ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บั๊ดดี้ ซี้รัก

    ลำดับตอนที่ #8 : Dream on, ก้าวไปให้ถึงฝัน

    • อัปเดตล่าสุด 9 ก.พ. 67


    “ถึงแก้วจะไม่ได้รางวัลชนะเลิศในการประกวดร้องเพลง แต่นั่นก็ไม่ทำให้แพรวและเพื่อนๆรักแก้วน้อยลงไปกว่าเดิมเลยนะ”
    หนูชื่อแพรวค่ะ เรียนอยู่ที่โรงเรียนสายทิพย์มาตั้งแต่ก่อนเข้าอนุบาล อีกไม่กี่ปี ก็จะได้ออกไปเรียนร่วมกับเด็กปกติ…
    เวลาในโรงเรียนขณะนี้ใกล้จะห้าโมงเย็นแล้ว สังเกตจากรถรับส่งเด็กเรียนร่วมกลับมาถึง ตามด้วยเสียงพูดคุยเซ็งแซ่จากหน้าสำนักงาน ที่ตั้งอยู่หัวมุมถนนเยื้องๆกับอาคารเรียนหลังใหญ่
    ครูมุกสั่งเลิกชั้น หลังจากนักเรียนห้อง ป. ห้า ส่งงานเขียนตามคำบอกครบทั้งสิบคน เป็นจังหวะเดียวกับนาฬิกาพูดได้ของน้ำตาล บอกเวลาห้าโมงเย็น
    “ตาลกับแพรว อย่าลืมคัดสำนวนไทยมาส่งครูด้วยนะจ๊ะ"
    “ค่ะ” หนูกับเพื่อนที่นั่งข้างกันรับคำเสียงแจ๋ว
    “ส่วนแก้ว” ครูประจำชั้น หันไปพูดกับเพื่อนของหนูอีกคนซึ่งนั่งอยู่แถวหน้า
    “กินข้าวเย็นเสร็จแล้ว หนูขึ้นไปหาครูน้ำทิพย์ที่ห้องดนตรีนะคะลูก วันนี้ครูน้ำทิพย์จะติวทักษะการร้องเพลงให้เป็นพิเศษ”
    ครูมุกหมายถึง “ครูน้ำทิพย์” ครูสอนวิชาดนตรีและขับร้อง ทั้งยังลงเสียงอ่านนิยายและตำราวิชาเรียนต่างๆที่พี่ๆเรียนร่วมเปิดฟังในห้องคอมพิวเตอร์บ่อยๆ “แพรวขออยู่เป็นเพื่อนแก้วได้ไหมคะ” หนูรีบถามเพราะอยากฟังแก้วร้องเพลงภาษาอังกฤษที่ชื่อว่า “ Dream on”
    “ ได้สิจ๊ะ” ครูมุกให้คำตอบเสียงอ่อนโยน
    “ซ้อมเสร็จเมื่อไหร่ให้ครูน้ำทิพย์โทไปหาแม่ที่บ้านแล้วกันนะแก้ว” ครูมุกกำชับ
    “ค่ะแม่”
    รับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้ว หนูกับน้ำตาลพาแก้วไปหาจินนี่ที่หน้าห้อง ป. สี่ เราจูงมือกันไปนั่งชิงช้าสี่ตัวในสนามเด็กเล่นที่ตอนนี้ยังไม่มีใครมาจับจอง
    ที่โรงเรียนสายทิพย์ บ้านหลังใหญ่แสนอบอุ่นหลังนี้ รับเด็กผู้หญิงเฉพาะไปกลับเท่านั้น ไม่อนุญาตให้อยู่ประจำเหมือนอย่างเด็กผู้ชาย
    สำหรับหนู พื้นเพเดิมอยู่ที่หมู่บ้านสุขปรีดา ห่างไกลจากโรงเรียนมากพอสมควร พอหนูโตพอที่จะเข้าเรียนหนังสือ แม่พิมพ์ก็ลาออกจากงานประจำ พาหนูมาสมัครเรียน และเช่าบ้านหลังเล็กอยู่ละแวกเดียวกับแก้ว จินนี่ และพี่เมริน
    แกว่งชิงช้าเล่นกันได้พักใหญ่ ก็ได้เวลากินข้าวเย็น หนู แก้ว จินนี่ และน้ำตาล ซึ่งไม่ได้พักอยู่ประจำ ตั้งขบวนแถวเล็กๆ เดินตามกลุ่มรุ่นพี่มัธยมไปบนพื้นถนนที่ไร้สิ่งกีดขวาง ความที่หนู จินนี่และน้ำตาลยังพอมองเห็นได้ไกล เราจึงพาแก้วมาถึงโรงอาหารก่อนเพื่อนคนอื่น ยินเสียงฝีเท้าแม่อ้อยเดินเข้ามาหาแล้วพาไปยังที่นั่งด้านหลัง กลุ่มรุ่นพี่มัธยม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชายเข้ามาถึงในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่ละคนยกเก้าอี้ลงจากโต๊ะกันชุลมุน เกิดความโกลาหลเล็กๆไปชั่วครู่ กระทั่งเก้าอี้ตัวสุดท้ายถูกใครสักคนจับจองแล้วนั่นแหละ สภาวะความเงียบจึงเข้ามาแทนที่
    “เห็นทีวันนี้หนูจะได้กินข้าวกับพี่ๆที่นี่” รัชชาภรณ์ หรือจินนี่ส่งเสียงบอก ขณะซุดตัวนั่งบนเก้าอี้ไร้พนักพิงข้างน้ำตาล
    “พ่อกับแม่พาพี่เจสไปซื้อของเตรียมจัดงานที่โรงเรียนพรุ่งนี้ ส่วนพี่เจมส์ก็ไปทำงานกลุ่มที่บ้านเพื่อน กว่าจะเลิกคงดึกเหมือนกัน”
    “หนูน่าจะได้กลับบ้านตอนสองทุ่ม เวลาปิดห้องดนตรีพอดีล่ะ”
    ฟังจินนี่พูดจบ หนูยกมือทำเป็นรูปหัวใจ แสดงความยินดีที่ค่ำนี้ เราสี่คนจะได้กินข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตา
    หลังจากท่องคำภาวนาอาหารและยืนสงบนิ่งราวหนึ่งนาที เสียงช้อนกระทบถาดหลุมตามด้วยเสียงพูดคุยพายในโต๊ะก็เริ่มต้นขึ้น
    “ไงจ๊ะแก้ว พร้อมจะประกวดร้องเพลงวันพรุ่งนี้หรือยัง” จินนี่ส่งเสียงถาม หลังจากกินข้าวไปเกือบหมดล็อก
    พรุ่งนี้แล้วสินะ ที่เพื่อนรักต้องเป็นตัวแทนเข้าประกวดร้องเพลงที่โรงเรียนวินเซนต์ ซึ่งพี่ชายของจินนี่ทั้งสองคนเรียนอยู่ขณะนี้
    ตลอดเวลาแห่งการซ้อม หนูไปให้กำลังใจแก้วบนห้องดนตรีแทบทุกครั้ง เริ่มจากวันที่แก้วส่งเพลงเข้าประกวดจนผ่านรอบออดิชั่น พอใกล้ถึงวันแข่งขันเข้าจริงๆ หนูกลับเป็นฝ่ายตื่นเต้น ดังว่าจะได้ไปปรากฏตัวบนเวทีอันทรงเกียรตินั้นเสียเอง
    “พร้อมจ้ะ พรุ่งนี้แก้วจะทำให้ดีที่สุด”
    “สู้ๆนะเพื่อน เราเอาใจช่วยเธอเสมอ”เสียงน้ำตาลพูดเสริมกำลังใจ
    “แพ้ชนะไม่สำคัญ” จินนี่สำทับ
    “อย่างที่ในเพลงบอกไว้ยังไงล่ะ”
    “ We can find our destiny, be anything we wanna be, if we dream on”
    “ แก้วทำได้อยู่แล้ว ถ้าแก้วไม่ท้อ”
    กินข้าวเย็นเสร็จตอนห้าโมงครึ่ง น้าตองมารับน้ำตาลกลับบ้าน หนู แก้ว และจินนี่ เดินเกาะกลุ่มกันไปพบครูน้ำทิพย์ที่ห้องดนตรีตามนัดหมาย
    ระหว่างนั้น หูพลันได้ยินเสียงเหน็บแนมมาตามหลัง
    “ อย่างยัยแก้วเหรอ จะชนะน้ำหวานของฉันได้ ไม่มีทางเสียล่ะ”
    “พวกเธอได้ยินไหม นั่นเสียงพี่เรยา” แก้วบอกเสียงหวาดๆ พวกเราชะงักเท้านิ่งฟังอยู่เงียบๆ
    พี่เรยา มีน้องสาวชื่อน้ำหวาน ทั้งคู่เป็นลูกของครูผู้ดูแลห้องดนตรี ซึ่งมีฐานะค่อนข้างดี หลายครั้งที่หนูกับแก้วพยายามจะเข้าไปผูกมิตรด้วย แต่สองคนนั้นกลับสะบัดหน้าใส่ บอกว่าหนูกับแก้ว อยู่คนละชั้นกับเขา ฟังแล้วไม่ค่อยชอบใจเลยจริงๆ
    ส่วนจินนี่ พี่เรยาไม่ได้รังเกียจ หากเธอมีท่าทีเป็นมิตรอย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงอย่างนั้น จินนี่ก็ไม่ค่อยชอบพี่เรยา หากมีโอกาส เธอจะหาทางหลบเลี่ยง ไม่ยอมคุยด้วยเอาดื้อๆ
    “พรุ่งนี้ น้ำหวานน้องพี่จะไปประกวดร้องเพลงที่โรงเรียนวินเซนต์ ทีนี้ล่ะ เราจะได้รู้กัน ว่ารางวัลที่หนึ่งจะตกอยู่ในมือเจ้าของเพลงไหน"
    “ Dream on หรือว่าเพลง I swear”
    “ เอ! แต่พี่ว่า ยังไงน้องพี่ต้องชนะล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า”
    เสียงหัวเราะแหลมบาดหูแว่วมาให้ได้ยิน เราสามคนวิ่งขึ้นห้องดนตรีด้วยความเร็วสุดฝีเท้า ในใจนึกโกรธที่พี่เรยาจงใจดูถูกซึ่งๆหน้า
    ทนนิ่งเฉยต่อไปไม่ไหว เลยเล่าความให้ครูน้ำทิพย์ฟังทั้งหมด
    “ ช่างเขาเถอะจ้ะ” ครูน้ำทิพย์กล่าวเตือนสติ
    “ ใครเขาดูถูกเรา ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของเขาไป”
    “เธอสามคน อย่าไปถือสา นิ่งเสียเถอะ แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเองนะลูก
    ถึงเวลาหนึ่งทุ่มตรง แก้วต้องซ้อมร้องเพลงกับครูทิพย์ หนูกับจินนี่แยกตัวไปทำการบ้านที่ห้องโถงด้านหน้า ขณะนั่งเขียนสำนวนไทยกันเงียบๆ เรายังได้ยินเสียงของแก้วจากในห้องซ้อม หนูนั่งทำการบ้านไป ใจก็อดชื่นชมเพื่อนรักไม่ได้
    “ Dream on, Dream on, dream on, if you look deep inside your heart, you can reach the highest star”
    “ ว้าว! เสียงดีไม่มีตกแบบนี้ รางวัลต้องเป็นของเธอบ้างล่ะน่า”
    สองชั่วโมงผ่านไป การบ้านของหนูกับจินนี่เป็นอันเสร็จสิ้น แว่วเสียงครูน้ำทิพย์พูดอะไรกับแก้วสองสามคำ ก่อนที่เจ้าของร่างเล็ก เสียงใสจะก้าวเท้าไวๆตรงมาที่พวกเรา
    รออยู่เพียงชั่วอึดใจ มอเตอร์ไซค์ของครูมุกแล่นเข้ามาจอดหน้าห้องดนตรี และพ่อของจินนี่ขับรถเก๋งมาถึงในเวลาไล่เลี่ยกัน
    หนูกับแก้ววิ่งตรงไปที่มอเตอร์ไซค์ ครูมุกรับตัวเพื่อนหนูไปนั่งหน้าคนขับ ส่วนหนูซ้อนท้ายที่เบาะหลัง ครูมุกบอกจะแวะส่งหนูที่บ้านด้วย เพราะเป็นทางผ่านก่อนจะถึงบ้านหลังสวยที่ครูมุกอยู่กับแก้วและลุงแฟรงค์
    “พรุ่งนี้พบกันนะจินนี่ โชคดีจ้ะ”
    วันรุ่งขึ้น หนูกับแก้วไปถึงโรงเรียนก่อนเวลาเจ็ดโมงเช้า เสียงผู้คนกลุ่มเล็กๆพูดคุยกันเบาๆที่ม้ายาวข้างตึกสำนักงาน กลิ่นหอมแปลกๆจากยอดหญ้าโชยแผ่วมาให้ชื่นใจ
    “แก้ว พี่แพรว มานี่สิคะ” จินนี่ส่งเสียงเรียกจากด้านหนึ่ง แก้วรีบคว้าแขนหนูเดินตรงเข้าไปหา จินนี่นั่งอยู่กับพี่เจมส์ที่ม้าหินอ่อนข้างสนามเด็กเล่นนั่นเอง
    “วันนี้พี่เจมส์ไปโรงเรียนพร้อมคนที่จะไปประกวดร้องเพลงใช่ไหมคะ” หนูชวนคุย ขณะเบี่ยงตัวหลบละอองน้ำค้างที่หยดลงมาจากใบไม้เหนือศีรษะ “ใช่ครับ พี่กับเจสซี่ต้องไปดูจินนี่แข่ง speech contest อยู่แล้ว”
    พี่เจมส์เอ่ยถึงน้องชายอีกคนซึ่งเรียนอยู่ที่เดียวกัน หากแต่ชั้นปีค่อนข้างห่างกันมาก เพราะพี่เจมส์เรียนอยู่ชั้นมัธยมปีสุดท้าย ส่วนเจสซี่อยู่ชั้น ป. ห้า เช่นเดียวกับหนู แก้ว และน้ำตาล
    “พี่เอาใจช่วยแก้วอีกคนนะ”
    “แก้วก็เอาใจช่วยจินนี่เหมือนกันค่ะ”
    อวยพรกันพอหอมปากหอมคอ พี่เจมส์ก็พูดถึงโรงเรียนวินเซนต์ให้ฟังว่า
    “เป็นโรงเรียนสองภาษา” เปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึง ม. หก”
    “พี่กับเจสซี่เรียนที่นั่นจนรู้จักทุกซอกมุมของทั้งฝั่งประถมและฝั่งมัธยมเลยล่ะ”
    โรงเรียนวินเซนต์เป็นโรงเรียนเอกชนก็จริง แต่ก็มีนโยบายรับเด็กตาบอดเข้าเรียนร่วมด้วย แถมปีนี้อาจารย์ใหญ่ใจดีเป็นพิเศษ ที่เขาให้เด็กตาบอดจากโรงเรียนเราเข้าร่วมแสดงความสามารถในวันงานประจำปีด้วย แน่นอนว่า เพื่อนหนูสามคน ที่ได้รับโอกาสนั้นคือ น้ำหวาน จินนี่ และแก้ว เราคุยกันกำลังเพลิน เสียงฝีเท้าแกรกกรากก็ดังมาแต่ไกล ครู่เดียว ร่างสูงสง่าของใครบางคนก็ทิ้งตัวนั่งตรงที่ว่างข้างตัวหนู
    “สวัสดีแพรวกับแก้วด้วยนะจ๊ะ”
    “พี่เรยา” หนูพึมพำอยู่ในใจ ปากก็กล่าวสวัสดีตอบตามมารยาท หัวใจหนูเต้นไม่เป็นจังหวะ นึกหวั่นๆว่าพี่เรยาจะมาชวนทะเลาะอะไรอีก
    “อุ๊ย พี่เจมส์น้องจินนี่ อยู่ตรงนี้เองเหรอคะ เรไม่ทันเห็น”
    ไม่มีคำตอบอื่นใดนอกจากเสียงเปิดหนังสือดังกรอบแกรบ เป็นอันรู้กันว่า จินนี่กับแก้วกำลังอ่านนิทานรอเวลาขึ้นรถ พี่เรยาได้ที หันไปพูดกับน้องสาวของเธอว่า
    “น้ำหวานจ๊ะ ซ้อมเพลงสักหน่อยสิ จะได้ไม่เก้อเขินเวลาอยู่บนเวทีไง”
    “หวานจำได้ค่ะพี่เรยา จะร้องให้ฟังเดี๋ยวนี้เลย”
    “เพลงที่หวานจะร้องชื่อเพลง I swear ค่ะ

    เมื่อน้ำหวานร้องจบเพลง ครูจุ๊บแจงก็เดินเข้ามาบอกพี่เรยาให้พาน้ำหวานไปเตรียมตัว

    เจ็ดโมงครึ่ง หลังรับประทานอาหารเช้า รถตู้คันกลางเก่ากลางใหม่สตาร์ทเครื่องเสียงดังสนั่น ครู นักเรียน ผู้ปกครอง ตลอดจนเจ้าหน้าที่ห้องดนตรีบางส่วนทยอยจับจองที่นั่งจนเกิดเสียงดังอื้ออึงฟังไม่ได้ศัพท์ “แพรวจะไปด้วยกันหรือเปล่าจ๊ะ ยังมีที่ว่างเหลืออยู่นะ” ครูมุกเดินเข้ามาถาม หนูยังนิ่งไม่ตอบคำ
    ใจหนึ่งอยากไปร่วมเชียร์แก้วถึงขอบเวทีเหมือนกัน หากอีกใจหนึ่งคิดถึงเรื่องสอบบทสนทนาภาษาอังกฤษกับครูวิลเลียม อย่างหลังนี่เอง คือธุระสำคัญที่นักเรียนเช่นหนูไม่อาจหลบเลี่ยงได้
    เพราะรู้ดีว่าครูวิลเลียมเจ้าระเบียบขนาดไหน ใครขาดเรียนโดยไม่มีเหตุจำเป็น ก็ต้องโดนซักถามกันยืดยาวเลยเชียวล่ะ
    หนูยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง จึงให้คำตอบออกไปตามใจต้องการ
    “แพรวอยากสอบภาษาอังกฤษให้เสร็จค่ะครูมุก”
    “ตั้งใจสอบนะพี่แพรว ไปประกวดครั้งนี้ แก้วจะเก็บบรรยากาศที่โรงเรียนวินเซนต์มาฝาก”
    ครูมุกลูบเส้นผมเล็กบางของหนูก่อนเดินไปที่รถพร้อมกับแก้ว
    รถตู้แล่นออกไปไกลจนลับตา น้ำตาลรีบวิ่งมาพาหนูขึ้นตึก
    “ไปเถอะแพรว ไปสอบกัน บอยกับคลินต์รอเราอยู่ที่ห้องเรียน”
    ที่ห้องเรียนชั้น ป. ห้า บนตึกใหญ่ หลังการสอบเก็บคะแนนผ่านพ้นไป เพื่อนๆหญิงชายกว่าสิบคนกรูเข้าไปยืนล้อมโต๊ะทำงานครูวิลเลียม และส่งภาษาอังกฤษกันเสียงแจ๋ว หนูเองก็อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย พวกเพื่อนๆต่างเรียงร้อยถ้อยคำ ให้เป็นประโยคตามแต่จะนึกได้ ฟังดูสนุกดีจัง แต่เอ๊ะ ! เผลอแป๊บเดียว ได้เวลากินข้าวกลางวันอีกแล้วสิ หนูและเพื่อนๆไปรวมกลุ่มกับพี่นักศึกษาฝึกสอนที่โรงอาหาร แขกผู้ใจดีนำก๋วยเตี๋ยวไก่กับไอติมถังใหญ่มาเลี้ยง พาให้ทุกคนอิ่มหมีพีมันกันทั่วหน้า
    “อิ่มหรือยังแพรว”
    “เมื่อกี้เราไปดูขนมในครัวมา มีช็อกโกแลตรูปหัวใจแบบที่เธอชอบด้วยล่ะ”
    “นี่ไง”
    น้ำตาลยื่นห่อกระดาษเป็นมันลื่นให้กับมือ สัมผัสแวบเดียวก็รู้ว่ามีหัวใจสองดวงอยู่ข้างใน “ขอบใจนะน้ำตาล แต่แพรวจะเก็บไว้กินเป็นของว่างตอนบ่ายท่าจะดี”
    “ จริงด้วยเราก็จะเก็บไว้กินตอนบ่ายเหมือนกัน ก็ของว่างที่แม่อ้อยทำ มีแต่น้ำมะตูมนี่นา กินทุกวันคงไม่ไหว”
    ถึงช่วงบ่าย หนูและเพื่อนๆไม่ได้เรียนวิชาภาษาไทย จึงไปนั่งฟังเพลงที่ห้องดนตรี ครูแป๋ว ครูฝึกสอนเปิดเสียงของแก้วจากม้วนเทป หนูเดาว่าครูจุ๊บแจงน่าจะบันทึกไว้ตอนแก้วซ้อมร้องเพลงเมื่อวานนี้
    “ Well, we've come a long long way”
    And there's no turning back
    The road ahead is clear at last
    We can search our whole life through
    Never knowing what we'll find
    But we can make it if we try
    'Cause every cloud has a silver lining
    Just believe that the sun will shine
    ( เพลง Dream on, จากวง Dream Street)
    “ แก้วน่าจะได้รางวัลที่หนึ่งนะ”
    หนู น้ำตาล และคลินต์เห็นด้วยในทางเดียวกัน เพราะเท่าที่ได้ฟังจากม้วนเทป แก้วร้องดีไม่มีผิดเพี้ยน อีกทั้งเนื้อเพลงก็ถูกต้องตามแบบฉบับของ dream street ทุกถ้อยคำ

    เวลาล่วงเข้าสี่โมงเย็น รถตู้ประจำโรงเรียนก็มาถึง หนูกับน้ำตาลรีบวิ่งออกไปดู เผื่อจะได้ฟังข่าวสำคัญจากแก้ว แต่เราสองคนต้องผิดหวัง เมื่อคนที่ลงมารับหน้า พวกเราคือพี่เรยา
    “ไงจ๊ะ น้องแพรว น้ำตาล คงจะอยากรู้ความหายนะของยัยแก้วแล้วสินะ”
    “พี่เรยาพูดเรื่องอะไรคะ” หนูถามออกไป ในใจเริ่มจะเก็บความโกรธไว้ไม่อยู่
    “อธิบายมา ตรงๆ เถอะค่ะพี่เรยา หายนะอะไร” น้ำตาลช่วยต่อรอง ท่าทีของเธอดูสงบเยือกเย็นกว่าหนูมากมายนัก
    “ก็ได้ถ้าพวกเธออยากรู้พี่ก็จะบอกให้” พี่เรยาพูดเสียงห้วน ฟังดูไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย
    “ยัยแก้วชวดรางวัลชนะเลิศประกวดร้องเพลงน่ะสิ เพราะอะไรรู้มั้ย”
    “พอพิธีมอบรางวัลจบ เพื่อนเธอก็เกิดอาการคลื่นไส้ ก่อนจะเป็นลมล้มพับกลางเวที”
    หนูฟังคำพี่เรยาเหล้าแล้วใจคอไม่ค่อยดี เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนผุดผ่านเข้ามาในความทรงจำ
    แก้วโทรคุยกับหนูตอน สี่ทุ่ม บ่นว่ารู้สึกเพลียและเวียนหัว” คล้ายจะถูกโรคประจำตัวเล่นงาน นึกเป็นห่วงเพื่อนสนิท จึงถามพี่เรยาต่อไปว่า
    “ตอนนี้ แก้วอยู่ที่ไหนคะ”
    “กลับบ้านไปตั้งแต่แข่งเสร็จ ยังดีที่แม่พี่กลับเข้าไปทำงานต่อ ก็เลยแวะส่งเพื่อนเธอได้ ไม่งั้น ป่านนี้คงไม่รอด จริงมั้ยจ๊ะ น้ำหวานของพี่”
    พอเอ่ยชื่อน้องสาวคนโปรด น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นหวานเลี่ยนทันที
    “จริงค่ะ ยัย แก้ว ชัก กระ ตุก”
    “ถูกต้องเลยค่ะ ยัยแก้วชักกระตุก”
    “ไปกันเถอะน้องพี่ เอารางวัลที่หนึ่ง ไปให้คุณแม่ชื่นชมดีกว่า”
    พี่เรยาจูงมือน้ำหวานเดินออกไป พร้อมเสียงหัวเราะเย้ยหยัน หนูทนไม่ไหวอีกต่อไป
    “หนูเกลียดพี่เรยา ดูถูกคนอื่นแบบนี้ ระวังจะไม่มีใครคบ”
    “ไปกันเถอะตาล ขี้เกียจเถียงกับคนบ้า”
    “นังเด็กแพรว” เสียงพี่เรยาวิ่งย้อนกลับมาโดยเร็ว ประชิดตัวหนูได้ก็คว้าแขนไปบีบสุดแรงเกิด
    “เมื่อกี้เธอบอกว่าเกลียดฉันใช่มั้ย ได้ ในเมื่อเธอไม่ยอมจบ ฉันก็จะไม่จบด้วย ให้รู้ไปสิ ว่าตาดีอย่างฉันกับตาบอดอย่างเธอ ใครจะแน่กว่ากัน”
    (ตาล)
    น้ำตาลตกตะลึงกับภาพตรงหน้า ตอนที่พี่เรยาวิ่งมากระชากแขนแพรว ใจจริงอยากจะร้องขอให้ปล่อยเพื่อนน้ำตาลไป พอเห็นพี่เรยาทำหน้ายังกับยักษ์กินคน น้ำตาลก็กลัวจนตัวสั่น แพรวยังฮึดสู้ พยายามสะบัดแขนให้หลุดจากการเกาะกุม แต่ก็ไม่สำเร็จ เมื่อลองดูอีกที ปรากฏว่าแพรวพลาดท่าล้มลงกับพื้น
    น้ำตาลฉุดมือเพื่อนรักให้ลุกขึ้น ทันเห็นรอยยิ้มสะใจจากอีกฝ่าย
    ก่อนที่เรื่องราวจะบานปลาย ครูน้ำทิพย์กับครูจุ๊บแจงผ่านมาเห็น จึงแยกตัวพี่เรยาและแพรวออกจากกัน
    ครูจุ๊บแจงตำหนิพี่เรยาเสียงเขียว ขณะครูน้ำทิพย์พาแพรวกับน้ำตาลเลี่ยงไปที่ห้องสมุด
    “สาบานได้ค่ะครูน้ำทิพย์ หนูไม่ได้ทำอะไรพี่เรยาเลยนะคะ แค่ไปถามเรื่องของแก้วเท่านั้น”
    แพรวยืนยันทั้งน้ำตา ครูน้ำทิพย์นิ่งฟังพักใหญ่ แล้วพูดเสียงดุเล็กๆว่า
    “ครูรู้ว่าแพรวไม่ได้เป็นคนเริ่ม แต่แพรวเองก็ไปต่อปากต่อคำกับพี่เขา เราเป็นเด็กอายุน้อยกว่า เราสมควรทำอย่างนั้นหรือเปล่าล่ะจ๊ะ”
    “หนูแค่ไม่อยากให้พี่เรยาดูถูกคนตาบอดเท่านั้นเองค่ะ”
    “นิ่งสงบ สยบความโกรธได้สงัดนะจ๊ะแพรว”
    (แพรว )
    หนูไปหาแก้วที่บ้านครูมุกตอนห้าโมงเย็น พี่เจมส์กับจินนี่นั่งดื่มน้ำหวานที่โซฟา เขาไม่ได้มาแค่สองคน
    ยังมีเด็กผู้ชายผมสี บลอนด์ ถีบจักรยานคันสีแดงตามมาด้วย
    เจ้าของเสียงเล็กติดจะแหบนิดหน่อยแนะนำตัวว่าชื่อ “เจสซี่” แก้วเคยเล่าให้ฟังว่า “พี่เจส” เป็นสตาฟที่น่ารัก” พาแก้วขึ้นเวทีและคอยอยู่ที่ห้องประชุมจนจบการแข่งขัน แม้แต่ตอนที่แก้วไม่สบาย พี่เจสซี่ยังโทรมาถามอาการกับพี่เจมส์อยู่เรื่อยๆ
    หนูกับแก้วรู้จักเจสซี่มาตั้งแต่เรียนอนุบาล ลุงสตีเฟนกับป้าวีณา เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลจากอเมริกามาตั้งรกรากที่หมู่บ้านแห่งนี้ เราจึงได้กลายเป็นเพื่อนกัน ไปมาหาสู่กันอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี่แหละ

    แก้วนอนพักผ่อนบนตั่งไม้ข้างประตู อาการชักสงบแล้ว เพื่อนหนูยังพอพูดคุยกับพวกเราได้บ้าง
    โรคลมชักที่แก้วเป็นอยู่รักษาหายขาดหรือไม่ หนูไม่รู้ หนูรู้เพียงว่า แก้วต้องกินยาครั้งละหลายๆเม็ดเพื่อควบคุมอาการ
    “ถือว่าแก้วยังโชคดี ที่อาการครั้งนี้ไม่ถึงขั้นรุนแรง ไม่งั้นคงได้นอนโรงพยาบาลเหมือนหลายครั้งที่ผ่านมาแน่ๆเลย”
    คำพูดของจินนี่เตือนให้หนูนึกถึงประสบการณ์หลายๆครั้งที่เลยผ่าน ที่ร้ายแรงจนต้องบันทึกไว้ เห็นจะเป็นช่วงสอนเสริมฤดูร้อนครั้งล่าสุด
    ยามสายวันเสาร์ กลุ่มนักเรียนในค่ายสอนเสริมทยอยออกจากโรงอาหารมาต่อแถวดื่มน้ำที่ตู้คูลเลอร์ด้านนอก หนูออกจากโรงอาหารเป็นคนสุดท้าย ประคองน้องแก้วที่ตอนนั้นหน้าซีดเผือดไปดื่มน้ำอย่างทุลักทุเล ถึงหน้าตู้คูลเลอร์ จินนี่อาสารินน้ำใส่แก้ว อยู่ดีๆ เพื่อนหนูก็อาเจียนออกมาเต็มพื้น จากนั้นก็ล้มหมดสติไป
    ภาพเหตุการณ์วันนั้นยังติดอยู่ในความทรงจำของหนูกับจินนี่เรื่อยมา และเหตุการณ์ในวันนี้ก็คงไม่ต่างกัน ซึ่งสาเหตุสำคัญก็ไม่พ้นเรื่องลืมกินยาอีกเช่นเคย
    “แก้วผิดเองค่ะ ถ้าไม่ตื่นเต้นจนลืมกินยาเมื่อคืนวาน คงไม่เกิดเรื่องน่าอายแบบนี้”
    “แต่ถึงอย่างนั้นพี่ก็ชื่นชมแก้วนะ” พี่เจสซี่พูดบ้าง
    “เห็นว่าอาการไม่ดีตั้งแต่ก่อนขึ้นเวที ถามว่าจะนอนพักหรือจะกลับบ้านเลยไหม แก้วยังยืนยันจะแข่งให้จบท่าเดียว”
    “แบบนี้ถึงไม่ได้รางวัลจากกรรมการ แก้วก็ได้รางวัลจากใจพี่ไปเกินร้อย”
    “พี่เจสล่ะก็ ชอบพูดอะไรให้แก้วงงอยู่เรื่อยเลย”
    “เอาเป็นว่าต่อไปนี้ แก้วจะไม่ลืมกินยาอีกแล้วค่ะ เข็ดกับอาการชักแล้วจริงๆ”
    แก้วทำเสียงอ้อนอย่างคนสำนึกผิด พี่เจสซี่ยิ้มขำกับความน่ารักไร้เดียงสาของคนบนเตียง
    “ว่าแต่ทำไมครูมุกยังไม่กลับอีกนะ”
    หนูตั้งใจเปลี่ยนประเด็น เพราะหลังจากพาหนูมาส่งที่บ้านแล้ว ครูมุกบอกจะไปธุระข้างนอกแป๊บเดียวค่อยกลับมา แต่นี่เวลาก็ผ่านไปเกือบชั่วโมงแล้ว ยังไม่มีแววว่าเสียงมอเตอร์ไซที่คุ้นเคยจะแล่นมาถึง
    “สงสัยคุยกับครูจุ๊บแจงอยู่ล่ะมั้ง” พี่เจมส์พูด “ถ้าให้เดาก็คงหนีไม่พ้นเรื่องพี่เรยา”
    เอ่ยถึงตรงนี้ จินนี่ก็พูดขึ้นเสียงแข็ง
    “พี่เรยาคงไม่กล้ามาที่โรงเรียนอีกแล้วล่ะ สร้างวีรกรรมร้ายกาจขนาดนั้นน่ะ” “แต่ถ้าพี่เรยาจะเข้ามา แก้วก็ยินดีนะคะ” แก้วที่นอนอยู่บนเตียงพูดขึ้น
    “แก้วไม่เคยโกรธพี่เรยาเลย ถึงแม้พี่เขาจะไม่ค่อยชอบแก้ว”
    “แพรวเห็นด้วย” หนูรีบสนับสนุน
    “ยังไงพี่เรยาก็ยังเป็นรุ่นพี่ของแพรวเหมือนกัน”
    “ถึงอย่างนั้นเราก็ต้องยอมรับ” จินนี่สรุปความ
    “พี่เรยานิสัยไม่ดี เราไม่ควรไว้ใจ ไม่รู้ว่าวันข้างหน้า พี่เขาจะเข้ามาหาเรื่องอะไรพวกเราอีก”
    “กินข้าวเย็นกันดีกว่า” พี่เจมส์เปลี่ยนเรื่อง
    “อามุกเตรียมข้าวต้มกับขนมไว้ก่อนออกจากบ้าน เดี๋ยวพี่ไปตักมาให้นะ”
    พี่เจมส์เดินเข้าไปในครัวสักครู่ก็กลับมาพร้อมข้าวต้มถ้วยเล็กสำหรับแก้ว ส่วนหนูกับจินนี่ได้ขนมปังแซนด์วิชกับโอวัลตินกล่อง ที่พี่ชายบ้านใกล้เรือนเคียงตั้งใจนำมาเยี่ยมคนป่วย
    พวกเรากินอาหารเย็นร่วมกันท่ามกลางสายลมโชยเอื่อยภายใต้ชายคาบ้านหลังน้อยที่อบอวลไปด้วยดวงไฟแห่งมิตรภาพ คอยส่องแสงโชติช่วงชัชวาลอย่างไม่มีวันดับสูญ
    ครูมุกกลับถึงบ้านตอนสองทุ่ม พร้อมด้วยของเล่นและกับข้าวสองสามอย่างมาเพิ่มเติม สอบถามได้ความว่า ครูมุกซื้อตุ๊กตาหมีตัวใหญ่มาเป็นรางวัลปลอบใจแก้ว และถือโอกาสเลี้ยงอาหารเพื่อฉลองชัยชนะของนักพูดสุนทรพจน์คนเก่ง การแข่งขัน Speech Contest ที่จินนี่ล้มแชมป์เก่าจากโรงเรียนเจ้าถิ่นได้ในปีนี้
    “”ยินดีจากใจจริงนะ รุ่นน้องชาวอเมริกันผู้น่ารัก”
    "หนูพูดพร้อมยิ้มกว้าง แล้วเราก็ล้อมวงกินขนมเวเฟอร์รสช็อกโกแลต บรรจุมาในกล่องรูปหัวใจที่พี่แมทธิว หนึ่งในทีม “สตาฟ” ของการประกวด Speech Contest พี่แม็ทมอบขนมกล่องนี้ให้จินนี่เป็นของขวัญนอกเหนือจากรางวัลชนะเลิศนั่นเอง
    “ถึงแก้วจะไม่ได้รางวัลชนะเลิศในการประกวดร้องเพลง แต่นั่นก็ไม่ทำให้แพรวและเพื่อนๆรักแก้วน้อยลงไปกว่าเดิมเลยนะ”
    เรื่องราวในภาคนี้จบลงในช่วงก่อนสอบเลื่อนชั้น โรงเรียนวินเซนต์ได้จัดการประกวดร้องเพลงอีกครั้ง แก้วลงชื่อสมัครเข้าร่วมอีกเช่นเคย คราวนี้เพื่อนหนูเตรียมตัวซ้อมอย่างเข้มข้นจนสามารถคว้ารางวัลชนะเลิศได้ในที่สุด พี่เรยายังคงรับส่งน้ำหวานทุกเช้าเย็น เขาพูดคุยกับหนูและน้ำตาลบ้างเป็นครั้งคราว แต่สำหรับแก้ว จนแล้วจนรอด พี่เรยาก็ยังไม่เอ่ยคำทักทายเพื่อนหนู ต่อเมื่อครูจุ๊บแจงลาออกจากโรงเรียนสายทิพย์ น้ำหวานจำต้องย้ายไปเรียนในที่ใหม่ หลังจากวันนั้น หนูและเพื่อนๆก็ไม่ได้ข่าวจากน้ำหวานกับพี่เรยาอีกเลย
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×