ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บั๊ดดี้ ซี้รัก

    ลำดับตอนที่ #9 : เรือกล้วย

    • อัปเดตล่าสุด 14 ก.พ. 67


    “แก้วดีใจมากที่ได้กลับมาเที่ยวเมืองพัทยาอีกครั้ง”
    กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง”
    โทรศัพท์จากห้องโถงกลางส่งเสียงดังทำลายความเงียบตอนเช้าวันศุกร์ วันที่โรงเรียนสายทิพย์ปิดการเรียนการสอน
    มันแผดเสียงกังวานก้องตอนที่แก้วนั่งคัดคำศัพท์ภาษาอังกฤษอยู่ที่ห้องเล็ก
    วันนี้เป็นวันหยุดพิเศษทางราชการ เด็กที่ต้องอยู่บ้านอย่างแก้ว พี่แพรว และเพื่อนชั้น ป. ห้า อีกแปดคน เลยต้องหอบการบ้านกลับมาทำ โดยเด็กแต่ละคนสามารถเลือกชิ้นงานตามรายวิชาที่สนใจได้คนละหนึ่งชิ้นงาน
    แก้วเลือกงานวิชาภาษาอังกฤษเพราะความชอบส่วนตัว พอเขียนคำศัพท์คำสุดท้ายเสร็จ แก้วเก็บหนังสือกับอุปกรณ์เขียนงานทั้งหมดให้เข้าที่
    โทรศัพท์ยังดังไม่หยุด แก้วเปิดประตูห้อง กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปตามเสียงแหลมบาดหูที่กำลังกวนใจอยู่ตอนนี้
    “ใครนะ โทรมาแต่เช้า รบกวนคนจะดูหนังสือ”
    “ถ้าโทรมาผิดเบอร์ละก็ จะไม่ยอมเลย”
    โทรศัพท์อยู่ด้านในสุด ต้องเดินเบียดโต๊ะทำงานพ่อแฟรงค์เข้าไปรับ สำหรับแก้วแล้ว ช่วงเวลาเร่งรีบแบบนี้ช่างไม่สะดวกเอาเสียเลย
    “ถึงเสียทีนะ” บ่นพึมพำ ก่อนจะยกหูโทรศัพท์ขึ้นแล้วกล่าวคำทักทายออกไป
    “ฮัลโหล บ้านเมอร์ฟีค่ะ”
    “น้องแก้วเหรอจ๊ะ นี่น้าสร้อยเองนะลูก”
    เสียงพูดเนิบช้าตอบกลับมาด้วยภาษาไทยกลาง แทนที่จะเป็นภาษาถิ่นเมืองโคราชอย่างที่คนแถบละแวกนี้พูดกันทั่วไป
    “ค่ะ น้าสร้อยว่าไงคะ”
    แก้วกรอกเสียงถาม
    “แม่มุกอยู่บ้านหรือเปล่า ขอน้าสร้อยคุยกับแม่มุ่กหน่อยสิลูก”
    “ได้ค่ะ น้าสร้อยรอสักครู่นะคะ”
    วางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะทำงานพ่อ แก้วเดินไปตามแม่มุก ซึ่งกำลังเตรียมอาหารอยู่ในครัว
    “น้าสร้อยโทรมา บอกว่าจะพูดสายกับแม่มุกค่ะ”
    จบคำบอกเล่าจากแก้ว แม่มุกละมือจากมีดที่กำลังหั่นผัก ยันกายลุกขึ้นจากเก้าอี้ทรงเตี้ยแล้วหันมาสั่งความกับแก้วด้วยเสียงอ่อนโยน
    “มาปอกมันฝรั่งให้แม่เถอะ กว่าแม่จะคุยธุระเสร็จ แก้วก็ปอกมันฝรั่งสามลูกเสร็จพอดี”
    “ค่ะ” แก้วทำตามคำสั่งโดยไม่อิดเอื้อน ขณะแม่มุกเดินหายเข้าไปในห้องโถงใหญ่
    “แม่มุกคุยอะไรกับน้าสร้อยนะ”
    แก้วพยายามเงี่ยหูฟังบทสนทนา แต่ไม่ได้ยินอะไร เพราะที่วางโทรศัพท์อยู่ไกลจากห้องครัวพอสมควร
    ปอกมันฝรั่งลูกสุดท้ายเสร็จ เป็นจังหวะเดียวกับแม่มุกเดินมาที่แก้วพอดี
    “เสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะแม่” แก้วรีบรายงาน
    “ดีมากจ้ะ” แม่มุกชม
    “แก้วรอตรงนี้นะ แม่จะไปตามพ่อแฟรงค์มาทำกับข้าว”
    ผ่านไปไม่นาน พ่อแฟรงค์ซึ่งมีร่างกายแข็งแรงสมชายชาตรีเปิดประตูออกมาจากห้อง พ่อแฟรงค์จับมือแก้วพร้อมกับเอ่ยคำ “อรุณสวัสดิ์จ้ะเจ้าตัวเล็ก” อย่างที่เคยทักทายทุกเช้า
    เราสามคน ช่วยกันทำสปาเกตตี้ผัดพริกแห้ง มันฝรั่งต้ม และขนมปังปิ้งทาเนย
    แม่มุกเตรียมวัตถุดิบ พ่อแฟรงค์เป็นคนปรุง ส่วนแก้วคอยชิมและหยิบขวดน้ำปลาน้ำตาลให้ รออยู่ครู่ใหญ่ พ่อแฟรงค์ก็ยกสำรับอาหารเช้าขึ้นโต๊ะ พร้อมล้อมวงรับประทาน
    อิ่มท้องกับอาหารมื้อแรกของวันแล้ว แม่มุกจึงเล่าให้ฟังถึงเรื่องที่คุยกับน้าสร้อยทางโทรศัพท์ก่อนถึงเวลาอาหารเช้า
    “เพื่อนสร้อยโทรมาชวนไปเที่ยวทะเลค่ะ”
    อาทิตย์นี้เจสซี่กับจินนี่ไม่มีชั่วโมงเรียนพิเศษ สตีฟกับสร้อยเลยอยากจะพาเด็กๆไปเที่ยวพักผ่อนช่วงวันหยุด”
    “เราน่าจะพาแก้วไปด้วยกันนะคะ” แม่มุกคุยกับพ่อแฟรงค์ในตอนหนึ่ง แก้วนั่งฟังอยู่ไม่ห่างจากจุดที่พ่อกับแม่นั่งคุยกัน
    “แกจะได้มีเพื่อนเล่นบ้าง ดีกว่าปล่อยให้นั่งเหงาอยู่กับวิทยุและโทรศัพท์”
    แม่มุกหมายถึง “น้าสร้อย” แม่ของจินนี่กับพี่เจสซี่ ซึ่งอยู่ที่บ้านหลังใหญ่ ห่างจากบ้านของแก้วเพียงแค่ปั่นจักรยานไปแป๊บเดียวเท่านั้น ทั้งครอบครัวเมอร์ฟีและครอบครัวพาเวลผูกสมัครรักใคร่กันเป็นอันดี ด้วยว่าแม่มุกและน้าสร้อย บินลัดฟ้าไปเรียนปริญญาตรีที่อเมริกาด้วยกัน พอเรียนจบก็พบรักกับหนุ่มตาน้ำข้าวจากเวสเชสเตอร์เคาท์ตี้ “ฟรานเชสโก” และ “สตีเวน” ซึ่งก็คือพ่อแฟรงค์กับลุงสตีฟนั่นเอง
    แต่งงานหลังเรียนจบไม่ถึงปี พ่อแฟรงค์ตัดสินใจย้ายมาเมืองไทย ตอนนั้นแม่มุกท้องแก้วได้สองเดือน ลุงสตีฟกับน้าสร้อยตามมาซื้อบ้านหลังสวยในละแวกเดียวกัน ตอนจินนี่ อายุครบสองขวบ อ่อนกว่าเจสซี่ พี่ชายคนแรกเพียงปีเดียว
    คำบอกเล่าแกมชักชวนของแม่มุกทำเอาแก้วหัวใจพองโต
    “ทะเล...” ใช่แล้ว ทะเล” สถานที่เงียบสงบ แต่น่าพิศวง เสียงคลื่นผสมกลิ่นเค็มเกลือ เปรียบดั่งมนต์เสน่ห์แห่งธรรมชาติสะกดจิตคนทุกเพศทุกวัยให้อยากไปเยือน
    แก้วเคยไปเที่ยวพัทยาเมื่อวันเลี้ยงส่งพี่เมรินออกเรียนร่วม หากวันนี้โรงเรียนหยุด แก้วก็อยากจะไปเยือนสถานที่เดิมกับครอบครัวพาเวลอีกสักครั้ง
    “ไปทะเลก็ดีเหมือนกันนะคะ อากาศร้อนแบบนี้ ท่าได้นอนแช่ตัวในทรายสักสองสามคืนคงจะสบายกว่าอยู่ที่บ้านแน่ๆค่ะ”
    “เกลว่ายังไง ทุกคนก็เห็นด้วยตามนั้นนะลูก” พ่อแฟรงค์จะเรียกชื่อเล่นของแก้วว่า “เกล” ตามพยางค์แรกของชื่อ “เกวลิน”
    “เราจะไปพักแค่ คืนวันเสาร์เท่านั้นล่ะ เพราะวันอาทิตย์พ่อต้องกลับไปทำงานที่กรุงเทพ ตกลงไหมลูก”
    “ตกลงค่ะ... งั้น แก้วไปจัดกระเป๋าก่อนนะคะ”
    ว่าจบ แก้วเดินตัวปลิวเข้าไปยังห้องเล็ก ข้างตู้เสื้อผ้าในห้องนั้น มีกระเป๋าใบหนึ่งวางอยู่ แก้วเลื่อนกระเป๋ามาตรงหน้า หยิบเสื้อผ้าจากในตู้จัดวางเรียงเป็นระเบียบ แยกชุดนอนกับชุดใส่เที่ยวไว้คนละส่วน
    ความที่แก้ว ตาบอดมาตั้งแต่เกิด ทุกคนในบ้าน โดยเฉพาะแม่มุกจะดูแลประคบประหงมเป็นอย่างดี บางทีก็ดีเสียจนแก้วทำอะไรแทบไม่เป็น วันนี้ได้จัดกระเป๋าเสื้อผ้าด้วยตัวเองก็นับว่าเป็นประสบการณ์น่าภูมิใจที่สุดแล้ว
    ขณะจัดของลงกระเป๋า ในใจแก้วนึกเร่งวันเร่งคืนให้พรุ่งนี้มาถึงเร็วๆ เพื่อจะได้ไปสัมผัสเวิ้งน้ำทะเลกว้างที่หลงรักมาตั้งแต่จำความได้
    วูบหนึ่งแก้วนึกถึงจินนี่กับพี่เจสซี่ที่อยู่บ้านใกล้ๆกัน ทั้งสองคนจะร่วมทริปเที่ยวทะเลด้วยกันวันพรุ่งนี้
    “มีจินนี่กับพี่เจส อยู่เป็นเพื่อนก็ดีนะ” เราจะได้จูงมือกันเดินเล่นบนหาดทราย หรือไม่ก็ยืนฟังเสียงคลื่นที่ริมฝั่งช่างเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขจริงๆ
    เช้าวันใหม่มาถึง แก้วลืมตาตื่นท่ามกลางเสียงนกกาเหว่าร้องขับขาน พับผ้าห่มผืนใหญ่จนเรียบร้อยก่อนจะก้าวลงจากเตียง ฝ่าเท้าสัมผัสพื้นกระเบื้องเย็นเฉียบเพราะเปิดเครื่องปรับอากาศตลอดคืน
    แก้วเปิดประตูห้องส่วนตัวช้าๆ หันรีหันขวางอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเดินออกไปยังห้องฝั่งตรงข้าม ค่อยๆหมุนลูกบิดให้เปิดออก
    พ่อกับแม่ไม่อยู่ที่ห้อง เครื่องปรับอากาศปิดสนิท เหลือเพียงไอความเย็นจางๆกระจายอยู่รอบตัว
    “พ่อกับแม่อยู่ไหนนะ... อ้อ นั่นไง เสียงอยู่ตรงนั้น...”
    แก้วแย้มยิ้มขณะเดินตามเสียงพูดคุยที่ดังแว่วมาจากห้องกินข้าว
    “มอร์นิ่งจ้ะเกล” พ่อแฟรงค์ส่งเสียงทักทาย
    “ไปอาบน้ำอาบท่าเถอะลูก” แม่มุกตัดบท
    “พอลุงสตีฟกับน้าสร้อยมาถึงจะได้เตรียมตัวออกเดินทาง”
    “ค่ะ” แก้วรับคำ พลางเดินกึ่งวิ่งไปเข้าห้องน้ำ ซึ่งภายในมียาสระผม สบู่ และข้าวของใช้ต่างๆวางไว้เป็นระเบียบ เพื่อให้สะดวกต่อการหยิบจับ
    ขณะกำลังอาบน้ำ แก้วบอกตัวเองด้วยเสียงตื่นเต้น “ดีจัง จะได้ไปเที่ยวทะเลแล้ว”
    เมื่ออาบน้ำแต่งตัวเสร็จ แก้วช่วยพ่อกับแม่ขนกระเป๋าเดินทางขึ้นรถกระบะ จากนั้นก็มานั่งรอครอบครัวลุงสตีฟที่เก้าอี้ยาวหน้าบ้าน
    ระหว่างรอ แก้วนั่งอ่านนิทานเจ้าหญิงที่ยืมมาจากห้องสมุด ตั้งใจจะเอาไปอ่านที่รีสอร์ทด้วยเหมือนกัน สิบนาทีให้หลัง รถกระบะคันใหญ่ของลุงสตีฟแล่นมาจอดข้างๆรถแวนของพ่อแฟรงค์ เจ้าของรถเปิดประตูลงมา ส่งเสียงทักทายกันอย่างคนคุ้นเคย
    จินนี่กับพี่เจสซี่เดินเข้ามาหา จับมือแก้วเขย่าแรงๆคนละข้าง พร้อมส่งเสียงคุยเจื้อยแจ้วไม่หยุด
    “เราจะไปเที่ยวทะเลกัน”
    “พี่เคยไปคูเปอร์สบีชครั้งหนึ่งตอนอายุ สี่ขวบ”
    พี่เจสซี่อ้างถึงสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งในนิวยอร์ก
    “เห็นทะเลครั้งแรกกลัวจนตัวสั่น ไม่กล้าลงน้ำเลยแหละ”
    “เค้าก็เหมือนกัน” เสียงใสๆน่ารักของจินนี่พูดสำทับเสียงแหบเล็กแฝงเจือความมั่นใจของพี่เจสซี่
    “เห็นทะเลครั้งแรกร้องไห้เป็นวักเป็นเวนเลย” จินนี่เล่าต่อ
    “ก็มันเวิ้งว้าง วังเวง น่ากลัวขนาดนั้น ยังคิดอยู่ว่า ถ้าตัวเองเกิดจมทะเลลงไป จะมีใครช่วยเค้าไว้ทันหรือเปล่า”
    “ตอนนี้ไม่กลัวแล้วใช่ป่ะ” พี่เจสซี่แกล้งแหย่ จินนี่รีบตอบกลับทันที
    “เค้าไม่ใช่เด็กสามขวบ เจ้าน้ำตานะ”
    “รอให้ถึงทะเลก่อน จินนี่จะรีบลงว่ายน้ำให้ฉ่ำปอดไปเลย...”
    “พี่เจสเถอะ ยังกลัวน้ำเค็มกับเสียงคลื่นอยู่ป่ะ” จินนี่ย้อนถาม
    “กลัวทำไม เค้าก็ไม่ใช่เด็กสี่ขวบ จอมขี้แยแล้วเหมือนกัน...” ยักคิ้วหลิ่วตาขณะส่งเสียงตอบเด็กหญิงผู้เป็นน้องสาว
    “พี่ไม่เห็นกลัว” พี่เจมส์ ชายหนุ่มอายุสิบเก้า ที่นั่งอยู่บนชิงช้าพูดบ้าง
    “ตอนเด็กๆนะ พี่อยู่กับทะเลมาตลอด ลงเรือหาปลากับพ่อก็เคยมาแล้ว”
    “เรื่องมันเศร้าตอนพี่กำลังจะจบ ป. หก พ่อแม่พี่เลิกกัน ต่างคนต่างไปมีครอบครัวใหม่ พี่เลยต้องมาอยู่กับอาสร้อย”
    “มีเจ้าจอมยุ่งสองคนให้ดูแลเหมือนน้องแท้ๆ ทุกวันนี้พี่มีความสุขจนไม่อยากกลับบ้านเดิมที่ระยองแล้วล่ะ”
    “แหมพี่เจมส์ เค้าไม่ใช่เจ้าจอมยุ่งสักหน่อย จริงป่ะพี่เจส...”
    จินนี่หันมาถาม พี่เจสซี่ยิ้มมุมปากก่อนว่าทีเล่นทีจริง
    “ไม่รู้สิ เธออาจจะยุ่งเพราะขี้ฟ้องเกินไปละมั้ง...”
    “อ้าว ไหงมาว่าเค้าอย่างงั้น ไม่คุยด้วยแล้ว อ่านนิทานเจ้าหญิงกับแก้วดีกว่า...”
    แก้วฟังจินนี่กับพี่เจสซี่เถียงกันไปมาแล้วอมยิ้ม ในใจคิดไปถึงความทรงจำเก่าๆ
    “ครั้งแรกที่ไปทะเลกับพ่อแม่ตอนอายุสองขวบน่ะ ไม่อยากบอกเลยว่าเราเองก็กลัวเสียงคลื่นถึงขั้นร้องไห้เหมือนกันนั่นแหละ”
    นั่งอ่านหนังสือได้พักใหญ่ นาฬิกาพูดได้ของแก้วบอกเวลาเก้าโมงเช้า พวกเราก็เตรียมตัวออกเดินทาง
    พ่อแฟรงค์ แม่มุก และน้าสร้อยเห็นตรงกันว่า ให้เอารถกระบะของลุงสตีฟไปคันเดียว เนื่องจากรถคันนี้มีกระบะหลังขนาดกว้าง จุคนและขนของได้มากเท่าที่ต้องการ
    แก้ว จินนี่ พี่เจมส์ และพี่เจสซี่ ถูกวางตัวให้นั่งกระบะหลัง ซึ่งตรงกับใจพวกเราต้องการพอดี
    กระบะรถคันนี้มีหลังคาไฟเบอร์ สามารถกดปุ่มเปิดปิดจากด้านนอก อีกทั้งยังมีหน้าต่างกระจกแบบเลื่อนออกด้านข้าง เปิดเป็นช่องเคาน์เตอร์กว้างพอสำหรับพูดคุยและส่งขนมกับน้ำดื่มให้กันได้อย่างปัจจุบันทันด่วน
    “ตื่นเต้นไหมแก้ว จินนี่ส่งเสียงถามอยู่ข้างๆ ขณะรถยนต์ค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากลานจอดหน้าบ้านเมอร์ฟี
    “ตื่นเต้นสิ เธอล่ะ” แก้วถามกลับ
    “เหมือนกันแหละ ดีใจจังที่เราได้ไปเที่ยวกันเป็นครอบครัวใหญ่”
    “นั่นสินะ” แก้วเห็นด้วยกับคำตอบของเพื่อนสนิท
    จริงอยู่ว่า การไปทะเลครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะเมื่อยังเด็กกว่านี้ แก้วเคยไปพัทยากับพ่อแม่ครั้งหนึ่ง และอีกครั้งตอนเรียนชั้นอนุบาลปีสุดท้าย แก้วไปเที่ยวสถานที่เดิมกับแม่มุกในฐานะนักเรียนในโรงเรียนสายทิพย์
    แต่การไปกับครอบครัว ซึ่งมีเด็กๆที่รู้จักกัน ถือเป็นช่วงเวลาที่มีค่ายิ่ง อย่างน้อยแก้วก็มีเพื่อนที่รู้ใจ… เพื่อนที่พร้อมจะแบ่งปันความสุขจากการเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ไปด้วยกัน บนรถกระบะเบาะนุ่มสบาย แก้วและพี่ๆกินขนมกันไป พูดคุยกันไป มองดูทิวทัศน์สองข้างทางเป็นบางครั้ง จนเมื่อรถแล่นถึงรีสอร์ทตอนใกล้ค่ำ เด็กๆต่างโห่ร้องดีใจ “ในที่สุดก็มาถึงทะเลสักที...”
    แก้วก้าวออกมายืนรอแม่มุกกับน้าสร้อยที่กำลังขนสำภาระออกจากรถ เสียงคลื่นทะเลดังแว่วมาเข้าหู สายลมยามเย็นโบกพลิ้ว พากลิ่นหอมเข้มข้นจากไอทะเลโชยมาต้อนรับ
    รีสอร์ทที่พ่อแฟรงค์จองให้เข้าพักอยู่ที่ถนนเลียบชายฝั่ง มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ร้านรวงต่างๆ รวมถึงตลาดกลางคืนก็ผ่านถนนสายนี้
    แก้วเดินสำรวจพื้นที่กว้างขวางรอบๆรีสอร์ท สัมผัสบรรยากาศอันร่มรื่นจากต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมทางเดิน อีกทั้งยังได้กลิ่นไอของน้ำทะเลที่โชยมาตามสายลมตลอดเวลา แว่วเสียงคลื่นซัดน้ำกระทบฝั่ง ฟังดูเหมือนทำนองเพลงที่ไพเราะจับใจ
    “แก้วชอบบ้านพักที่นี่จัง” เจ้าตัวเปรยกับจินนี่ พี่เจมส์และพี่เจสซี่ ซึ่งเดินขึ้นบันไดมาพร้อมกัน
    “บ้านนี้ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านแถวโรงเรียนสายทิพย์เลยนะ ”
    “ใช่เลยน้องแก้ว” พี่เจมส์เริ่มอธิบายสภาพบ้านตากอากาศที่เข้าพักให้ฟัง
    บ้านพักขนาดกว้าง มีห้องนอนสองห้องสำหรับพวกเราสองครอบครัว อุปกรณ์ทำอาหารมีครบชุด มองผ่านระเบียงหลังบ้านจะเห็นทะเลกว้างไกลสุดสายตา ทะเลกว้างใหญ่ไพศาลเสียจนคาดเดาไม่ได้ว่าจะไปจบที่ตรงไหน
    “แก้วว่าทะเลไม่มีจุดสิ้นสุดหรอก” หรือหากจะมีนั่นก็อยู่ไกลเกินกว่าเด็กตัวเล็กๆคนหนึ่งจะสามารถก้าวไปถึง
    “เด็กๆจ๊ะ ออกมาสวัสดีเจ้าของรีสอร์ทก่อนซีลูก” เสียงหวานๆของน้าสร้อยเรียกมาจากหน้าประตู แก้วเกาะแขนพี่ชายคนใดคนหนึ่ง เดินตามน้าสร้อยไปที่จุดชมวิวหน้าบ้าน
    เจ้าของรีสอร์ทแห่งนี้ชื่อลุงเพทายกับป้าทับทิม เป็นเพื่อนของแม่มุกสมัยเรียนศิลป์ฝรั่งเศษเมื่อยี่สิบปีก่อน แม่มุกเล่าว่า ลุงและป้าคบหาดูใจกันมาแต่สมัยเรียน พอเรียนจบ ทั้งคู่ก็แต่งงาน และลงหลักปักฐานอยู่ที่พัทยาจนทุกวันนี้
    แก้วกับพวกพี่ๆยกมือไหว้เจ้าของรีสอร์ทตามธรรมเนียม ป้าทับทิมกระชับมือแก้วแน่น พูดคุยอะไรสองสามประโยคก่อนที่ใครสักคนจะพาแก้วกลับเข้าห้องพัก
    “ทำตัวตามสบายนะเพื่อน ขาดเหลืออะไรก็บอกมาได้เลย ผมกับทับทิมยินดีบริการเต็มที่” ลุงเพทายพูดกับแม่มุกด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง
    จัดข้าวของ และจองที่นอนในห้องเสร็จเรียบร้อย พี่เจสกับจินนี่มาเคาะประตู ชวนให้ออกไปดูทะเลด้วยกัน
    “ได้ค่ะ แก้วจะออกไปเดี๋ยวนี้”
    แก้วยืนอยู่บนพื้นทราย ฟังเสียงคลื่นกับเสียงเรือลำหนึ่งดังแว่วอยู่ไกลๆ
    “นั่นเรือกล้วยนี่” พี่เจสซี่พูดขณะมองตามเสียงเรือลำนั้น
    “อยากเล่นใช่ไหมลูก” น้าสร้อยถามอย่างรู้ใจ
    “ Yes. I need to join banana boat flight.”” พี่เจสซี่ตอบกลับด้วยภาษาอังกฤษฟังเพราะดี
    “ You should wait until tomorrow”
    “ พรุ่งนี้ค่อยเล่นแล้วกันเจสซี่” น้าสร้อยทักท้วง
    “ค่ำแล้วน้ำเริ่มขึ้นสูง เล่นไปก็เสี่ยงจมน้ำเปล่าๆ”
    “พาน้องไปอาบน้ำเถอะ เสร็จแล้วจะได้มากินข้าว”
    คืนนั้น ลุงเพทายลงมือทำอาหารทะเลด้วยตัวเอง ทั้งต้มยำกุ้ง ผัดกะเพราปลาหมึก และน้ำพริกไข่ปู สมาชิกทั้งครอบครัวพาเวลและครอบครัวเมอร์ฟีต่างชมว่าลุงเพทายทำกับข้าวอร่อยถูกปาก รสชาติถูกใจ
    พี่เจสกับจินนี่ว่ากินเผ็ดไม่ค่อยได้ ยังขอเติมข้าวราดน้ำต้มยำกุ้งเพิ่มอีก คนละ สองจาน
    หลังกินข้าวเสร็จแล้ว ลุงเพทายยกสำรับไพ่ออกมาแจกจ่ายให้แม่กับน้า แม้แต่ลุงสตีฟกับพ่อแฟรงค์ก็เข้าร่วมวงไพ่กับเจ้าของรีสอร์ทเช่นกัน ถือเป็นกิจกรรมสร้างความครึกครื้นในครอบครัวได้อย่างดีทีเดียว
    แก้วเข้าไปดูการ์ตูนที่ห้องของพี่เจสซี่ แล้วเราก็ผล็อยหลับไปด้วยกันบนเตียงนุ่มๆในห้องนั้นเอง
    เช้าวันถัดมา ช่างเป็นเช้าที่อากาศแจ่มใส บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยสรรพเสียงอันเปี่ยมสุข ทั้งเสียงคลื่นกระทบฝั่ง เสียงนกร้องฟังเสนาะหู สายลมโชยแผ่ว พัดพากลิ่นน้ำทะเลเข้มข้นมาทักทาย ทำให้แก้วชอบทะเลที่พัทยาจับใจ
    พ่อแฟรงค์กับแม่มุกเคยพาแก้วมาเที่ยวทะเลแล้วหลายครั้ง แต่ก็ไม่อบอุ่นใจเท่าครั้งนี้ เพราะเรามากันเป็นครอบครัวใหญ่ ซึ่งนานๆจะว่างตรงกันสักครั้งหนึ่ง
    “น้องแก้วจ๊ะ มานั่งเล่นทรายคนเดียวทำไมล่ะลูก ไปเล่นน้ำกับน้าสร้อยไหม”
    แก้วยังไม่ทันให้คำตอบ น้าสร้อยก็ฉุดมือแก้วให้ลุกขึ้น พาเดินลงน้ำไปท่ามกลางสายลมอ่อนๆพัดมาโดนตัว
    “น้องแก้วมาแล้ว” เสียงพี่เจมส์ร้องทักมาแต่ไกล แก้วเดินลุยน้ำไปตามเสียง ที่สุดก็พบพี่เจมส์ดำผุดดำว่ายอยู่ไม่ไกลฝั่ง
    จุดที่พี่เจมส์ว่ายน้ำนั้นลึกเกือบถึงเอวแก้ว พี่เจมส์เอาห่วงยางอันใหญ่มาให้จับ
    “ขึ้นมาเถอะ พี่จะพาไปเที่ยว” พี่เจมส์บอกขณะยกตัวแก้วขึ้นจากน้ำ
    ที่สุด แก้วก็ได้ขึ้นไปนอนบนห่วงยางขนาดใหญ่
    “อ้าว จะไปละนะ หนึ่ง สอง สาม”
    สิ้นเสียงของพี่เจมส์ เขาก็เข็นห่วงยางลอยไปตามน้ำ มันลอยออกไปไกลจนแก้วนึกสงสัยว่า จุดสิ้นสุดของทะเลมันอยู่ตรงไหน
    “ทะเลมันไม่มีจุดสิ้นสุดหรอกน้อง” พี่เจมส์พูดขึ้น ท่ามกลางลมทะเลที่พัดมาปะทะผิวกาย
    “มันกว้างใหญ่มาก มากจนครอบคลุมไปทั่วโลกเลยล่ะ”
    “ถ้างั้น ทะเลที่อเมริกา หรืออังกฤษ ก็กว้างใหญ่เหมือนกันใช่ไหมคะ” แก้วถามซื่อๆตามประสาเด็กที่มองไม่เห็นแม้แต่แสงสี
    “ใช่” พี่เจมส์ตอบเน้นเสียง
    “แต่ที่ประเทศเหล่านั้นเป็นเมืองหนาว ทะเลก็จะเย็นกว่าบ้านเรา… บางทีก็เย็นจนแทบลงเล่นไม่ได้เลยละ”
    “เอ้อ เราลอยห่วงยางมาไกลมากแล้ว กลับเข้าฝั่งไปเก็บเปลือกหอยฝากเจสซี่กับจินนี่กันดีกว่า”
    พี่เจมส์ไม่เหมือนพี่คนอื่นๆ เขาชอบทำอะไรโลดโผนกับแก้วอยู่บ่อยๆ
    อย่างวันนี้ พี่เจมส์พาแก้วลอยห่วงยางออกห่างฝั่ง
    แก้วบอกไม่ได้ว่ามันไกลแค่ไหน รู้แต่ว่า ที่ตรงนั้น น้ำลึกเกินกว่าฝ่าเท้าของแก้วจะหยั่งถึง
    พอกลับขึ้นห้องพัก แม่มุกกับน้าสร้อยก็ดุพี่เจมส์ชุดใหญ่ หาว่าพาน้องเล่นอะไรไม่เข้าท่า หากเกิดอันตรายขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ
    “ไม่เห็นจะอันตรายตรงไหนเลย สนุกดีออก” แก้วพูดกับพี่เจสซี่และจินนี่ ขณะเรานั่งกินข้าวต้มด้วยกัน
    “แก้วได้เจออะไรบ้าง พี่ได้เล่นเรือกล้วยด้วยละ”
    “เรือกล้วยมันเป็นยังไง” แก้วถามพี่เจสซี่ จำได้ว่า ไปทะเลกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง พ่อแฟรงค์กับแม่มุกเป็นต้องเล่นเรือกล้วยอยู่ร่ำไป พอแก้วขอเล่นบ้าง แม่มุกก็จะบอกว่า
    “หนูเล่นไม่ได้หรอกลูก มันอันตรายเกินไป...”
    “เฮ่อ แม่มุกชอบพูดคำว่าอันตรายทุกทีสิน่า...”
    พอถามพี่เจสซี่ก็ได้คำตอบว่า “เรือกล้วยไม่อันตรายหรอก ต่อให้แก้วถูกเรือเหวี่ยงลงน้ำ ถ้าสวมชูชีพไว้ ยังไงก็ไม่จม”
    “เรือกล้วยนี่นะแก้ว สนุกมาก” จินนี่ช่วยสำทับเต็มเสียง
    “ยิ่งตอนที่คนขับเหวี่ยงเราลงน้ำนะ มันอย่าบอกใครเลย เรากับพี่เจสเล่นตั้งสามรอบแน่ะ ติดใจจริงๆ ให้เล่นอีกรอบที่สี่ก็เอา”
    “อยากเล่นบ้างจัง” แก้วได้แต่คิดอยู่ในใจ ไม่กล้าบอกแม่มุก เพราะถ้าบอก แม่มุกก็จะพูดว่า “อันตราย” อีกนั่นแหละ
    “ถ้าเกล อยากเล่นเรือกล้วย เดี๋ยวพ่อพาเล่นเอง ดีไหมลูก”
    “ดีค่ะ” คำอนุญาตของพ่อแฟรงค์ทำเอาแก้วตื่นเต้นจนแทบจะรอเวลานั้นไม่ไหว
    บ่ายวันเดียวกัน แก้วได้เล่นเรือกล้วยสมดังใจ รอบแรก มีผู้ติดตามคือพ่อแฟรงค์ ก่อนที่เรือจะแล่น พ่อแฟรงค์กำชับให้แก้วกอดเอวพ่อแน่นๆ ซึ่งแก้วก็ทำตามเพราะนึกถึงคำบอกเล่าของจินนี่เมื่อเช้า
    “เรือกล้วยสนุกมาก ยิ่งตอนที่คนขับเหวี่ยงเราลงน้ำนะ มันอย่าบอกใครเลย เรากับพี่เจสเล่นตั้งสามรอบแน่ะ
    พอเรือเริ่มแล่น หัวใจแก้วเต้นแรง นึกจินตนาการไปต่างๆนานา
    “อีกไม่นาน เรือก็คงเหวี่ยงสินะ...เอ๊ะ ทำไมไม่เหวี่ยงล่ะ”
    แก้วรอเวลาให้เรือเหวี่ยง รอแล้ว รอเล่า แต่ก็ดูจะไร้วี่แวว ที่สุดก็หมดรอบ
    แก้วก้าวลงจากเรือโดยมีพ่อแฟรงค์คอยประคอง ขณะที่เพื่อนคนอื่นๆส่งเสียงเล่าอยู่ใกล้ๆ
    พี่เจมส์ “เฮ่อ หัวใจจะวาย เล่นเหวี่ยงซะตั้งตัวไม่ทันเลย” พี่เจสซี่ “นั่นสิ สำลักน้ำทะเลจนแสบจมูกแสบคอไปหมด ดีไม่ดีไข้ขึ้นแน่ล่ะคืนนี้”
    จินนี่ “เค้าไม่เอาอีกแล้วน้า” เอ่ยประโยคนี้ขณะสำลักไอ
    “หนูอยากเล่นอีก คราวนี้ขอเหวี่ยงแบบเต็มที่ได้ไหมคะ” แก้วร้องขอ
    พ่อแฟรงค์ไม่ว่าอะไร อนุญาตให้พี่เจมส์กับพี่เจสซี่ลงไปเล่นเป็นเพื่อน
    “เกาะแน่นๆนะ” พี่เจสซี่จับมือแก้วไปแตะที่เชือกเส้นเล็กๆ ซึ่งขั้นระหว่างที่นั่ง จากนั้น คนขับเรือก็เร่งเครื่อง แล้วแล่นเรือออกจากฝั่ง แม่มุก ป้าทับทิม และน้าสร้อย ยืนมองอย่างเป็นห่วง
    แก้วสัมผัสได้ถึงสายลมพัดฉิวรอบตัว สัมผัสถึงความเร็วของเรือที่ดูเหมือนจะเริ่มทวีขึ้นเรื่อยๆ หัวใจแก้วเต้นรัวแรง นึกไปถึงว่า วินาทีใดวินาทีหนึ่ง เรือจะเอียงลง และทิ้งแก้วกับพี่ๆ ลงน้ำไปพร้อมกัน
    เรือค่อยๆเร็วขึ้น เร็วขึ้น จนในที่สุด เรือก็เอียงลงโดยไม่มีใครทันตั้งตัว
    “กรี๊ด” เสียงกรีดร้องของแก้วดังก้องไปทั่ว พยายามจะคว้าเชือกไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองหล่นลงสู่พื้นน้ำ
    แต่จะพยายามสักแค่ไหนก็ไม่สามารถทำได้ เราสามคนพี่น้องจึงหล่นตูมลงน้ำชนิดไม่มีสิทธิ์ต่อรอง แก้วปล่อยตัวตามกระแสน้ำ ในใจนึกหวั่นกลัวหาฝั่งไม่พบ
    “เป็นไงบ้างแก้ว” ใครบางคนจับมือพาขึ้นฝั่ง เจ้าของเสียงแหบเล็กนามเจสซี่ รุ่นพี่คนนี้ที่แก้วรู้จักมาหลายปี
    ตกกลางคืนแก้วมีอาการตัวรุมๆ พ่อแฟรงค์กับแม่มุกผลัดกันตื่นมาเฝ้าไข้ ขณะเช็ดตัวให้ไข้ลด แม่มุกถามว่า
    “เป็นไงแก้ว เล่นเรือกล้วย อันตรายอย่างที่แม่เคยพูดไว้หรือเปล่า”
    “ไม่เลยค่ะ แค่ไม่สบายนิดหน่อยเท่านั้นเอง...” แก้วบอก ขณะที่แม่มุกใช้ผ้าขนหนูเช็ดตัวให้อย่างอ่อนโยน
    เผลอหลับไปครู่เดียว พ่อแฟรงค์ก็เรียกให้ลุกขึ้นมากินยากันชัก แก้วหงุดหงิดและขัดใจ “เมื่อไหร่มันจะหายสักทีนะ”
    อาการชักนี่ แก้วไม่ชอบเลย ทุกครั้งที่มันกำเริบ เป็นต้องอ่อนเพลีย มึนๆอึนๆเหมือนลอยคว้างอยู่อวกาศ ที่แย่ที่สุด ก่อนจะหมดสติต้องคลื่นไส้อาเจียนชนิดไร้สัญญาณเตือน เหมือนอย่างเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว
    เย็นวันหนึ่งในเดือนธันวาคม แก้วไปที่สนามเด็กเล่น รอกลับบ้านกับแม่มุกหลังเลิกเรียนตามปกติ พี่แพรวกับจินนี่อยู่เป็นเพื่อนเช่นทุกวัน เรานั่งชิงช้า แกว่งมาแกว่งไปเบาๆ พูดคุยล้อเล่นกันตามประสาเพื่อนสนิท
    อยู่ดีๆ แก้วเกิดมึนหัวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ตามด้วยอาการคลื่นไส้ สุดท้ายก็อาเจียนก่อนจะล้มลงหมดสติไป รู้สึกตัวอีกทีก็นอนอยู่บนเตียงในห้องผู้ป่วยพิเศษแล้ว แม่มุกกับพ่อแฟรงค์อยู่ดูแลไม่ห่าง และพี่เจสซี่กับพี่แม็ทมาเยี่ยมในวันต่อมา หมอนัดตรวจคลื่นสมองหลังจากพี่ชายทั้งสองลากลับไป
    ผลการตรวจพบว่าคลื่นสมองแก้วผิดปกติ มีจุดเล็กๆอยู่ที่ก้านสมอง จุดนี้เองทำให้เกิดโรคที่เป็นอยู่ หมอจึงสั่งให้แก้วกินยาหลังอาหารสามเวลาทุกวัน จนกว่าจุดเล็กๆนั้นจะสลายหายไป ซึ่งต้องใช้เวลานานหลายปีกว่าโรคนี้จะหายขาด
    “แก้วอยากหายจากโรคชักจังเลยค่ะพ่อ” พึมพำเบาๆด้วยน้ำเสียงเหมือนจะร้องไห้
    “ก็กินยาทุกวัน ไปหาหมอตามนัดทุกเดือน รักษาตัวให้ต่อเนื่อง อาการก็จะค่อยๆดีขึ้น แล้วแก้วก็จะไม่ชักอีกตลอดไป”

    “แก้วจะรอให้ถึงวันนั้นค่ะ”
    พูดจบ พ่อแฟรงค์กอดแก้วไว้แนบอก แก้วหลับตาพริ้ม ฝันถึงวันแห่งแสงทองซึ่งรออยู่เบื้องหน้า แสงทองแห่งความหวัง ที่โรคร้ายจะหายไปจากแก้ว โดยไม่ย้อนกลับมา รบกวน

    ก่อนกลับบ้านวันถัดไป พี่แม็ทส่งข้อความเข้าเพจเจอร์ของพี่เจมส์
    “ถึงน้องแก้ว ไปเที่ยวทะเลสนุกหรือเปล่า” เสียงพี่เจมส์อ่านให้ฟังชัดเจนพอที่พี่เจสซี่กับจินนี่จะได้ยินด้วย
    “ส่งข้อความเข้าเพจแม็ทสิ” พี่เจสซี่พูด เราสามคนรู้ว่าพี่เจมส์ซื้อโทรศัพท์มือถือเอาไว้ไปเพื่อใช้ที่มหาวิทยาลัยในเทอมถัดไป “บอกแม็ทด้วยว่าผมเหงาสุดๆ””” ไม่มีเพื่อนผู้ชายมาเที่ยวด้วย ไม่รู้จะไปเล่นโต้คลื่นกับใคร”
    “จินนี่ขอส่งข้อความด้วยนะคะ จะบอกพี่แม็ทว่า รีสอร์ทแห่งนี้ ทะเลสวย น้ำใส แถมบรรยากาศที่พักก็สงบดีที่หนึ่งเลย”
    “ตามคิวนะเด็กๆ” พี่เจมส์ขัดขึ้น
    “ตามคิวเหรอคะ” แก้วสงสัย
    “แน่นอน เพราะว่าแม็ทส่งข้อความถึงน้องแก้ว พี่จะให้เจสซี่กับจินนี่ยืมโทรศัพท์หลังจากพี่เขียนข้อความตอบกลับให้น้องแก้ว ตกลงไหม”
    “ตามนั้นฮะ ... ตามนั้นค่ะ”
    ภายหลังเสียงเซ็งแซ่จากเด็กสามคนสงบลง พี่เจมส์กดเข้าเบอร์คอลเซนเตอร์ก่อนจะส่งโทรศัพท์ให้แก้ว รอสายอยู่ชั่วอึดใจ พอได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่กล่าวทักทาย แก้วก็ถ่ายทอดคำพูดให้พี่เขาพิมพ์เป็นตัวหนังสืออีกทีหนึ่ง
    “ถึงพี่แม็ทกับพี่โมนะคะ”
    “แก้วมาเที่ยวทะเลครั้งนี้สนุกจนไม่สบายเลย เมื่อวานเป็นไข้ตัวร้อน วันนี้ดีขึ้นแล้วค่ะ” “กินข้าวเช้าเสร็จก็จะกลับบ้านแล้ว มีของฝากเพียบเลย”
    “ข้าวหลามจากตลาดหนองมนให้พี่โม แล้วก็ขนมอารัวให้พี่แม็ท รอทานนะคะ … คิดถึงที่สุด”
    (ลงชื่อ น้องแก้ว จินนี่ พี่เจสซี่ และพี่เจมส์)
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×