลกอยู่สองตัวเป็นการประดับ รวมถึงภาพวาดน้ำมันที่เป็นรูปทานตะวันที่วางไว้อยู่บนชั้นวาง แต่เดวิดก็ไม่สนใจมัน เขามองบางอย่าง บางอย่างที่เป็นอาวุธ ไม่ใช่ของฟุ่มเฟือย

    “ซักพักกูคงจะเจอรูปไอ้หนวดนั้นแน่เลย”เอิร์ทพูดพลางมองของเหล่านี้ไปมา

    เดวิดส่ายหัวเบาๆ"ก็ไม่แน่ ที่นี่เก็บของโบราณไว้เยอะยิ่งกว่าพิพิธภัณฑ์ซะอีก แต่รอบที่แล้วกูยังไม่เคยเจอรูปปั้นแปลกๆตรงทางเดินเลย สงสัยจริงว่าเอามาจากไหน"

    ระหว่างเดินอยู่นานสองนานในที่สุดเขาก็เจอมัน หอกสีดำที่มีลายสีทองงามอร่าตั้งอยู่ตรงใจกลางชั้นวางของ

    หอกของเดวิดมันเป็นของขวัญที่มีอนุภาคร้ายแรงกับพวกไสย์เวทย์ทั้งหลายมันเป็นของขวัญชิ้นที่สองที่คาสันกับเหล่าช่างที่มีฝีมือดีที่สุดในนครใต้ดินร่วมใจกันสร้างมันขึ้นมา เดวิดชอบมันเพราะน้ำหนักที่พอดีและการออกแบบที่สามารถใช้งานได้หลายรูปแบบ

    “นี่แหละ”เดวิดพูด ก่อนจะเดินไปหยิบมันขึ้นมาเมื่อเขาได้สัมผัสด้ามหอก แสงสีทองจากคมของมันก็ส่องประกายเป็นจังหวะ คล้ายกับหัวใจที่เต้นอยู่ใต้ผิวของโลหะ ก่อนจะค่อยๆสงบลงเหมือนจะตอบรับการสัมผัสของผู้ถือครอง

    “แค่เนี่ย?”เอิร์ทถามด้วยความสงสัย

    “เวทย์มนต์ต้องกำจัดด้วยเวทย์มนต์ จริงไหมล่ะ”เดวิดพูดพลางเอาหอกพาดไหล่ “งั้นเราเหลืออะไรนะ..อ่อใช่กำลังคน”

    ในห้วงอวกาศ
    ความเงียบงันของยานอวกาศลอยอยู่ท่ามกลางแสงระยิบระยับของดวงดาว คาสันยืนอยู่บนสะพานของยาน จ้องมองแสงสีฟ้าที่ลอยผ่านหน้าต่างยานไปมาอย่างช้าๆ เขาเอื้อมมือไปที่ปุ่มควบคุมข้างหน้า ก่อนจะหันไปหยิบหมวกอวกาศที่แขวนไว้มาสวมบนหัว

    ทันทีที่เขาพูดจบ ประตูยานก็เปิดออก เผยให้เห็นความมืดอันไม่มีที่สิ้นสุดของอวกาศ คาสันก้าวออกจากยานโดยไม่ลังเล ร่างของเขาพุ่งดิ่งลงสู่ชั้นบรรยากาศโลกด้วยความเร็ว แต่ความร้อนได้เสียดสีและแผดเผาเปลือกนอกของชุดอวกาศ มันค่อยๆ ลุกไหม้จนกลายเป็นเปลวไฟสีแดงที่น่ากลัว ลุกลามไปทั่วร่างของเขาจนร่างกายค่อยๆ ไหม้กลายเป็นจุลภายในพริบตา ไม่เหลือแม้แต่เศษเถ้าและหายไปไม่หวนคืนมา

      ทันใดนั้น เสียงหัวเราะดังกึกก้องไปทั่วห้องควบคุมยาน

    “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!” คาสันตัวจริงนั่งอยู่บนเก้าอี้ควบคุมภายในยาน เขามองไปที่จอภาพซึ่งแสดงให้เห็นร่างโคลนของเขาที่เพิ่งถูกทำลายไปด้วยความพึงพอใจ แท้จริงแล้วมันเป็นร่างโคลนปลอมๆของคาสันที่ทำขึ้นมาเล่นๆ “ดูตัวเองตายโง่ๆ ก็สนุกดีเหมือนกันนี่หว่า เอาเถอะ ครั้งนี้แหละของจริง”

    คาสันลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้และเดินตรงไปยังเครื่องย้ายมวลสารที่ตั้งอยู่ตรงกลางห้องควบคุม เขากรอกพิกัดที่ต้องการลงไปในที่ควบคุมก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดสวิตช์ เครื่องเริ่มทำงาน เสียงของการประมวลผลมวลสารดังก้องอยู่ชั่วขณะ ก่อนที่ร่างของเขาจะถูกลำแสงสีขาวกลืนไปทั้งตัว

     นครใต้ดิน 

    คาสันก็ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตู สิงโตสวรรค์ของกลุ่ม Hallowed Society of Mutants รอบตัวเขาเป็นทางยาวที่ไปไกลถึงกำแพงขนาดใหญ่มหึมา เขาสัมผัสกับเศษกองทรายที่พื้นถูมันไปมาระหว่างปลายนิ้วก่อนจะชะโงกหัวออกไปดูด้านล่างจากมุมสูงมองดูเหล่าผู้คนของที่นี่ที่พวกเขากำลังใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ได้มองไปยังโรงหลอมที่อยู่ไม่ไกลจากสายตาเขาอย่างคุ้นเคยก่อนจะยิ้มออกมา เขาสัมผัสช่วงเวลานี้ไปสักพัก “ถึงแล้ว…. เอาล่ะ ที่นี่..ไม่เปลี่ยนไปเลยนะเนี่ย ยังเก่าเหมือนเดิม” คาสันบ่นพึมพัม พลางจะเดินไปรวมกลุ่มกับเดวิดก่อนจะหันเดินไปหน้าประตูก็พบว่ามีกลุ่มอัศวินเกราะดำแดงที่ยืนเรียงรายขวางทางแล้ว

    “ul gin lu zalag mul”เสียงทุ้มต่ำภาษาสุเมเรียนดังมาจากด้านหลังกลุ่มอัศวินก่อนต้นทางเสียงจะเดินออกมาปรากฏเป็นหญิงสาวสวมชุดนักบวชที่ร่างกายเธอนั้นมีเครื่องจักรติดเชื่อมตามร่างไปทั่วกายที่มีชื่อว่า เซไรน่า ทั้งสองรู้จักกันในฐานะคู่กัดแห่งด้านเทคโนโลยี

    "อ้าว... ไม่คิดเลยว่าจะเจอเธอที่นี่ เซไรน่า" คาสันพูดพร้อมรอยยิ้มที่ติดเล่น ขณะที่อีกฝ่ายเดินมาหยุดตรงหน้าเขา

    “คาสัน...” เซไรน่าตอบกลับเสียงที่เย็นชา สายตาอันแหลมคมของเธอมองตรงมายังเขาเหมือนจะอ่านความคิดของเขาทุกคำพูดพร้อมที่จะจิกดวงตาเขาไปพร้อมกัน “ฉันได้ยินเรื่องวุ่นวายที่นายก่อมาเพียบเลย แต่ไม่คิดว่าจะกล้ากลับมาอีก”

    คาสันยิ้มเบาๆ และยักไหล่ “ก็เหมือนเดิมนั่นแหละ… มาทำภารกิจช่วยเพื่อนเก่า" เขากวาดตามองไปที่อัศวินที่ยืนเงียบขรึมอยู่ด้านหลังของเธอ ทุกคนในชุดเกราะสีดำแดงนั้นดูทรงพลังและน่าหวาดกลัว แต่คาสันกลับไม่รู้สึกกดดันจากพวกเขาเลยแม้แต่น้อย

    เซไรน่าเงยหน้ามองเขาด้วยสายตาเยือกเย็น ก่อนจะพูดขึ้น “นายรู้ดีว่านครแห่งนี้มีกฎ… ไม่ว่าใครจะมีชื่อเสียงหรือพลังมากเพียงใด การมาที่นี่โดยไม่ได้รับอนุญาตก็ถือเป็นการละเมิด เราจะไม่ยอมให้สิ่งใดทำลายความสงบสุขที่พวกเราได้รักษาไว้"

    คาสันยักไหล่ “คิดว่าแค่มาเที่ยวเล่นแล้วกัน แต่ดูเหมือนพวกเธอจะไม่ค่อยรับแขกเลยนะ?”

    “นายจะเรียกมันว่าเที่ยวเล่นก็ได้ แต่ทุกครั้งที่นายมา ที่นี่ก็มักจะเกิดปัญหาเสมอ” เซไรน่าตอบ พลางชี้ไปทางกลุ่มอัศวินที่ยืนอยู่รอบๆ “คิดว่านายจะหลุดเข้าไปได้ง่ายๆ อย่างนั้นเหรอ?”

    คาสันหัวเราะเบาๆ “เธอยังเย็นชาไม่เปลี่ยนเลย งั้น…. เอาเป็นว่าฉันจะยอมเล่นตามกฎของเธอ ตราบใดที่เธอไม่คิดจะยิงฉัน”

    เซไรน่าที่ได้ยินก็ส่ายหัวเบาๆ “แค่ครั้งนี้..”

    "เอาเถอะ ขอโทษทีที่เข้ามาโดยไม่บอกล่วงหน้า แต่ทางนี้คิดว่าเดวิดน่าจะขอคนที่นี้ไว้แล้ว" คาสันพูดพลางปกปิดอุปกรณ์วาร์ปที่ยังคงซ่อนอยู่ใต้เสื้อโค้ทของเขา

    เซไรน่ามองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยหงุดหงิด เธอรู้จักคาสันดี เขาไม่ใช่คนที่ควรไว้วางใจได้ง่ายๆ “ถ้านายก่อเรื่องเมื่อไหร่ ฉันจะเป็นคนแรกที่หยุดนายเอง จำไว้เถอะ” เธอกล่าวก่อนจะหันไปทางอัศวิน “เปิดประตูให้เขา… แต่อย่าปล่อยให้สายตาคลาดเคลื่อนห่างจากเขาเด็ดขาด”

    ประตูยักษ์สิงโตสวรรค์ค่อยๆ เปิดออก เผยให้เห็นทางเข้าไปยังนครลับใต้ดิน คาสันยิ้มอย่างพอใจ ขณะที่เดินผ่านเซไรน่าไป เขาก็หยุดเล็กน้อยแล้วกระซิบเบาๆ “เธอยังไม่เคยชนะฉันเลยนะ จำได้ไหม?” ก่อนจะเดินออกไป

    เซไรน่าไม่ได้ตอบอะไร  เธอได้แต่เฝ้ามองคาสันเดินจากไปก่อนจะหันกลับไปสั่งการกลุ่มอัศวินเพื่อเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น

    หลังย่างก้าวเข้าสู่ภายในกำแพงเสียงประตูยักษ์ปิดตามหลังเขาอย่างแผ่วเบา แต่สะท้อนก้องไปทั่วพื้นที่ที่เขาเพิ่งก้าวเข้ามา แสงจากคริสตัลเรืองแสงที่ฝังอยู่ในผนังถ้ำสาดส่องเป็นแสงนวล ละอองฝุ่นลอยละล่องอยู่ในอากาศที่เต็มไปด้วยกลิ่นอับของหิน แต่กลับให้ความรู้สึกถึงความอบอุ่น

    คาสันหยุดมองไปรอบๆตัวของเขา มันช่างเงียบสงบ… จนรู้สึกว่ามันเงียบเกินไป

    "ก็ยังเหมือนเดิมจริง ๆ… ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย" เขาพึมพำ พลางดึงเสื้อโค้ทขึ้นกระชับตัวและเดินตรงไปยังจุดนัดพบกับเดวิดและเอิร์ทซึ่งมันเป็นที่ประจำของพวกเขา

    ถนนสายหลักของนครใต้ดินทอดยาวไปสู่ใจกลางเมืองหลักชั้นบนที่ล้อมรอบด้วยสิ่งปลูกสร้างโบราณซึ่งบางแห่งผุพังตามกาลเวลา แต่ก็ยังคงความสง่างามอันเป็นเอกลักษณ์ กลุ่มชาวเมืองที่สัญจรไปมาก็มองเขาด้วยสายตาสงสัยผสมความไม่ไว้ใจและระวัง แต่ก็ไม่ได้เข้าใกล้มากนัก พวกเขาคงเคยชินกับการพบเห็นผู้มาเยือนแปลกหน้าบ้าง แต่คาสันรู้ดีว่าการมาที่นี่โดยไม่ได้รับอนุญาตถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับพวกเขา แต่ไม่สำหรับเจ้าของโรงหลอมและเหล่าช่างในที่นี้แน่นอน

    ขณะที่เดินไป คาสันก็รู้สึกได้ว่ามีสายตาหลายคู่จับจ้องมาที่เขาจากเงามืดและมุมต่าง ๆ ของอาคาร สายตาของเหล่ามือสังหารของนครใต้ดินที่คอยเฝ้าดูอย่างเงียบๆ ราวกับว่าพวกเขาพร้อมจะเคลื่อนไหวทันทีหากเขาก่อเรื่อง

    "ยังคงไม่ไว้ใจฉันเหมือนเดิมสินะ" คาสันยิ้มบางๆ แต่เขาก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับพวกนั้นมากนัก จนเขามาถึงลานกว้างที่เป็นจุดนัดพบเสาหินมากมายที่รายล้อมพวกเขาทั้งสามและมีรูปปั้นกษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราชอยู่จุดกลางของที่นี้ เดวิดและเอิร์ทก็มายืนรออยู่ก่อนแล้ว เดวิดพิงอยู่กับเสาหินโบราณที่แตกหักไปครึ่งพลางพาดหอกไว้ที่ไหล่ ขณะที่เอิร์ทกำลังขยับแขนขาไปมาอย่างเบื่อหน่าย

    “โอ่ล่า ชิ่งช่อง เช่าหนี่มา”คาสันทักทายทั้งสองอย่างเป็นมิตร

    "มาช้าจังนะ” เอิร์ทเอ่ยขึ้นก่อนใคร น้ำเสียงของเขาดูเหมือนจะรำคาญ แต่ก็มีแววชอบใจอยู่ภายใต้หน้ากาก

    "ก็แค่มาทักทายเพื่อนเก่าเองน่ะ" คาสันยักไหล่ แล้วหันไปหาเดวิดที่ยืนกอดอกอยู่ "ว่าไงเพื่อนเก่า?"

    “เพื่อนกู…โดนเข้าให้แล้ว”เดวิดพูด

    คาสันที่ได้ยินก็พึมพำอะไรบางอย่างก่อนจะตั้งใจพูด“ไอ่เหี้ยแว่นนั้นอ่ะนะ?”

    เดวิดที่ได้ยินก็ลุกขึ้นยืนเหมือนจะเข้าไปหาเรื่องคาสันแต่เอิร์ทก็ชักดาบมาคั้นกลางเอาไว้ก่อน

    “โอ้จะเอาให้ตายตอนนี้เลยหรอ”เอิร์ทพูดก่อนจะหันไปมองเดวิดที่ เส้นเลือดแดงกลายพันธุ์ขึ้นกระจายไปครึ่งใบหน้าเดวิดแล้ว “ไม่ต้องรีบกันหรอกเราคุยกันได้ยาวๆเลย”เอิร์ทพูดเสริม

    “ทำเอานึกถึงวันเก่าๆ แต่เกรงจะไม่คุ้ม”คาสันยิ้ม

    “เห็นแก่มิตรภาพเถอะ”เดวิดตอบก่อนจะแปลสภาพกลับเป็นเหมือนเดิม

    “เรื่องของเรื่องคืออะไร?”คาสันถาม

    เดวิดส่ายหัวเบาๆ“เจาะรายระเอียดไม่ได้ เพราะเหตุการณ์พึ่งเกิดไปประมาณ4ชั่วโมงที่แล้วเกรงว่าเราไม่มีเวลามากแล้ว แต่ที่จะบอกคือปีเตอร์โดนกลุ่มเอลดริทช์คาบาลจับไป กูกลัวไอ่พวกระยำนั่นจะร่ายเวทย์มนต์แปลกๆใส่ปีเตอร์และ”

    “และ?”เอิร์ทถามต่อ

    เดวิดหรี่ตามองคนสองคนเล็กน้อย  "พวกเราต้องเข้าไปลึกกว่านี้... "เขาพูด

    คาสันขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัย "หมายถึงอะไร?"

    เดวิดไม่ได้ตอบทันที แต่สายตาของเขาก็จริงจัง “มันมีประตูวาร์ปที่ไม่เชื่อมกับจุดที่ตั้งค่าไว้ ”

    “อะไรวะ มึงพูดภาษามนุษย์ให้กูฟังได้เข้าใจได้ไหม”เอิร์ทถามแทรก

    “เอาง่ายๆประตูนี่จะพาเราไปในจุดที่เราต้องการจะไปได้ทันทีโดยไม่พึ่งประตูบานอื่น มันเหมือนเราเมาแล้วเราตื่นมาบนเตียงคนอื่น”เดวิดอธิบาย

    “อธิบายได้ดี”เอิร์ทพูด

    “รู้ได้ไง?”คาสันหันไปถามเดวิด

    “กูมาที่นี่ได้8ปีแล้ว”เดวิดก็ตอบตามตรง

    “เออไม่แปลกใจ”คาสันพูด

    เอิร์ทที่ฟังอยู่ก็พยักหน้าเห็นด้วย "มัวรออะไรอยู่ล่ะ รีบไปกันเถอะ"

    ทั้งสามคนเริ่มเคลื่อนตัวไปตามเส้นทางอันมืดมิดของนครใต้ดินโดยมีเดวิดเป็นคนนำทางแต่ก่อนจะเดินไปไกลคาสันก็ย่อเขาลงเพื่อวางแผ่นเหล็กแปลกประหลาดไว้ตรงที่พวกเขารวมกันก่อนหน้านี้ก่อนจะรีบตามไป  ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัด คาสันสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในเงามืด บางอย่างที่คอยเฝ้ามองพวกเขาอยู่

    "บางที… มันอาจไม่สงบสุขอย่างที่คิด" คาสันคิดในใจขณะเดินลึกลงไปอีกครั้ง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×