คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่2:ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
บทที่:2
ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
มีเลือดไหลออกมามากจากภายห้อง มันเยอะมาก มากซะจนสามารถไหลออกไปไกลถึงโถงทางเดินของเหมืองได้ บนพื้นมีเศษผมหรือเศษฟันที่แตกหักกระจัดกระจายไปทั่วห้องขัง เสียงแตกหักดังขึ้นไปสิบครั้งหรือมากกว่านั้น มันดังขึ้น ดังอีกครั้ง ดังแล้ว ดังอีก จนมันหยุดลงและแทนที่ด้วยเสียงกระแทกพื้นอย่างแรงและตามาด้วยเสียงหายใจที่โรยริน น่าสงสารกับน่าสมเพช น่าเศร้าและน่าชื่นชม
ชายชุดคลุมสีแดงยืนข้างหน้าเขา ใบหน้าที่เต็มไปด้วยลวดลายสักก้มมองดูสภาพร่างกายเละเทะกำลังนอนคว่ำอยู่ที่พื้นและหายใจอย่างโรยริน เขาค่อยๆใช้เท้าพลิกตัวของปีเตอร์เพื่อให้เห็นสภาพหน้าที่ฟกช้ำ ก่อนจะยกเข็มฉีดยาที่เต็มไปด้วยของเหลวสีดำขึ้นอีกเป็นครั้งที่สิบ สารที่ขุ่นมัวภายในหลอดนั้นกระเพื่อมเบาๆ ราวกับมีว่ามันชีวิต
“นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วนะ?”ชายคนนั้นพูด “เราทำแบบนี้ทั้งวันก็ยังได้ ตราบใดที่แกยังไม่ตาย”
ปีเตอร์ไม่พูดอะไร สายตาหลี่มองไปที่มือของชายคนนั้นด้วยความเกลียด เขาพูดได่้แต่ไม่ทำ เขาเจ็บปวดแต่ก็ทน ต่อให้พวกมันจะฆ่าเขา เขาก็ขอตายซะดีกว่าที่จะพูดความลับของเขาและความฝันของเขา เขาไม่ใช่พวกช่างฝันที่คิดแต่ไม่ทำ ปีเตอร์พยายามจะพูดจาแดกดันพวกมันต่อแต่ตอนนี้เขาพูดอะไรไม่ออกแล้ว พวกมันกะจะฆ่าเขาเลยหลังรู้ความลับ นี้แหละเป็นทางที่ดีที่สุดสำหรับเขา ถ่วงเวลา แต่เขาก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วเหมือนกันว่าสารสีดำนั่นคืออะไรเพราะตอนนี้ร่างกายเขามันเริ่มรู้สึกแสบร้อนราวกำลังโดนเผาไหม้ มันทำเขาหายใจลำบากขึ้น และเริ่มได้ยินเสียงที่เขาคุ้นเคยสมัยเริ่มบรรพกาล
ก่อนจะได้ยินเสียงคำพูดนั้นที่เริ่มชัดเจน เขาก็ถูกฉีดของเหลวนั้นเข้าไปที่คออีกครั้ง
“อ้ากก”ปีเตอร์คำราม
ร่างของปีเตอร์กระตุกขึ้นมาก่อนจะหยุดลงตามด้วยการหายใจชองเขา ชายคนนั้นจะลุกขึ้นเดินออกไปทางประตูราวกับว่าเขาคือคนสวนที่รอความสำเร็จของผลผลิตที่ปลูกไว้
“อีกชั่วโมงผมจะมาใหม่ หวังว่าคำตอบที่ได้จะลื่นหูนะ”เขาพูดก่อนจะเดินจากไปทิ้งให้ปีเตอร์อยู่ในสภาพสาหัสเกินจะรักษา
ความฝันของฉันกำลังจะพังลง?
หัวใจของเขาเริ่มเต้นเบาบางลง ความเจ็บปวดแทรกซึมลึกเข้าไปในทุกอณูของร่างกาย เหมือนว่าความเจ็บนั้นจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเขาแล้ว
แล้วโลกในฝันที่กำลังจะได้ล่ะ?
เขาพยายามหายใจให้เบาที่สุด ความแสบร้อนปะทุขึ้นที่ปอดทุกครั้งตอนเขาพยายามสูดอากาศ
โปรเจคที่ทำใกล้จะเสร็จแล้ว
เขากัดลิ้นตัวเองเบาๆก่อนจะค่อยๆเพิ่มความแรงไปอย่างช้าๆกะจะให้ลิ้นตัวเองอุดทางเดินหายใจตายไปเลย
ตลอดหลายปีที่ผ่านมากำลังจะจบลง?
เขากำลังจะตาย ภาพทรงจำปราสาทที่ติดกับภูเขาถูกฉายตัดสลับเขามาในหัว การนั่งโต๊ะร่วมกับผู้ช่วยให้รอด ภาพของเขาและเดวิดที่เจอกันครั้งแรกที่คาเฟ่ เขาจำได้ว่าเดวิดกำลังมีปัญหาจึงเข้าไปช่วย เขาจำอดีตนี้ได้ดีกว่า ความทรงจำไหนๆ
พระเจ้-
"ไม่"
ปีเตอร์ลืมตากว้างทันที รูม่านตาขยายขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น มันไม่ใช่เสียงของเขาเอง แต่เป็นเสียงที่แทรกเข้ามาในจิตใจ เขาพยายามจะหันหน้าไปมองต้นทางของเสียงแต่กลับทำไม่ได้ ร่างกายเขาเสียหายเกินไปที่จะเคลื่อนไหว
“เด็กน้อย”
เสียงแปลกประหลาดที่น่าหวาดกลัวกลับดังขึ้นอีกครั้งแต่มันดังในหัวของเขา จะไม่มีใครได้ยินมันยกเว้นตัวเขาเอง มันเปรียบเสมือนเป็นดั่งอีกตัวตนของเขา
“น่าสมเพชและน่ารังเกียจ”
“ลืมรากเหง้าของตัวเองไปแล้วหรือ"
"พยานคนสุดท้ายของหอคอยบาเบล”
คำพูดนั้นทำให้ปีเตอร์หัวใจเต้นเร็ว จนทำให้เขารู้สึกถึงเลือดไหลซึมออกมาจากแผลที่เปิด เขาพยายามจะตอบโต้อะไรบางอย่างออกมา แต่เสียงของเขากลับแหบแห้งและเบาเสียจนเขาแทบไม่ได้ยิน
“แก..มาที่นี่ทำไม”ปีเตอร์พูดออกมาเบาๆ
ไม่มีอะไรตอบกลับมีเพียงความเงียบของอากาศภายในห้องก่อนจะดังขึ้นมาอีกครั้ง
“ เพื่อนจอมปลอม เครื่องมือชิ้นโปรด คนโกหก ”
“ฉัน… ฉันไม่ได้มองเขาเป็นแบบนั้นอีกแล้ว แกก็ควรไปตายได้แล้วนะหรืออยากจะไปพร้อมฉันล่ะ”
“นายกับฉัน?” เสียงนั้นตอบกลับ “ตัวนายเองต่างหากที่จะจบ.. ”
ปีเตอร์ที่ได้ยินก็เงียบไปซักพัก เขารู้ว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่เขาจะรับรู้ทกอย่างบนโลกใบนี้ มันช่างขมขื่นอย่างที่สุด
เขาพูดบางอย่างออกมาเบาๆ แต่มันเบาเสียจนไม่ได้ยิน เขาหายใจเข้าปอดลึกๆก่อนจะถอนหายใจออกมาและทุกอย่างก็เงียบลง
แสงไฟสีขาวจากโคมไฟบนเพดานส่องลงมาในห้องทำงานที่ถูกจัดอย่างเป็นระเบียบ มันเป็นห้องของโซเฟีย ฮอว์ธอร์นเลขาคนสนิทของปีเตอร์ โต๊ะทำงานไม้โอ๊คขัดเงาตั้งอยู่กลางห้อง ไม่มีเอกสารที่วางเกะกะ ทุกอย่างถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบในแฟ้มสีน้ำตาลที่มุมโต๊ะต่างจากช่วง5ปีก่อนอย่างไม่มีผิด ด้านหลังโต๊ะทำงานมีชั้นวางหนังสือที่เรียงรายด้วยหนังสือเล่มหนาที่เกี่ยวกับการบริหารและการเจรจาทางธุรกิจ แต่ละเล่มถูกจัดวางเรียงตามลำดับอักษรและสีของสันปกหนังสือ
แต่ในตอนนี้กลับต่างกันออกไป เธอนั่งอยู่ที่โต๊ะด้วยท่าทีร้อนรน นิ้วมือเรียวของเธอเคาะลงบนโต๊ะเป็นจังหวะที่ไม่สม่ำเสมอ และดวงตาของเธอจับจ้องไปที่ประตูห้องราวกับกำลังรอคอยใครบางคนที่ยังไม่มา
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะดังขึ้นมาก่อนจะตามมาด้วยเสียงของผู้มาเยือน
“รอนานไหม”คนหน้าประตูถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำที่แฝงไปด้วยความเย็นชา แต่ก็คุ้นเคยเป็นอย่างดี เธอรู้ว่าเสียงนี้เป็นของใคร
“เข้ามา” โซเฟียตอบรับ
หลังจบประโยคสนทนาเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าที่กระทบกับพื้นอย่างหนัก ชายที่สวมชุดเสื้อเกราะยุทธวิธีเต็มตัวและหมวกEJ-3ที่มีลักษณะคล้ายกับhgu 56 ที่ต่างกันแค่ตัวหมวกมีการเสริมตัวช่วยการสื่อสารและเกราะที่ปิดบังใบหน้าทั้งหมด มีเพียงแสงที่สะท้อนจากหมวกของเขาที่ส่องแสงวาววับในห้องทำงาน
“ฉันไม่คิดว่าเธอจะเรียกฉันมา” ชายคนนั้นพูด น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความกวนประสาท แต่โซเฟียรับรู้ได้ถึงความกดดันที่ซ่อนอยู่ในน้ำเสียงนั้น เธอมองเขานิ่งอยู่สักพักก่อนจะลุกขึ้นยืน หายใจเข้าลึกๆ เพื่อพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเอง
เดิมทีโซเฟียก็เคยร่วมงานกับชายคนนี้มาหลายสิบครั้งเขาเป็นชายเจ้าระเบียบที่น่ากลัวและเป็นคนเดียวที่ทุกคนในองค์กรยอมรับว่าเป็นผู้นำฝ่ายบุกจู่โจมได้ดีกว่าเดวิด เขาทำงานเป็นฝ่ายควบคุมและวางแผนการจู่โจมในแต่ละครั้งของกองทัพในกลุ่ม เมื่อเขาจำเป็นต้องสู้เขาจะหยิบ.44 Magnumและโต้กลับด้วยความรุนแรงที่ยิ่งกว่า
โซเฟียนั่งมองเขาอยู่สักพักก่อนจะหยิบรูปภาพที่ถ่ายติดใบหน้าของหนึ่งในสมาชิกกลุ่มเอลดริทช์คาบาลเลื่อนไปด้านหน้าโต๊ะของเธอเป็นการเชิญให้เขาเข้ามาใกล้ “รู้จักไหม ดัคลาส” เธอถามพร้อมเรียกชื่อของชายที่อยู่ข้างหน้าเธอ
ชายในชุดเกราะขยับตัวเข้าไปใกล้ โต๊ะทำงานที่กั้นระหว่างพวกเขาทั้งสอง เขายืนพิงโต๊ะด้วยท่าทางที่ผ่อนคลาย แต่เธอก็สัมผัสได้ถึงแววตาที่แหลมคมซึ่งจับจ้องมองเธอจากใต้หมวก เขาหยิบรูปถ่ายมองที่รูปและวางมันลง
“ฉันเคยสู้กับพวกนักเวทย์..มันน่าจะ10ปีได้ ที่ชิคาโก้ตอนนั้นมีสิ่งเดียวที่สามารถหยุดพวกแม่งได้คือกระสุนปืนและระเบิด” ดัคลาสพูดพลางหัวเราะเบาๆก่อนจะมองไปที่โซเฟีย
“ภาพมันอธิบายได้ไม่หมดหรอกนะ”เขาจ้องเธอก่อนจะพูดต่อ
“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกันแน่?”ดัคลาสพูดกดดัน
โซเฟียถอนหายใจ เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะหยิบรูปอีกภาพหนึ่งออกจากลิ้นชัก รูปนั้นเป็นภาพของปีเตอร์ กำลังถูกกดหัวอยู่โดยหนึ่งในสมาชิกเอลดริทช์คาบาล ใบหน้าของเขามีรอยช้ำและเลือดเปรอะเปื้อน "นี่คือสภาพล่าสุดของเขา" โซเฟียกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สั่นสะท้านเล็กน้อย
“โคตรหยาม”ดัคลาสพูด
“จริงๆแล้วฉันแค่อยากให้เดวิดจัดการเรื่องนี่คนเดียวเท่านั่น”โซเฟียพูด
ดัคลาสมองไปที่โซเฟียสักพักก่อนจะเอ่ยปากพูด
“ทำไม ถ้าจะให้มันได้หน้าคนเดียว ทำไมฉันถึงจำเป็นจะต้องไปช่วยด้วย? ไม่เคยคิดเลยหรือไงว่าไอ่โง่นั่นจะทำงานพังได้มากเท่าไหร่ ไอ่ปากมากนั่น”เสียงของดัคลาสเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
โซเฟียมองตรงไปที่ดัคลาส ใบหน้าของเธอซีดเผือดแต่สายตายังคงแน่วแน่ เธอกัดฟันแน่น ราวกับพยายามควบคุมความกังวลที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่ใจเย็น “เพราะเขารู้จักปีเตอร์ดีที่สุด... และเพราะว่าถ้าจะมีใครที่สามารถดึงเขากลับมาได้ ก็คงมีแต่เดวิดเท่านั้น”
“เธอตัดสินด้วยเหตุผลมาตลอด แต่ครั้งนี้ฉันเห็นเธอตัดสินไปด้วยอารมณ์”เขาตอบกลับ
ดัคลาสไม่สบอารมณ์ ใบหน้าที่ปกปิดภายใต้หมวกเอียงเล็กน้อย ราวกับกับว่าเขากำลังประเมินเธอ เขาขยับตัวเข้ามาใกล้กว่าเดิม ทำให้โซเฟียรู้สึกถึงความกดดันก่อนจะพูด “เธอรู้ใช่ไหม ว่าถ้าส่งมันไปคนเดียว มันอาจทำให้เรื่องนี้เละเทะกว่าเดิม? เดวิดมันคือแชมเปี้ยนมาสเตอร์ขององค์กรก็จริง แต่คนที่ควรจะเป็นจริงๆก็คือฉัน! ฉันทำงานมามากหลายปี ความภัคดีหลายอย่างและผลงานหลายชิ้นมันไม่เคยสนองแก่เธอเลยหรือไง ห๊ะ?" ดัคลาสทุบโต๊ะอย่างแรงจนเกิดเป็นรอยร้าวขนาดใหญ่บนโต๊ะ
"เธอคงลืมไปแล้วว่าเดวิดมันเป็นแค่ปีศาจที่พร้อมจะฆ่าล้างทุกอย่าง แค่เพราะมันเคยกอบกู้โลกใต้ดินได้ครั้งหนึ่งไม่ได้แปลว่ามันจะเป็นพระราชาหรือผู้นำที่ดี ปีเตอร์ต่างหากที่เป็นคนที่ทุกคนยอมรับ ไม่ใช่เดวิด มันเป็นแค่ทรราช! ฐานหลักของมันมันก็ไม่สนใจด้วยซ้ำและแค่ปีเตอร์มันจะสนใจมากแค่ไหนกันเชียว"เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ขุ่นเคือง
“เองเป็นเด็กมีปัญหารึไง” เธอตอบกลับด้วยน้ำเสียงแห่งโทสะ “ตอนนี้เราก็ไม่มีทางเลือกอื่น!"
“มันมีแน่ แต่เธอไม่ทำ!”เขาสวนกลับ
“ปีเตอร์ไม่มีเวลาเหลือมากแล้ว!”เธอพูด "แค่นายไปรวมกับเดวิดเท่านั้นและถ้าฉันไม่เรียกนายเข้ามาในวันนี้ ฉันก็ไม่รู้ว่าเราจะมีโอกาสมากแค่ไหนในการดึงตัวปีเตอร์กลับมา!” คำพูดของเธอเต็มไปด้วยความจริงจังและน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความสิ้นหวังก่อนจะเงียบลง
ดัคลาสนิ่งเงียบสักครู่ ขณะที่ความเงียบเข้าครอบงำห้องทำงานที่เคยเป็นระเบียบเรียบร้อยนี้ เขาละสายตาจากโซเฟียก่อนจะหันกลับไปมองรูปถ่ายของปีเตอร์ที่ถูกกดหัวโดยเหล่าคนของกลุ่มเอลดริทช์คาบาล ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยช้ำและเลือดทำให้เขารู้สึกถึงความโหดร้ายของสถานการณ์ “พวกแม่งก้าวข้ามเส้นเราไปไกลมาก” เขาพูดเบาๆ ราวกับพูดกับตัวเอง
ดัคลาสยืดตัวขึ้นจากการพิงโต๊ะ หันหลังกลับไปมองที่ประตู แต่ก่อนที่เขาจะก้าวออกไป เขาก็หยุดก่อนจะหันหน้ากลับมามองโซเฟียที่ยังยืนอยู่ตรงนั้น “ฉันจะไปช่วย แต่ไม่ใช่เพราะคำสั่งของเธอ” เขาพูดด้วยเสียงเรียบง่าย “เพราะฉันก็ไม่ยอมให้ไอ้พวกระยำนั้นมาหยามเรา... และฉันจะไม่ปล่อยให้เพื่อนร่วมงานของฉันต้องจบแบบนั้นโดยไม่มีใครช่วย”
ดวงตาของโซเฟียสั่นไหว เธอไม่เคยคิดว่าดัคลาสจะยอมรับเงื่อนไขนี้ได้ง่ายๆ แต่ในวินาทีนั้นเธอก็รู้สึกได้ถึงความผ่อนคลายที่ค่อยๆ ไหลบ่าเข้ามาในหัวใจ “ขอบคุณ...” เธอพูดออกมาเบาๆ แต่ดัคลาสกลับส่ายหัวเล็กน้อย
“ไม่ต้องขอบคุณ” เขาพูดก่อนจะเดินไปที่ประตู “แค่เตรียมพร้อมรับมือกับผลลัพธ์ที่อาจจะไม่เป็นอย่างที่หวังไว้ก็พอ”
เมื่อประตูห้องทำงานปิดลง โซเฟียยืนอยู่คนเดียวอีกครั้ง เธอหันไปมองรูปถ่ายบนโต๊ะอีกครั้ง ใบหน้าของปีเตอร์ที่เต็มไปด้วยบาดแผลและความเจ็บปวดนั้นยังคงติดตรึงในสายตา ความคิดของเธอวิ่งไปมาก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้พลางมองรูปถ่ายระหว่างเธอและปีเตอร์กับเดวิดที่ตั้งไว้บนโต๊ะทำงานที่แตกหัก ส่วนทางฝั่งดัคลาสที่พิงกำแพงอยู่หน้าห้อง เขาคิดอยู่ซักพักก่อนจะตัดสินใจพูดกับระบบสื่อสารภายใต้หน้ากาก
“หน่วยเทมพารัสเร็กซ์ อัลฟ่าและบราโว่ เจอกันที่อาคาร32 ทั้งหมดต้องเตรียมพร้อมในอีก5นาที ”
แสงสีทองจากประตูวาร์ปที่สลักลวดลายวิจิตรอันงดงามส่องแสงระยิบระยับในความมืด อักษรรูนโบราณเปล่งประกายเป็นระลอกเหมือนคลื่นน้ำทะเลเรืองแสงขาวไกลไปถึงสามหน่อที่อยู่หน้าทางเข้า เดวิดกับคาสันและเอิร์ทได้เดินทางมาถึงที่นี่แล้ว โบราณสถานที่สำคัญแต่แปลกที่ทำไมบรรยากาศที่นี้ถึงเงียบขนาดนี้ “เดวิด..”เอิร์ทเรียกชื่อเขาแต่มีเพียงสัญญาณมือที่แสดงให้เห็นว่าให้เงียบก่อน
“งี่เง่าชิบ ที่นี่ก็ดูเหมือนไม่มีใครนะ”เอิร์ทพูดเบาๆ
“จริงๆนะ ฉันเคยมาที่นี่ แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป”เดวิดตอบกลับ
คาสันที่เดินตามหลังสุดก็สวนกลับไป “ใช้หูหรือหีฟัง ไอ่สัส กูไม่ได้ยินเชี่ยไรเลย” คาสันสบถใส่
ทั้งสามย่อเข่าลงพร้อมกันก่อนเดวิดจะเดินนำทางอย่างเงียบๆเข้าไปในห้องขนาดใหญ่ เมื่อก้าวขาเข้าไปในห้องแล้วเสียงกระทบโลหะก็ดังขึ้นมาทันที
“หลบ!”เดวิดตะโกนก่อนจะหมอบลงไปกับพื้นหลบขวานใหญ่ที่เหวี่ยงไปที่เขาอย่างรวดเร็ว แรงลมจากขวานเฉือนผ่านอากาศจนเกิดเสียงหวีดแหลม ในขณะที่ขณะที่ทั้งสองเอนหลังล้มไปกับพื้นก่อนจะรีบลุกขึ้นตั้งตัวขึ้น
“ลูกอีดอกเอ้ย เหี้ยไรเนี่ย”คาสันสบถคำหยาบออกมาพลางหยิบอุปกรณ์ที่มีลักษณะคล้ายไลเซเบอร์ที่มีลำแสงเป็นรูปใบดาบเท่านั้นขึ้นมาชี้ไปทางด้านหน้า
เดวิดเงยหน้ามองไปยังที่มาของเสียง มันเป็นเงาขนาดใหญ่ที่ยืนตระหง่านอยู่ท่ามกลางความมืด เงาร่างนั้นเป็นรูปทรงมนุษย์ แต่ใหญ่กว่าคนธรรมดาหลายเท่า เกราะเหล็กสีดำและลวดลายแบบชนเผ่าปกคลุมไปทั่วร่าง เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้นทุกครั้งที่มันขยับตัว ขวานใหญ่เล่มหนึ่งอยู่ในมือข้างขวาของมัน แสงสีทองจากอักษรโบราณสะท้อนกับผิวโลหะทำให้เห็นความเงางามของใบขวานราวกับคมดาบที่พร้อมจะตัดฟันทุกสิ่ง
ทั้งสามจ้องมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ตะลึงกับการออกแบบลวดลายอันงดงาม แต่ก็รับรู้ได้ถึงพลังการทำลายล้างที่อยู่ในร่างมหึมานั้น ขนาดของมันทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนถูกย่อส่วนลงในห้องที่กว้างใหญ่และเต็มไปด้วยแสงเงาที่อาบจากคริสตัลตามผนัง
“ตัวเหี้ยไรเนี่ย หุ่นยนต์โบราณหรอวะนั่น!?” เอิร์ทตะโกน ขณะที่มือขวาของเขาเอื้อมไปจับดาบคู่ใจที่อยู่ในปลอกหลัง พลางเบี่ยงตัวเข้าข้างๆ เตรียมพร้อมสำหรับการปะทะ
เสียงฟันเฟืองดังขึ้นมาเป็นระยะๆจากตัวของมัน เดวิดไม่แน่ใจว่ามันพยายามจะพูดหรืออะไร มีเพียงเสียงโลหะที่ครูดผ่านกันดังก้องอยู่ในห้องหินที่ว่างเปล่า ก่อนที่มันจะขยับตัวอีกครั้ง แขนเกราะเหล็กยักษ์ยกขวานขึ้นสูงเหนือศีรษะ เหมือนเตรียมพร้อมจะเหวี่ยงไปยังผู้บุกรุกทั้งสาม
“แยกโว้ย!”เดวิดตะโกน ก่อนผิวหนังของเขากลายเป็นเนื้อโลหิตที่แข็งแกร่ง หนามเลือดแหลมงอกขึ้นจากผิวร่างของเขาเหมือนเป็นเกราะป้องกันที่แหลมคม การแปลงร่างทำให้กล้ามเนื้อและผิวหนังของเขากลายเป็นสีแดงดำที่แสงภายในตัวที่เบาบางเต้นเป็นจังหวะพร้อมกับเลือดในกายที่พุ่งพล่าน
ขณะที่ขวานของร่างเหล็กยักษ์ฟาดลงมา แรงกระแทกนั้นสร้างคลื่นอากาศที่พุ่งกระจายไปทั่วห้อง เสียงโลหะปะทะกันดังสนั่น หินและฝุ่นละอองกระจายตัวเป็นวงกว้างจากจุดปะทะ แต่ด้วยการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว พวกเขาหลบพ้นไปได้อย่างฉิวเฉียด เศษหินแตกกระจายจากพื้นซึ่งขวานยักษ์ปักลงไป
คาสันและเอิร์ทแยกออกจากกัน คาสันกระโดดพุ่งออกไปทางด้านซ้ายในขณะที่เปิดใช้งานดาบพลังงานของเขา ใบมีดแสงสีฟ้าพลันกรีดผ่านอากาศอย่างเบาบางแต่รุนแรง ขณะที่เอิร์ทพุ่งตัวไปทางขวา ดาบคู่ใจถูกดึงออกจากปลอกหลังพร้อมด้วยแรงระเบิดของพลังที่ทำให้เขาเคลื่อนไหวได้รวดเร็วกว่าเดิมฟันไปที่แขนกลเหล็กแต่เหมือนเกราะของมันได้เสริมเวทย์ไป ทำให้การโจมตีไม่เป็นผลอะไรต่อมันเลยนิด มีแต่เดวิดพุ่งเข้าหามันแบบตรงๆ ทั้งคู่ปะทะกันอย่างรุนแรงจนเกิดแรงลมขึ้น เดวิดตวัดขวานยักษ์ของมันด้วยหอกเมื่อคมออกได้สัมผัสไปที่บาเรียของเวทย์มนต์มนดูเหมือนจะฉีกขาดได้ในทันใด ก่อนเขาจะกลิ้งหลบลอดใต้ตัวของหุ่นยักษ์ตนนี้และถีบมันด้วยพละกำลังที่มหาศาลของเขาจนมันล้มลง
เดวิดตั้งท่าที่จะใช้หอกแทงหลังมันแต่ก่อนจะถึงตัวมันใช้ขาของมันถีบเดวิดจนเขาหงายล้มไปที่พื้นอย่างแรงทำให้เศษหินที่พื้นแตกกระจายและมันก็ตั้งตัวขึ้นมาใช้เท้าเหยียบเดวิดซ้ำไปหลายครั้ง
“เดวิด!” คาสันตะโกนก่อนจะรีบสลับเปลี่ยนการใช้งานของอุปกรณ์ของเขาเขากดไปที่สวิตที่ด้ามก่อนอุปกรณ์นั้นจะยืดขยายเป็นแนวตั้งสูงกว่าหัวคาสันและลำแสงรูปใบขวานขนาดใหญ่ก็ปรากฏออกมา เขาตั้งท่าก่อนจะวิ่งไปฟันมัน มันกลับปัดใบขวานออกจนเกิดประกายไฟเล็กๆและมันก็จะใช้หมัดสวนคาสันกลับแต่คาสันก็ม้วนตัวหลบทันก่อนจะที่จะได้เอิร์ทเข้ามาช่วยต่อสู้แทน
“ลุกเดวิด ลุก!”คาสันจับคอเสื้อของเดวิด พยายามลากเข้าออกมาจากพื้นที่อันตราย
เอิร์ทพุ่งไปทางด้านหลังของมัน ดาบของเขาฟาดฟันลงบนข้อเท้าของมันอย่างรวดเร็ว แต่แทนที่จะตัดขาด เกราะนั่นกลับดูดซับแรงกระแทกไว้ เสียงกระแทกดังสนั่นและทำให้มือของเอิร์ทสั่นสะท้าน เขาถอยกลับไปก่อนที่จะถูกมือของร่างเหล็กคว้าจับแต่เอิร์ทก็ใช้พลังเขาวาร์ปไปข้างหลังทะลุมือของมัน ก่อนจะพุ่งหลบห่างจากหุ่นเหล็กโบราณ เขามองไปทางฝั่งเดวิดที่พยายามกำลังจะลุกขึ้นและคาสันที่กำลังจะตั้งค่าอุปกรณ์ที่อยู่ในมือของเขา
“บ้าจริง”เขาพูดในใจ
“เดวิด หาวิธีจัดการมันได้ไหม!?” คาสันตะโกนถาม ขณะที่ร่างกายของเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเพื่อหลบเลี่ยงการโจมตีของยักษ์เหล็ก ขวานยักษ์ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้เกิดเสียงกึกก้องในห้องวาร์ป เสียงโลหะกระทบกับพื้นหินดังกระหึ่มไปทั่วห้อง อากาศสั่นสะเทือนเป็นคลื่นรอบตัวพวกเขา
เดวิดสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปอีกครั้ง หอกในมือของเขาเปล่งประกายแสงสีแดงเข้ม ร่างเหล็กยักษ์ยกขวานขึ้นสูงพร้อมที่จะฟาดลงมา แต่ครั้งนี้ เดวิดกลับกะจังหวะทัน เขาพลิกตัวหลบและเหวี่ยงหอกฟาดลงบนบาเรียเวทมนตร์ที่ห่อหุ้มร่างเหล็กของมันจนเกิดเสียงแตกหักเป็นระลอกอย่างรุนแรงจนทำให้เห็นเศษบาเรียที่แตกกระจายในอากาศ
“ได้ผล! เดวิด ซัดแม่งเลย!” คาสันตะโกนอย่างตื่นเต้น แต่ทันใดนั้นเอง ร่างเหล็กยักษ์ก็กระทืบพื้นอย่างแรง เกิดแรงสั่นสะเทือนที่ทำให้หินรอบๆ กระเด็นขึ้นจากพื้น ฝุ่นหนาทึบพุ่งปกคลุมทั่วทั้งห้อง แรงสั่นสะเทือนทำเอาเดวิดเสียสมาธิเขาพยายามทั้งตัวเพื่อพุ่งเข้าไปหามัน หวังจะจบการต่อสู้ แต่ทันทีที่เขาเข้าใกล้ หุ่นยักษ์ก็ยกแขนขึ้นและเหวี่ยงออกไปอย่างรุนแรง หมัดเหล็กขนาดมหึมาฟาดเข้าที่ลำตัวของเดวิดเต็มแรง
“อั่ก!” เสียงของเดวิดถูกกระแทกออกมาเมื่อร่างของเขาปะทะกับหมัด ร่างของเขาถูกซัดกระเด็นออกไปเหมือนกระสุนที่พุ่งออกจากปืน ทะลุผ่านประตูวาร์ปที่เปิดอยู่ด้านหลังพวกเขา แสงสีทองกลืนกินตัวเขาไปในพริบตา
“เดวิด!” คาสันและเอิร์ทตะโกนเรียกพร้อมกันเมื่อเห็นเพื่อนร่วมทีมถูกพัดหายเข้าไปในแสงวาร์ป พวกเขาสบตากันเพียงชั่วครู่ ก่อนที่เอิร์ทจะกัดฟันแน่น
“ไป! ตามเขาไป!” เอิร์ทพูดตัดสินใจทันที ก่อนจะกระโดดพุ่งเข้าไปในประตูวาร์ปตามร่างของเดวิด ขณะที่คาสันก็ตามเข้ามาติดๆก่อนจะหันไปโยนระเบิดทำเองของเขาใส่หุ่นยักษ์ตัวนี้ แสงสีทองกลืนพวกเขาไปพร้อมกับเสียงระเบิดที่ดังก้องอยู่ข้างหลัง
แสงสีทองจากประตูวาร์ปพาพวกเขาทั้งสามมาสู่สถานที่ใหม่ เสียงหึ่ง ๆ ของพลังงานที่หมุนวนอยู่ในช่องว่างมิติหายไปทันทีที่พวกเขาก้าวออกมา สัมผัสแรกที่พวกเขารับรู้ได้คือความเย็นยะเยือกของอากาศและกลิ่นอับชื้นของเหมืองเก่า ร่างของเดวิดกระเด็นไปกระแทกกับผนังหินจนเกิดเสียงดัง ปัง! ทิ้งรอยแตกเป็นรอยยาวบนผนังหิน ร่างกายที่เต็มไปด้วยเลือดและรอยฟกช้ำของเขาล้มลงกับพื้น
คาสันกับเอิร์ทโผล่ออกมาทันทีหลังจากนั้นการลงของพวกเขานุ่มนวลต่างจากเดวิด ลำแสงสีทองจากวาร์ปหายไป ปิดตายการกลับสู่โบราณสถาน คาสันรีบพุ่งตัวเข้ามาช่วยพยุงเดวิดให้ลุกขึ้น “ไหวไหม เดวิด!?” เขาถาม ขณะที่หันมองไปรอบๆ สถานที่แปลกประหลาดนี้
เหมืองเก่าที่พวกเขาอยู่ในขณะนี้เต็มไปด้วยเงามืดและความหนาวเย็น ผนังหินที่สูงใหญ่โอบล้อมพื้นที่ไว้ทุกด้าน เส้นทางที่คดเคี้ยวทอดยาวไปในความมืด มีเพียงแสงไฟสลัวจากโคมไฟเก่าๆ ที่ติดอยู่ตามผนังเป็นระยะๆ ควันสีขาวลอยเอื่อยจากท่อระบายน้ำที่อยู่ใกล้ ๆ เสียงน้ำหยดจากเพดานดังก้องไปทั่ว สะท้อนให้รู้สึกถึงความเงียบและความเวิ้งว้างของสถานที่
เดวิดคืนสภาพทันที ร่างเนื้อโลหิตได้กลายเป็นผิวเข้มดั่งเดิมของเขาแล้ว เดวิดยืนขึ้นอย่างลำบาก เขาปาดคราบเลือดที่มุมปากพลางจ้องมองไปรอบ ๆ “ที่นี่มัน...เหมืองเก่า? ทำไมเราถึงมาโผล่ที่นี่?” เขาพูดอย่างสับสน
คาสันหันมามองเส้นทางมืดที่ทอดยาวไป “มันต้องมีอะไรบางอย่างที่พาเรามาที่นี่ ไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญแน่ ๆ...แต่ฉันไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย” เขากล่าวพลางขยับมือจับอุปกรณ์ของเขาแน่น ราวกับเตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น
“เดวิด เองเป็นคนพูดเองใช่ไหมว่าไอ่ประตูนั่นจะพาเราไปในที่เราต้องการจะไป”เอิร์ทหันไปมองเดวิดที่กำลังปัดฝุ่นและเลือดตามตัวของเขา
“ใช่”เดวิดตอบพลาง สะบัดคอของเขา ก่อนจะตั้งสติหันมองไปทั่วๆ
คาสันที่ยังยืนอยู่ข้างเดวิดมองไปรอบๆ ด้วยความระวัง “แปลกจริง...ทำไมต้องเป็นที่นี่? เหมืองแห่งนี้มันมีอะไรที่พวกเรายังไม่รู้หรือเปล่า?” เขาพึมพำกับตัวเอง
“ก็ปีเตอร์ไง”เอิร์ทตอบกลับ “ประสงค์ของเดวิดก็คือปีเตอร์และวาร์ปนั้นก็เป็นทางช่วยเราให้มาที่นี้ ไม่แน่ปีเตอร์อาจจะอยู่ที่ไหนสักที่..แค่คิดว่านะ”
คาสันที่ได้ยินก็หัวเราะเบาๆ “เนิร์ดว่ะ”
“ควย”เอิร์ทด่ากลับ
แต่ทันใดนั้นเอง เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากทางเดินแคบๆ ที่อยู่ไม่ไกล สัญชาตญาณของพวกเขาตื่นตัวทันที เดวิดสอดส่องรอบด้าน คาสันหยิบดาบพลังงานขึ้นมาอีกครั้ง ขณะที่เอิร์ทจับดาบของเขาแน่นและเตรียมพร้อม
“มีคนมา...” คาสันกระซิบเบาๆ สายตาของเขาจับจ้องไปยังเงามืดที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
“หาที่หลบเร็ว”เอิร์ทพูดพลางหมอบอยู่หลังโขดหินโดยใช้เงามืดในการหลบการมองเห็นของศัตรู
เดวิดและคาสันรีบกระโจนเข้าหากองหินหลบทันที
จากเงามืดปรากฏเป็นกลุ่มคนสวมชุดคลุมสีแดงเข้มที่มีลวดลายอักขระปักบนเสื้อผ้า พวกเขายกคบเพลิงและเดินมาพร้อมกันเป็นกลุ่ม ใบหน้าของพวกเขาถูกบดบังด้วยผ้าคลุม แต่สายตาที่ส่องประกายแวววาวในความมืดนั้นแฝงไปด้วยความสงสัย กลุ่มนี้คือสมาชิกของ เอลดริทช์คาบาล ที่ควบคุมเหมืองแห่งนี้
“เบน ฉันว่า ฉันได้ยินเสียงแปลกๆมาจากทางนั้นนะ?”หนึ่งในนั้นถามเพื่อนของมัน
“หืม หรอ?”เบนตอบกลับก่อนจะหันไปมองทางที่เพื่อนของเขาชี้
เดวิดและคาสันต่างเอามือปิดปากให้แก่กันทั้งคู่ เอิร์ทที่หมอบอยู่ในความมืดก็เห็นการกระทำที่ดูปัญญาอ่อนนี้แต่เขาทำอะไรไม่ได้ หวังเพียงให้พวกมันเดินออกไปจากตรงนี้ไม่ก็เดินเข้ามาใกล้ๆเพื่อจะได้เชือดนิ่มพวกมัน
“อืม ข้าว่าไม่มีอะไรนะ”เบนพูดกับเพื่อนลัทธิของเขา
อีกฝ่ายที่ได้ยินอย่างนั้นก็พยักหน้าเบาๆ"งั้นก็โอเค ไปลาดตระเวนตรงอื่นกันเถอะ จะว่าไปตรงนั้นมันมืดไปหน่อยนะ"
“เออจริงด้วย งั้นใช้เวทย์แสงสว่างหน่อยล่ะกัน”เบนพูดพลางยกมือขึ้นไปทางพวกเดวิด
ทั้งสามที่ได้ยินก็คิดอุทานในหัวว่า "อะไรวะ" พร้อมๆกัน ก่อนแสงสว่างจะเกิดขึ้นท่ามกลางพวกเขาแสดงให้เห็นทั้งสามที่หลบซ่อนอยู่อย่างชัดเจน
“เฮ้ย!” สมาชิกลัทธิอุทานขึ้นมา
“เหี้ย!”ทั้งสามสบถออกมาพร้อมกัน
“พวกมันมาจากไหนวะ!? รีบแจ้งทุกคนในฐาน ว่ามีผู้บุกรุก!” เสียงเขาเต็มไปด้วยความตื่นตัว ก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นทำท่าร่ายคาถา อักษรแปลกประหลาดสีแดงเปล่งแสงออกมาจากมือของเขา
“ไม่ปล่อยให้มันได้ร่ายหรอก!” เอิร์ทตะโกนออกมา เขาพุ่งตัวไปอย่างรวดเร็วพร้อมดาบในมือ ตั้งใจจะตัดคาถาของมันออกไป แต่คาสันกลับตะโกนขัดขึ้นมา “อย่า! มันเป็นกับดัก!”
แต่ก็สายเกินไป พื้นหินรอบๆ พวกเขาเกิดการสั่นสะเทือน รอยอักขระที่มองไม่เห็นก่อนหน้านี้เปล่งแสงขึ้นจากพื้นดิน เสียงการสั่นสะเทือนนั้นดังลั่นไปทั่วเหมืองและสั่นสะเทือนไปทั่วโถงทางเดิน เกิดเป็นสัญญาณเตือนภัยไปทั่วทั้งฐานของกลุ่มเอลดริทช์คาบาล
“บ้าจริง พวกมันรู้แล้วว่าเราอยู่ที่นี่!” เดวิดพูดออกมาขณะพยายามรักษาสมดุลตัวเองท่ามกลางแรงสั่นสะเทือนของพื้น เขามองไปที่คาสันและเอิร์ทที่กำลังพยายามหลบเลี่ยงการโจมตีของเหล่าสมาชิกกลุ่มลัทธิที่เริ่มโผล่ออกมาจากทุกทิศทาง
เดวิดแปลงร่างเป็นโหมดเลือดเต็มตัว หนามแหลมงอกขึ้นจากแขนและหลังของเขา ขณะที่เขาพุ่งเข้าใส่กลุ่มลัทธิด้วยความโกรธและความเร็ว “พวกมึงทั้งหมดต้องตาย” เขาตะโกนพลางขยี้ร่างของศัตรูที่พยายามร่ายคาถาด้วยกำปั้นและหอก เดวิดใช้มืออีกข้างทุบไปที่ลำตัวของหนึ่งในนั้นอย่างรุนแรงส่วนอีกข้างที่ถือหอกก็ฟันใส่นักเวทย์อีกคนที่พยายามใช้เวทย์ดูดเลือดเขา เลือดเดวิดถูกดึงขึ้นมาจากลำตัวผิวหนัง เขาที่สังเกตุการโจมตีก็หันกลับไปทางนักเวทย์คนนั้น
“มึงกล้ามากที่ขโมยเลือดกูและกูขอเอาเลือดกูคืน”เดวิดใช้มือจับคอของมันเข้ามาใกล้เดวิดและเดวิดก็กัดไปที่คอของมันอย่างแรง เลือดพลุ่งพล่านไปทั่วอากาศ เขาเคี้ยวมันสักพักก่อนกลืนมันและโยนร่างที่ไร้ชีวิตนั้นทิ้งไปเหมือนขยะ
สมาชิกอีกหลายคนที่เหลืออยู่ก็เข้ามาเพิ่มเรื่อยๆ เสียงคาถาและเสียงโลหะปะทะกันดังสนั่นในความมืดแต่แสงไฟก็เกิดขึ้นเรื่อยๆ
เอิร์ทพุ่งตัวไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็ว เขาใช้ดาบแทงทะลุผ่านเกราะเวทของศัตรูตัวหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปฟาดฟันอีกคนที่เข้ามาจากด้านหลังทำให้อีกฝ่ายตัวขาดครึ่งล้มไปนอนลงกลับพื้น “เดวิด! เราต้องรีบหาทางไปหาปีเตอร์!” เขาตะโกนขณะที่พยายามสลับการป้องกันและโจมตีของเหล่านักเวทย์
เสียงฝีเท้าของสมาชิกกลุ่มเอลดริทช์คาบาลดังสะท้อนไปทั่วเหมืองร้างที่มืดมิด เสียงคำรามของคาถาและเสียงปะทะกันของดาบพลังงานดังก้องกังวาน บรรยากาศเต็มไปด้วยแสงคาถาสีแดงและแสงสีฟ้าจากอาวุธของคาสันที่สว่างวาบในความมืด เสียงเตือนภัยยังคงดังอยู่ไม่หยุดหย่อน ราวกับจะปลุกให้ทุกคนในฐานรู้ว่าแขกที่ไม่ได้รับเชิญได้เข้ามาแล้ว
ความคิดเห็น