ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บั๊ดดี้ ซี้รัก

    ลำดับตอนที่ #13 : ก้าวแรกในชั้นมัธยม

    • อัปเดตล่าสุด 19 มิ.ย. 67


    ก้าวแรกในชั้นมัธยม

    รถวีออสคันสีขาวจอดสนิทหน้าโรงเรียนวินเซนต์ โรงเรียนมัธยมประจำจังหวัดที่แก้วใฝ่ฝันอยากเข้าเรียนมานาน เพราะแม่มุกกับน้าสร้อยก็จบ ม.ปลายจากที่นี่ รุ่นพี่หลายคนที่เข้าไปสัมผัส ทั้งศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันต่างแนะนำเด็กรุ่นน้องให้มาเป็นครอบครัวรั้วการเวกกันทั้งนั้น
    สภาพของโรงเรียนมีขนาดกว้าง มีศูนย์แนะแนวการศึกษา ศูนย์อาหาร และสถานพยาบาลแยกเป็นสัดส่วน
    อาคารเรียนที่นี่ มีทั้งหมดเจ็ดหลัง แต่ละหลังถูกออกแบบด้วยคอนกรีต และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแตกต่างกันไป ยกเว้นแต่อาคารหลังโรงอาหารเพียงแห่งเดียวที่เป็นไม้แบบทรงไทย
    ความปรารถนาจะเข้าโรงเรียนวินเซนต์ นับว่าเข้าทางแม่มุก พ่อแฟรงค์ และน้าสร้อย จึงกำชับให้แก้วท่องหนังสืออย่างหนัก ก่อนสอบคัดเลือกราวหนึ่งเดือน
    แก้วถูกส่งตัวไปเข้าค่ายเตรียมความพร้อมที่โรงเรียนสายทิพย์ ตลอดระยะเวลาสองสัปดาห์ มีคณะครูและรุ่นพี่ทั้งสายตาปกติและกลุ่มที่ตาบอดเหมือนๆกันมาติวทักษะวิชาต่างๆให้อย่างเข้มข้น ผลลัพธ์ก็คือ แก้วได้เป็นศิษย์ใหม่ของโรงเรียนนี้แบบคาดไม่ถึง
    ที่น่ายินดีไปกว่านั้นก็คือ พี่แพรวกับพี่คลินต์ก็ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนวินเซนต์เช่นกัน ขณะที่พี่น้ำตาลต้องสละสิทธิ์ไปหลังออกจากค่ายสอนเสริม เพราะน้าตองได้งานใหม่ที่กรุงเทพ พี่น้ำตาลเลยต้องย้ายไปอยู่ด้วยกัน
    "ถึงแล้วจ้ะน้องแก้ว" แม่มุกจูงมือแก้วเดินผ่านประตูบานใหญ่ไปยังห้องทำงานครูทรงศักดิ์ยินเสียงพูดคุยดังอยู่รอบตัว
    "พาลูกสาวมาเรียนหรือหนูมุกรินทร์"
    ครูทรงศักดิ์ หัวหน้าฝ่ายวิชาการเอ่ยกับแม่ของแก้วอย่างคนคุ้นเคย
    "ค่ะ คุณครูสบายดีนะคะ"
    "เรื่อยๆแหละหนูเอ้ย! แก่ตัวแล้วสุขภาพก็เริ่มถดถอย...”
    “เอ้อ ว่าแต่ลูกสาวเธออยู่ชั้นไหนล่ะ"
    “ม. หนึ่ง ทับหก ค่ะ ยังไงหนูฝากคุณครูด้วยนะคะ"
    "ได้เลย มาครับหนูเกวลิน เดี๋ยวครูจะพาไปเข้าแถวนะครับ" ครูทรงศักดิ์พูดแล้วเดินนำแก้วไปที่สนามฟุตบอล สถานที่ทำกิจกรรมก่อนเข้าเรียน
    ที่แถวนักเรียน ม. หนึ่ง ทับ หก แก้วยืนอยู่ข้างเพื่อนหญิงคนหนึ่ง ใจจริงอยากจะหยิบยื่นไมตรีให้ แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มทักทายอย่างไร
    โชคดีที่เพื่อนข้างตัว ซึ่งมีน้ำเสียงสดใส บ่งบอกความร่าเริงอยู่ในทีเป็นฝ่ายเอ่ยทักขึ้นก่อน
    “สวัสดีจ้า เราชื่ออลียา เรียกว่าแอลลี่ก็ได้”
    เจ้าของชื่อไม่พูดเปล่า เธอยื่นมือเล็กบาง อบอวลด้วยกลิ่นหอมของครีมทาผิวมาให้สัมผัส เพียงพบกันครั้งแรก ก็รู้โดยสัญชาติญาณว่า ประตูแห่งมิตรภาพได้ถูกเปิดขึ้นแล้ว
    การที่แอลลี่หยิบยื่นไมตรีให้ในวันนี้ แก้วพอจะคลายความกังวลลงได้บ้าง อย่างน้อยก็ไม่ต้องเผชิญกับสิ่งแวดล้อมแปลกใหม่ที่ไม่คุ้นเคยเพียงลำพัง แก้วไม่หวังอะไรมากไปกว่าให้มิตรภาพในวันแรกยืนยาวตลอดไป
    กิจกรรมหน้าเสาธงดำเนินไปตามครรลอง เริ่มจากร้องเพลงชาติ สวดมนต์ไหว้พระ และกล่าวคำปฏิญานตน ซึ่งกิจกรรมทั้งหมดนี้ ใช้เวลาเพียงไม่นาน เมื่อครูเวรประจำวันสั่งเลิกแถว นักเรียนทุกคนทุกสายชั้นก็แยกย้ายไปเรียนตามห้องเรียนของตัวเอง
    แก้วเดินตามเพื่อนๆออกไปจากสนามฟุตบอล แอลลี่กับเพื่อนชายผมทองอีกคนคอยประกบซ้ายขวา ท่ามกลางสายลมอ่อนๆที่พัดมาปะทะผิวกาย และสายลมนั้น ได้พัดเอากลิ่นน้ำหอมของเพื่อนชายมาแตะปลายจมูกของแก้วอย่างจัง เพื่อนชายร่วมชั้นเรียนคนหนึ่งพูดกับเจ้าของกลิ่นน้ำหอมคนนั้นว่า
    “ Good boy. เด็กดีนะยู เดินข้างคนตาบอดเสียด้วย”
    ถูกแซวแบบนี้ เด็กชายผมทองเจ้าของเสียงเล็กน่ารักถึงกับชะงัก แต่ก็วางฟอร์มตอบกลับไปว่า
    “อย่ายุ่ง เราเป็นบอดี้การ์ดนะ สนใจทำหน้าที่นี้ด้วยกันเปล่าล่ะไมมัส...”
    “ไม่สน... ซะเมื่อไหร่เล่า”
    คำพูดหยอกล้อของเพื่อนทั้งสอง ทำเอาแก้วที่แอบฟังอยู่ทั้งปลื้มทั้งขำในคราวเดียวกัน ใจจริงอยากจะเปิดฉากชวนไมมัสกับเพื่อนที่ชื่อโอ๊ตคุยสักหน่อย แต่ก็หาจุดเริ่มต้นไม่ถูก แก้วจึงทำได้เพียงส่งยิ้มเล็กๆทักทาย
    จะว่าไป โทนเสียงของไมมัสก็มีส่วนคล้ายพี่เจสซี่เหมือนกันนะ เพียงแต่เสียงพี่เจสซี่จะสดใสฟังดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่า
    ก้าวแรกในห้องเรียน แก้วกับแอลลี่ได้ที่นั่งแถวหน้า เยื้องๆกับโต๊ะวางเอกสารกับเครื่องขยายเสียง
    ครูนวพร หรือครูนุ้ย ที่ปรึกษาประจำห้อง ม. หนึ่ง ทับ หก กล่าวต้อนรับศิษย์ใหม่ทุกคนอย่างอบอุ่น ไม่นาน แก้วก็ถูกพาตัวออกมาหน้าชั้น ครูนุ้ยขอให้แนะนำตัวเองให้เพื่อนทั้งห้องรู้จัก
    "สวัสดีค่ะ ชื่อเกวลิน ชื่อเล่นแก้ว ยินดีเป็นเพื่อนกับทุกคนเลยค่ะ"
    สิ้นสุดประโยคท้าย เสียงตบมือดังประสานกันพร้อมเพรียง จากนั้น ถึงตาเพื่อนๆได้แนะนำตัวเองบ้าง
    เพื่อนหญิงที่แก้วพอจะจำชื่อได้ คือลูน่า ริสา และแอลลี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ ส่วนเพื่อนผู้ชาย นอกจากไมมัสกับจักรพงษ์หรือนายโอ๊ตแก้วยังไม่ได้พูดคุยกับคนอื่น เพราะนั่งอยู่ไกลกัน
    “ขอโทษนะ” เพื่อนชายที่ว่ามีโทนเสียงคล้ายพี่เจสซี่โพล่งขึ้นโดยไม่คาดคิด
    “คือ เราอยากรู้ว่า เธอตาบอดมาตั้งแต่เกิดหรือเปล่า”
    คำถามนี้ สร้างความไม่พอใจแก่เพื่อนหลายคนในห้องนั้น
    “นายจะตั้งคำถามแทงใจดำเพื่อนทำไมล่ะไมมัส”
    ใครคนหนึ่งจากแถวกลางต่อว่าเสียงเข้ม
    “นั่นสิ ไม่เข้าท่าเลยจริงๆ” เพื่อนหญิงน้ำเสียงเนิบช้าอีกคนสำทับ
    “อูย โทษทีนะ... สื่อสารตรงไปหน่อย งั้น เราเปลี่ยนคำถามใหม่ก็ได้”
    ไมมัส บอกด้วยความรู้สึกผิดอย่างจริงใจ
    “ไม่ต้องเปลี่ยนหรอกจ้า” แก้วรวบรัดตัดความ เพราะไม่ได้รู้สึกสะเทือนใจกับคำถามที่ได้ยินเมื่อครู่เลยจนนิดเดียว
    “ถ้าเพื่อนๆอยากรู้ประวัติของแก้ว แก้วก็ยินดีเล่าให้ฟัง”
    ไม่รอฟังคำตอบใดๆจากเพื่อน แก้วยืนตัวตรง ส่งยิ้มกว้าง แล้วเล่าถึงสาเหตุที่ทำให้ตาบอดอย่างไม่รู้สึกเก้อเขิน
    แก้วมองไม่เห็นอะไรเลย แม้แต่แสงและสีสันต่างๆ ทางการแพทย์ระบุว่า การมองเห็นของแก้วอยู่ระดับตาบอดสนิท แต่แก้วก็ยังดีใจ เพราะถึงแม้จะไม่มีโอกาสมองเห็นความงามของสิ่งต่างๆ แต่แก้วก็มีเพื่อนที่ดี มีครอบครัวแสนอบอุ่นที่คอยเป็นดวงตา อธิบายทุกอย่างรอบตัวให้ฟังเสมอเมื่อมีโอกาส
    “โอ้โห! คลอดก่อนกำหนดเจ็ดเดือนครึ่ง แถมเข้าตู้อบอีกต่างหาก อเมซิ่งสุดๆ”
    ไมมัสรีบพูดทันทีที่แก้วเล่าเรื่องจบ “แล้วแก้วเคยรู้สึกน้อยใจตัวเองบ้างหรือเปล่า”
    เจ้าของเสียงเล็กน่ารักที่นั่งข้างไมมัสถามขึ้นบ้าง ขณะที่สาวเสียงเนิบช้าจากที่นั่งแถวกลางพึมพำต่อว่าเบาๆ
    “นี่ นายโอ๊ต จะยุ่งเรื่องของเพื่อนอีกทำไม”
    “ไม่เลยจ้ะ” แก้วให้คำตอบ
    แก้วถือคติว่า แก้ว “ตาบอด” นั้นคือความจริง” หากเราพยายามผลักไส ไม่ยอมรับความจริงที่เป็นอยู่ แล้วเราจะมีความสุขได้อย่างไร จริงไหมคะ
    “ถูกต้องที่สุดเลยเพื่อนเรา” แอลลี่สำทับขณะพาแก้วกลับมาที่โต๊ะ
    คุยกันพอหอมปากหอมคอเพียงเท่านี้ เสียงออดหมดคาบโฮมรูมก็ดังขึ้น ครูนุ้ยเดินออกจากห้อง เพื่อนๆเข้านั่งประจำที่เพื่อเตรียมตัวเรียนวิชาต่อไป
    ไม่นานก็ถึงเวลาพักเที่ยง แก้วเดินไปโรงอาหารกับแอลลี่ ขณะที่เพื่อนอีกสี่คน คือไมมัส นายโอ๊ต ริสา และลูน่า คอยติดตามอยู่รั้งท้าย
    แก้วอบอุ่นใจที่วันนี้เพื่อนทั้งสี่คนอยู่ด้วยกันตลอด
    จากที่ก่อนหน้านี้ ในใจกังวลไปสารพัด กลัวจะได้เพื่อนไม่ดี กลัวเรียนไม่ได้ และกลัวอะไรต่อมิอะไรอีกสารพัดอย่าง แต่ ณ ตอนนี้ สิ่งที่คิดกลัวกลับราบรื่นไปเสียหมด ความวิตกกังวลที่เกาะกินใจมาตั้งแต่ก่อนเปิดเรียนได้หายไปสิ้น ไม่ทิ้งร่องรอยให้รู้สึกอีกแล้ว การเรียนการสอนคาบที่ห้าเริ่มขึ้นเวลาก่อนบ่ายโมงเล็กน้อย เป็นการเลือกรายวิชาตามความถนัด แก้วเลือกเรียนอังกฤษฟังพูด ที่สอนโดยอาจารย์จากสถาบันภาษาแห่งเดียวในจังหวัดนี้ ซึ่งอาจารย์ก็ให้การต้อนรับนักเรียนทุกคนเป็นอย่างดี
    คาบแรกวันนี้ ครูประจำวิชาให้แก้วฝึกสนทนาถามตอบกับเพื่อนๆ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ตัวเองชอบตั้งแต่สมัยเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนเก่า บทสนทนาในชั่วโมงแรกไม่มีอะไรมากไปกว่าการบอกประวัติของตัวเองอย่างคร่าวๆตามแบบฝึกถามจากหนังสือเรียน
    แก้วจับคู่กับแอลลี่ โดยที่แอลลี่เป็นฝ่ายอ่านคำถามให้แก้วตอบ
    Ally: “What’s your name?”
    แก้วสูดลมหายใจระงับอาการตื่นเต้นก่อนจะตอบบทสนทนาด้วยภาษาอังกฤษที่ถอดสำเนียงมาจากพ่อแฟรงค์ทุกกระเบียดนิ้ว
    Kaew: “My name is Kewalin. I’m called Kaew. What about you?”
    แอลลี่บอกชื่อของตัวเองอย่างคล่องแคล่วก่อนที่ครูประจำวิชาจะตบมือแล้วพูดว่า “ Good job.” ซึ่งแปลว่าดีมากนั่นเอง
    โห! แก้ว เธอพูดอังกฤษเก่งจริงๆนะ สำเนียงเป๊ะเวอร์พอๆกับเจ้าของภาษาเลย...” ไมมัส กล่าวชม
    “พ่อเราสอนให้พูดภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็ก” แก้วอธิบาย
    “เหมือนกับแม่ที่สอนภาษาไทยคู่กันไปด้วย” พ่อบอกว่า เป็นคนสองเชื้อชาติ ต้องสื่อสารให้ได้ทั้งภาษาถิ่นเกิดของแม่ และภาษาของประเทศที่พ่อเคยอาศัย”
    “ดีจัง” นายโอ๊ตอุทาน
    “แก้วพูดได้ทั้งไทยทั้งอังกฤษ เราว่าเท่ดีนะ ถ้าหางานพิเศษทำได้ละก็ รับรองว่าเธอมีเงินเก็บก่อนเรียนจบ ม. ปลาย แน่นอน”””
    แก้วฟังคำนายโอ๊ต อย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก เรื่องหางานพิเศษทำแก้วไม่เคยคิด เอาไว้เรียนจบค่อยมาว่ากันทีหลัง ตอนนี้ ขอสนุกกับชีวิตวัยมัธยมให้เต็มที่จะดีกว่า

    “เป็นยังไงคะพี่แพรว” แก้วถามขณะวงล้อหมุนมุ่งหน้าสู่ห้างใหญ่ที่เคยไปเดินเที่ยวเป็นประจำ แม่มุกบอกว่าจะพาแก้วกับแพรวไปกินสเต็ก และเดินเล่นกันพลางๆ รอเวลาที่พ่อแฟรงค์มาถึงค่อยไปรับที่จุดจอดรถโดยสาร ซึ่งอยู่หน้าทางเข้าห้างพอดี
    วันนี้วันศุกร์ วันที่พ่อแฟรงค์จะกลับมาจากกรุงเทพ กลับมาพักผ่อนที่บ้านหลังสวยกับครอบครัว เป็นช่วงเวลาที่ทุกคนมีความสุขมาก
    โดยเฉพาะแก้ว ที่แทบจะรอให้ถึงวันสุดสัปดาห์ไม่ไหว ทุกครั้งที่พ่อแฟรงค์กลับมาบ้าน พ่อแฟรงค์มจะซื้อของกินติดมือมาฝากอยู่บ่อยๆ
    ครั้งหนึ่งเคยซื้อ “บิสกิต” กล่องใหญ่กับนมแพะจากนิวซีแลนด์มาฝากด้วย เฉพาะนมแพะนั้น แก้วว่ามันหวานอร่อย ดื่มได้สบายใจไร้กลิ่นคาว ก็เลยแบ่งไปฝากพี่แพรวกับน้าพิมพ์ด้วยส่วนหนึ่ง
    หรือจะเป็นช่วงก่อนเปิดเรียน พ่อแฟรงค์พาไปซื้อชุดนักเรียนตัวใหม่ ตอนนั้นพี่แพรวมีเงินไม่พอ พ่อแฟรงค์กับแม่มุกเลยช่วยออกเงินค่าชุดนักเรียนสีขาวนั้นให้พี่แพรวอีกต่างหาก
    “แม่ยังไม่รู้เรื่องที่พี่เอาเงินค่าชุดนักเรียนส่วนหนึ่งไปกินไอติม... แก้วอย่าบอกแม่พิมพ์นะ” พี่แพรวกำชับหนักแน่นจนแก้วต้องตกปากรับคำออกไป
    ตกลงค่ะ แก้วจะไม่บอกน้าพิมพ์ สัญญาด้วยหัวใจเลยค่ะ”
    วันนี้พี่แพรวสวมเสื้อสีขาวปักดาวสีน้ำเงินกับกระโปรงยาวเลยเข่า ที่น้าพิมพ์รีดให้อย่างเรียบร้อย ผูกคอซองต์หูกระต่ายเช่นเดียวกับแก้ว บริเวณอกขวา มีชื่อย่อสถาบันปักไว้เด่นชัด แก้วกับพี่แพรวทั้งตื่นเต้น ทั้งดีใจในวันแรกที่ก้าวเข้าสู่อ้อมอกของโรงเรียนวินเซนต์
    “เพื่อนห้องพี่น่ารักมากเลย” พี่แพรวเริ่มเล่า
    “ไม่มีใครล้อพี่ว่าตาบอดด้วย แก้วล่ะ เป็นไงบ้าง เห็นว่าได้บั๊ดดี้แล้วใช่ไหม”
    “ค่ะ” แก้วตอบก่อนจะขยายเรื่องต่อ
    “เปิดเทอมวันแรกแก้วได้รู้จักเพื่อนชายหญิง สี่ คน เลย เพื่อนชายหนึ่งคนในกลุ่มชื่อไมมัส โทนเสียงของเขามีส่วนคล้ายเสียงพี่เจสซี่เหมือนกันนะพี่แพรว”
    “เออนะ น้องเรา วกกลับมาคุยถึงเจสซี่อีกจนได้” “เอ! พี่พอจะเข้าใจล่ะ เพราะแก้วมีอะไรพิเศษกับเพื่อนเราคนนี้อยู่นี่นา”
    พี่แพรวเอ่ยเสียงสูง พลางหัวเราะคิก
    “พี่แพรวพูดอะไรก็ไม่รู้” แก้วทำเสียงเขิน
    “จริงนี่นา... ว่าแต่ แก้วโทรบอกเจสซี่หรือยังว่าจะมากินสเต็ก”
    “ยังเลย... แก้วว่า พี่เจสน่าจะรออยู่ที่ห้างนะ...”
    จริงสิ วันนี้พี่เจสซี่มีเรียนร้องเพลงที่สถาบันดนตรีของครูสตีเฟน สถานที่เรียนอยู่บนชั้น 3 ตรงข้ามสถาบันสอนภาษาของครูซามูเอล
    “กว่าเราจะไปถึง เจสซี่คงเลิกเรียนพอดี แก้วเพจบอกพี่เขามาเจอกันที่ร้านสเต็กดีไหมลูก””
    “ค่ะ” แก้วใช้โทรศัพท์มือถือของแม่มุกโทรไปแจ้งข้อความสั้นเข้าเพจเจอร์ของพี่เจสซี่ บอกข้อความกับเจ้าหน้าที่ไปแล้วก็นึกกลัวเหมือนกันว่าจะเพจไปรบกวนเวลาเรียนของพี่เขาไหมนะ

    บรรยากาศในห้องเรียนร้องเพลงวันนี้ เต็มไปด้วยกลิ่นไอแห่งความสุข วัยรุ่นกลุ่มใหญ่ทั้งหญิงและชายทยอยมากันจนเต็มห้อง
    แมทธิว เด็กหนุ่มผมทอง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มพาเพื่อนสาวชื่อเมรินเดินนำเข้าห้องเรียนไปก่อน ขณะที่เพื่อนชายผมสีบลอนด์อีกคนเดินตามอยู่ข้างหลัง
    เด็กๆในคลาสเรียนนี้ รู้กันทั้งหมดว่า แมทธิวกับเจสซี่รักและสนิทกันมาก ไปไหนมาไหนก็ไปด้วยกันเป็นเงาตามตัว ส่วนเมรินไม่มีใครรู้เรื่องราวเกี่ยวกับตัวเธอมากนัก ทุกคนในคลาสเข้าใจเอาเองว่าเธอเป็นนักเรียนที่แม็ทกับเจสซี่ต้องดูแลก็เท่านั้น
    เลือกที่นั่งตรงมุมสงบได้ เมรินก็ขอความช่วยเหลือจากผู้นำทางเสียงเพราะทันที
    “แม็ทจำได้ไหม ที่ครูสตีฟบอกเมื่อวานว่าจะสอบเพลงตามใจฉันน่ะ”” เมรินเท้าความ
    “เราเลือกเพลงไว้แล้ว กำลังจะเริ่มจด ถ่านซาวอะเบาท์ก็หมดแบบไม่ทันตั้งตัวเลย เราเลยอยากให้เธอช่วย...”
    แทนคำตอบ เมรินหยิบสเล้ตแผ่นใหญ่มาวางตรงหน้า แมทธิวเข้าใจความหมายในทันที
    “จะให้ช่วยบอกจดเนื้อเพลงใช่ไหมล่ะ”
    “ถูกต้อง” เมรินตอบแล้วแอบยิ้ม พยายามซ่อนความรู้สึกบางอย่างไว้ในส่วนลึก
    “ได้เลย ไม่มีปัญหา...”
    ว่าพลางหยิบสมุดเพลงออกมา พลิกหน้ากระดาษเร็วๆสองสามครั้งก็เจอเนื้อเพลงที่เมรินต้องการ
    “เธอจะร้องเพลง Matter of time ใช่ไหม”
    “ใช่จ้ะ เพลงนี้โดยส่วนตัวเราชอบเป็นพิเศษเลย”
    เมรินบอกอีก แมทธิวนิ่งฟัง เข้าใจดีว่าจะต้องบอกเนื้อเพลงกับเมรินอย่างไร
    อ่านทีละประโยค ไม่ช้า ไม่เร็วนัก หากก็ชัดถ้อยชัดคำดี ช่วยให้คนฟังจดเนื้อเพลงที่เลือกมาสอบได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องสักบรรทัดเดียว
    ระหว่างนั้น เจสซี่หยิบเพจเจอร์ออกมาจากกระเป๋า มันส่งเสียงเตือนดังพอที่เพื่อนข้างตัวเช่นเมรินและแมทธิวจะได้ยิน
    “เลิกเรียนแล้วเจอกันที่ร้านสเต็กนะคะ, จากน้องแก้ว”

    เมรินกับแมทธิวเรียนร้องเพลงด้วยกันมาตั้งแต่ช่วงปิดเทอมฤดูร้อน เมื่อจบกิจกรรมค่ายสอนเสริมที่โรงเรียนสายทิพย์ แมทธิวกับเจสซี่ไปติวข้อสอบเข้า ม. หนึ่ง ให้แพรวตามที่รับปากกับเมริน
    สถานที่คือบ้านของเจสซี่ แทนที่จะเป็นบ้านของเมรินอย่างที่คุยกันในตอนแรก เพื่อนร่วมทีม คือน้องแก้ว แพรว เมริน และแมทธิว เห็นตรงกันว่า บ้านเจสซี่มีห้องส่วนตัวที่ไม่มีใครมา รบกวน เหมาะที่จะอ่านหนังสือหรือทำกิจกรรมต่างๆตามประสาเพื่อนสนิทกัน
    ติวบทเรียนเสร็จแล้ว เจสซี่ก็เปิดคาราโอเกะร้องเพลงกันเป็นการผ่อนคลาย เมรินนั่งฟังเพื่อนๆ คนแล้ว คนเล่า
    แก้ว แพรว แมทธิว หรือแม้แต่เจ้าของห้องชั้นบนอย่างเจสซี่ ร้องเพลงเพราะกันทั้งนั้น ถึงตาเมริน เธอร้องเพลงเพี้ยนคีย์เอามากๆ อยากจะพัฒนาการร้องให้ดีขึ้น
    เมื่อปรึกษากับแมทธิว เขาเลยพาเธอเข้ามาเรียนในคลาสนี้ ครูสตีเฟนไม่ปฏิเสธที่จะสอน เขาทำทุกทางเพื่อให้เธอเรียนร่วมกับเพื่อนสายตาปกติได้อย่างราบรื่น
    “สองคนนี้นี่ ดูแลกันไม่ห่างเลยจริงๆ” เจสซี่เอ่ยแซว ขณะแมทธิวส่งสายตาค้อนให้แทนคำโต้เถียง
    “แต่ก็ดีแล้ว ตอนนี้เป็นบั๊ดดี้ แต่ต่อไป อาจจะได้เป็นเลิฟเวอร์... ดูอย่างเรากับน้องแก้วสิ ใครจะไปคิดว่าจะได้คบกันบ้าง...””
    “เลิฟเวอร์ คู่รักนี่นะ...จะเป็นไปได้เหรอ”
    “แต่ถ้าโชคชะตาพาให้เป็นอย่างนั้นจริงๆล่ะ แมทธิวจะทำอย่างไร จะเป็นแฟนที่ดีของเมรินได้ไหม ยังไม่รู้ เขายังไม่เคยพบพานรักแรกเลยเสียด้วยซ้ำ แล้วถ้า “รักแรก” ของเขาคือเธอที่นั่งอยู่ข้างๆล่ะ เธอผู้มีชีวิตอยู่กับดวงตาที่มืดสนิท และเขาเองที่ต้องมาเป็นแสงสว่างให้กับเธอ อย่างตอนนี้ที่กำลังอ่านเนื้อเพลงให้เธอฟังอยู่นี่ไง
    จดเนื้อเพลงเสร็จ แมทธิวได้ทีจึงหันไปพูดกับเพื่อนยากจอมทะเล้นว่า
    “ใครจะคิดว่าได้คบกันบ้างงั้นเหรอ ตอนนี้นายก็เรียกน้องแก้วว่าแฟนอย่างเต็มปากเต็มคำแล้วนี่นะ”
    “ก็ใช่แหละ... เราก็ไม่รู้นะว่าชอบน้องแก้วที่ตรงไหน แล้วทำไมถึงเลือกเธอเป็นแฟน ตอบไม่ได้จริงๆนะ”
    “อาจเป็นเพราะเจสซี่กับน้องแก้วผูกพันกันมาตั้งแต่เด็กหรือเปล่า” เมรินตั้งข้อสังเกต เจสซี่นิ่งคิด
    “อืม! ไม่แน่ใจน่ะ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆก็บังเอิญมากเลยล่ะ เพราะเธอก็รู้จักกับแม็ทตั้งแต่เด็กเหมือนเราใช่ไหมล่ะ”
    “อ้าว เป็นงั้นไป” แมทธิวพูดเพียงเท่านั้น ประตูห้องเรียนถูกเปิดออกอีกครั้ง ครูสตีเฟนเดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย ตอนนั้นเอง การสอบร้องเพลงตามใจฉันก็เริ่มต้นขึ้น เมรินเดินขึ้นเวทีเป็นคนสุดท้าย
    “ Baby it's just a matter of time”
    If we can take it slow everything will be alright
    Let it flow, and I know that we'll find
    It's just a matter of time
    “I know that we'll find It's just a matter of time”
    “ ประโยคสุดท้ายจบลงพร้อมเสียงซาวน์ดนตรีชนิดไม่ผิดเพี้ยน เป็นเวลาเดียวกับนาฬิกาพูดได้ที่เธอสวมอยู่ส่งเสียงดังขึ้นพอดี
    เด็กๆในคลาสออกมานั่งล้อมวงที่เก้าอี้ตัวยาวหน้าห้องเรียน ฟังครูสตีเฟนชี้แจงเรื่องสำคัญอยู่ครู่ใหญ่
    ถึงเวลาเลิกเรียน เพื่อนคนอื่นแยกย้ายตามอัธยาศัย เหลือเพียงแมทธิวกับเจสซี่ที่ยังอยู่ซ้อมเพลงต่อ
    ส่วนเมรินเธอบอกว่า เธอรอให้คนมารับที่ห้องนี้ตอนหกโมงเย็น ครูสตีเฟนไม่ว่าอะไร เขาพูดเพียงสั้นๆว่า
    “โอเค งั้นเรานั่งฟังเพื่อนซ้อมเพลงไปก่อนนะ...”

    “ Set the sun on fire scream a little higher hold you in the moonlight I say yeah if you say allright”
    “ ประสานเสียงกันดีมาก” ครูสตีเฟนกล่าวชม
    “จริงๆแล้ว แม็ทกับเจส มีโทนเสียงคล้ายกัน... คล้ายกันชนิดที่คนไม่รู้จักคงเดาไม่ถูกว่าเสียงใครเป็นเสียงใคร”
    “เธอสองคนกลับไปเก็บรายละเอียดบทเพลงให้เข้าใจอีกรอบนะ ชั่วโมงหน้าค่อยมาซ้อมกันใหม่” ครูสตีเฟนกล่าวพลางเหลือบมองนาฬิกา
    “แหม! ฟังดูเหมือนกับว่า พ่อจะให้ผมกับแม็ท ลงประกวดร้องเพลงประจำปีอีกแล้วใช่ไหมครับ”
    “ก็แน่สิ... ใครนะบอกว่าจะแก้มือจากปีที่แล้ว”
    “ผมพูดเองครับพ่อ... มันน่าเจ็บใจไหมครับ อุตส่าห์ซ้อมแทบเป็นแทบตาย ผลสุดท้ายแพ้ราบคาบ ไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง” เจสซี่นึกถึงเหตุการณ์ในวันส่งท้ายปีเก่าที่ผ่านมา
    “เพิ่งมาซ้อมก่อนลงประกวดน่ะสิ เห็นเอาแต่นั่งเล่นเกมทั้งวัน” ครูสตีเฟนบ่นอย่างรู้ทัน
    “เอาเถอะ จากนี้ไปจนถึงปีใหม่ตั้งใจทำผลงานก็แล้วกัน”
    “แม็ทละก็ เรื่องเกมกดน่ะ ปรามๆเจสซี่เขาบ้างนะ” ครูสตีเฟนหันมาสั่งความ ทำเอาเด็กชายผมทองเหวอไปเล็กน้อย
    เขาน่ะหรือจะห้ามจะปรามอะไรเจสซี่ได้ ตัวเขาเองก็ชอบเล่นเกมกดไม่แพ้เพื่อนสนิทเลยนี่นะ
    “เอาล่ะ ถึงเวลาเลิกคลาสแล้ว เดี๋ยวพ่อจะไปหาแม่เรากับจินนี่ก่อน”
    คุณสตีเฟนบอกกับเจสซี่
    “ See you next time ครับ”

    กล่าวลาครูสอนร้องเพลงตามธรรมเนียม แมทธิวเดินออกจากห้องดนตรี ตั้งใจไปหาของกินรองท้องก่อนกลับบ้าน เห็นเมรินยังนั่งเฉยจึงถามว่า
    “ยังไม่มีคนมารับเหรอ”
    “น้าปลายยังไม่เลิกงาน น้าคมก็เข้าเวรดึกที่โรงพัก เห็นทีเราต้องเดินเล่นอยู่ที่ห้างนี้ก่อน”
    แต่ละชื่อที่เมรินเอ่ยมา แมทธิวจำได้ลางๆว่าเป็นผู้ปกครองของเมริน
    “งั้นไปกินสเต็กไหมล่ะ ลงบันใดแป๊บเดียวก็ถึง” เมรินนึกภาพตาม แล้วจำได้ว่า
    ร้านสเต็กที่แมทธิวพูดถึงนั้นคือร้านเดียวกับที่น้าปลายกับน้าคมเคยพาเธอมาลิ้มรสอาหารจานเด็ดที่ร้านนี้บ่อยๆ เมรินทำตัวไม่ถูกเมื่อคิดว่าจะไปกินสเต็กกับเพื่อนร่วมชั้นเรียน
    ยิ่งคนที่ชวนเธอคือ “แมทธิว” แล้ว หัวใจเมรินเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
    “ไปเถอะนะ คิดเสียว่ากินข้าวกับพวกเราในวันเปิดเทอมใหม่แล้วกัน”
    แมทธิวยืนยัน เจสซี่ช่วยพูดเสริมว่า
    “แพรวกับน้องแก้วรออยู่ที่ร้านเหมือนกันนะ”
    “จริงเหรอ งั้นเราไปกันเถอะ”
    เมรินพูดแล้วเดินเกาะแขนแมทธิวไปทันที เธอดีใจที่จะได้เจอแพรวกับน้องแก้วชนิดได้ยินเสียงกันใกล้ๆ แทนการคุยโทรศัพท์ในยามว่างก่อนเปิดเทอม

    ห้างสรรพสินค้าที่ครอบครัวเมอร์ฟีมาเดินเที่ยวบ่อยๆ วันนี้พลุกพล่านกว่าทุกวัน เฉพาะนักเรียนนักศึกษาซึ่งมาเลือกซื้อของ บ้างก็เดินหาอาหารรับประทานกันขวักไขว่ ยิ่งเป็นวันศุกร์สุดสัปดาห์ด้วยแล้ว พวกเราสามารถอยู่ที่ห้างแห่งนี้ได้นานเท่าที่ต้องการทีเดียว
    แม่มุกพาแก้วกับพี่แพรวเดินดูของแถวชั้นใต้ดินนิดหน่อย เข้าร้านเสื้อผ้า เลือกซื้อชุดกระโปรงสีชมพูลายดอกไม้น่ารักให้คนละตัว
    แม่มุกบอกว่าชุดนี้สวยดี เหมาะสำหรับใส่เที่ยวห้าง หรือใส่ไปงานเลี้ยงในกลุ่มเพื่อนได้ทั้งนั้น แต่แก้วไม่ค่อยชอบนุ่งกระโปรงสักเท่าไหร่ ออกไปไหนทีมีแต่เสื้อยืดคอกลมกับกางเกงยีนส์สีน้ำตาลที่พ่อแฟรงค์ซื้อให้เมื่อนานมาแล้วเท่านันเอง พี่แพรวเสียอีกที่นุ่งกระโปรงแล้วดูสวย หุ่นเพรียวน่าเอ็นดู
    “ลองเปลี่ยนลุกดูสิแก้ว เธอใส่กระโปรงแล้วก็ดูดีเหมือนกันล่ะน่า” พี่แพรวว่าพลางสัมผัสเบาๆที่ตัวของแก้ว
    “ถ้าแต่งหน้านิด ทาปากอีกหน่อย จะดูเป็นสาวหวานน่ารักทีเดียวนะลูก”
    ว่าแล้ว แม่มุกก็หยิบลิปสติกกับแป้งพัฟออกมา จัดการกับหน้ามันๆของแก้วจนเรียบร้อย แล้วจึงทำแบบเดียวกันกับพี่แพรวบ้าง
    “เรามองไม่เห็น เสื้อผ้าหน้าผมต้องสะอาดเรียบร้อย จะได้ดูดีเป็นศรีแก่ตัวเอง จำไว้นะลูก” นี่คือคติของแม่มุก ที่มักพูดกับแก้วและพี่แพรวอยู่เสมอ ออกจากร้านเสื้อผ้าก็เกาะกลุ่มกันเข้าร้านสเต็ก ซึ่งพ่อแฟรงค์ที่มาถึงทันเวลารออยู่พร้อมๆกับกลุ่มวัยรุ่นหนุ่มสาวอีก 3 คน พี่เจสซี่เพจมาบอกแม่มุกตอนลองเสื้อว่า พี่แมทธิวกับพี่เมรินจะมากินข้าวเย็นวันนี้ด้วย
    แก้วกับพี่แพรวดีใจที่ได้เจอพี่สองคนอีกครั้ง ด้วยเราชื่นชมพี่เขา ภาพจำในใจขณะเรากินข้าวกลางวันด้วยกันหลังกิจกรรมจุดไฟให้น้อง
    ครูไตรภพซื้ออาหารทะเลมาชุดใหญ่ พี่แม็ทนี่แหละที่ช่วยแกะหอยแครงลวกที่พี่เมย์ชอบใส่จานให้ พี่เมย์ก็คอยรินโค้กใส่แก้วให้พี่แม็ท จนแก้วกับพี่แพรวอดยิ้มไม่ได้ ยิ้มด้วยความชื่นชมพี่สองคนจากใจจริง
    ชื่นชมที่พี่แม็ทให้ความเป็นกันเองกับพี่เมย์ โดยไม่คำนึงถึงจุดบกพร่องที่พี่เขาเป็นเลยจนนิดเดียว พี่เมย์ก็พยายามจะช่วยเหลือพี่แม็ทในสิ่งที่พอจะช่วยได้
    ส่วนพี่เจสซี่นั้น ไม่ต้องพูดถึง เขาดูแลแก้วอย่างดีที่สุดเช่นกัน ดังจะได้เล่าในเหตุการณ์ต่อจากนี้
    ที่ร้านเสต็กแบบบริการตัวเอง พนักงานกล่าวต้อนรับเสียงใสเหมือนเช่นเคย แม่มุกพาแก้วกับพี่แพรวไปนั่งร่วมโต๊ะกับเพื่อนๆรุ่นราวคราวเดียวกัน ส่วนตัวแม่มุกก็ไปรวมกลุ่มกับพ่อและลุงๆป้าๆที่โต๊ะถัดไปไม่ไกลกัน
    ที่โต๊ะนั้น นอกจากแม่มุกกับพ่อแฟรงค์ก็มีลุงสตีฟกับน้าสร้อยที่แก้วรู้จักดี รวมถึงลุงแซมก็พาป้าแหม่มกับพี่โมตามมาสมทบอีกเช่นกัน ถือเป็นการกินอาหารค่ำร่วมกัน คน พี่เจสซี่เพจมาบอกแม่มุกตอนลองเสื้อว่า พี่แมทธิวกับพี่เมรินจะมากินข้าวเย็นวันนี้ด้วย
    แก้วกับพี่แพรวดีใจที่ได้เจอพี่สองคนอีกครั้ง ด้วยเราชื่นชมพี่เขา ภาพจำในใจขณะเรากินข้าวกลางวันด้วยกันหลังกิจกรรมจุดไฟให้น้อง
    ครูไตรภพซื้ออาหารทะเลมาชุดใหญ่ พี่แม็ทนี่แหละที่ช่วยแกะหอยแครงลวกที่พี่เมย์ชอบใส่จานให้ พี่เมย์ก็คอยรินโค้กใส่แก้วให้พี่แม็ท จนแก้วกับพี่แพรวอดยิ้มไม่ได้ ยิ้มด้วยความชื่นชมพี่สองคนจากใจจริง
    ชื่นชมที่พี่แม็ทให้ความเป็นกันเองกับพี่เมย์ โดยไม่คำนึงถึงจุดบกพร่องที่พี่เขาเป็นเลยจนนิดเดียว พี่เมย์ก็พยายามจะช่วยเหลือพี่แม็ทในสิ่งที่พอจะช่วยได้
    ส่วนพี่เจสซี่นั้น ไม่ต้องพูดถึง เขาดูแลแก้วอย่างดีที่สุดเช่นกัน ดังจะได้เล่าในเหตุการณ์ต่อจากนี้
    ที่ร้านเสต็กแบบบริการตัวเอง พนักงานกล่าวต้อนรับเสียงใสเหมือนเช่นเคย แม่มุกพาแก้วกับพี่แพรวไปนั่งร่วมโต๊ะกับเพื่อนๆรุ่นราวคราวเดียวกัน ส่วนตัวแม่มุกก็ไปรวมกลุ่มกับพ่อและลุงๆป้าๆที่โต๊ะถัดไปไม่ไกลกัน
    ที่โต๊ะนั้น นอกจากแม่มุกกับพ่อแฟรงค์ก็มีลุงสตีฟกับน้าสร้อยที่แก้วรู้จักดี รวมถึงลุงแซมก็พาป้าแหม่มกับพี่โมตามมาสมทบอีกเช่นกัน ถือเป็นการกินอาหารค่ำร่วมกัน 3 ครอบครัว ภายหลังจากที่เคยเกิดขึ้นตอนที่แก้วไปเที่ยวอเมริกาเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้
    ตอนนั้นยังเด็กมาก ภาพความทรงจำค่อนข้างเลือนลาง แก้วรู้เพียงว่า ลุงแซม พ่อแฟรงค์ และลุงสตีฟชอบนัดกินอาหารค่ำด้วยกันทุกสัปดาห์ แก้วเลยสนิทกับทั้งสองครอบครัวในตอนนั้น ไม่นึกเหมือนกันว่าจะได้มาเจอที่เมืองไทยอีกในวันนี้
    ที่โต๊ะของแก้ว เป็นโซฟาตัวยาวสองฝั่ง นั่งรวมกันได้หกคนพอดี แก้วกับพี่เจส พี่แพรวกับจินนี่ และพี่แม็ทนั่งคู่กับพี่เมริน
    เมื่อมากันครบทุกคนแล้ว พี่เจสซี่ก็เริ่มบรรยายรายการอาหารให้ฟัง แก้วนิ่งนึกอยู่เพียงครู่จึงพูดว่า
    “เอาเป็น ทีโบน สเต็ก มันบดแล้วก็ขนมปังก้อนค่ะ””
    “จัดให้ตามที่ขอ รอแป๊บนะ...” ว่าแล้วก็หันมาถามเพื่อนแก้วที่นั่งอยู่ตรงข้าม
    “แพรวล่ะ กินอะไรดี”
    “เอ่อ เราขอเป็น สปาเกตตีคาโบนาร่าแล้วกันจ้ะ”
    “โอเค มาเถอะแม็ท จะพาเมย์ไปเซอร์เวย์ที่เคาน์เตอร์ด้วยใช่ไหม”
    “ใช่” พี่แม็ทตอบสั้นๆ พี่เมย์จึงพูดว่า
    “ให้นั่งฟังเมนูอย่างเดียวเรานึกภาพตามไม่ทัน สู้ไปเดินสำรวจ และเลือกใส่จานทีละอย่างน่าจะดีกว่า อีกอย่าง แม็ทก็ไม่ต้องเดินไปตักอาหารหลายรอบด้วย แฟร์แฟร์กันทั้งสองฝ่ายว่าไหมล่ะ”
    “อย่างงั้นสิ” พี่แม็ทพูดอีก
    “งั้นก็รีบไปเถอะ” พี่เมรินรบเร้า
    “อย่ามัวเล่นเกมอยู่ ช้าหมดอดกินนะขอบอก”
    พี่เจสซี่กับจินนี่เดินล่วงหน้าไปที่เคาน์เตอร์ตักอาหารแล้ว พี่แม็ทเก็บเครื่องเกมกดลงในเป้สีดำประจำกายก่อนลุกขึ้นจากโต๊ะ แล้วเดินนำพี่เมรินตามออกไป
    เสียงฝีเท้าก้าวห่างออกไป แก้วก็อดยิ้มกับท่าทีแปลกๆของพี่ทั้งสองคนไม่ได้
    “ดูท่าพี่สองคนนั้นน่าจะมีอะไรพิเศษต่อกันนะคะพี่แพรว”
    “นั่นสิ ดูแลกันดีขนาดนี้ ต้องรู้สึกผูกพันบ้างล่ะน่า”
    ไม่นานเกินรอ พี่เจสซี่กลับมาที่โต๊ะ พร้อมถาดใบใหญ่ใส่จานไส้กรอกรมควัน มันบด ขนมปังก้อน และเสต็กเนื้อสำหรับตัวพี่เจสซี่เอง พี่เจสซี่วางถาดพลาสติกลงตรงหน้า นั่งลงเคียงข้างแก้ว จัดการหั่นสเต็กให้พอดีคำ และทาเนยบนขนมปังให้อย่างเรียบร้อย
    “หนูช่วยนะพี่แพรว” จินนี่หยิบจานสปาเกตตีกับแก้วน้ำผลไม้วางให้อย่างเบามือ
    มื้อค่ำวันนี้เป็นไปอย่างราบรื่น เรากินอาหารกันไป พูดคุยกันไปอย่างสนิทสนม ขนาดพี่เมย์ที่รู้จักกันมานานยังบอกว่าประทับใจ “ถ้าเราปฏิเสธแม็ทตอนอยู่ในห้องเรียนร้องเพลงละก็ คงพลาดโอกาสเจอเพื่อนใหม่ไปแล้ว ต่อจากนี้เราคือเพื่อนร่วมสถาบันเดียวกันนะ ยินดีต้อนรับสู่รั้วฟ้าแดงวินเซนต์จ้ะ” อิ่มอร่อยกับสเต็กชุดใหญ่ เราทั้งหมดก็ลุกจากที่นั่ง ขณะกำลังจะเดินออกจากร้านนั้นเอง น้าปลาย น้าของพี่เมย์ก็เดินเข้ามาหา
    “มารับน้องเมย์จ้า” เสียงพูดเนิบช้าแฝงความเป็นกันเองอยู่เนืองๆ
    น้าปลายจับมือแก้วกับพี่แพรว แล้วหันไปพูดกับพี่แม็ท
    “ขอบใจนะจ๊ะที่ช่วยดูแลน้องเมย์ให้อย่างดี”
    “พอดีน้าเพิ่งเลิกประชุมกับลูกค้า กว่าจะออกจากแบงค์ก็เย็นมากแล้ว แถมรถติดด้วยจ้ะเลยมาช้า”
    “ยินดีครับ”
    “ขอบใจอีกครั้งนะบั๊ดดี้ ไว้เจอกันที่โรงเรียนนะจ๊ะ” พี่เมย์กล่าวทิ้งท้ายก่อนเดินตามน้าปลายออกไปจากร้าน ขณะเดียวกัน ครอบครัวของลุงแซมขอแยกกลับไปก่อน ยังเหลือครอบครัวแก้วกับพี่เจสซี่
    พวกเราออกจากร้านสเต็กเป็นกลุ่มสุดท้าย น้าสร้อยเดินเร็วๆไปที่ร้านเสื้อผ้า กะว่าจะซื้อกระโปรงใหม่เอี่ยมให้จินนี่สักตัว ครั้นเหลือบดูนาฬิกา เห็นว่าเป็นเวลา 3 ทุ่ม ร้านรวงต่างๆเริ่มทยอยปิดประตู
    “ห้างใกล้ปิดแล้ว วันหลังค่อยมาดูใหม่แล้วกันนะจิน”
    “ค่ะ” จินนี่หมุนตัวกลับ จูงมือพี่แพรวมุ่งหน้าออกทางประตูใหญ่ ท่ามกลางสายลมพัดโชยยามราตรี
    แก้วกับพี่เจสซี่ที่ยังอยู่ภายในห้าง เราหยุดฟังเสียงน้ำพุในมุมที่ไม่มีผู้คนพลุกพล่าน
    “พรุ่งนี้แก้วต้องไปหาหมอใช่ไหม” พี่เจสซี่ถามเสียงนุ่มนวล
    “ค่ะ หมอนัดแก้วไปรับยาอีกแล้ว เฮ้อ โรคชักนี่น่าเบื่อจัง ไม่รู้จะต้องกินยาถึงเมื่อไหร่ ?
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×