ลำดับตอนที่ #5
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บ้านแสนสุข
เมรินมองไม่เห็นอะไรเลย แม้แต่แสงและสีสันต่างๆ ทางการแพทย์ระบุว่า การมองเห็นของเมรินอยู่ระดับตาบอดสนิท แต่เมรินก็ยังดีใจ เพราะถึงแม้จะไม่มีโอกาสมองเห็นความงามของสิ่งต่างๆ หากแต่เธอก็มีเพื่อนที่ดี มีครอบครัวแสนอบอุ่นที่คอยเป็นดวงตา อธิบายทุกอย่างรอบตัวให้ฟังเสมอเมื่อมีโอกาส
น้าปลายขับรถผ่านถนนเลี่ยงเมือง อันเป็นป้ายบอกทางสู่บ้านสวนในตำบลมะค่า เมรินจำเส้นทางขรุขระเส้นนี้ได้ เป็นจุดสังเกตให้รู้ว่า ใกล้จะถึงหมู่บ้านในชนบทที่คุ้นเคยแล้ว
“เราจะไปหาคุณยายกัน” เสียงน้าปลายบอกตอนที่เดินออกมาจากห้องดนตรีที่อาคารสอง เมรินยิ้มพอใจ หากเอ่ยถึงตำบลมะค่า ภาพจำที่ลอยขึ้นมาในหัวคือหมู่บ้านแสนสุขซึ่งมีบ้านครึ่งไม้ครึ่งปูนปลูกติดกันนับร้อยหลังคาเรือน ชาวบ้านแถบละแวกนี้ล้วนเป็นคนที่เมรินคุ้นเคย เฉพาะบ้านของตาปอกับยายป่านซึ่งเป็นบ้านสองชั้น มีลานดินกว้างใหญ่กว่าลานคอนกรีตที่บ้านจัดสรรของน้าคม เมรินนึกย้อนไปถึงช่วงก่อนเข้าเรียนเตรียมความพร้อม
อีนางน่อย ลงไปข้างล่างกับยายเถอะ” ยายป่านส่งเสียงปลุกทุกเช้าพร้อมกับอุ้มหลานสาวไปที่ลานซีเมนต์ใต้ถุนบ้าน ล้างหน้าด้วยน้ำเย็นจากโอ่งดินเผา แล้วก็พาไปรอใส่บาตรพระที่ลานดินหน้าบ้าน จุดนี้ที่เมรินเคยวิ่งเล่น ขี่จักรยาน หรือแม้แต่ก่อกองทรายกับเพื่อนบ้านวัยเดียวกัน เป็นภาพจำที่ไม่เคยเลือนไปจากใจ
ตอนนี้แม้มีบางสิ่งเปลี่ยนแปลงไป หากบรรยากาศแห่งความสุขยังคงอยู่ ลุง ป้า น้า อา จะพาลูกหลานว่านเครือมารวมตัวที่บ้านหลังนี้ ทำอาหารมื้อใหญ่รับประทาน และบอกเล่าเรื่องราวที่แต่ละคนได้พานพบสู่กันฟัง น้าหมวยกับน้าสมพงษ์รู้เรื่องที่เมรินเข้าเรียนประถมสองร่วมกับเด็กปกติจากน้าปลายเมื่อวันรวมญาติครั้งล่าสุด นั่นคือประมาณสองสัปดาห์ก่อนหน้านี้ เมรินก็ได้รู้เรื่องที่ลูกสาวของลุงอเนกเลิกเรียนพยาบาลจากมหาวิทยาลัยในจังหวัดชลบุรี กลับมาเข้าเรียนภาษาอังกฤษที่มหาวิทยาลัยเอกชนในโคราช
เมรินเคยได้ยินพี่ยุ้ยบ่นกับลุงอเนกว่า “ยุ้ยไม่อยากเรียนพยาบาลแล้ว ยุ้ยกลัวเลือด” ลุงอเนกกับป้าพิณพลอยแม้ไม่เห็นด้วย แต่ก็ต้องยอมตามใจให้พี่ยุ้ยกลับมาสอบเข้าเรียนคณะใหม่ที่ต้องการ
เดี๋ยวนี้ พี่ยุ้ยมีความสุข บอกกับทุกคนที่มาหายายป่านวันนี้ว่า “เรียนมนุษย์อิ๊งนี่แหละ ดีต่อจัยสุดๆ ได้กลับบ้านมาเจอน้องๆพี่ๆป้าๆอาๆ แบบนี้ ยุ้ยชอบค่ะ” พี่ยุ้ยเป็นคนช่างพูด ช่างอธิบาย ทุกครั้งที่มารวมญาติ ได้ยินเสียงพี่ยุ้ยเท่านั้น เมรินจะรีบวิ่งเข้าหา
“ว่าไงสาวน้อย ห่างหายกันไปไม่เท่าไหร่ ตัวโตขึ้นเยอะนะเรา” ว่าพลางอุ้มน้องเมย์มานั่งตัก เมรินกอดเอวพี่ยุ้ยแน่น กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆแทรกผ่านปลายจมูก เมรินชอบกลิ่นหวานๆจากตัวพี่ยุ้ย ได้กลิ่นทีไรก็นึกถึงขนมเค้กชิ้นสี่เหลี่ยมที่แม็ทเคยแบ่งให้กินทุกครั้งไป
“พี่ยุ้ยทาน้ำหอมเหรอคะ เอ่ยถามขณะคลายมือออกจากการเกาะกุม พี่ยุ้ยเปลี่ยนมาลูบเส้นผมยาวสลวยของเมริน
“ชอบน้ำหอมพี่เหรอ”
“ชอบค่ะ กลิ่นเหมือนเค้กวานิลลาที่เพื่อนคนหนึ่งเคยให้น้องเมย์กิน”
ตอบด้วยน้ำเสียงสดใส ขณะที่เพื่อนพี่ยุ้ยอีกคนส่งเสียงหัวเราะในลำคอ
“อ๋อ มิน่าล่ะ ว่าแต่เพื่อนคนไหนนะ ที่แบ่งขนมเค้กให้น้องเมย์กิน”
”คนนี้ค่ะ“ เมรินพูดยิ้มๆ ขณะเปิดกล่องเหล็กสองชั้น มีรูปของเพื่อนๆอยู่ในนั้น ครูแพรวาให้นักเรียนแต่ละคนนำรูปถ่ายมาทำบัตรประจำตัว เพื่อนๆนำรูปถ่ายมาคนละ 12 ใบ ใช้ติดบัตรประจำตัวเพียง 2 ถึง 3 ใบ ที่เหลือเก็บไว้เองบ้าง หรือไม่ก็แลกกับเพื่อนไว้ดูเล่นพอชื่นใจ เจสซี่กับแมทธิวแลกรูปกับเมรินคนละใบ เมรินเขียนชื่อกำกับไว้ด้วยตัวอักษร M และ J พี่ยุ้ยเห็นรูปแล้วร้องอ๋อทันที
“น้องแม็ท” เมรินสงสัย “พี่ยุ้ยรู้จักแมทธิวด้วยเหรอคะ”
“ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวหรอกจ้ะ พี่กับพี่โบเคยไปช่วยครูแซมสอนภาษาอังกฤษที่เคพีพลาซ่าก็เลยเจอกับน้องแม็ทจ้ะ”
พี่ยุ้ยเล่าเสริมว่า แมทธิวสอน Conversation ได้ดีทีเดียว สำเนียงการพูดเหมือนเจ้าของภาษาไม่มีผิดเพี้ยน
“นั่นสิคะ ก็เพื่อนหนูเคยอยู่อเมริกามาก่อนนี่นา” เมรินเล่าเสียงใส
“วันนี้ครูแพรวาเลือกแม็ทกับเจสซี่ แล้วก็ฟ้าใสเป็นบั๊ดดี้ของน้องเมย์ด้วยนะคะ”
“ดีแล้วจ้ะ น้องเมย์มีเพื่อนดีพี่ยุ้ยก็ดีใจด้วยนะ”
“เอาล่ะ วันนี้พี่ยุ้ยได้รู้จักเพื่อนน้องเมย์แบบไม่เจอตัว พี่ยุ้ยก็จะให้น้องเมย์ได้รู้จักเพื่อนพี่ยุ้ย... นี่ คนนี้ชื่อพี่โบจ้ะ”
“ดีจ้า” พี่คนชื่อโบเอ่ยทักเสียงหวานพลางจับมือป้อมๆของเมรินแล้วถามต่อ
“เรียนอยู่ชั้นไหนแล้วจ๊ะ”
“ป. สอง ค่ะ เรียนร่วมกับเด็กตาดีปกติเลย”
“เก่งจังเลย” พี่โบกล่าวชมอย่างจริงใจ ชวนญาติผู้น้องของเพื่อนคุยต่อสักพัก ก่อนจะพาเมรินออกไปที่หน้าบ้าน
ญาติผู้ใหญ่ทยอยกันมาเกือบทุกครอบครัว เด็กวัยไล่เลี่ยกับเมรินสองสามคนวิ่งเล่นที่ลานกว้าง พี่มินตรากับพี่เมษานั่งอยู่ที่ชิงช้า มีหนังสือการ์ตูนอยู่ในมือคนละเล่ม น้าคมนั่งคุยกับน้าสมพงษ์อีกฟากหนึ่ง ขณะที่น้าปลาย ป้าแป๋วและน้าหมวยช่วยกันทำกับข้าวอยู่ในครัวหลังบ้าน
พี่ยุ้ยกับพี่โบพาเมรินไปหายายป่านที่ลานดินใต้ต้นมะม่วง น้องนาเดีย ลูกสาวของน้าหมวยนอนหลับสนิทอยู่ในเปล ยายป่านร้องเพลงกล่อมอยู่ข้างๆ พอเห็นนักศึกษาสองคนพาหลานสาวเดินมาใกล้ ยายป่านก็เอ่ยทัก
“ว่าไงนางน่อย มาหายายซิลูก” ว่าพลางดึงตัวเมรินเข้าไปกอด พี่ยุ้ยรับช่วงต่อไกวเปลให้น้องนาเดีย พี่โบยืนมองแล้วอมยิ้มอย่างเอ็นดู
“เป็นไง ไปโรงเรียนสนุกไหมลูก” ยายป่านถามพลางลูบผมหลานสาวเบาๆ
“สนุกค่ะ มีเพื่อนคุยด้วยเยอะแยะเลย” เมรินเล่าเสียงใส เรื่องราวที่โรงเรียนถูกถ่ายทอดให้ฟังแทบทุกแง่มุม เมรินพูดถึงครูประจำชั้นที่คอยเอาใจใส่นักเรียนทุกคนเป็นอย่างดี เฉพาะเมื่อครูแพรวาสอนวิชาภาษาไทย ครูพาอ่านบทเรียนในหนังสือทุกวัน
“ตอนที่เพื่อนๆอ่านหนังสือพร้อมกันทั้งห้อง ฟังเพราะดีนะคะคุณยาย น้องเมย์อ่านตามไม่ค่อยทัน ครูแพรวาก็เลยเรียกอ่านเดี่ยวทีละคน ตอนนั้นแหละน้องเมย์ตื่นเต้น เสียงนี้สั่นไปหมดเลยค่ะ”
พอเล่าจบ ยายป่านก็แนะนำว่า “ฝึกอ่านทุกวันอย่างครูแพรวาพาอ่านนั่นล่ะ ทำบ่อยๆ ฝึกบ่อยๆ ทีนี้ น้องเมย์ก็จะตามทันเพื่อนๆ จะอ่านเดี่ยวหรืออ่านพร้อมเพื่อนทั้งห้องก็ผ่านฉลุย”
เมรินหัวเราะออกมาเต็มเสียง ขณะที่พี่ยุ้ยอมยิ้ม อดไม่ได้ที่จะพูดทีเล่นทีจริง
“ทันสมัยเหมือนกันนะคะ คุณยายของยุ้ย”
“ไม่ได้สิ มีหลานวัยรุ่นก็ต้องอินเทรนกันหน่อย จริงไหมหนูโบ”
“ค่ะ” พี่โบไม่รู้จะพูดอะไรได้มากกว่าขานรับสั้นๆ พี่ยุ้ยเลยพูดเสริมว่า
“เขารู้กันทั้งบาง ว่ายายป่านบ้านโนนมะค่า เป็นคนทันยุคทันสมัยเสมอเลย”
ดวงตะวันลาลับขอบฟ้ายามพลบค่ำ น้องนาเดียส่งเสียงร้องไห้ ยายป่านจึงพาไปหาน้าหมวยข้างในบ้าน เมรินขอให้พี่ยุ้ยพาไปนั่งที่โต๊ะหินอ่อนใต้ต้นมะม่วง บอกเหตุผลว่าจะทำการบ้านส่งครู พี่สาวสองคนไม่ขัดข้อง เพราะอยากดูเมรินทำการบ้านเหมือนกัน
สเล้ต สไตลัส กระดาษ และหนังสือถูกนำออกมาวางบนโต๊ะ เมรินจัดการกับอุปกรณ์เหล่านั้นอย่างคล่องแคล่ว เฉพาะตอนเขียนจุดนูนเบรลล์ลงตามช่องที่เรียงติดกันเป็นระเบียบ พี่สองคนมองดูอย่างสนใจ
ท่องศัพท์ภาษาอังกฤษ คืองานที่เมรินชอบ เธอเล่าให้พี่ยุ้ยกับพี่โบฟัง ครูใหม่จะพิมพ์คำศัพท์ให้นำกลับไปอ่าน แล้วมาท่องให้ครูใหม่ฟังทุกเช้าก่อนเข้าแถว และในคาบสุดท้ายก่อนเลิกเรียน เป็นอย่างนี้ทุกวันจนเมรินบอกว่า “วันไหนไม่ได้ท่องศัพท์ วันนั้นเหมือนขาดอะไรไปสักอย่างเลยค่ะ”
“หนูคิดว่าถ้าเรียนจบ หนูอยากทำงานเกี่ยวกับภาษาอังกฤษมากที่สุด”
“เหมือนพี่ยุ้ยเลย พี่น่ะชอบภาษาอังกฤษตั้งแต่เรียนอนุบาลแล้วล่ะ”
ว่าจบ พี่ยุ้ยขอให้เมรินอ่านคำศัพท์จากหนังสืออักษรเบรลล์ให้ฟัง อ่านจบก็ช่วยสอนบทสนทนาอย่างง่ายๆให้เมรินกลับไปพูดกับเพื่อนที่โรงเรียน
สองพี่น้องสื่อสารภาษาอังกฤษกันเสียงแจ๋ว ทำให้เด็กๆบางคนที่กำลังวิ่งเล่นต้องหยุดฟัง
พี่มินตรากับพี่เมษาก็วางหนังสือการ์ตูนลงพักหนึ่ง มองพี่ยุ้ยสอนการบ้านเมรินอยู่เงียบๆ เหตุการณ์ดูเหมือนจะผ่านไปด้วยดี หากไม่มีเสียงหนึ่งพูดขึ้นว่า
“เมรินไม่มีแม่ เมรินไม่มีพ่อ” ได้ยินแบบนี้ พี่ยุ้ยกับน้องสาวหยุดชุงัก เมรินกำสไตลัสแน่นราวกับจะยึดไว้เป็นที่พึ่งยามคับขัน
“ทำไมไปว่าน้องยังงั้นล่ะนายกัน ไม่น่ารักเลยนะ” เสียงพี่ยุ้ยดุเด็กชายร่างอ้วนซึ่งเรียนชั้นประถมปลาย เด็กชายกันเป็นลูกของน้ากลอย น้าคนนี้ไม่เคยว่าน้องกันเลยสักคำ แม้จะรู้ว่าน้องกันทำผิดก็ตามที
“ทำไมล่ะ จะล้อ เมรินไม่มีแม่ เมรินไม่มีพ่อ” เด็กชายกันว่าต่อไปอย่างสนุกปาก เมรินสะอื้นไห้ หยดน้ำใสเริ่มคลอหน่วยตา
“เมรินไม่มีแม่ เมรินไม่มีพ่อ คนไม่มีแม่ไม่มีพ่อก็เป็นลูกกำพร้า”
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ” เสียงพี่ยุ้ยดังพอที่เด็กคนอื่นจะหันมองเป็นตาเดียว
“อย่ามาทำตัวเป็นเด็กเกเรนะนายกัน น้องเมย์ไม่มีแม่แล้วยังไง มันสมควรพูดไหม เรื่องละเอียดอ่อนแบบนี้”
“ก็แค่ล้อเล่น ไม่เห็นต้องโกรธเลยนี่ฮะ” เด็กชายกันยังเถียงต่อ
“อยู่ที่บ้าน คุณลุงล้อผมว่าไอ้ลูกพ่อทิ้ง ผมยังไม่โกรธเลย พี่ยุ้ยจะมาเดือดร้อนทำไมล่ะฮะ”
ว่าแล้ว เด็กชายกันก็เดินลอยหน้าลอยตาจากไป พี่ยุ้ยกับพี่โบถอนใจยาว นึกไม่ถึงว่าน้องกันที่ตัวเคยเห็นมาแต่ยังเล็กจะเป็นได้ถึงเพียงนี้
“โชคร้ายของนายกัน น้ากลอยกับแฟนใหม่เห็นการล้อเล่นเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ไหวเลยจริงๆ”
พี่โบหันมาลูบหัวเมรินพลางเอ่ยปลอบเสียงอ่อน “ไม่ร้องไห้นะคะน้องเมย์ คนเก่งต้องเข้มแข็งนะคะ”
เวลาล่วงเลยผ่านไป กระทั่งเสียงนาฬิกาตีบอกเวลาหนึ่งทุ่ม ทุกคนจึงล้อมวงกินข้าวพร้อมหน้ากัน บทสนทนาในวงข้าวคงหนีไม่พ้นเรื่องเล่าเกี่ยวกับลูกหลานในแต่ละครอบครัว
น้ากลอยเพิ่งแต่งงานกับหมอนัทไม่ถึงปี ตอนนี้กำลังจะมีน้องให้น้องกัน
“ได้ลูกสาวหรือลูกชายล่ะ” ลุงอเนกยินดีกับน้ากลอย พร้อมตั้งคำถามต่อท้าย
“ลูกสาวจ้ะพี่เหนก นี่กะว่าคลอดแล้วจะปิดอู่ เพราะได้ลูกชายคนลูกสาวคน ลงตัวพอดีล่ะ”
“แล้วตั้งชื่อให้หลานของแม่หรือยัง” ยายป่านถามตรงๆ น้ากลอยตักข้าวเข้าปากคำหนึ่งก่อนให้คำตอบ
“พี่นัท อยากให้ชื่อกิ๊ฟท์ค่ะ จะได้คล้องจองกับพี่กัน” “พี่กันกับน้องกิ๊ฟท์ เข้าท่าดีนะ แถมแม่ยังชื่อกลอย เอ้อ คล้องจองกันจริงๆ”
น้าปลายชื่นชมในความช่างคิดของน้องสาว น้ากลอยจึงพูดต่อว่า
“ก็แน่ซีคะ ลูกชื่อคล้องจองกับแม่นั่นล่ะ ง่ายๆ สบายๆ ไม่ต้องคิดเยอะ... พี่ปลายเถอะ คิดจะมีลูกสักคนบ้างไหม”
“ไม่ล่ะ ได้เลี้ยงน้องเมย์พี่ก็พอใจแล้ว” น้าปลายตอบเพียงเท่านั้นแล้วหันไปสนใจกับข้าวในจานต่อ
“เอาลูกเขามาเลี้ยง เอาเมี่ยงเขามาอม ระวังจะเสียใจภายหลังนะคะ”
น้ากลอยพูดเรียบๆ น้าคมกับน้าสมพงษ์สะท้อนใจ ขณะที่ยายป่านส่งสายตาตำหนิลูกสาวคนรองสุดท้อง พี่ยุ้ยหันไปสบตากับพี่โบพลางกระซิบกันเบาๆ
“แย่ที่สุด พูดอะไรไม่เกรงใจคนอื่นเขาบ้าง”
“นั่นสิ พูดอย่างกะน้องเมย์ไม่ใช่ญาติของตัวอย่างงั้นแหละ น้องเมย์ก็ลูกของป้าปุ้ย โถ่เอ๊ย!”
“ก็คนขี้อิจฉา อย่าไปสนใจเลย” ประโยคท้าย พี่ยุ้ยกระซิบเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน
เมรินนั่งนิ่ง สีหน้าไม่ร่าเริงเหมือนตอนที่มาถึง เธอวางช้อนกับส้อมลง ทั้งๆที่กินข้าวไปไม่ถึงครึ่ง
“น้องเมย์อิ่มแล้วค่ะ” เมรินบอกเสียงเรียบ ลุงอเนกกับน้าสมพงษ์คะยั้นคะยอให้กินข้าวต่อ หากคนเป็นหลานสาวยืนยันคำเดิม
“น้องเมย์อิ่มแล้วจริงๆนะคะ” ว่าจบ เมรินผุดลุกจากวงข้าว เดินตรงไปยังโซนหน้าโทรทัศน์ ทิ้งตัวนั่งบนโซฟาแล้วร้องไห้ พี่มินตรากับพี่ยุ้ยเดินมานั่งข้างๆ ฟังเมรินเรียกหาน้าปุ้ยแล้วเห็นใจ
“แม่จ๋า น้องเมย์คิดถึงแม่ แม่จ๋า..มาหาน้องเมย์สักครั้งได้ไหมคะ.”
หลังอาหารมื้อเย็น ลุงอเนกกับป้าพิณพลอยต้องไปส่งพี่ยุ้ยกับพี่โบที่หอพัก น้าหมวยกับน้าสมพงษ์ไปทำงานต่อที่โรงพยาบาลประจำอำเภอ น้ากลอยกับหมอนัทก็พาน้องกันกลับบ้านในอีกตำบลหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน
เหลือเพียงน้าปลายที่ตั้งใจจะพักค้างที่บ้านแสนสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์นี้
ก่อนที่น้าคมจะกลับไปเข้าเวรที่โรงพัก เขาลูบหัวเมรินที่นอนหลับสนิทด้วยความสงสารจับหัวใจ
“คุณแม่จะขึ้นห้องเลยไหมคะ” น้าปลายถาม
“ดีเหมือนกัน” ยายป่านตอบพลางเหลือบมองนาฬิกา
“นี่ก็ดึกมากแล้ว ปลายเตรียมยานวดให้แม่เถอะ แม่จะอุ้มนางน่อยขึ้นข้างบนก่อน”
“ค่ะ” น้าปลายรับคำแล้วกระวีกระวาดไปจัดยาใส่ตะกร้า ครู่เดียว สมาชิกทั้งสามคนก็ขึ้นมาอยู่บนห้องไม้กระดานที่ถูกขัดจนสะอาดเป็นมันวับ
บ้านครึ่งไม้ครึ่งปูนเนื้อที่สี่ไร่หลังนี้ ตาปอกับยายป่านหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงจากงานขายผลไม้ พอตาปอเสียชีวิตเมื่อสองปีก่อน สมาชิกจึงมีเพียงยายป่านกับลูกแมวอีกสองตัว ในช่วงวันหยุด ลูกหลานจะผลัดเปลี่ยนมาค้างคืนด้วย ทุกคนเห็นพ้องกันว่า ยายป่านแก่มากแล้ว จะทิ้งให้อยู่คนเดียวเหมือนช่วงแรกๆที่ตาปอจากไปไม่ได้
ที่ห้องของยายป่าน น้าปลายกำลังนวดขาให้ผู้เป็นมารดาอย่างที่เคยปฏิบัติ เสียงเพลงลูกทุ่งแว่วหวานจากวิทยุเครื่องเล็กช่วยให้ความวังเวงยามค่ำคืนจางหายไป
“แม่สงสารอีนางน่อยจริงๆปลายเอ้ย” ยายป่านเปรยขึ้น ขณะที่เสียงเพลงยังขับขานอย่างต่อเนื่อง
“แกเกิดมาแทนที่จะได้เห็นเดือนเห็นตะวันอย่างใครเขา กลับต้องมาตาบอด แล้วดูเถอะ แม่ก็มาด่วนตายจาก พ่อก็ไม่รู้หายหน้าไปไหน ร้อยวันพันปีไม่เคยใยดีลูกของตัว”
น้าปลายถอนใจ เธอนึกย้อนไปถึงวันที่ได้เจอพี่สาวครั้งสุดท้าย ก่อนพี่ปุ้ยจะจากไป เธอฝากฝังเมรินไว้กับน้าปลาย น้องสาวรับคำสั้นๆ
“ค่ะ ปลายสัญญาจะดูแลเมรินอย่างที่แม่คนหนึ่งพึงจะทำ พี่ปุ้ยไม่ต้องห่วงนะคะ”
“ขอบใจมาก” เสียงของพี่ปุ้ยขาดเป็นห้วงๆ และเพียงไม่นาน พี่สาวของน้าปลายก็จากโลกนี้ไป ส่วนนายกอล์ฟผู้เป็นพ่อก็ไปมีผู้หญิงคนใหม่ จากวันนั้นถึงวันนี้ เขาไม่เคยกลับมาที่บ้านแสนสุขอีกเลย ยายป่านทั้งโกรธ ทั้งเสียใจ ท่านเลือกที่จะไม่พูดถึงผู้ชายคนนี้ ผู้ชายที่ทิ้งได้แม้เลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง
“อย่าคิดมากเลยค่ะคุณแม่” น้าปลายปลอบเสียงเบา
“เมรินอยู่ในความดูแลของปลาย ปลายจะเลี้ยงดูเธอให้ดีเหมือนกับเป็นลูกของปลายเองค่ะ”
“ฝากด้วยนะปลายเอ้ย นางน่อยก็เป็นหลานของแม่เหมือนกัน” ยายป่านเอ่ยด้วยท่าทีอ่อนระโหย
“เราต้องเลี้ยงแกให้ดี ส่งเสียให้เรียนสูงๆ เผื่ออนาคตไม่มีเรา แกจะได้ไม่อดตาย เฮ่อ อีนางน่อย ยายล่ะเวทนาเอ็งจริงๆ”
มืออันแบบบางลูบผมของเมรินซึ่งนอนหลับไม่รู้สึกตัว
“ไม่เป็นไรนะลูก วันนี้แม่ปุ้ยไม่อยู่ แต่แม่ปลายกับยายป่านรักหนูที่สุดนะจ๊ะ” น้าปลายกระซิบข้างหูหลานสาว ขณะที่ยายป่านนอนร้องไห้ในความมืด
นาฬิกาเรือนใหญ่ส่งเสียงกังวานในยามเช้า เมรินสปริงตัวลุกจากเตียง เมื่อตื่นแล้วก็ไม่อาจข่มตาให้หลับต่อไปได้ เธอจึงพาตัวเองลงมานั่งเล่นที่โซฟากำมะหยี่ในห้องรับแขก บรรยากาศยามเช้าช่างแจ่มใสสบายตัวเสียจริง สายลมอ่อนๆจับต้องร่างผอมบางอย่างแผ่วเบา แว่วเสียงนกร้องขับขาน บวกกับกลิ่นกรุ่นๆของข้าวสุกจากในครัว ทำให้เมรินอดคิดถึงแม่ปุ้ยไม่ได้
เป็นเวลาเกือบเก้าปีแล้วที่แม่ปุ้ยจากโลกนี้ไปอยู่กับตาปอบนสวรรค์ แม้จะนึกรูปร่างและน้ำเสียงแทบไม่ออก หากเมรินก็ได้รู้เรื่องราวบางส่วนจากน้าปลาย เป็นต้นว่า
“แม่ปุ้ยเรียนเก่ง สอบได้ที่หนึ่งทุกปีเลย” หรือ “สมัยเรียนอยู่ ป. สี่ แม่ปุ้ยเคยประกวดอ่านทำนองเสนาะด้วยล่ะ ไม่ถึงกับคว้ารางวัลชนะเลิศ แต่ก็ได้อันดับที่สามมาครอง” หรือจะเป็นช่วงวันหยุดวันหนึ่ง ตอนที่น้าปลายพาเมรินมาค้างคืนที่บ้านหลังนี้ ยายป่านก็พูดถึงแม่ปุ้ยให้ฟังว่า
“แม่ของนางน่อยน่ะทำกับข้าวอร่อยมากเลยนะ...” ยายป่านบอกว่า ตอนแม่ยังเด็ก เวลายายเข้าครัว แม่จะไปยืนดูใกล้ๆ หรือบางทีก็ช่วยหยิบโน่นจับนี่ให้ตามแต่จะสั่ง
พอเริ่มโตหน่อย ยายก็ให้แม่ลองทำอาหารง่ายๆ อย่างพวกข้าวผัด ผัดผักรวม หรือไม่ก็ต้มไก่ใส่ใบมะขามอ่อน อย่างหลังนี้ ตากับยาย รวมถึงพวกน้าๆบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “ดุเด็ดเผ็ดเดือดจนน้ำตาไหล”
คงเพราะเรื่องเสน่ห์ปลายจวักนี้กระมัง เจ้ากอล์ฟ เด็กข้างบ้านเราถึงได้ถูกใจนักหนา” เสียงของยายป่านลอยเข้ามาในหัว เสียงนั้นทำให้เมรินนึกเคืองอยู่ในใจ
“แม่ปุ้ยเขารักนางน่อยมากนะ ส่วนพ่อหรือ... ไม่ต้องพูดถึง ยายไม่อยากจะเอ่ยชื่อ”
“รัก อย่างนั้นหรือ” ใช่ล่ะ แม่ปุ้ยรักเมริน เธอรู้ เพราะได้ยินได้ฟังคำบอกเล่าจากน้าและยายบ่อยๆ แต่หากถามว่า พ่อกอล์ฟรักเธอไหม เมรินยังไม่แน่ใจ อันที่จริง เมรินแทบไม่รู้จักพ่อกอล์ฟจนนิดเดียว ภาพจำในสมองบอกว่า “พ่อของเธอชื่อคม” ก็ไม่ใช่น้าคมหรอกหรือที่เทียวรับเทียวส่งเมรินไปโรงเรียนทุกวันจนเพื่อนๆจำได้
สมัยเรียน ป. หนึ่ง ที่โรงเรียนเก่า ก็ได้น้าคมนี่แหละที่นำอาหารแห้งและของเล่นเด็กมาบริจาคบ่อยๆ น้องแก้วกับน้องแพรวเคยพูดว่า “พี่เมย์โชคดีแล้วที่มีคนดูแลอย่างพ่อคม”
เมรินนั่งอยู่ตรงนั้นนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ กระทั่งยายป่านถือชามข้าวเดินเข้ามาใกล้ เธอถึงได้ลุกออกจากโซฟา
“ออกไปรับลมข้างนอกกันเถอะนางน่อย”
บรรยากาศที่ลานดินหน้าบ้านขณะนี้ช่างแจ่มใส พระอาทิตย์เพิ่งจะโผล่พ้นขอบฟ้า ส่งแสงแดดอุ่นๆลงมาทักทายพื้นโลก ยายป่านพาเมรินไปใส่บาตรที่หน้าบ้าน จากนั้นก็มานั่งรับลมเย็นบนกระท่อมหลังน้อย น้าปลายบอกว่า วันนี้จะต้องกลับบ้านจัดสรรแล้ว เมรินใจหายไม่อยากจาก แต่เพราะเธอต้องไปเรียนในวันจันทร์ น้าปลายก็ต้องไปทำงานธนาคาร ทั้งสองคนให้สัญญาจะมาเยี่ยมยายป่านบ่อยๆ
“น้องเมย์กลับไปเรียนก่อนนะคะ ถึงช่วงปิดเทอมใหญ่ น้องเมย์จะมาอยู่กับคุณยาย บ้านหลังนี้ทำให้น้องเมย์รู้สึกดี สมกับที่คุณยายตั้งชื่อว่า “บ้านแสนสุข” ขณะนั่งรถกลับบ้าน น้าปลายถามเมรินว่าเธอยังคิดมากเรื่องแม่ปุ้ยอยู่หรือเปล่า เมรินตอบสั้นๆ “น้องเมย์จะไม่ร้องไห้อีกแล้วค่ะ ถึงแม้ว่าแม่ปุ้ยจะไปอยู่กับคุณตาบนสวรรค์ น้องเมย์ก็ยังมีแม่ปลายกับพ่อคมคอยดูแลอย่างดี ต่อไปนี้ถ้าใครมาล้อน้องเมย์ว่าเป็นเด็กกำพร้า น้องเมย์ก็จะตอบพวกเขาไปว่า”
น้องเมย์ไม่ได้กำพร้าสักหน่อย เพราะน้องเมย์เป็นลูกแม่ปลายกับพ่อคม”
น้าปลายขับรถผ่านถนนเลี่ยงเมือง อันเป็นป้ายบอกทางสู่บ้านสวนในตำบลมะค่า เมรินจำเส้นทางขรุขระเส้นนี้ได้ เป็นจุดสังเกตให้รู้ว่า ใกล้จะถึงหมู่บ้านในชนบทที่คุ้นเคยแล้ว
“เราจะไปหาคุณยายกัน” เสียงน้าปลายบอกตอนที่เดินออกมาจากห้องดนตรีที่อาคารสอง เมรินยิ้มพอใจ หากเอ่ยถึงตำบลมะค่า ภาพจำที่ลอยขึ้นมาในหัวคือหมู่บ้านแสนสุขซึ่งมีบ้านครึ่งไม้ครึ่งปูนปลูกติดกันนับร้อยหลังคาเรือน ชาวบ้านแถบละแวกนี้ล้วนเป็นคนที่เมรินคุ้นเคย เฉพาะบ้านของตาปอกับยายป่านซึ่งเป็นบ้านสองชั้น มีลานดินกว้างใหญ่กว่าลานคอนกรีตที่บ้านจัดสรรของน้าคม เมรินนึกย้อนไปถึงช่วงก่อนเข้าเรียนเตรียมความพร้อม
อีนางน่อย ลงไปข้างล่างกับยายเถอะ” ยายป่านส่งเสียงปลุกทุกเช้าพร้อมกับอุ้มหลานสาวไปที่ลานซีเมนต์ใต้ถุนบ้าน ล้างหน้าด้วยน้ำเย็นจากโอ่งดินเผา แล้วก็พาไปรอใส่บาตรพระที่ลานดินหน้าบ้าน จุดนี้ที่เมรินเคยวิ่งเล่น ขี่จักรยาน หรือแม้แต่ก่อกองทรายกับเพื่อนบ้านวัยเดียวกัน เป็นภาพจำที่ไม่เคยเลือนไปจากใจ
ตอนนี้แม้มีบางสิ่งเปลี่ยนแปลงไป หากบรรยากาศแห่งความสุขยังคงอยู่ ลุง ป้า น้า อา จะพาลูกหลานว่านเครือมารวมตัวที่บ้านหลังนี้ ทำอาหารมื้อใหญ่รับประทาน และบอกเล่าเรื่องราวที่แต่ละคนได้พานพบสู่กันฟัง น้าหมวยกับน้าสมพงษ์รู้เรื่องที่เมรินเข้าเรียนประถมสองร่วมกับเด็กปกติจากน้าปลายเมื่อวันรวมญาติครั้งล่าสุด นั่นคือประมาณสองสัปดาห์ก่อนหน้านี้ เมรินก็ได้รู้เรื่องที่ลูกสาวของลุงอเนกเลิกเรียนพยาบาลจากมหาวิทยาลัยในจังหวัดชลบุรี กลับมาเข้าเรียนภาษาอังกฤษที่มหาวิทยาลัยเอกชนในโคราช
เมรินเคยได้ยินพี่ยุ้ยบ่นกับลุงอเนกว่า “ยุ้ยไม่อยากเรียนพยาบาลแล้ว ยุ้ยกลัวเลือด” ลุงอเนกกับป้าพิณพลอยแม้ไม่เห็นด้วย แต่ก็ต้องยอมตามใจให้พี่ยุ้ยกลับมาสอบเข้าเรียนคณะใหม่ที่ต้องการ
เดี๋ยวนี้ พี่ยุ้ยมีความสุข บอกกับทุกคนที่มาหายายป่านวันนี้ว่า “เรียนมนุษย์อิ๊งนี่แหละ ดีต่อจัยสุดๆ ได้กลับบ้านมาเจอน้องๆพี่ๆป้าๆอาๆ แบบนี้ ยุ้ยชอบค่ะ” พี่ยุ้ยเป็นคนช่างพูด ช่างอธิบาย ทุกครั้งที่มารวมญาติ ได้ยินเสียงพี่ยุ้ยเท่านั้น เมรินจะรีบวิ่งเข้าหา
“ว่าไงสาวน้อย ห่างหายกันไปไม่เท่าไหร่ ตัวโตขึ้นเยอะนะเรา” ว่าพลางอุ้มน้องเมย์มานั่งตัก เมรินกอดเอวพี่ยุ้ยแน่น กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆแทรกผ่านปลายจมูก เมรินชอบกลิ่นหวานๆจากตัวพี่ยุ้ย ได้กลิ่นทีไรก็นึกถึงขนมเค้กชิ้นสี่เหลี่ยมที่แม็ทเคยแบ่งให้กินทุกครั้งไป
“พี่ยุ้ยทาน้ำหอมเหรอคะ เอ่ยถามขณะคลายมือออกจากการเกาะกุม พี่ยุ้ยเปลี่ยนมาลูบเส้นผมยาวสลวยของเมริน
“ชอบน้ำหอมพี่เหรอ”
“ชอบค่ะ กลิ่นเหมือนเค้กวานิลลาที่เพื่อนคนหนึ่งเคยให้น้องเมย์กิน”
ตอบด้วยน้ำเสียงสดใส ขณะที่เพื่อนพี่ยุ้ยอีกคนส่งเสียงหัวเราะในลำคอ
“อ๋อ มิน่าล่ะ ว่าแต่เพื่อนคนไหนนะ ที่แบ่งขนมเค้กให้น้องเมย์กิน”
”คนนี้ค่ะ“ เมรินพูดยิ้มๆ ขณะเปิดกล่องเหล็กสองชั้น มีรูปของเพื่อนๆอยู่ในนั้น ครูแพรวาให้นักเรียนแต่ละคนนำรูปถ่ายมาทำบัตรประจำตัว เพื่อนๆนำรูปถ่ายมาคนละ 12 ใบ ใช้ติดบัตรประจำตัวเพียง 2 ถึง 3 ใบ ที่เหลือเก็บไว้เองบ้าง หรือไม่ก็แลกกับเพื่อนไว้ดูเล่นพอชื่นใจ เจสซี่กับแมทธิวแลกรูปกับเมรินคนละใบ เมรินเขียนชื่อกำกับไว้ด้วยตัวอักษร M และ J พี่ยุ้ยเห็นรูปแล้วร้องอ๋อทันที
“น้องแม็ท” เมรินสงสัย “พี่ยุ้ยรู้จักแมทธิวด้วยเหรอคะ”
“ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวหรอกจ้ะ พี่กับพี่โบเคยไปช่วยครูแซมสอนภาษาอังกฤษที่เคพีพลาซ่าก็เลยเจอกับน้องแม็ทจ้ะ”
พี่ยุ้ยเล่าเสริมว่า แมทธิวสอน Conversation ได้ดีทีเดียว สำเนียงการพูดเหมือนเจ้าของภาษาไม่มีผิดเพี้ยน
“นั่นสิคะ ก็เพื่อนหนูเคยอยู่อเมริกามาก่อนนี่นา” เมรินเล่าเสียงใส
“วันนี้ครูแพรวาเลือกแม็ทกับเจสซี่ แล้วก็ฟ้าใสเป็นบั๊ดดี้ของน้องเมย์ด้วยนะคะ”
“ดีแล้วจ้ะ น้องเมย์มีเพื่อนดีพี่ยุ้ยก็ดีใจด้วยนะ”
“เอาล่ะ วันนี้พี่ยุ้ยได้รู้จักเพื่อนน้องเมย์แบบไม่เจอตัว พี่ยุ้ยก็จะให้น้องเมย์ได้รู้จักเพื่อนพี่ยุ้ย... นี่ คนนี้ชื่อพี่โบจ้ะ”
“ดีจ้า” พี่คนชื่อโบเอ่ยทักเสียงหวานพลางจับมือป้อมๆของเมรินแล้วถามต่อ
“เรียนอยู่ชั้นไหนแล้วจ๊ะ”
“ป. สอง ค่ะ เรียนร่วมกับเด็กตาดีปกติเลย”
“เก่งจังเลย” พี่โบกล่าวชมอย่างจริงใจ ชวนญาติผู้น้องของเพื่อนคุยต่อสักพัก ก่อนจะพาเมรินออกไปที่หน้าบ้าน
ญาติผู้ใหญ่ทยอยกันมาเกือบทุกครอบครัว เด็กวัยไล่เลี่ยกับเมรินสองสามคนวิ่งเล่นที่ลานกว้าง พี่มินตรากับพี่เมษานั่งอยู่ที่ชิงช้า มีหนังสือการ์ตูนอยู่ในมือคนละเล่ม น้าคมนั่งคุยกับน้าสมพงษ์อีกฟากหนึ่ง ขณะที่น้าปลาย ป้าแป๋วและน้าหมวยช่วยกันทำกับข้าวอยู่ในครัวหลังบ้าน
พี่ยุ้ยกับพี่โบพาเมรินไปหายายป่านที่ลานดินใต้ต้นมะม่วง น้องนาเดีย ลูกสาวของน้าหมวยนอนหลับสนิทอยู่ในเปล ยายป่านร้องเพลงกล่อมอยู่ข้างๆ พอเห็นนักศึกษาสองคนพาหลานสาวเดินมาใกล้ ยายป่านก็เอ่ยทัก
“ว่าไงนางน่อย มาหายายซิลูก” ว่าพลางดึงตัวเมรินเข้าไปกอด พี่ยุ้ยรับช่วงต่อไกวเปลให้น้องนาเดีย พี่โบยืนมองแล้วอมยิ้มอย่างเอ็นดู
“เป็นไง ไปโรงเรียนสนุกไหมลูก” ยายป่านถามพลางลูบผมหลานสาวเบาๆ
“สนุกค่ะ มีเพื่อนคุยด้วยเยอะแยะเลย” เมรินเล่าเสียงใส เรื่องราวที่โรงเรียนถูกถ่ายทอดให้ฟังแทบทุกแง่มุม เมรินพูดถึงครูประจำชั้นที่คอยเอาใจใส่นักเรียนทุกคนเป็นอย่างดี เฉพาะเมื่อครูแพรวาสอนวิชาภาษาไทย ครูพาอ่านบทเรียนในหนังสือทุกวัน
“ตอนที่เพื่อนๆอ่านหนังสือพร้อมกันทั้งห้อง ฟังเพราะดีนะคะคุณยาย น้องเมย์อ่านตามไม่ค่อยทัน ครูแพรวาก็เลยเรียกอ่านเดี่ยวทีละคน ตอนนั้นแหละน้องเมย์ตื่นเต้น เสียงนี้สั่นไปหมดเลยค่ะ”
พอเล่าจบ ยายป่านก็แนะนำว่า “ฝึกอ่านทุกวันอย่างครูแพรวาพาอ่านนั่นล่ะ ทำบ่อยๆ ฝึกบ่อยๆ ทีนี้ น้องเมย์ก็จะตามทันเพื่อนๆ จะอ่านเดี่ยวหรืออ่านพร้อมเพื่อนทั้งห้องก็ผ่านฉลุย”
เมรินหัวเราะออกมาเต็มเสียง ขณะที่พี่ยุ้ยอมยิ้ม อดไม่ได้ที่จะพูดทีเล่นทีจริง
“ทันสมัยเหมือนกันนะคะ คุณยายของยุ้ย”
“ไม่ได้สิ มีหลานวัยรุ่นก็ต้องอินเทรนกันหน่อย จริงไหมหนูโบ”
“ค่ะ” พี่โบไม่รู้จะพูดอะไรได้มากกว่าขานรับสั้นๆ พี่ยุ้ยเลยพูดเสริมว่า
“เขารู้กันทั้งบาง ว่ายายป่านบ้านโนนมะค่า เป็นคนทันยุคทันสมัยเสมอเลย”
ดวงตะวันลาลับขอบฟ้ายามพลบค่ำ น้องนาเดียส่งเสียงร้องไห้ ยายป่านจึงพาไปหาน้าหมวยข้างในบ้าน เมรินขอให้พี่ยุ้ยพาไปนั่งที่โต๊ะหินอ่อนใต้ต้นมะม่วง บอกเหตุผลว่าจะทำการบ้านส่งครู พี่สาวสองคนไม่ขัดข้อง เพราะอยากดูเมรินทำการบ้านเหมือนกัน
สเล้ต สไตลัส กระดาษ และหนังสือถูกนำออกมาวางบนโต๊ะ เมรินจัดการกับอุปกรณ์เหล่านั้นอย่างคล่องแคล่ว เฉพาะตอนเขียนจุดนูนเบรลล์ลงตามช่องที่เรียงติดกันเป็นระเบียบ พี่สองคนมองดูอย่างสนใจ
ท่องศัพท์ภาษาอังกฤษ คืองานที่เมรินชอบ เธอเล่าให้พี่ยุ้ยกับพี่โบฟัง ครูใหม่จะพิมพ์คำศัพท์ให้นำกลับไปอ่าน แล้วมาท่องให้ครูใหม่ฟังทุกเช้าก่อนเข้าแถว และในคาบสุดท้ายก่อนเลิกเรียน เป็นอย่างนี้ทุกวันจนเมรินบอกว่า “วันไหนไม่ได้ท่องศัพท์ วันนั้นเหมือนขาดอะไรไปสักอย่างเลยค่ะ”
“หนูคิดว่าถ้าเรียนจบ หนูอยากทำงานเกี่ยวกับภาษาอังกฤษมากที่สุด”
“เหมือนพี่ยุ้ยเลย พี่น่ะชอบภาษาอังกฤษตั้งแต่เรียนอนุบาลแล้วล่ะ”
ว่าจบ พี่ยุ้ยขอให้เมรินอ่านคำศัพท์จากหนังสืออักษรเบรลล์ให้ฟัง อ่านจบก็ช่วยสอนบทสนทนาอย่างง่ายๆให้เมรินกลับไปพูดกับเพื่อนที่โรงเรียน
สองพี่น้องสื่อสารภาษาอังกฤษกันเสียงแจ๋ว ทำให้เด็กๆบางคนที่กำลังวิ่งเล่นต้องหยุดฟัง
พี่มินตรากับพี่เมษาก็วางหนังสือการ์ตูนลงพักหนึ่ง มองพี่ยุ้ยสอนการบ้านเมรินอยู่เงียบๆ เหตุการณ์ดูเหมือนจะผ่านไปด้วยดี หากไม่มีเสียงหนึ่งพูดขึ้นว่า
“เมรินไม่มีแม่ เมรินไม่มีพ่อ” ได้ยินแบบนี้ พี่ยุ้ยกับน้องสาวหยุดชุงัก เมรินกำสไตลัสแน่นราวกับจะยึดไว้เป็นที่พึ่งยามคับขัน
“ทำไมไปว่าน้องยังงั้นล่ะนายกัน ไม่น่ารักเลยนะ” เสียงพี่ยุ้ยดุเด็กชายร่างอ้วนซึ่งเรียนชั้นประถมปลาย เด็กชายกันเป็นลูกของน้ากลอย น้าคนนี้ไม่เคยว่าน้องกันเลยสักคำ แม้จะรู้ว่าน้องกันทำผิดก็ตามที
“ทำไมล่ะ จะล้อ เมรินไม่มีแม่ เมรินไม่มีพ่อ” เด็กชายกันว่าต่อไปอย่างสนุกปาก เมรินสะอื้นไห้ หยดน้ำใสเริ่มคลอหน่วยตา
“เมรินไม่มีแม่ เมรินไม่มีพ่อ คนไม่มีแม่ไม่มีพ่อก็เป็นลูกกำพร้า”
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ” เสียงพี่ยุ้ยดังพอที่เด็กคนอื่นจะหันมองเป็นตาเดียว
“อย่ามาทำตัวเป็นเด็กเกเรนะนายกัน น้องเมย์ไม่มีแม่แล้วยังไง มันสมควรพูดไหม เรื่องละเอียดอ่อนแบบนี้”
“ก็แค่ล้อเล่น ไม่เห็นต้องโกรธเลยนี่ฮะ” เด็กชายกันยังเถียงต่อ
“อยู่ที่บ้าน คุณลุงล้อผมว่าไอ้ลูกพ่อทิ้ง ผมยังไม่โกรธเลย พี่ยุ้ยจะมาเดือดร้อนทำไมล่ะฮะ”
ว่าแล้ว เด็กชายกันก็เดินลอยหน้าลอยตาจากไป พี่ยุ้ยกับพี่โบถอนใจยาว นึกไม่ถึงว่าน้องกันที่ตัวเคยเห็นมาแต่ยังเล็กจะเป็นได้ถึงเพียงนี้
“โชคร้ายของนายกัน น้ากลอยกับแฟนใหม่เห็นการล้อเล่นเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ไหวเลยจริงๆ”
พี่โบหันมาลูบหัวเมรินพลางเอ่ยปลอบเสียงอ่อน “ไม่ร้องไห้นะคะน้องเมย์ คนเก่งต้องเข้มแข็งนะคะ”
เวลาล่วงเลยผ่านไป กระทั่งเสียงนาฬิกาตีบอกเวลาหนึ่งทุ่ม ทุกคนจึงล้อมวงกินข้าวพร้อมหน้ากัน บทสนทนาในวงข้าวคงหนีไม่พ้นเรื่องเล่าเกี่ยวกับลูกหลานในแต่ละครอบครัว
น้ากลอยเพิ่งแต่งงานกับหมอนัทไม่ถึงปี ตอนนี้กำลังจะมีน้องให้น้องกัน
“ได้ลูกสาวหรือลูกชายล่ะ” ลุงอเนกยินดีกับน้ากลอย พร้อมตั้งคำถามต่อท้าย
“ลูกสาวจ้ะพี่เหนก นี่กะว่าคลอดแล้วจะปิดอู่ เพราะได้ลูกชายคนลูกสาวคน ลงตัวพอดีล่ะ”
“แล้วตั้งชื่อให้หลานของแม่หรือยัง” ยายป่านถามตรงๆ น้ากลอยตักข้าวเข้าปากคำหนึ่งก่อนให้คำตอบ
“พี่นัท อยากให้ชื่อกิ๊ฟท์ค่ะ จะได้คล้องจองกับพี่กัน” “พี่กันกับน้องกิ๊ฟท์ เข้าท่าดีนะ แถมแม่ยังชื่อกลอย เอ้อ คล้องจองกันจริงๆ”
น้าปลายชื่นชมในความช่างคิดของน้องสาว น้ากลอยจึงพูดต่อว่า
“ก็แน่ซีคะ ลูกชื่อคล้องจองกับแม่นั่นล่ะ ง่ายๆ สบายๆ ไม่ต้องคิดเยอะ... พี่ปลายเถอะ คิดจะมีลูกสักคนบ้างไหม”
“ไม่ล่ะ ได้เลี้ยงน้องเมย์พี่ก็พอใจแล้ว” น้าปลายตอบเพียงเท่านั้นแล้วหันไปสนใจกับข้าวในจานต่อ
“เอาลูกเขามาเลี้ยง เอาเมี่ยงเขามาอม ระวังจะเสียใจภายหลังนะคะ”
น้ากลอยพูดเรียบๆ น้าคมกับน้าสมพงษ์สะท้อนใจ ขณะที่ยายป่านส่งสายตาตำหนิลูกสาวคนรองสุดท้อง พี่ยุ้ยหันไปสบตากับพี่โบพลางกระซิบกันเบาๆ
“แย่ที่สุด พูดอะไรไม่เกรงใจคนอื่นเขาบ้าง”
“นั่นสิ พูดอย่างกะน้องเมย์ไม่ใช่ญาติของตัวอย่างงั้นแหละ น้องเมย์ก็ลูกของป้าปุ้ย โถ่เอ๊ย!”
“ก็คนขี้อิจฉา อย่าไปสนใจเลย” ประโยคท้าย พี่ยุ้ยกระซิบเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน
เมรินนั่งนิ่ง สีหน้าไม่ร่าเริงเหมือนตอนที่มาถึง เธอวางช้อนกับส้อมลง ทั้งๆที่กินข้าวไปไม่ถึงครึ่ง
“น้องเมย์อิ่มแล้วค่ะ” เมรินบอกเสียงเรียบ ลุงอเนกกับน้าสมพงษ์คะยั้นคะยอให้กินข้าวต่อ หากคนเป็นหลานสาวยืนยันคำเดิม
“น้องเมย์อิ่มแล้วจริงๆนะคะ” ว่าจบ เมรินผุดลุกจากวงข้าว เดินตรงไปยังโซนหน้าโทรทัศน์ ทิ้งตัวนั่งบนโซฟาแล้วร้องไห้ พี่มินตรากับพี่ยุ้ยเดินมานั่งข้างๆ ฟังเมรินเรียกหาน้าปุ้ยแล้วเห็นใจ
“แม่จ๋า น้องเมย์คิดถึงแม่ แม่จ๋า..มาหาน้องเมย์สักครั้งได้ไหมคะ.”
หลังอาหารมื้อเย็น ลุงอเนกกับป้าพิณพลอยต้องไปส่งพี่ยุ้ยกับพี่โบที่หอพัก น้าหมวยกับน้าสมพงษ์ไปทำงานต่อที่โรงพยาบาลประจำอำเภอ น้ากลอยกับหมอนัทก็พาน้องกันกลับบ้านในอีกตำบลหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน
เหลือเพียงน้าปลายที่ตั้งใจจะพักค้างที่บ้านแสนสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์นี้
ก่อนที่น้าคมจะกลับไปเข้าเวรที่โรงพัก เขาลูบหัวเมรินที่นอนหลับสนิทด้วยความสงสารจับหัวใจ
“คุณแม่จะขึ้นห้องเลยไหมคะ” น้าปลายถาม
“ดีเหมือนกัน” ยายป่านตอบพลางเหลือบมองนาฬิกา
“นี่ก็ดึกมากแล้ว ปลายเตรียมยานวดให้แม่เถอะ แม่จะอุ้มนางน่อยขึ้นข้างบนก่อน”
“ค่ะ” น้าปลายรับคำแล้วกระวีกระวาดไปจัดยาใส่ตะกร้า ครู่เดียว สมาชิกทั้งสามคนก็ขึ้นมาอยู่บนห้องไม้กระดานที่ถูกขัดจนสะอาดเป็นมันวับ
บ้านครึ่งไม้ครึ่งปูนเนื้อที่สี่ไร่หลังนี้ ตาปอกับยายป่านหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงจากงานขายผลไม้ พอตาปอเสียชีวิตเมื่อสองปีก่อน สมาชิกจึงมีเพียงยายป่านกับลูกแมวอีกสองตัว ในช่วงวันหยุด ลูกหลานจะผลัดเปลี่ยนมาค้างคืนด้วย ทุกคนเห็นพ้องกันว่า ยายป่านแก่มากแล้ว จะทิ้งให้อยู่คนเดียวเหมือนช่วงแรกๆที่ตาปอจากไปไม่ได้
ที่ห้องของยายป่าน น้าปลายกำลังนวดขาให้ผู้เป็นมารดาอย่างที่เคยปฏิบัติ เสียงเพลงลูกทุ่งแว่วหวานจากวิทยุเครื่องเล็กช่วยให้ความวังเวงยามค่ำคืนจางหายไป
“แม่สงสารอีนางน่อยจริงๆปลายเอ้ย” ยายป่านเปรยขึ้น ขณะที่เสียงเพลงยังขับขานอย่างต่อเนื่อง
“แกเกิดมาแทนที่จะได้เห็นเดือนเห็นตะวันอย่างใครเขา กลับต้องมาตาบอด แล้วดูเถอะ แม่ก็มาด่วนตายจาก พ่อก็ไม่รู้หายหน้าไปไหน ร้อยวันพันปีไม่เคยใยดีลูกของตัว”
น้าปลายถอนใจ เธอนึกย้อนไปถึงวันที่ได้เจอพี่สาวครั้งสุดท้าย ก่อนพี่ปุ้ยจะจากไป เธอฝากฝังเมรินไว้กับน้าปลาย น้องสาวรับคำสั้นๆ
“ค่ะ ปลายสัญญาจะดูแลเมรินอย่างที่แม่คนหนึ่งพึงจะทำ พี่ปุ้ยไม่ต้องห่วงนะคะ”
“ขอบใจมาก” เสียงของพี่ปุ้ยขาดเป็นห้วงๆ และเพียงไม่นาน พี่สาวของน้าปลายก็จากโลกนี้ไป ส่วนนายกอล์ฟผู้เป็นพ่อก็ไปมีผู้หญิงคนใหม่ จากวันนั้นถึงวันนี้ เขาไม่เคยกลับมาที่บ้านแสนสุขอีกเลย ยายป่านทั้งโกรธ ทั้งเสียใจ ท่านเลือกที่จะไม่พูดถึงผู้ชายคนนี้ ผู้ชายที่ทิ้งได้แม้เลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง
“อย่าคิดมากเลยค่ะคุณแม่” น้าปลายปลอบเสียงเบา
“เมรินอยู่ในความดูแลของปลาย ปลายจะเลี้ยงดูเธอให้ดีเหมือนกับเป็นลูกของปลายเองค่ะ”
“ฝากด้วยนะปลายเอ้ย นางน่อยก็เป็นหลานของแม่เหมือนกัน” ยายป่านเอ่ยด้วยท่าทีอ่อนระโหย
“เราต้องเลี้ยงแกให้ดี ส่งเสียให้เรียนสูงๆ เผื่ออนาคตไม่มีเรา แกจะได้ไม่อดตาย เฮ่อ อีนางน่อย ยายล่ะเวทนาเอ็งจริงๆ”
มืออันแบบบางลูบผมของเมรินซึ่งนอนหลับไม่รู้สึกตัว
“ไม่เป็นไรนะลูก วันนี้แม่ปุ้ยไม่อยู่ แต่แม่ปลายกับยายป่านรักหนูที่สุดนะจ๊ะ” น้าปลายกระซิบข้างหูหลานสาว ขณะที่ยายป่านนอนร้องไห้ในความมืด
นาฬิกาเรือนใหญ่ส่งเสียงกังวานในยามเช้า เมรินสปริงตัวลุกจากเตียง เมื่อตื่นแล้วก็ไม่อาจข่มตาให้หลับต่อไปได้ เธอจึงพาตัวเองลงมานั่งเล่นที่โซฟากำมะหยี่ในห้องรับแขก บรรยากาศยามเช้าช่างแจ่มใสสบายตัวเสียจริง สายลมอ่อนๆจับต้องร่างผอมบางอย่างแผ่วเบา แว่วเสียงนกร้องขับขาน บวกกับกลิ่นกรุ่นๆของข้าวสุกจากในครัว ทำให้เมรินอดคิดถึงแม่ปุ้ยไม่ได้
เป็นเวลาเกือบเก้าปีแล้วที่แม่ปุ้ยจากโลกนี้ไปอยู่กับตาปอบนสวรรค์ แม้จะนึกรูปร่างและน้ำเสียงแทบไม่ออก หากเมรินก็ได้รู้เรื่องราวบางส่วนจากน้าปลาย เป็นต้นว่า
“แม่ปุ้ยเรียนเก่ง สอบได้ที่หนึ่งทุกปีเลย” หรือ “สมัยเรียนอยู่ ป. สี่ แม่ปุ้ยเคยประกวดอ่านทำนองเสนาะด้วยล่ะ ไม่ถึงกับคว้ารางวัลชนะเลิศ แต่ก็ได้อันดับที่สามมาครอง” หรือจะเป็นช่วงวันหยุดวันหนึ่ง ตอนที่น้าปลายพาเมรินมาค้างคืนที่บ้านหลังนี้ ยายป่านก็พูดถึงแม่ปุ้ยให้ฟังว่า
“แม่ของนางน่อยน่ะทำกับข้าวอร่อยมากเลยนะ...” ยายป่านบอกว่า ตอนแม่ยังเด็ก เวลายายเข้าครัว แม่จะไปยืนดูใกล้ๆ หรือบางทีก็ช่วยหยิบโน่นจับนี่ให้ตามแต่จะสั่ง
พอเริ่มโตหน่อย ยายก็ให้แม่ลองทำอาหารง่ายๆ อย่างพวกข้าวผัด ผัดผักรวม หรือไม่ก็ต้มไก่ใส่ใบมะขามอ่อน อย่างหลังนี้ ตากับยาย รวมถึงพวกน้าๆบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “ดุเด็ดเผ็ดเดือดจนน้ำตาไหล”
คงเพราะเรื่องเสน่ห์ปลายจวักนี้กระมัง เจ้ากอล์ฟ เด็กข้างบ้านเราถึงได้ถูกใจนักหนา” เสียงของยายป่านลอยเข้ามาในหัว เสียงนั้นทำให้เมรินนึกเคืองอยู่ในใจ
“แม่ปุ้ยเขารักนางน่อยมากนะ ส่วนพ่อหรือ... ไม่ต้องพูดถึง ยายไม่อยากจะเอ่ยชื่อ”
“รัก อย่างนั้นหรือ” ใช่ล่ะ แม่ปุ้ยรักเมริน เธอรู้ เพราะได้ยินได้ฟังคำบอกเล่าจากน้าและยายบ่อยๆ แต่หากถามว่า พ่อกอล์ฟรักเธอไหม เมรินยังไม่แน่ใจ อันที่จริง เมรินแทบไม่รู้จักพ่อกอล์ฟจนนิดเดียว ภาพจำในสมองบอกว่า “พ่อของเธอชื่อคม” ก็ไม่ใช่น้าคมหรอกหรือที่เทียวรับเทียวส่งเมรินไปโรงเรียนทุกวันจนเพื่อนๆจำได้
สมัยเรียน ป. หนึ่ง ที่โรงเรียนเก่า ก็ได้น้าคมนี่แหละที่นำอาหารแห้งและของเล่นเด็กมาบริจาคบ่อยๆ น้องแก้วกับน้องแพรวเคยพูดว่า “พี่เมย์โชคดีแล้วที่มีคนดูแลอย่างพ่อคม”
เมรินนั่งอยู่ตรงนั้นนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ กระทั่งยายป่านถือชามข้าวเดินเข้ามาใกล้ เธอถึงได้ลุกออกจากโซฟา
“ออกไปรับลมข้างนอกกันเถอะนางน่อย”
บรรยากาศที่ลานดินหน้าบ้านขณะนี้ช่างแจ่มใส พระอาทิตย์เพิ่งจะโผล่พ้นขอบฟ้า ส่งแสงแดดอุ่นๆลงมาทักทายพื้นโลก ยายป่านพาเมรินไปใส่บาตรที่หน้าบ้าน จากนั้นก็มานั่งรับลมเย็นบนกระท่อมหลังน้อย น้าปลายบอกว่า วันนี้จะต้องกลับบ้านจัดสรรแล้ว เมรินใจหายไม่อยากจาก แต่เพราะเธอต้องไปเรียนในวันจันทร์ น้าปลายก็ต้องไปทำงานธนาคาร ทั้งสองคนให้สัญญาจะมาเยี่ยมยายป่านบ่อยๆ
“น้องเมย์กลับไปเรียนก่อนนะคะ ถึงช่วงปิดเทอมใหญ่ น้องเมย์จะมาอยู่กับคุณยาย บ้านหลังนี้ทำให้น้องเมย์รู้สึกดี สมกับที่คุณยายตั้งชื่อว่า “บ้านแสนสุข” ขณะนั่งรถกลับบ้าน น้าปลายถามเมรินว่าเธอยังคิดมากเรื่องแม่ปุ้ยอยู่หรือเปล่า เมรินตอบสั้นๆ “น้องเมย์จะไม่ร้องไห้อีกแล้วค่ะ ถึงแม้ว่าแม่ปุ้ยจะไปอยู่กับคุณตาบนสวรรค์ น้องเมย์ก็ยังมีแม่ปลายกับพ่อคมคอยดูแลอย่างดี ต่อไปนี้ถ้าใครมาล้อน้องเมย์ว่าเป็นเด็กกำพร้า น้องเมย์ก็จะตอบพวกเขาไปว่า”
น้องเมย์ไม่ได้กำพร้าสักหน่อย เพราะน้องเมย์เป็นลูกแม่ปลายกับพ่อคม”
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น