ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : โรงเรียนแห่งนี้ ที่ฉันประทับใจ
วันนี้วันอาทิตย์ เมรินตื่นแต่เช้า อาบน้ำ กินข้าวเสร็จก็เดินเข้าห้องส่วนตัว ทิ้งร่างลงบนเก้าอี้นุ่มหน้าโต๊ะไม้สักขนาดกว้าง ซึ่งมีสเล้ต สไตลัสและสมุดปกอ่อนวางเคียงคู่กับวิทยุแบบพกพาสำหรับฟังเพลงไปพลางๆขณะทำการบ้านหรืออ่านหนังสือ
ก่อนเลิกเรียนตอนเย็นวันศุกร์ ครูแพรวาทำสมุดปกอ่อนให้เมรินอีกเล่มหนึ่ง เอาไว้เป็นสมุดจดการบ้าน
สมุดของครูแพรวานั้นมีจำนวนหน้ากระดาษเยอะพอสมควร เย็บเข้าเล่มด้วยสันเกลียวอย่างดี ครูแพรวาบอกว่าเจ้าสัน “เกลียว” นี่แหละจะทำให้สมุดไม่ยับ ไม่ขาดง่าย เมรินสามารถเก็บผลงานของตัวเองไว้อ่านย้อนหลังได้อีกหลายปีทีเดียว
ชีวิตเรียนร่วมของเมรินผ่านไปอีกหนึ่งปีการศึกษา ตอนนี้เธอขึ้นชั้น ป. สาม แล้ว มีครูแพรวาเป็นครูที่ปรึกษา
แถมแมทธิว ฟ้าใส เบล ชาร์ลี และเจสซี่ก็ได้เรียนห้องเดียวกันเหมือนปีที่แล้ว ไม่ต้องเปลี่ยนห้องเรียนเหมือนเพื่อนกลุ่มอื่น เมรินดีใจมาก เพราะเพื่อนทั้ง 5 คนนั้นสนิทกับเธอมากที่สุด เฉพาะแมทธิวที่ยังดูแลเมรินแบบเสมอต้นเสมอปลายเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือเขาพูดคุยกับเธอมากขึ้นด้วย สำหรับการบ้านภาษาไทย นักเรียนห้อง ป. สาม ทับสี่ ต้องเขียนเรียงความเรื่อง “โรงเรียนแห่งนี้ที่ฉันประทับใจ” พร้อมทั้งวาดรูปประกอบ นั่นหมายความว่า เพื่อนๆอย่างฟ้าใส แมทธิว และเจสซี่ ต้องทำงานส่งถึงสองหน้ากระดาษ
เมรินมองไม่เห็น วาดรูปไม่ได้ ครูแพรวาจึงเปลี่ยนให้เธอเขียนเรียงความเพียงหน้าเดียว เมรินรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะรีบทำให้เสร็จ พรุ่งนี้จะได้ไปอ่านให้ครูแพรวาฟังหลังเข้าแถว
แต่ว่า เขียนอักษรเบรลล์หน้าเดียวคงไม่ได้ใจความอะไรแน่ๆ หรือพูดง่ายๆ ยังไม่ทันจะเริ่มเรื่องเสียด้วยซ้ำ เมรินจำได้ ครูตู่เคยว่าไว้เมื่อยังอยู่ที่โรงเรียนเก่า “อักษรเบรลล์หนึ่งหน้ากระดาษจะเท่ากับ ประมาณสองบรรทัดของหน้าหนังสือปกติ” เมรินไม่รู้ว่าจะต้องเขียนเท่าไหร่ให้ครบ หนึ่ง หน้ากระดาษอักษรเบรลล์ และไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี “เรียงความเรื่องโรงเรียนแห่งนี้ที่ฉันประทับใจหรือ งานยากจัง หนูคิดไม่ออกเลย ทำไงดีนะ...รู้แล้ว... ถามแม่ปลายดีกว่า...” น้าปลายผู้มีเนื้อเสียงทุ้มติดแหบเล็กน้อยเดินมาที่ห้องเมรินพอดี เธอลูบหัวหลานสาวอย่างเอ็นดูแล้วส่งเสียงถาม
“ทำการบ้านเหรอจ๊ะน้องเมย์”
“ค่ะ วันนี้ครูแพรวาให้เขียนเรียงความเรื่องโรงเรียนแห่งนี้ที่ฉันประทับใจ น้องเมย์นึกไม่ออก ไม่รู้จะเริ่มเรื่องยังไงเลยค่ะแม่ปลาย”
“โรงเรียนแห่งนี้ที่ฉันประทับใจ... อืม เขียนถึงโรงเรียนปัจจุบันของหนูก็ได้นี่จ๊ะ หนูลองนึกดูซิ ว่ามีอะไรที่น่าจดจำบ้าง เอาเหตุการณ์ที่หนูประทับใจที่สุดนั่นแหละจ้ะ”
“ค่ะ... เหตุการณ์น่าประทับใจที่สุด...”เอาอะไรดีน้า...”
วันแรกที่เมรินก้าวเข้ามาสู่อ้อมอกของรั้วฟ้าแดงฝั่งประถม มีเหตุการณ์ทั้งดีและร้ายเกิดขึ้นกับตัวเธอ เมรินเรียบเรียงเรื่องราวทั้งหมดอยู่ครู่ใหญ่แล้วเริ่มเขียน ขณะทำงานก็เปิดเพลงเบาๆไปด้วย น้าปลายนั่งอ่านหนังสือไปพลางๆ รอแปลการบ้านจากหลานสาวอีกทีหนึ่ง
“โรงเรียนแห่งนี้ที่ฉันประทับใจ โรงเรียนวินเซนต์” หากจะถามว่าทำไม ก็คงเพราะครูแพรวากับเพื่อนๆหลายคนที่ดีกับเธอจนถึงวันนี้
ภายหลังเมรินเข้าเรียนชั้น ป. สอง ราวหนึ่งสัปดาห์ ครูแพรวาได้จัดคิวเพื่อนๆให้ดูแลเมรินแบบเรียงเลขที่
เริ่มจากคนแรกของเพื่อนหญิง คือนภาวรรณหรือฟ้าใส ต่อจากฟ้าใสคือภัทรสุดา มีชื่อเล่นว่า เบล ครูแพรวาเคยบอกว่า ภัทรสุดาจัดว่าหน้าตาสวยที่สุดในชั้นเรียนนี้ เมรินนึกไม่ออกจนนิดเดียว ที่เขาว่าหน้าตาสวยที่สุดนั้นเป็นอย่างไร ภัทรสุดามีเสียงไพเราะ พูดช้าๆแต่น่าฟัง นั่นคือสิ่งที่เมรินสังเกตได้ ส่วนฟ้าใสพูดเร็วแต่ก็ใส่ใจเมรินด้วยดีไม่แพ้กัน
จบคิวของภัทรสุดาในวันที่สอง วันที่สามเป็นคิวของปรารถนา หรือน้อยหน่า ปรารถนาอยู่กลุ่มเดียวกับใบเฟิร์น กิ๊ฟ และเมย่า เพื่อนกลุ่มนี้เรียนเก่งที่สุดในชั้น พอจบคิวดูแลแล้ว กิ๊ฟกับเมย่าก็ไม่มาคุยกับเมรินเลย ยกเว้นน้อยหน่าที่มาช่วยบอกจดงานเป็นบางครั้ง
ดูแลแบบเรียงเลขที่กันอย่างนี้จนถึงคิวของเพื่อนหญิงคนสุดท้าย เซลีนา บราว อยู่กับเซลีนาหนึ่งวัน เมรินสัมผัสได้ เซลีนาใจดีและอยู่ด้วยกับเมรินตลอด ผิดกับน้องสาวของเธอซึ่งอยู่ห้องเดียวกัน นัตตี้ไม่ยอมเข้าหาเมรินเลย กลับมองว่าเมรินเป็นภาระที่เพื่อนๆต้องดูแลเสียอย่างนั้น
จบคิวของเพื่อนหญิง เดือนถัดไปก็วนมาที่นักเรียนชาย กัมพล ศรัณญู แดเนียล ชาร์ลี เจสซี่ แซม ไมค์ เจอาร์
คนที่สองไม่ยอมให้เมรินเกาะแขน หากแต่ใช้มือจับปลายไม้เท้า แล้วเดินนำเมรินไป แน่ล่ะ เมรินไม่ชอบ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ จำต้องเดินตามหลังทั้งๆที่หวุดหวิดจะล้มเต็มที เด็กชั้นอื่นผ่านมาเห็นก็ส่งเสียงหัวเราะจนเมรินอยากจะหายตัวไปให้ไกล เหตุการณ์น่าประทับใจอยู่ที่คิวของเพื่อนชายคนที่เก้า เลขที่ติดกับเจอาร์ นั่นคือ แมทธิว บาลลินเจอร์
วันแรกที่เจอกัน เมรินจำได้ในทันที แมทธิวคือเพื่อนจิตอาสาคนนั้น ภาพเหตุการณ์ตอนไปเที่ยวทะเลย้อนเข้ามาในหัวเป็นฉากๆ แมทธิวคนนี้เองที่พาเธอพูดภาษาอังกฤษ และพาลงเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน
พอมาเรียนห้องเดียวกัน เมรินได้เห็นว่า แมทธิวไม่ค่อยพูดจากับใคร เธอจำคำบอกเล่าของเจสซี่กับฟ้าใสได้ขึ้นใจ
“แม็ทก็เป็นอย่างนี้ นั่งเงียบอยู่ได้ทั้งวัน”
“วันหนึ่งๆแม็ทจะพูดแค่ประโยคสองประโยคเท่านั้นแหละ” ถ้าเพื่อนคนไหนที่ไม่สนิทด้วย แม็ทจะไม่คุยเลย”
แม็ทไม่ค่อยพูด เมรินเองก็ไม่ใช่คนช่างคุย ถ้าถึงเวลาที่แม็ทต้องดูแลเข้าจริงๆ เมรินจะทำอย่างไร
วันที่แมทธิวต้องดูแลเมริน เป็นวันศุกร์กลางเดือนพฤษภาคม ตอนนั้นเจสซี่ไปประกวดร้องเพลงที่ห้างเคพีพลาซ่า ฟ้าใสกับเบลไปประกวดอ่านกลอนภาษาไทยที่โรงเรียนฝั่งมัธยม ในกลุ่มเพื่อนที่เมรินสนิทด้วยจึงเหลือแค่แมทธิวและชาร์ลี
หลังเสร็จกิจกรรมหน้าเสาธง ทั้งสามคนนั่งเรียนข้างๆกัน พอถึงช่วงพักเที่ยง ชาร์ลีต้องไปเรียนคอมพิวเตอร์กับครูจิรวรรณ เมรินอยู่กับแมทธิวอย่างที่เธอรอคอย แม้จะกังวลอยู่ลึกๆ แต่เมื่อนึกถึงตอนที่เขาแบ่งขนมเค้กให้ในวันแรก ความกังวลที่มีอยู่ก็หายไป
ทั้งสองคนเดินออกจากห้องเรียนพร้อมกัน เมรินใช้ไม้เท้าขาวเป็นเครื่องนำทาง ส่วนแมทธิวคอยประกบอยู่ข้างๆ เขาถามเมรินตอนหนึ่งว่า
“หลายวันที่ผ่านมา เธอจะเกาะแขนคู่บั๊ดดี้นี่นา ทำไมวันนี้ถึงใช้ไม้เท้าล่ะ” เมรินค่อยๆหยุดเดินแล้วหันมาตอบว่า
“ไม้เท้าอยู่ในกระเป๋าตั้งหลายวัน ถึงเวลาต้องใช้มันแล้วล่ะ”
“ว่าแต่วันนี้จะกินอะไรดี เราไม่อยากกินข้าวในโครงการอาหารกลางวันล่ะ แกงจืดหมูสับที่จืดสนิท เบื่อจะแย่”
“ถ้าไม่ได้ห่อข้าวมาก็ต้องไปกินที่โรงอาหารล่ะ เราเอาแซนด์วิช มาเผื่อด้วย ถ้าเธอไม่อยากกินแกงจืดหมูสับจริงๆ”
“ขอบใจจ้ะ … เธอรู้ไหม เธอน่ะเงียบขรึม แต่ก็ใจดีที่หนึ่งเลย”
จากผู้ดูแลกลายมาเป็นเพื่อนกัน
เมรินมาถึงโรงเรียนในเช้าวันใหม่ เพื่อนๆที่มาถึงก่อนต่างเอาการบ้านมาแลกกันอ่าน เมรินเดินไปสมทบกับเจสซี่ ชาร์ลี แมทธิวและฟ้าใส พวกเขาอ่านการบ้านให้ฟังทีละคน ถึงคิวของเมริน เธอหยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋า มีกระดาษแผ่นหนึ่งแปะไว้หน้าแรก เขียนตัวอักษรปกติด้วยลายมือที่อ่านง่าย
“โรงเรียนแห่งนี้ที่ฉันประทับใจ” ฟ้าใสอ่านออกมาดังๆ ขณะเพื่อนอีกสามคนหันหน้ามาดูใกล้ๆ
“ไม่นึกว่าเมย์จะเขียนถึงเรื่องนั้น” แมทธิวพูด นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาไม่นานนัก
“เซอร์ไพรส์ใช่ไหมล่ะ” เมรินถามกลับ
“เซอร์ไพรส์มาก แต่ขอพูดจากใจนะ เธอเขียนออกมาดีมากเลย อ่านแล้วเห็นภาพตามล่ะ”
“เราเห็นด้วยกับแม็ท” เจสซี่บอก
“ถ้าวาดรูปประกอบด้วย งานเธอจะน่าสนใจขึ้นเยอะเลย”
“ก็เราวาดรูปไม่ได้นี่นา” เมรินว่าเสียงอ่อย
“เราวาดให้ได้นะ ถ้าเธอจะไว้ใจให้เราทำ” ชาร์ลีเสนอ หากแต่เขายังมีข้อข้องใจบางอย่าง
“ว่าแต่ แม็ทแบ่งแซนด์วิชให้เมย์จริงๆเหรอ”
“ตามนั้นแหละ” น้อยหน่าที่เพิ่งมาถึงยืนยันอีกหนึ่งเสียง ตอนนั้น น้อยหน่ากับกิ๊ฟกินข้าวอยู่ที่โต๊ะใกล้ๆ เมรินไม่อยากกินแกงจืดหมูสับ แม็ทเลยสละแซนด์วิชสองชิ้นให้ แล้วเอาถาดข้าวของเมรินไปกินเสียเอง
“แถมก่อนเข้าเรียนตอนบ่าย สองคนนี้ยังซื้อไอศกรีมแท่งให้กันอีกด้วยนะ” น้อยหน่าเล่าทิ้งท้าย
“ว้าว ดูแลกันดีแบบนี้ น่าประทับใจสุดๆ ทีนี้เรารู้แล้วว่าจะวาดรูปให้เธอยังไง... เอาเป็นรูปเด็ก 2 คน นั่งกินไอศกรีมด้วยกันหน้าตึกเรียนดีกว่า”
“ขอบใจนะชาร์ลี” เมรินว่าพร้อมกับหยิบกระดาษเปล่าในกระเป๋ายื่นส่งให้ ที่จริง เมรินไม่ได้กังวลกับรูปภาพประกอบเรื่องมากนัก แต่หากชาร์ลีจะอาสาทำให้ เมรินก็ยินดี หวังเพียงว่า เธอจะมีงานส่งครูแพรวาครบทั้งสองชิ้น ไม่อยากมีข้อยกเว้นใดๆที่จะทำให้ใครบางคนเอาไปว่าลับหลัง
และตอนนี้ คนคนนั้นมาถึงแล้ว นัทตี้เดินมายืนซ้อนหลังพร้อมกับเซลีนา ขณะที่ชาร์ลีวาดรูปให้เมรินเสร็จพอดี
“หวัดดีเพื่อนๆ ทำอะไรกันอยู่เหรอ... อุ๊ย กระดาษอะไรของใครน่ะ”
ว่าจบ นัทตี้ก็คว้ากระดาษจากมือชาร์ลีไปอ่าน
“อ๋อ นี่น่ะเหรอ เด็กตาบอดที่มาเรียนห้องเดียวกับเรา เฮอะ ไม่ได้เรื่อง ที่แท้ก็ให้เพื่อนช่วยทำ”
นัทตี้เริ่มเรื่อง มีเซลีนาส่งเสียงหัวเราะอยู่ใกล้ๆ
“เอ! แล้วกระดาษแผ่นนี้ที่เรากำลังอ่าน เธอคงไม่ได้เขียนเองหรอกใช่ไหม”
“ใช่ เราไม่ได้เขียนเอง” เมรินยอมรับตามตรง
“เราเขียนเป็นอักษรเบรลล์ในสมุดอีกเล่ม แล้วก็ให้แม่ปลายช่วยแปลน่ะ”
“เฮ่ย! เธอนี้เป็นภาระคนอื่นจริงๆเลยนะ มีอะไรบ้างที่เธอทำเองได้น่ะ อ้อ น่าจะเป็นเขียนอักษรเบรลล์สินะ... เอาเถอะ ถึงเขียนไปก็ไม่มีใครอ่านออก นอกจากคนตาบอดด้วยกันเท่านั้นแหละ”
“หยุดเถอะนัทตี้” ฟ้าใสเริ่มจะทนไม่ได้
“เธอเข้าใจคำว่าภาระดีแค่ไหนกัน... เธอก็รู้นี่ ว่าเมย์มองไม่เห็น วาดรูปไม่ได้ แต่เขาต้องการส่งงานให้ครบ ชาร์ลีก็เลยช่วยวาดรูปให้ มันก็ไม่ใช่งานหนักอะไรนี่นา”
“นั่นสิ” เด็กชายเสียงแหลมใสคล้อยตาม
“พวกเราเต็มใจช่วยเหลือเมย์ ไม่ได้คิดว่าเป็นภาระอะไรทั้งนั้น ถ้าเธอไม่อยากช่วยก็อยู่เฉยๆ อย่ามาทำให้เสียเรื่องจะดีกว่า”
“โอเค... ฉันไม่สนใจก็ได้... ไปเถอะเซลีนา ไปเล่นชิงช้าข้างล่างดีกว่าอยู่ตรงนี้ชักอารมณ์ไม่ค่อยดี...”
“ฉันเกลียดคำว่าภาระ... เกลียดที่สุดเลย...”
นัทตี้กับเซลีนาเดินเร็วๆจากไปแล้ว หากแต่คำพูดแย่ๆเหล่านั้นยังลอยวนอยู่ในหัว เมรินน้ำตาไหล เสียใจกับคำดูถูกที่ได้ยิน แมทธิวกับฟ้าใสจับมือไว้คนละข้าง รอจนเมรินหยุดร้องไห้แล้วค่อยพาไปส่งการบ้านที่โต๊ะครูแพรวาพร้อมกัน
ตลอดทั้งวัน เมรินนั่งเรียนไม่เป็นสุข คิดไปถึงเหตุการณ์เมื่อเช้าแล้วเจ็บใจทุกที ใจหนึ่งเธออยากสู้ต่อไป หากอีกใจก็อยากกลับคืนสู่โรงเรียนสายทิพย์ให้รู้แล้วรู้รอดไปเหมือนกัน ที่นั่นมีครูตู่คอยสอนอ่านหนังสือ มีครูมุกคอยสอนวิชาโอเอ็ม มีครูวิลเลียมคอยสอนภาษาอังกฤษทุกวันจันทร์
มีเพื่อนๆและน้องๆที่เป็นมิตรมากกว่า อย่างน้อย เพื่อนที่ตาบอดด้วยกันก็ไม่เคยพูดว่าเมรินเป็นตัวสร้างภาระเลยสักครั้งเดียว แต่นั่นก็เป็นได้แค่ความคิด เมรินกลับไปโรงเรียนสายทิพย์ไม่ได้อีกแล้ว เธอยังจำคำที่ครูตู่เคยพูดไว้ได้ขึ้นใจ
“การออกเรียนร่วมหมายความว่าพวกเธอเติบโตขึ้นอีกขั้น เติบโตพอที่จะปรับตัวให้เข้ากับสังคมของคนปกติได้ สิ่งที่อยากจะเตือนก็คือ ชีวิตเด็กเรียนร่วมอาจมีทั้งเรื่องดีและเรื่องร้ายปะปนกันไป”
“อาจถูกครูดุ ถูกครูตี หรือถูกเพื่อนแกล้ง แต่นั่นก็เป็นสีสันของชีวิต เพราะเพื่อนๆสายตาปกติก็ต้องเจออย่างที่ครูพูดทั้งนั้น”
“เผชิญหน้ากับปัญหานั่นคือหนทางสู่ความสำเร็จนะลูก...”
มุมมองของครูตู่ เมรินเข้าใจดี เพียงแต่เธอไม่ชอบให้ใครมาพูดจาบั่นทอนกำลังใจเท่านั้น
บ่ายวันเดียวกัน ฟ้าใสพาเมรินไปส่งยังห้องผลิตสื่อพิเศษ ระหว่างเดินเกาะแขนไปด้วยกัน เมรินบอกฟ้าใสว่าเธอไม่สบายใจเรื่องนัทตี้
“ทำไมนัทตี้ไม่ชอบเรา แถมยังว่าเราเป็นภาระอีก... พูดจริงๆนะฟ้า เราอยากเป็นเพื่อนกับนัทตี้ แต่เขาคงไม่...”
“อย่าคิดมากไปเลยเมย์” ฟ้าใสพูดพลางบีบมือเมรินเบาๆ “นัทตี้เขาก็ไม่ค่อยเป็นมิตรกับใครหรอก ต่อให้ไม่มีเธอ เขาก็หาเรื่องทะเลาะกับคนอื่นอยู่ดีนั่นแหละ”
“ส่วนเรื่องภาระอะไรนั่น เมย์ไม่ต้องกังวลนะ ยังมีเรากับชาร์ลี... มีเจสซี่มีแม็ท
แล้วก็มีเบล“ที่ยินดีช่วยเหลือเธอ และไม่คิดว่าเธอเป็นภาระด้วยนะ”
“แต่ต่อไป พวกเธอก็คงจะเบื่อ เบื่อที่ต้องมาดูแลเรา แล้วก็ทิ้งเราให้เดินอยู่คนเดียว”
“เธอดูถูกน้ำใจพวกเราเกินไปจ้ะ” ฟ้าใสเอ่ยเน้นเสียง
“พวกเราช่วยเหลือเธอด้วยใจจริง แต่พอได้ยินเธอพูดแบบนี้ พวกเราก็ไม่สบายใจ”
“เราขอนะเมย์... ห้ามพูดแบบนี้กับพวกเราอีก ฟังแล้วรู้สึกไม่ดีเลย”
“โอเคจ้ะ เราขอโทษ เราจะไม่พูดแบบนี้อีก สัญญาด้วยเกียรติของเด็กตาบอดเลยจ้ะ...”
ถึงห้องผลิตสื่อ ทั้งคู่พบทีเจยืนรออยู่แล้วที่หน้าประตู เขามากับเด็กชายผมสั้นเกรียนชื่อว่าคริส ฟ้าใสรู้จักคริส เพราะเคยเรียนอนุบาลมาด้วยกัน
“ฮัลโหล คริส” ฟ้าใสเอ่ยทักทาย
“ว่าไง ฟ้าใส มาส่งเพื่อนเหรอ”
“ใช่ เราพาเมย์มาหาครูใหม่น่ะ”
“เราขอให้ฟ้ามาส่งเองจ้ะ”
“พอดีมีการบ้านต้องกลับไปทำก็เลยจะมาหาหนังสือที่ห้องนี้ ทีเจล่ะ มาหาหนังสือด้วยไหม”
“ใช่ วันนี้ครูมาเรียพาอ่านนิทานระฆังแห่ง เวทมนตร์น่ะ เราเลยจะมาดูว่าครูใหม่ได้พิมพ์เป็นเบรลล์ไว้หรือเปล่า... ว่าแต่คริสจะกลับบ้านเลยไหม”
ทีเจหันไปถามบั๊ดดี้ของเขา
“ยังหรอก เรามีเรียนภาษาไทยกับครูพัชรินทร์ตอนห้าโมงเย็น”
“โอเค งั้นเราเข้าห้องก่อนนะ พรุ่งนี้เจอกัน”
“โอเค See you later.”
“ ไปก่อนนะเมย์” ฟ้าใสกล่าวลาเพื่อนของเธอบ้าง
“โชคดีจ้ะ...”
ในห้องผลิตสื่อ ซึ่งอยู่ที่อาคารเดียวกับห้องเรียน ป. สาม แม้จะเปิดใช้งานเพียงไม่กี่วัน ห้องนี้ก็มีหนังสือกับเครื่องปรินท์อักษรเบรลล์ และเครื่องพิมพ์เบรลล์เลอร์วางไว้พร้อมสรรพ เฉพาะหนังสือที่วางเรียงแถวบนชั้นที่ทำจากไม้เนื้อดีก็มีให้เลือกอ่านมากมายหลายประเภท ทั้งหนังสือเรียน นิทานอ่านเล่น หรือแบบฝึกเสริมทักษะวิชาต่างๆ ทั้งหมดนี้ ครูใหม่ปรินท์และเข้าเล่มเองกับมือ ถือว่าส่งเสริมการอ่านอักษรเบรลล์ให้เด็กๆไปด้วยในตัว
เมรินหยิบแบบเรียนภาษาไทยออกมาเล่มหนึ่ง ตั้งใจจะเอากลับไปอ่านที่บ้าน ลองเปิดอ่านเทียบกับหนังสือปกติของทีเจจนแน่ใจว่าตรงกับบทเรียนที่ครูแพรวาให้ฝึกอ่านทุกวัน เธอจึงเก็บใส่กระเป๋าเป้สีดำ จากนั้นก็มานั่งคุยกับเพื่อนชายที่เก้าอี้ยาวอีกมุมหนึ่ง
“เราจะมีห้องเรียนร่วมเป็นของตัวเองแล้ว” เมรินยิ้มดีใจขณะพูด
“จริงด้วย” ทีเจสำทับ
“จำได้ไหม ตอนเรามาที่นี่วันแรกยังไม่มีห้องเลย มีแต่ห้องเล็กๆข้างห้องแนะแนว ไว้พอให้เก็บอุปกรณ์ทำสื่อได้แค่นั้น”
“ครูใหม่บอกว่า ห้องนี้เมื่อก่อนเป็นห้องหมวดพละล่ะ พอมีรุ่นน้องเข้ามาเรียนร่วม ห้องพละก็ถูกย้ายไปอีกอาคารหนึ่ง ห้องนี้เลยกลายเป็นห้องผลิตสื่อให้พวกเราอย่างที่เห็นนี่แหละ”
“ดีจัง กลับไปนี้ต้องบอกแม่ปลายซะหน่อย แม่ปลายเป็นห่วงเหมือนกันว่าเราจะอยู่กันยังไงถ้าไม่มีห้องผลิตสื่อ... แต่ตอนนี้มีห้องแล้ว แม่ปลายคงดีใจมาก”
นั่งคุยกันได้สักพัก ครูใหม่ก็เดินเข้ามาพร้อมกับกล่าวทักทายเสียงใส
“ว่าไงจ๊ะเด็กๆ”
“สวัสดีครับ... สวัสดีค่ะครูใหม่” ทีเจกับเมรินพูดพร้อมกัน และทีเจเป็นฝ่ายพูดต่อ
“ผมกับเมย์มาหาหนังสือกลับไปอ่านครับ”
“ยินดีเลยจ้ะ... อยากได้หนังสือเล่มไหนบอกนะจ๊ะ ครูใหม่ยินดีพิมพ์ให้... หรือถ้ามีเวลาว่างจะมาหาครูที่ห้องนี้ก็ได้เหมือนกันจ้ะ”
“ขอบคุณนะคะ... ครูใหม่ใจดีที่สุดเลย”
“แหม เข้าใจพูดนะคะหนูเมริน”
“หนูพูดจริงๆนะคะ ครูใหม่น่ารัก ใจดี แล้วก็เสียงเพราะด้วยค่ะ...” เมรินว่าต่อไป ครูใหม่เดินมาลูบหัวเมรินอย่างเอ็นดู และนั่นทำให้เธอยิ้มออกมาได้เต็มที่ ความไม่สบายใจที่พบเจอมาทั้งวันก็พลันหายไปเป็นปลิดทิ้ง
หน้าที่หลักนอกเหนือจากผลิตหนังสือให้เด็กเรียนร่วมแล้ว ครูใหม่ยังช่วยเสริมทักษะวิชาต่างๆเพิ่มเติมจากที่เรียนในห้อง พาเด็กๆเดินไม้เท้าเพื่อทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ สภาพแวดล้อมซึ่งแตกต่างจากที่โรงเรียนสายทิพย์โดยสิ้นเชิง
เรื่องเดินไม้เท้านี่แหละ เมรินไม่ค่อยชอบเลย ยิ่งต้องเดินในที่ซึ่งมีเด็กสายตาปกติเป็นส่วนใหญ่ด้วยแล้ว เมรินก็ยิ่งไม่มั่นใจ พูดง่ายๆคือ เมรินกลัวการเดินคนเดียวโดยไม่มีผู้นำทางนั่นเอง
พอน้าปลายมารับกลับบ้าน เมรินยกมือไหว้ลาครูใหม่ก่อนหิ้วกระเป๋าเดินออกจากห้อง ขณะเดินเกาะแขนน้าปลายไปที่รถเก๋งคันสีขาว เมรินก็พูดกับตัวเองอยู่ในใจ
“เดินไม้เท้าคนเดียวน่ากลัวจะตาย สู้เดินกับผู้นำทางไม่ได้ ปลอดภัยกว่าเป็นเท่าตัว ถึงอย่างนั้น เมรินจะต้องพึ่งพาตัวเองให้ได้มากที่สุด เธอจะไม่ยอมให้ใครมาว่าเธอเป็นเด็กตาบอดที่ชอบสร้างปัญหาอีกต่อไป
ก่อนเลิกเรียนตอนเย็นวันศุกร์ ครูแพรวาทำสมุดปกอ่อนให้เมรินอีกเล่มหนึ่ง เอาไว้เป็นสมุดจดการบ้าน
สมุดของครูแพรวานั้นมีจำนวนหน้ากระดาษเยอะพอสมควร เย็บเข้าเล่มด้วยสันเกลียวอย่างดี ครูแพรวาบอกว่าเจ้าสัน “เกลียว” นี่แหละจะทำให้สมุดไม่ยับ ไม่ขาดง่าย เมรินสามารถเก็บผลงานของตัวเองไว้อ่านย้อนหลังได้อีกหลายปีทีเดียว
ชีวิตเรียนร่วมของเมรินผ่านไปอีกหนึ่งปีการศึกษา ตอนนี้เธอขึ้นชั้น ป. สาม แล้ว มีครูแพรวาเป็นครูที่ปรึกษา
แถมแมทธิว ฟ้าใส เบล ชาร์ลี และเจสซี่ก็ได้เรียนห้องเดียวกันเหมือนปีที่แล้ว ไม่ต้องเปลี่ยนห้องเรียนเหมือนเพื่อนกลุ่มอื่น เมรินดีใจมาก เพราะเพื่อนทั้ง 5 คนนั้นสนิทกับเธอมากที่สุด เฉพาะแมทธิวที่ยังดูแลเมรินแบบเสมอต้นเสมอปลายเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือเขาพูดคุยกับเธอมากขึ้นด้วย สำหรับการบ้านภาษาไทย นักเรียนห้อง ป. สาม ทับสี่ ต้องเขียนเรียงความเรื่อง “โรงเรียนแห่งนี้ที่ฉันประทับใจ” พร้อมทั้งวาดรูปประกอบ นั่นหมายความว่า เพื่อนๆอย่างฟ้าใส แมทธิว และเจสซี่ ต้องทำงานส่งถึงสองหน้ากระดาษ
เมรินมองไม่เห็น วาดรูปไม่ได้ ครูแพรวาจึงเปลี่ยนให้เธอเขียนเรียงความเพียงหน้าเดียว เมรินรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะรีบทำให้เสร็จ พรุ่งนี้จะได้ไปอ่านให้ครูแพรวาฟังหลังเข้าแถว
แต่ว่า เขียนอักษรเบรลล์หน้าเดียวคงไม่ได้ใจความอะไรแน่ๆ หรือพูดง่ายๆ ยังไม่ทันจะเริ่มเรื่องเสียด้วยซ้ำ เมรินจำได้ ครูตู่เคยว่าไว้เมื่อยังอยู่ที่โรงเรียนเก่า “อักษรเบรลล์หนึ่งหน้ากระดาษจะเท่ากับ ประมาณสองบรรทัดของหน้าหนังสือปกติ” เมรินไม่รู้ว่าจะต้องเขียนเท่าไหร่ให้ครบ หนึ่ง หน้ากระดาษอักษรเบรลล์ และไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี “เรียงความเรื่องโรงเรียนแห่งนี้ที่ฉันประทับใจหรือ งานยากจัง หนูคิดไม่ออกเลย ทำไงดีนะ...รู้แล้ว... ถามแม่ปลายดีกว่า...” น้าปลายผู้มีเนื้อเสียงทุ้มติดแหบเล็กน้อยเดินมาที่ห้องเมรินพอดี เธอลูบหัวหลานสาวอย่างเอ็นดูแล้วส่งเสียงถาม
“ทำการบ้านเหรอจ๊ะน้องเมย์”
“ค่ะ วันนี้ครูแพรวาให้เขียนเรียงความเรื่องโรงเรียนแห่งนี้ที่ฉันประทับใจ น้องเมย์นึกไม่ออก ไม่รู้จะเริ่มเรื่องยังไงเลยค่ะแม่ปลาย”
“โรงเรียนแห่งนี้ที่ฉันประทับใจ... อืม เขียนถึงโรงเรียนปัจจุบันของหนูก็ได้นี่จ๊ะ หนูลองนึกดูซิ ว่ามีอะไรที่น่าจดจำบ้าง เอาเหตุการณ์ที่หนูประทับใจที่สุดนั่นแหละจ้ะ”
“ค่ะ... เหตุการณ์น่าประทับใจที่สุด...”เอาอะไรดีน้า...”
วันแรกที่เมรินก้าวเข้ามาสู่อ้อมอกของรั้วฟ้าแดงฝั่งประถม มีเหตุการณ์ทั้งดีและร้ายเกิดขึ้นกับตัวเธอ เมรินเรียบเรียงเรื่องราวทั้งหมดอยู่ครู่ใหญ่แล้วเริ่มเขียน ขณะทำงานก็เปิดเพลงเบาๆไปด้วย น้าปลายนั่งอ่านหนังสือไปพลางๆ รอแปลการบ้านจากหลานสาวอีกทีหนึ่ง
“โรงเรียนแห่งนี้ที่ฉันประทับใจ โรงเรียนวินเซนต์” หากจะถามว่าทำไม ก็คงเพราะครูแพรวากับเพื่อนๆหลายคนที่ดีกับเธอจนถึงวันนี้
ภายหลังเมรินเข้าเรียนชั้น ป. สอง ราวหนึ่งสัปดาห์ ครูแพรวาได้จัดคิวเพื่อนๆให้ดูแลเมรินแบบเรียงเลขที่
เริ่มจากคนแรกของเพื่อนหญิง คือนภาวรรณหรือฟ้าใส ต่อจากฟ้าใสคือภัทรสุดา มีชื่อเล่นว่า เบล ครูแพรวาเคยบอกว่า ภัทรสุดาจัดว่าหน้าตาสวยที่สุดในชั้นเรียนนี้ เมรินนึกไม่ออกจนนิดเดียว ที่เขาว่าหน้าตาสวยที่สุดนั้นเป็นอย่างไร ภัทรสุดามีเสียงไพเราะ พูดช้าๆแต่น่าฟัง นั่นคือสิ่งที่เมรินสังเกตได้ ส่วนฟ้าใสพูดเร็วแต่ก็ใส่ใจเมรินด้วยดีไม่แพ้กัน
จบคิวของภัทรสุดาในวันที่สอง วันที่สามเป็นคิวของปรารถนา หรือน้อยหน่า ปรารถนาอยู่กลุ่มเดียวกับใบเฟิร์น กิ๊ฟ และเมย่า เพื่อนกลุ่มนี้เรียนเก่งที่สุดในชั้น พอจบคิวดูแลแล้ว กิ๊ฟกับเมย่าก็ไม่มาคุยกับเมรินเลย ยกเว้นน้อยหน่าที่มาช่วยบอกจดงานเป็นบางครั้ง
ดูแลแบบเรียงเลขที่กันอย่างนี้จนถึงคิวของเพื่อนหญิงคนสุดท้าย เซลีนา บราว อยู่กับเซลีนาหนึ่งวัน เมรินสัมผัสได้ เซลีนาใจดีและอยู่ด้วยกับเมรินตลอด ผิดกับน้องสาวของเธอซึ่งอยู่ห้องเดียวกัน นัตตี้ไม่ยอมเข้าหาเมรินเลย กลับมองว่าเมรินเป็นภาระที่เพื่อนๆต้องดูแลเสียอย่างนั้น
จบคิวของเพื่อนหญิง เดือนถัดไปก็วนมาที่นักเรียนชาย กัมพล ศรัณญู แดเนียล ชาร์ลี เจสซี่ แซม ไมค์ เจอาร์
คนที่สองไม่ยอมให้เมรินเกาะแขน หากแต่ใช้มือจับปลายไม้เท้า แล้วเดินนำเมรินไป แน่ล่ะ เมรินไม่ชอบ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ จำต้องเดินตามหลังทั้งๆที่หวุดหวิดจะล้มเต็มที เด็กชั้นอื่นผ่านมาเห็นก็ส่งเสียงหัวเราะจนเมรินอยากจะหายตัวไปให้ไกล เหตุการณ์น่าประทับใจอยู่ที่คิวของเพื่อนชายคนที่เก้า เลขที่ติดกับเจอาร์ นั่นคือ แมทธิว บาลลินเจอร์
วันแรกที่เจอกัน เมรินจำได้ในทันที แมทธิวคือเพื่อนจิตอาสาคนนั้น ภาพเหตุการณ์ตอนไปเที่ยวทะเลย้อนเข้ามาในหัวเป็นฉากๆ แมทธิวคนนี้เองที่พาเธอพูดภาษาอังกฤษ และพาลงเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน
พอมาเรียนห้องเดียวกัน เมรินได้เห็นว่า แมทธิวไม่ค่อยพูดจากับใคร เธอจำคำบอกเล่าของเจสซี่กับฟ้าใสได้ขึ้นใจ
“แม็ทก็เป็นอย่างนี้ นั่งเงียบอยู่ได้ทั้งวัน”
“วันหนึ่งๆแม็ทจะพูดแค่ประโยคสองประโยคเท่านั้นแหละ” ถ้าเพื่อนคนไหนที่ไม่สนิทด้วย แม็ทจะไม่คุยเลย”
แม็ทไม่ค่อยพูด เมรินเองก็ไม่ใช่คนช่างคุย ถ้าถึงเวลาที่แม็ทต้องดูแลเข้าจริงๆ เมรินจะทำอย่างไร
วันที่แมทธิวต้องดูแลเมริน เป็นวันศุกร์กลางเดือนพฤษภาคม ตอนนั้นเจสซี่ไปประกวดร้องเพลงที่ห้างเคพีพลาซ่า ฟ้าใสกับเบลไปประกวดอ่านกลอนภาษาไทยที่โรงเรียนฝั่งมัธยม ในกลุ่มเพื่อนที่เมรินสนิทด้วยจึงเหลือแค่แมทธิวและชาร์ลี
หลังเสร็จกิจกรรมหน้าเสาธง ทั้งสามคนนั่งเรียนข้างๆกัน พอถึงช่วงพักเที่ยง ชาร์ลีต้องไปเรียนคอมพิวเตอร์กับครูจิรวรรณ เมรินอยู่กับแมทธิวอย่างที่เธอรอคอย แม้จะกังวลอยู่ลึกๆ แต่เมื่อนึกถึงตอนที่เขาแบ่งขนมเค้กให้ในวันแรก ความกังวลที่มีอยู่ก็หายไป
ทั้งสองคนเดินออกจากห้องเรียนพร้อมกัน เมรินใช้ไม้เท้าขาวเป็นเครื่องนำทาง ส่วนแมทธิวคอยประกบอยู่ข้างๆ เขาถามเมรินตอนหนึ่งว่า
“หลายวันที่ผ่านมา เธอจะเกาะแขนคู่บั๊ดดี้นี่นา ทำไมวันนี้ถึงใช้ไม้เท้าล่ะ” เมรินค่อยๆหยุดเดินแล้วหันมาตอบว่า
“ไม้เท้าอยู่ในกระเป๋าตั้งหลายวัน ถึงเวลาต้องใช้มันแล้วล่ะ”
“ว่าแต่วันนี้จะกินอะไรดี เราไม่อยากกินข้าวในโครงการอาหารกลางวันล่ะ แกงจืดหมูสับที่จืดสนิท เบื่อจะแย่”
“ถ้าไม่ได้ห่อข้าวมาก็ต้องไปกินที่โรงอาหารล่ะ เราเอาแซนด์วิช มาเผื่อด้วย ถ้าเธอไม่อยากกินแกงจืดหมูสับจริงๆ”
“ขอบใจจ้ะ … เธอรู้ไหม เธอน่ะเงียบขรึม แต่ก็ใจดีที่หนึ่งเลย”
จากผู้ดูแลกลายมาเป็นเพื่อนกัน
เมรินมาถึงโรงเรียนในเช้าวันใหม่ เพื่อนๆที่มาถึงก่อนต่างเอาการบ้านมาแลกกันอ่าน เมรินเดินไปสมทบกับเจสซี่ ชาร์ลี แมทธิวและฟ้าใส พวกเขาอ่านการบ้านให้ฟังทีละคน ถึงคิวของเมริน เธอหยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋า มีกระดาษแผ่นหนึ่งแปะไว้หน้าแรก เขียนตัวอักษรปกติด้วยลายมือที่อ่านง่าย
“โรงเรียนแห่งนี้ที่ฉันประทับใจ” ฟ้าใสอ่านออกมาดังๆ ขณะเพื่อนอีกสามคนหันหน้ามาดูใกล้ๆ
“ไม่นึกว่าเมย์จะเขียนถึงเรื่องนั้น” แมทธิวพูด นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาไม่นานนัก
“เซอร์ไพรส์ใช่ไหมล่ะ” เมรินถามกลับ
“เซอร์ไพรส์มาก แต่ขอพูดจากใจนะ เธอเขียนออกมาดีมากเลย อ่านแล้วเห็นภาพตามล่ะ”
“เราเห็นด้วยกับแม็ท” เจสซี่บอก
“ถ้าวาดรูปประกอบด้วย งานเธอจะน่าสนใจขึ้นเยอะเลย”
“ก็เราวาดรูปไม่ได้นี่นา” เมรินว่าเสียงอ่อย
“เราวาดให้ได้นะ ถ้าเธอจะไว้ใจให้เราทำ” ชาร์ลีเสนอ หากแต่เขายังมีข้อข้องใจบางอย่าง
“ว่าแต่ แม็ทแบ่งแซนด์วิชให้เมย์จริงๆเหรอ”
“ตามนั้นแหละ” น้อยหน่าที่เพิ่งมาถึงยืนยันอีกหนึ่งเสียง ตอนนั้น น้อยหน่ากับกิ๊ฟกินข้าวอยู่ที่โต๊ะใกล้ๆ เมรินไม่อยากกินแกงจืดหมูสับ แม็ทเลยสละแซนด์วิชสองชิ้นให้ แล้วเอาถาดข้าวของเมรินไปกินเสียเอง
“แถมก่อนเข้าเรียนตอนบ่าย สองคนนี้ยังซื้อไอศกรีมแท่งให้กันอีกด้วยนะ” น้อยหน่าเล่าทิ้งท้าย
“ว้าว ดูแลกันดีแบบนี้ น่าประทับใจสุดๆ ทีนี้เรารู้แล้วว่าจะวาดรูปให้เธอยังไง... เอาเป็นรูปเด็ก 2 คน นั่งกินไอศกรีมด้วยกันหน้าตึกเรียนดีกว่า”
“ขอบใจนะชาร์ลี” เมรินว่าพร้อมกับหยิบกระดาษเปล่าในกระเป๋ายื่นส่งให้ ที่จริง เมรินไม่ได้กังวลกับรูปภาพประกอบเรื่องมากนัก แต่หากชาร์ลีจะอาสาทำให้ เมรินก็ยินดี หวังเพียงว่า เธอจะมีงานส่งครูแพรวาครบทั้งสองชิ้น ไม่อยากมีข้อยกเว้นใดๆที่จะทำให้ใครบางคนเอาไปว่าลับหลัง
และตอนนี้ คนคนนั้นมาถึงแล้ว นัทตี้เดินมายืนซ้อนหลังพร้อมกับเซลีนา ขณะที่ชาร์ลีวาดรูปให้เมรินเสร็จพอดี
“หวัดดีเพื่อนๆ ทำอะไรกันอยู่เหรอ... อุ๊ย กระดาษอะไรของใครน่ะ”
ว่าจบ นัทตี้ก็คว้ากระดาษจากมือชาร์ลีไปอ่าน
“อ๋อ นี่น่ะเหรอ เด็กตาบอดที่มาเรียนห้องเดียวกับเรา เฮอะ ไม่ได้เรื่อง ที่แท้ก็ให้เพื่อนช่วยทำ”
นัทตี้เริ่มเรื่อง มีเซลีนาส่งเสียงหัวเราะอยู่ใกล้ๆ
“เอ! แล้วกระดาษแผ่นนี้ที่เรากำลังอ่าน เธอคงไม่ได้เขียนเองหรอกใช่ไหม”
“ใช่ เราไม่ได้เขียนเอง” เมรินยอมรับตามตรง
“เราเขียนเป็นอักษรเบรลล์ในสมุดอีกเล่ม แล้วก็ให้แม่ปลายช่วยแปลน่ะ”
“เฮ่ย! เธอนี้เป็นภาระคนอื่นจริงๆเลยนะ มีอะไรบ้างที่เธอทำเองได้น่ะ อ้อ น่าจะเป็นเขียนอักษรเบรลล์สินะ... เอาเถอะ ถึงเขียนไปก็ไม่มีใครอ่านออก นอกจากคนตาบอดด้วยกันเท่านั้นแหละ”
“หยุดเถอะนัทตี้” ฟ้าใสเริ่มจะทนไม่ได้
“เธอเข้าใจคำว่าภาระดีแค่ไหนกัน... เธอก็รู้นี่ ว่าเมย์มองไม่เห็น วาดรูปไม่ได้ แต่เขาต้องการส่งงานให้ครบ ชาร์ลีก็เลยช่วยวาดรูปให้ มันก็ไม่ใช่งานหนักอะไรนี่นา”
“นั่นสิ” เด็กชายเสียงแหลมใสคล้อยตาม
“พวกเราเต็มใจช่วยเหลือเมย์ ไม่ได้คิดว่าเป็นภาระอะไรทั้งนั้น ถ้าเธอไม่อยากช่วยก็อยู่เฉยๆ อย่ามาทำให้เสียเรื่องจะดีกว่า”
“โอเค... ฉันไม่สนใจก็ได้... ไปเถอะเซลีนา ไปเล่นชิงช้าข้างล่างดีกว่าอยู่ตรงนี้ชักอารมณ์ไม่ค่อยดี...”
“ฉันเกลียดคำว่าภาระ... เกลียดที่สุดเลย...”
นัทตี้กับเซลีนาเดินเร็วๆจากไปแล้ว หากแต่คำพูดแย่ๆเหล่านั้นยังลอยวนอยู่ในหัว เมรินน้ำตาไหล เสียใจกับคำดูถูกที่ได้ยิน แมทธิวกับฟ้าใสจับมือไว้คนละข้าง รอจนเมรินหยุดร้องไห้แล้วค่อยพาไปส่งการบ้านที่โต๊ะครูแพรวาพร้อมกัน
ตลอดทั้งวัน เมรินนั่งเรียนไม่เป็นสุข คิดไปถึงเหตุการณ์เมื่อเช้าแล้วเจ็บใจทุกที ใจหนึ่งเธออยากสู้ต่อไป หากอีกใจก็อยากกลับคืนสู่โรงเรียนสายทิพย์ให้รู้แล้วรู้รอดไปเหมือนกัน ที่นั่นมีครูตู่คอยสอนอ่านหนังสือ มีครูมุกคอยสอนวิชาโอเอ็ม มีครูวิลเลียมคอยสอนภาษาอังกฤษทุกวันจันทร์
มีเพื่อนๆและน้องๆที่เป็นมิตรมากกว่า อย่างน้อย เพื่อนที่ตาบอดด้วยกันก็ไม่เคยพูดว่าเมรินเป็นตัวสร้างภาระเลยสักครั้งเดียว แต่นั่นก็เป็นได้แค่ความคิด เมรินกลับไปโรงเรียนสายทิพย์ไม่ได้อีกแล้ว เธอยังจำคำที่ครูตู่เคยพูดไว้ได้ขึ้นใจ
“การออกเรียนร่วมหมายความว่าพวกเธอเติบโตขึ้นอีกขั้น เติบโตพอที่จะปรับตัวให้เข้ากับสังคมของคนปกติได้ สิ่งที่อยากจะเตือนก็คือ ชีวิตเด็กเรียนร่วมอาจมีทั้งเรื่องดีและเรื่องร้ายปะปนกันไป”
“อาจถูกครูดุ ถูกครูตี หรือถูกเพื่อนแกล้ง แต่นั่นก็เป็นสีสันของชีวิต เพราะเพื่อนๆสายตาปกติก็ต้องเจออย่างที่ครูพูดทั้งนั้น”
“เผชิญหน้ากับปัญหานั่นคือหนทางสู่ความสำเร็จนะลูก...”
มุมมองของครูตู่ เมรินเข้าใจดี เพียงแต่เธอไม่ชอบให้ใครมาพูดจาบั่นทอนกำลังใจเท่านั้น
บ่ายวันเดียวกัน ฟ้าใสพาเมรินไปส่งยังห้องผลิตสื่อพิเศษ ระหว่างเดินเกาะแขนไปด้วยกัน เมรินบอกฟ้าใสว่าเธอไม่สบายใจเรื่องนัทตี้
“ทำไมนัทตี้ไม่ชอบเรา แถมยังว่าเราเป็นภาระอีก... พูดจริงๆนะฟ้า เราอยากเป็นเพื่อนกับนัทตี้ แต่เขาคงไม่...”
“อย่าคิดมากไปเลยเมย์” ฟ้าใสพูดพลางบีบมือเมรินเบาๆ “นัทตี้เขาก็ไม่ค่อยเป็นมิตรกับใครหรอก ต่อให้ไม่มีเธอ เขาก็หาเรื่องทะเลาะกับคนอื่นอยู่ดีนั่นแหละ”
“ส่วนเรื่องภาระอะไรนั่น เมย์ไม่ต้องกังวลนะ ยังมีเรากับชาร์ลี... มีเจสซี่มีแม็ท
แล้วก็มีเบล“ที่ยินดีช่วยเหลือเธอ และไม่คิดว่าเธอเป็นภาระด้วยนะ”
“แต่ต่อไป พวกเธอก็คงจะเบื่อ เบื่อที่ต้องมาดูแลเรา แล้วก็ทิ้งเราให้เดินอยู่คนเดียว”
“เธอดูถูกน้ำใจพวกเราเกินไปจ้ะ” ฟ้าใสเอ่ยเน้นเสียง
“พวกเราช่วยเหลือเธอด้วยใจจริง แต่พอได้ยินเธอพูดแบบนี้ พวกเราก็ไม่สบายใจ”
“เราขอนะเมย์... ห้ามพูดแบบนี้กับพวกเราอีก ฟังแล้วรู้สึกไม่ดีเลย”
“โอเคจ้ะ เราขอโทษ เราจะไม่พูดแบบนี้อีก สัญญาด้วยเกียรติของเด็กตาบอดเลยจ้ะ...”
ถึงห้องผลิตสื่อ ทั้งคู่พบทีเจยืนรออยู่แล้วที่หน้าประตู เขามากับเด็กชายผมสั้นเกรียนชื่อว่าคริส ฟ้าใสรู้จักคริส เพราะเคยเรียนอนุบาลมาด้วยกัน
“ฮัลโหล คริส” ฟ้าใสเอ่ยทักทาย
“ว่าไง ฟ้าใส มาส่งเพื่อนเหรอ”
“ใช่ เราพาเมย์มาหาครูใหม่น่ะ”
“เราขอให้ฟ้ามาส่งเองจ้ะ”
“พอดีมีการบ้านต้องกลับไปทำก็เลยจะมาหาหนังสือที่ห้องนี้ ทีเจล่ะ มาหาหนังสือด้วยไหม”
“ใช่ วันนี้ครูมาเรียพาอ่านนิทานระฆังแห่ง เวทมนตร์น่ะ เราเลยจะมาดูว่าครูใหม่ได้พิมพ์เป็นเบรลล์ไว้หรือเปล่า... ว่าแต่คริสจะกลับบ้านเลยไหม”
ทีเจหันไปถามบั๊ดดี้ของเขา
“ยังหรอก เรามีเรียนภาษาไทยกับครูพัชรินทร์ตอนห้าโมงเย็น”
“โอเค งั้นเราเข้าห้องก่อนนะ พรุ่งนี้เจอกัน”
“โอเค See you later.”
“ ไปก่อนนะเมย์” ฟ้าใสกล่าวลาเพื่อนของเธอบ้าง
“โชคดีจ้ะ...”
ในห้องผลิตสื่อ ซึ่งอยู่ที่อาคารเดียวกับห้องเรียน ป. สาม แม้จะเปิดใช้งานเพียงไม่กี่วัน ห้องนี้ก็มีหนังสือกับเครื่องปรินท์อักษรเบรลล์ และเครื่องพิมพ์เบรลล์เลอร์วางไว้พร้อมสรรพ เฉพาะหนังสือที่วางเรียงแถวบนชั้นที่ทำจากไม้เนื้อดีก็มีให้เลือกอ่านมากมายหลายประเภท ทั้งหนังสือเรียน นิทานอ่านเล่น หรือแบบฝึกเสริมทักษะวิชาต่างๆ ทั้งหมดนี้ ครูใหม่ปรินท์และเข้าเล่มเองกับมือ ถือว่าส่งเสริมการอ่านอักษรเบรลล์ให้เด็กๆไปด้วยในตัว
เมรินหยิบแบบเรียนภาษาไทยออกมาเล่มหนึ่ง ตั้งใจจะเอากลับไปอ่านที่บ้าน ลองเปิดอ่านเทียบกับหนังสือปกติของทีเจจนแน่ใจว่าตรงกับบทเรียนที่ครูแพรวาให้ฝึกอ่านทุกวัน เธอจึงเก็บใส่กระเป๋าเป้สีดำ จากนั้นก็มานั่งคุยกับเพื่อนชายที่เก้าอี้ยาวอีกมุมหนึ่ง
“เราจะมีห้องเรียนร่วมเป็นของตัวเองแล้ว” เมรินยิ้มดีใจขณะพูด
“จริงด้วย” ทีเจสำทับ
“จำได้ไหม ตอนเรามาที่นี่วันแรกยังไม่มีห้องเลย มีแต่ห้องเล็กๆข้างห้องแนะแนว ไว้พอให้เก็บอุปกรณ์ทำสื่อได้แค่นั้น”
“ครูใหม่บอกว่า ห้องนี้เมื่อก่อนเป็นห้องหมวดพละล่ะ พอมีรุ่นน้องเข้ามาเรียนร่วม ห้องพละก็ถูกย้ายไปอีกอาคารหนึ่ง ห้องนี้เลยกลายเป็นห้องผลิตสื่อให้พวกเราอย่างที่เห็นนี่แหละ”
“ดีจัง กลับไปนี้ต้องบอกแม่ปลายซะหน่อย แม่ปลายเป็นห่วงเหมือนกันว่าเราจะอยู่กันยังไงถ้าไม่มีห้องผลิตสื่อ... แต่ตอนนี้มีห้องแล้ว แม่ปลายคงดีใจมาก”
นั่งคุยกันได้สักพัก ครูใหม่ก็เดินเข้ามาพร้อมกับกล่าวทักทายเสียงใส
“ว่าไงจ๊ะเด็กๆ”
“สวัสดีครับ... สวัสดีค่ะครูใหม่” ทีเจกับเมรินพูดพร้อมกัน และทีเจเป็นฝ่ายพูดต่อ
“ผมกับเมย์มาหาหนังสือกลับไปอ่านครับ”
“ยินดีเลยจ้ะ... อยากได้หนังสือเล่มไหนบอกนะจ๊ะ ครูใหม่ยินดีพิมพ์ให้... หรือถ้ามีเวลาว่างจะมาหาครูที่ห้องนี้ก็ได้เหมือนกันจ้ะ”
“ขอบคุณนะคะ... ครูใหม่ใจดีที่สุดเลย”
“แหม เข้าใจพูดนะคะหนูเมริน”
“หนูพูดจริงๆนะคะ ครูใหม่น่ารัก ใจดี แล้วก็เสียงเพราะด้วยค่ะ...” เมรินว่าต่อไป ครูใหม่เดินมาลูบหัวเมรินอย่างเอ็นดู และนั่นทำให้เธอยิ้มออกมาได้เต็มที่ ความไม่สบายใจที่พบเจอมาทั้งวันก็พลันหายไปเป็นปลิดทิ้ง
หน้าที่หลักนอกเหนือจากผลิตหนังสือให้เด็กเรียนร่วมแล้ว ครูใหม่ยังช่วยเสริมทักษะวิชาต่างๆเพิ่มเติมจากที่เรียนในห้อง พาเด็กๆเดินไม้เท้าเพื่อทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ สภาพแวดล้อมซึ่งแตกต่างจากที่โรงเรียนสายทิพย์โดยสิ้นเชิง
เรื่องเดินไม้เท้านี่แหละ เมรินไม่ค่อยชอบเลย ยิ่งต้องเดินในที่ซึ่งมีเด็กสายตาปกติเป็นส่วนใหญ่ด้วยแล้ว เมรินก็ยิ่งไม่มั่นใจ พูดง่ายๆคือ เมรินกลัวการเดินคนเดียวโดยไม่มีผู้นำทางนั่นเอง
พอน้าปลายมารับกลับบ้าน เมรินยกมือไหว้ลาครูใหม่ก่อนหิ้วกระเป๋าเดินออกจากห้อง ขณะเดินเกาะแขนน้าปลายไปที่รถเก๋งคันสีขาว เมรินก็พูดกับตัวเองอยู่ในใจ
“เดินไม้เท้าคนเดียวน่ากลัวจะตาย สู้เดินกับผู้นำทางไม่ได้ ปลอดภัยกว่าเป็นเท่าตัว ถึงอย่างนั้น เมรินจะต้องพึ่งพาตัวเองให้ได้มากที่สุด เธอจะไม่ยอมให้ใครมาว่าเธอเป็นเด็กตาบอดที่ชอบสร้างปัญหาอีกต่อไป
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น