ลำดับตอนที่ #12
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : จุดไฟให้น้อง
(แพรว)
“ทำไมการบ้านมันยากอย่างงี้นะ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ” แพรวบ่นอย่างหัวเสียขณะนั่งอยู่กับเพื่อนๆที่บริเวณลานกว้างใต้ตึกหอพัก บนโต๊ะหินอ่อนขนาดกว้างมีสเล้ท อลูมิเนียมแผ่นเล็กกับตำราเรียนอักษรเบรลล์เล่มหนาวางอยู่
“ยังไงล่ะแพรว กังวลเรื่องการบ้านครูวิลเลียมใช่มั้ย” คลินต์ที่นั่งฟังเพลงจากซาวอะเบาท์เอ่ยถาม
“ใช่สิ แบบฝึกยี่สิบข้อในหนังสือไวยากรณ์นั่นไง”
คลินต์ร้องอ๋อพลางหยิบหนังสือเล่มหนาออกมาเปิดดู เพื่อนชายผมสีน้ำตาลอ่อนกวาดสายตามองแวบเดียวก็เข้าใจอย่างแจ่มชัด โจทย์คำถามสี่ตัวเลือกเช่นนี้ เคยผ่านตา ของคลินต์มาบ้างตอนสอบเลื่อนชั้น
“แพรวไม่เข้าใจตรงไหน เดี๋ยวเราอธิบายให้” แพรวยังไม่ตอบคำ ได้แต่เลื่อนนิ้วสัมผัสจุดนูนเบรลล์ไปมา
“จะบอกคลินต์ยังไงดี” แพรวคิด ที่จริง เรื่องของแกรมม่า หรือหลักไวยากรณ์ภาษาอังกฤษนั้น ยอมรับว่า ไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าไหร่ เมื่อตอนอยู่ในห้องเรียนภาคค่ำ ฟังครูวิลเลียมอธิบายก็ดูเหมือนจะรับไหว แต่เมื่อต้องลงมือทำแบบฝึกหัดด้วยตัวเอง สมองของแพรวก็ชักเบลอเบลอ มึนๆเสียแล้ว
คลินต์เหมือนจะเดาใจแพรวออก จึงช่วยติวบทเรียนให้ ที่สุด แพรวก็ทำการบ้านเสร็จทันเวลา เมื่อแพรวเขียนคำตอบข้อสุดท้ายเสร็จ ก็เป็นจังหวะเดียวกับพี่ทอมมี่กับนายบอยเดินถือถุงพลาสติกใบใหญ่เข้ามา
“อ้าว บอย พี่ทอมมี่ เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ ทำยังกับวิ่งหนีครูฝ่ายปกครองมางั้นแหละ”
คลินต์ถามเสียงเร็ว ขณะที่แพรว อดแปลกใจไม่ได้ว่า ทำไมวันนี้ พี่ทอมมี่มาถึงโรงเรียนก่อนเข้าแถว ผิดกับตอนเข้าค่ายวันแรกๆ พี่ทอมมี่จะมาถึงโรงเรียนหลังเวลาเคารพธงชาติเป็นประจำ ก็พี่เขามาในฐานะผู้ช่วยครูนี่นา
“แล้วนั่นหอบอะไรมาคะ” แพรวสงสัยเมื่อเห็นถุงพลาสติกในมือพี่ทอมมี่
“ขนมมาร์ชเมลโลว์แสนอร่อย ส่งตรงจากเวสเชสเตอร์นิวยอร์กเลยนะขอบอก” พี่ทอมมี่เปิดถุงลักษณะเรียบใสที่ถืออยู่ในมือ ภายในมีมาร์ชเมลโลว์ทรงกลมหลากสี ห่อพลาสติกอย่างดีอยู่เต็มถุง
“อืม ขอลองชิมหน่อยได้มั้ย” แก้วที่นั่งเงียบอยู่นานถามเสียงอ่อนพลางเอื้อมไปหยิบขนมรูปทรงกลมนั้น
“เอาสิ เจสซี่เขาฝากมา”
“เจสซี่มาถึงแล้วเหรอคะ” แพรวรีบถาม
“งั้นสิ เจสซี่กับแม็ทมาถึงได้พักใหญ่แล้ว กำลังเตรียมกิจกรรมจุดไฟให้น้องอยู่บนหอสมุดนั่นแหละ”
“ดีจัง” แพรวเกิดมาบนโลกนี้สิบสามปี เพิ่งได้กินมาร์ชเมลโลว์จากอเมริกาก็วันนี้เอง “ขอสักชิ้นแล้วกัน...” ส่งขนมชิ้นเล็กในมือเข้าปากไปคำแรก สัมผัสถึงความนุ่มละมุนลิ้นจากแป้งเจลลาติน เข้ากันได้ดีกับกลิ่นวานิลลาที่หอมหวาน แต่ไม่ถึงขั้นหวานจนแสบคอหรอกนะ...
ออดไฟฟ้าที่ตึกสำนักงานส่งเสียงกังวานตอนแปดโมงเช้า เพื่อนเราที่นั่งเล่นอยู่ตามลานสนามหญ้า หน้าโรงอาหาร และใต้ตึกหอพักต่างพร้อมใจวิ่งไปเข้าแถวอย่างรีบร้อน
บรรยากาศวันสุดท้ายในค่ายเตรียมความพร้อมดูครึกครื้นกว่าทุกวัน เนื่องจากเพื่อนของเมริน คือ เจสซี่ แมทธิว รวมถึงกลุ่มเพื่อนพี่ทอมมี่ที่จบจากโรงเรียนสายทิพย์ไปหลายปีได้หวนคืนสู่เหย้า เพื่อมาแนะแนวการเรียนต่อ หรือที่รู้จักกันในนาม “จุดไฟให้น้อง” ตลอดทั้งวันนี้
“ว่าที่นักเรียน ม. หนึ่ง ฟังครูนะครับ” สิ้นคำประกาศจากผู้อำนวยการโรงเรียน เสียงพูดคุยที่ดังเซ็งแซ่ก็เงียบลงแทบพร้อมกัน
“ใครที่จะขึ้นไปร่วมกิจกรรมจุดไฟให้น้องบนหอสมุดชั้น 2 ให้เดินเรียงแถวตามธงสีฟ้าของรุ่นพี่ เพื่อความเป็นระเบียบ กรุณาอย่าแตกแถว ใครพอมองเห็นช่วยนำทางด้วย”
“รับทราบตามนี้ก็แยกเข้าหอสมุดได้ครับ”
แพรวกับเพื่อนๆทยอยขึ้นหอสมุดกันเป็นกลุ่มๆ เดินเรียงแถวหญิงชายไปโดยไม่พูดคุยกัน เมื่อเดินผ่านประตูเข้าไปในห้อง ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศก็ตกกระทบผิวกาย จนแพรวรู้สึกหนาวสะท้าน คลินต์ แพรว และนายบอยซึ่งพอมองเห็นนำทางเพื่อนที่ตาบอดสนิทไปรวมกลุ่มยังที่นั่งด้านหน้า ซึ่งจะได้ยินเสียงจากบนเวทีชัดเจนกว่าแถวกลางหรือแถวหลัง
พี่ๆศิษย์เก่าซึ่งแต่งกายด้วยชุดพละของโรงเรียนวินเซนต์ยืนเรียงแถวอยู่ข้างเวที น้ำเสียงของทุกคนเวลานี้เต็มไปด้วยความเบิกบานใจ รุ่นพี่บางคนก็ทักทายปราศรัยกับน้องๆที่รู้จักด้วยความสนิทสนม
เฉพาะพี่ทอมมี่ พี่ออฟ และพี่หญิงซึ่งมีรูปร่างสมส่วน ใบหน้าสวยคม และมีน้ำเสียงหวานไพเราะอย่างที่คนตาบอดชอบพูดกันว่า “สาท่า” (เสียงเท่) นั้น ดูจะเป็นจุดสนใจของน้องๆทุกคน
“เฮ้ย คลินต์ นั่นพี่หญิง วิภาพร คนที่ยืนอยู่ข้างพี่ออฟนั่นน่ะ หน้าตาน่ารักเชียว” เสียงนายบอย อธิบายจนแพรวนึกภาพตามได้
“อ้าว... พี่เขาเป็นศิษย์เก่าที่โรงเรียนสายทิพย์นี่นะ” คลินต์อุทานขึ้น
“จริงนั่นแหละ พี่หญิงรู้จักกับพี่ออฟตั้งแต่เด็กๆแล้วนะ” นายบอยขยายความต่อ
“รู้ได้ยังไง” คลินต์ชักสงสัย
“พี่ทอมมี่บอก เขาเรียนห้องเดียวกันตั้งแต่อนุบาลจนถึง ป. หก พอขึ้นมัธยมก็ได้อยู่ห้องเดียวกันอีก เรียกว่าไม่เคยห่างกันเลยล่ะ” “ว่ากันว่าพี่หญิงน่ะ เก่งภาษาอังกฤษมากเลย เมื่อสองปีก่อนเคยประกวดอ่านเบรลล์ระดับนานาชาติก็ได้ที่หนึ่งกลับมา ไม่ธรรมดาจริงๆนะ”
ครีมที่นั่งอยู่ข้างแพรวชำเลืองมองด้านหน้าเวที แล้วก็เห็นจริงอย่างที่นายบอยบอก พี่หญิงกำลังคุยกับเมรินและน้องแก้วอย่างเป็นกันเอง
“แหม นั่งโต๊ะติดกับเวทีเลยนะ สาวเมย์ สาวแก้ว มีเพื่อนชายนั่งอยู่ข้างๆทั้งสองคนด้วย” ครีมกระซิบ แพรวเดาได้ว่า แก้วน่าจะขึ้นห้องมาพร้อมกับพี่เจสซี่แน่ๆ ไม่งั้นจะนั่งอยู่แถวเดียวกันได้อย่างไร
หากยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ กิจกรรมจุดไฟให้น้องก็เริ่มขึ้น
ผู้อำนวยการกล่าวเปิดงานเป็นอันดับแรก ต่อด้วยการแสดงโชว์ของบรรดารุ่นพี่ จากนั้นจึงเข้าสู่การแนะแนวเรียนต่อ โดยตัวแทนรุ่นพี่จะบอกถึงภาพรวมของโรงเรียนวินเซนต์ ไม่ว่าจะเป็นระบบการเรียนการสอน จำนวนโคว์ต้าที่เปิดรับสมัคร ไปจนถึงกฎระเบียบและข้อปฏิบัติต่างๆ รวมทั้งฉายภาพอาณาเขตที่ตั้งของโรงเรียนให้ดูบนจอโปรเจคเตอร์ด้วย
การบรรยายที่แสนยาวนานเสร็จสิ้นพร้อมๆกับเสียงออดกินข้าวกลางวัน พี่หญิงซึ่งทำหน้าที่เป็นพิธีกรกล่าวสรุปภาพรวมทั้งหมด ก่อนแจ้งการนัดหมายในช่วงบ่ายทิ้งท้าย
“สำหรับกิจกรรมในช่วงบ่ายนั้น เราจะมีการเสริมทักษะวิชาภาษาอังกฤษนะคะ... ซึ่งสถานที่นัดพบ ก็คือห้องประชุมห้องนี้เหมือนเดิม คิดว่าน้องเจสซี่กับน้องแม็ทน่าจะแจกป้ายชื่อให้น้องๆทุกคนแล้ว”
ป้ายชื่อที่พี่หญิงบอก หมายถึงกระดาษแข็งซึ่งทำเป็นรูปสัตว์และดอกไม้ต่างสี มีสายสำหรับคล้องไว้ในคอเสื้อ ตัวป้ายจะลงมาอยู่ระดับกลางหน้าอกพอดี ป้ายชื่อแต่ละชนิด หมายถึงการแบ่งกลุ่มทำกิจกรรมภาคบ่ายอย่างชัดเจน
แพรว แก้ว นายบอย และเมริน อยู่ในกลุ่มผีเสื้อ ซึ่งสตาฟประจำกลุ่มคือเจสซี่กับแมทธิว ส่วนคลินต์กับครีมที่อยู่กลุ่มดอกมะลิและกลุ่มเสือดาวนั้น ทีมสตาฟก็คือ พี่ออฟ พี่หญิง พี่ทอมมี่ และเพื่อนสนิทชื่อพี่ สก๊อต
ที่ห้องประชุมของสำนักหอสมุดในตอนบ่าย
“เอาล่ะค่ะ” มีเสียงประกาศผ่านเครื่องขยายเสียง ซึ่งนักเรียนที่มาเข้าค่ายเตรียมความพร้อม ถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยสี่ถึงห้าคน แพรวจำได้ขึ้นใจว่า เจ้าของเสียงหวานเย็นสดใสที่ทำหน้าที่พิธีกรนั้นคือครูเชลซี
อดีตนักศึกษาฝึกสอนตอนที่แพรวเรียนอนุบาลสามนั่นเอง
วันนี้ครูเชลซีได้เป็นครูผลิตสื่ออักษรเบรลล์ที่โรงเรียนวินเซนต์ แพรวดีใจและรอคอยที่จะได้อยู่ร่วมกับครูเชลซีอีกครั้ง นึกๆไป แพรวให้รู้สึกคิดถึงน้ำตาลจับใจ ถ้าไม่ต้องย้ายไปกรุงเทพ น้ำตาลคงมีความสุข สุขที่ได้เจอครูเชลซี คนที่น้ำตาลบอกว่า ทั้งสวย ทั้งน่ารัก เหมือนนางฟ้าในนิทานเจ้าหญิง
“วันนี้ครูมีข้อความปริศนามาให้ทุกคนฝึกออกเสียง” ครูเชลซีพูดต่อ
ก่อนอื่น ให้สตาฟแต่ละกลุ่มออกมาหยิบบัตรคำในกล่อง” จากนั้น สตาฟนำข้อความในบัตรคำไปให้สมาชิกกลุ่มฝึกออกเสียง”
“ครูจะจับเวลาไปเรื่อยๆ ถ้าได้ยินเสียงระฆังจากครูมุกเมื่อไหร่ เป็นอันว่า ผู้ถูกเลือกในแต่ละกลุ่มจะต้องออกมาประกาศข้อความในบัตรคำให้เพื่อนๆได้รับรู้...”
ทีมสตาฟทั้ง ห้า กลุ่ม ลุกออกจากที่นั่งไปพักหนึ่งแล้ว สำหรับกลุ่มผีเสื้อ ตัวแทนหยิบบัตรคำก็คือเจสซี่
เพื่อนเรากลับมาพร้อมกับกระดาษแผ่นเล็กสีน้ำตาลในมือ
“เริ่มจับเวลาแล้วนะคะ” ครูเชลซีพูดก่อนจะวางไมโครโฟนลง จากนั้น เสียงเพลงสากลทันสมัยก็ถูกเปิดคลอเบาๆเพื่อสร้างบรรยากาศ “เราไม่ต้องเป็นพลายกระซิบใช่ไหม” แพรวถามทันทีที่เจสซี่ส่งบัตรคำให้
“ไม่ได้เล่นพลายกระซิบหรอก แค่ฝึกออกเสียง “ tongue twister”
“ ตั้งใจกันหน่อยน้า เพราะนี่เป็นคะแนนกลุ่มด้วย”
“อะไรนะ เป็นคะแนนกลุ่มด้วยหรอ” นายบอยทวนคำเสียงสูง ภายหลังรับบัตรคำจากแพรวไป
“โหย น้องบอยจะทำได้ไหมนี่...”
“ดูสิ มีแต่คำยากๆทั้งนั้น แถมเจสซี่ดันเลือกเราไปพูดหน้าเวทีอีก... ถ้าออกเสียงผิดขึ้นมาล่ะ มีหวังขายหน้าเพื่อนแย่เลย”
“ไม่ต้องกังวลนะ เดี๋ยวเรากับแม็ทช่วยฝึกให้”
“ขั้นแรก เราจะให้นายอ่านข้อความบนบัตรคำให้เราฟังก่อน”
นายบอยใช้มือคลำอักษรเบรลล์บนกระดาษแผ่นนั้นพลางออกเสียงตามไปด้วย
“ She sells sea shells on the seashore.” เพื่อนแพรวเน้นเสียงทีละคำแบบตั้งใจเกินเหตุ ถึงกระนั้นก็ได้กำลังใจจากเพื่อนในกลุ่มไม่น้อย
“สำเนียงใช้ได้นะ แต่คำว่า She นี่ ต้องห่อลิ้นหน่อย ถึงจะเป๊ะเวอร์”
“หา! ห่อลิ้นงั้นเหรอแมทธิว... เอ่อ... ทำยังไงอ่ะ เราทำไม่เป็นหรอก”
“ไม่ยาก ลองออกเสียงตามเราดู”
“โห! ยากจัง ไม่ห่อลิ้นไม่ได้เหรอ” นายบอยยังโอดครวญ แม็ทเลยสอนวิธีออกเสียงคำว่า She ให้ทุกคนในกลุ่ม ขณะที่เวลาก็ไล่หลังมาเต็มที
หลังเสร็จกิจกรรมกลุ่ม แพรว แก้ว และนายบอย ออกไปพบคลินต์กับครีมที่โต๊ะหินอ่อนหน้าโรงอาหาร ตามที่นัดกันไว้ พอรวมตัวกันครบก๊วนได้ การสนทนาอย่างเพื่อนสนิทก็หลั่งไหลออกมาเป็นสาย
“พวกเธอรู้มั้ย ไอ้ประโยคที่แปลตรงตัวว่าผู้หญิงคนนั้นขายหอยทะเลที่ริมหาดน่ะ ลูกครึ่งอย่างเราเคยลิ้นพันให้ขำกลิ้งในห้องเรียนมาแล้ว” คลินต์เปิดประเด็น
“ยังไง เล่าให้ฟังหน่อย” เพื่อนๆคะยั้นคะยอเป็นการใหญ่ คลินต์อมยิ้มก่อนพาทุกคนย้อนเหตุการณ์ในวัยเด็กไปด้วยกัน
“เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในชั่วโมงของครูวิลเลียม” ตอนนั้น แก้วไปประกวดร้องเพลง dream on
“ เอาล่ะ เด็กๆ วันนี้ครูมีอะไรสนุกๆมาให้เล่นกัน” ครูวิลเลียมกล่าวเสียงเข้ม
“ดูประโยคบนกระดาษที่ครูแจกให้นะครับ... ครูจะเรียกให้ยืนอ่านทีละคน เริ่มจาก...”
ครูวิลเลียมนิ่งไปชั่วอึดใจจึงกล่าวต่อ
“เด็กชายนครินทร์ ชิมลางเป็นคนแรกละกัน”
“โอเคครับ”
เด็กชายสวมเครื่องแบบนักเรียนสีขาวยืนขึ้นตามคำสั่ง
“อ่านเลยครับ” ครูวิลเลียมยิ้มน้อยๆขณะพูด เด็กชายมองตัวหนังสือบนกระดาษตรงหน้าครู่หนึ่ง แล้วอ่านออกเสียง
“ Sea shells she sells on the seashore.” เด็กน้อยว่าไปจนจบประโยคสุดท้าย โดยไม่ทันรู้ตัวว่าทำพลาด จนเมื่อครูวิลเลียมเปิดเสียงที่บันทึกไว้ให้ฟัง ทั้งเขาและเพื่อนๆก็หัวเราะกันดังลั่น
“โถ่เอ้ย เพี้ยนจนได้...ดีล่ะ ข้าจะจำเจ้าไปจนตาย แม่ค้าขายหอย...”
เหตุการณ์ปัจจุบัน “มันเป็นเรื่องน่าอายสำหรับเรา แต่ทุกครั้งที่นึกถึงก็อดหัวเราะไม่ได้ทุกทีไป”
“ของเราก็เกือบเพี้ยนนะ” นายบอยเริ่มเล่า
“ตอนที่แมทธิวเลือกเราไปอ่านข้อความหน้าเวทีน่ะ ยอมรับว่าไม่มั่นใจเอาเลย”
“แต่ก็ดีที่แม็ทช่วยซ้อมเราจนอ่านออกเสียงได้ถูกต้อง ไม่งั้นเราอาจพูดผิด ไม่ก็ลิ้นพันให้ได้ฮากันทั้งห้องประชุมแน่ๆ...”
ห้าโมงเย็น ก็ได้เวลากินข้าว พวกเราเดินเกาะกลุ่มกันไปที่โรงอาหาร พลันได้กลิ่นหอมของข้าวสุกโชยมาตามทาง
แพรว แก้ว และเมรินนั่งกินข้าวโต๊ะเดียวกันเหมือนเช่นเคย ทว่า วันนี้ดูเหมือนที่นั่งข้างเมรินจะว่างไป
“คิดถึงตาลเหมือนกันนะ” เมรินพูด แพรวกับแก้วไม่ตอบคำ หากภายใต้ความเงียบงัน เราทั้งใจหายและเป็นห่วง “น้ำตาลไปอยู่กรุงเทพจะเป็นอย่างไร จะมีเพื่อนที่ดีเหมือนอยู่สายทิพย์ไหม”
ที่นึกเป็นห่วง เพราะเมื่อคืนวาน น้ำตาลโทรมาร้องไห้กับแพรว บ่นว่าไม่อยากตามพ่อกับแม่ไปกรุงเทพเลย แพรวเองก็อยากจะรั้งไว้ แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะทุกชีวิตย่อมต้องดำเนินไปตามทางที่ถูกกำหนดไว้ แม้วันนี้น้ำตาลต้องย้ายไปเรียนในที่ใหม่ แต่นั่นไม่ใช่การจากลา เราจากไปเพื่อกลับมาพบกันใหม่เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม กินข้าวเย็นเสร็จก็ตั้งขบวนเดินขึ้นหอพัก แต่งเนื้อแต่งตัวชะโลมน้ำหอมจนชุ่มกาย รอเวลาเข้างานเลี้ยงตอนหนึ่งทุ่ม งานเลี้ยงที่จะส่งแพรวและเพื่อนๆกลับบ้านไปพร้อมกับภาพบรรยากาศแห่งความสุขที่จะอยู่ในความทรงจำของพวกเราชาวสายทิพย์ตราบนานเท่านาน
“ทำไมการบ้านมันยากอย่างงี้นะ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ” แพรวบ่นอย่างหัวเสียขณะนั่งอยู่กับเพื่อนๆที่บริเวณลานกว้างใต้ตึกหอพัก บนโต๊ะหินอ่อนขนาดกว้างมีสเล้ท อลูมิเนียมแผ่นเล็กกับตำราเรียนอักษรเบรลล์เล่มหนาวางอยู่
“ยังไงล่ะแพรว กังวลเรื่องการบ้านครูวิลเลียมใช่มั้ย” คลินต์ที่นั่งฟังเพลงจากซาวอะเบาท์เอ่ยถาม
“ใช่สิ แบบฝึกยี่สิบข้อในหนังสือไวยากรณ์นั่นไง”
คลินต์ร้องอ๋อพลางหยิบหนังสือเล่มหนาออกมาเปิดดู เพื่อนชายผมสีน้ำตาลอ่อนกวาดสายตามองแวบเดียวก็เข้าใจอย่างแจ่มชัด โจทย์คำถามสี่ตัวเลือกเช่นนี้ เคยผ่านตา ของคลินต์มาบ้างตอนสอบเลื่อนชั้น
“แพรวไม่เข้าใจตรงไหน เดี๋ยวเราอธิบายให้” แพรวยังไม่ตอบคำ ได้แต่เลื่อนนิ้วสัมผัสจุดนูนเบรลล์ไปมา
“จะบอกคลินต์ยังไงดี” แพรวคิด ที่จริง เรื่องของแกรมม่า หรือหลักไวยากรณ์ภาษาอังกฤษนั้น ยอมรับว่า ไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าไหร่ เมื่อตอนอยู่ในห้องเรียนภาคค่ำ ฟังครูวิลเลียมอธิบายก็ดูเหมือนจะรับไหว แต่เมื่อต้องลงมือทำแบบฝึกหัดด้วยตัวเอง สมองของแพรวก็ชักเบลอเบลอ มึนๆเสียแล้ว
คลินต์เหมือนจะเดาใจแพรวออก จึงช่วยติวบทเรียนให้ ที่สุด แพรวก็ทำการบ้านเสร็จทันเวลา เมื่อแพรวเขียนคำตอบข้อสุดท้ายเสร็จ ก็เป็นจังหวะเดียวกับพี่ทอมมี่กับนายบอยเดินถือถุงพลาสติกใบใหญ่เข้ามา
“อ้าว บอย พี่ทอมมี่ เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ ทำยังกับวิ่งหนีครูฝ่ายปกครองมางั้นแหละ”
คลินต์ถามเสียงเร็ว ขณะที่แพรว อดแปลกใจไม่ได้ว่า ทำไมวันนี้ พี่ทอมมี่มาถึงโรงเรียนก่อนเข้าแถว ผิดกับตอนเข้าค่ายวันแรกๆ พี่ทอมมี่จะมาถึงโรงเรียนหลังเวลาเคารพธงชาติเป็นประจำ ก็พี่เขามาในฐานะผู้ช่วยครูนี่นา
“แล้วนั่นหอบอะไรมาคะ” แพรวสงสัยเมื่อเห็นถุงพลาสติกในมือพี่ทอมมี่
“ขนมมาร์ชเมลโลว์แสนอร่อย ส่งตรงจากเวสเชสเตอร์นิวยอร์กเลยนะขอบอก” พี่ทอมมี่เปิดถุงลักษณะเรียบใสที่ถืออยู่ในมือ ภายในมีมาร์ชเมลโลว์ทรงกลมหลากสี ห่อพลาสติกอย่างดีอยู่เต็มถุง
“อืม ขอลองชิมหน่อยได้มั้ย” แก้วที่นั่งเงียบอยู่นานถามเสียงอ่อนพลางเอื้อมไปหยิบขนมรูปทรงกลมนั้น
“เอาสิ เจสซี่เขาฝากมา”
“เจสซี่มาถึงแล้วเหรอคะ” แพรวรีบถาม
“งั้นสิ เจสซี่กับแม็ทมาถึงได้พักใหญ่แล้ว กำลังเตรียมกิจกรรมจุดไฟให้น้องอยู่บนหอสมุดนั่นแหละ”
“ดีจัง” แพรวเกิดมาบนโลกนี้สิบสามปี เพิ่งได้กินมาร์ชเมลโลว์จากอเมริกาก็วันนี้เอง “ขอสักชิ้นแล้วกัน...” ส่งขนมชิ้นเล็กในมือเข้าปากไปคำแรก สัมผัสถึงความนุ่มละมุนลิ้นจากแป้งเจลลาติน เข้ากันได้ดีกับกลิ่นวานิลลาที่หอมหวาน แต่ไม่ถึงขั้นหวานจนแสบคอหรอกนะ...
ออดไฟฟ้าที่ตึกสำนักงานส่งเสียงกังวานตอนแปดโมงเช้า เพื่อนเราที่นั่งเล่นอยู่ตามลานสนามหญ้า หน้าโรงอาหาร และใต้ตึกหอพักต่างพร้อมใจวิ่งไปเข้าแถวอย่างรีบร้อน
บรรยากาศวันสุดท้ายในค่ายเตรียมความพร้อมดูครึกครื้นกว่าทุกวัน เนื่องจากเพื่อนของเมริน คือ เจสซี่ แมทธิว รวมถึงกลุ่มเพื่อนพี่ทอมมี่ที่จบจากโรงเรียนสายทิพย์ไปหลายปีได้หวนคืนสู่เหย้า เพื่อมาแนะแนวการเรียนต่อ หรือที่รู้จักกันในนาม “จุดไฟให้น้อง” ตลอดทั้งวันนี้
“ว่าที่นักเรียน ม. หนึ่ง ฟังครูนะครับ” สิ้นคำประกาศจากผู้อำนวยการโรงเรียน เสียงพูดคุยที่ดังเซ็งแซ่ก็เงียบลงแทบพร้อมกัน
“ใครที่จะขึ้นไปร่วมกิจกรรมจุดไฟให้น้องบนหอสมุดชั้น 2 ให้เดินเรียงแถวตามธงสีฟ้าของรุ่นพี่ เพื่อความเป็นระเบียบ กรุณาอย่าแตกแถว ใครพอมองเห็นช่วยนำทางด้วย”
“รับทราบตามนี้ก็แยกเข้าหอสมุดได้ครับ”
แพรวกับเพื่อนๆทยอยขึ้นหอสมุดกันเป็นกลุ่มๆ เดินเรียงแถวหญิงชายไปโดยไม่พูดคุยกัน เมื่อเดินผ่านประตูเข้าไปในห้อง ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศก็ตกกระทบผิวกาย จนแพรวรู้สึกหนาวสะท้าน คลินต์ แพรว และนายบอยซึ่งพอมองเห็นนำทางเพื่อนที่ตาบอดสนิทไปรวมกลุ่มยังที่นั่งด้านหน้า ซึ่งจะได้ยินเสียงจากบนเวทีชัดเจนกว่าแถวกลางหรือแถวหลัง
พี่ๆศิษย์เก่าซึ่งแต่งกายด้วยชุดพละของโรงเรียนวินเซนต์ยืนเรียงแถวอยู่ข้างเวที น้ำเสียงของทุกคนเวลานี้เต็มไปด้วยความเบิกบานใจ รุ่นพี่บางคนก็ทักทายปราศรัยกับน้องๆที่รู้จักด้วยความสนิทสนม
เฉพาะพี่ทอมมี่ พี่ออฟ และพี่หญิงซึ่งมีรูปร่างสมส่วน ใบหน้าสวยคม และมีน้ำเสียงหวานไพเราะอย่างที่คนตาบอดชอบพูดกันว่า “สาท่า” (เสียงเท่) นั้น ดูจะเป็นจุดสนใจของน้องๆทุกคน
“เฮ้ย คลินต์ นั่นพี่หญิง วิภาพร คนที่ยืนอยู่ข้างพี่ออฟนั่นน่ะ หน้าตาน่ารักเชียว” เสียงนายบอย อธิบายจนแพรวนึกภาพตามได้
“อ้าว... พี่เขาเป็นศิษย์เก่าที่โรงเรียนสายทิพย์นี่นะ” คลินต์อุทานขึ้น
“จริงนั่นแหละ พี่หญิงรู้จักกับพี่ออฟตั้งแต่เด็กๆแล้วนะ” นายบอยขยายความต่อ
“รู้ได้ยังไง” คลินต์ชักสงสัย
“พี่ทอมมี่บอก เขาเรียนห้องเดียวกันตั้งแต่อนุบาลจนถึง ป. หก พอขึ้นมัธยมก็ได้อยู่ห้องเดียวกันอีก เรียกว่าไม่เคยห่างกันเลยล่ะ” “ว่ากันว่าพี่หญิงน่ะ เก่งภาษาอังกฤษมากเลย เมื่อสองปีก่อนเคยประกวดอ่านเบรลล์ระดับนานาชาติก็ได้ที่หนึ่งกลับมา ไม่ธรรมดาจริงๆนะ”
ครีมที่นั่งอยู่ข้างแพรวชำเลืองมองด้านหน้าเวที แล้วก็เห็นจริงอย่างที่นายบอยบอก พี่หญิงกำลังคุยกับเมรินและน้องแก้วอย่างเป็นกันเอง
“แหม นั่งโต๊ะติดกับเวทีเลยนะ สาวเมย์ สาวแก้ว มีเพื่อนชายนั่งอยู่ข้างๆทั้งสองคนด้วย” ครีมกระซิบ แพรวเดาได้ว่า แก้วน่าจะขึ้นห้องมาพร้อมกับพี่เจสซี่แน่ๆ ไม่งั้นจะนั่งอยู่แถวเดียวกันได้อย่างไร
หากยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ กิจกรรมจุดไฟให้น้องก็เริ่มขึ้น
ผู้อำนวยการกล่าวเปิดงานเป็นอันดับแรก ต่อด้วยการแสดงโชว์ของบรรดารุ่นพี่ จากนั้นจึงเข้าสู่การแนะแนวเรียนต่อ โดยตัวแทนรุ่นพี่จะบอกถึงภาพรวมของโรงเรียนวินเซนต์ ไม่ว่าจะเป็นระบบการเรียนการสอน จำนวนโคว์ต้าที่เปิดรับสมัคร ไปจนถึงกฎระเบียบและข้อปฏิบัติต่างๆ รวมทั้งฉายภาพอาณาเขตที่ตั้งของโรงเรียนให้ดูบนจอโปรเจคเตอร์ด้วย
การบรรยายที่แสนยาวนานเสร็จสิ้นพร้อมๆกับเสียงออดกินข้าวกลางวัน พี่หญิงซึ่งทำหน้าที่เป็นพิธีกรกล่าวสรุปภาพรวมทั้งหมด ก่อนแจ้งการนัดหมายในช่วงบ่ายทิ้งท้าย
“สำหรับกิจกรรมในช่วงบ่ายนั้น เราจะมีการเสริมทักษะวิชาภาษาอังกฤษนะคะ... ซึ่งสถานที่นัดพบ ก็คือห้องประชุมห้องนี้เหมือนเดิม คิดว่าน้องเจสซี่กับน้องแม็ทน่าจะแจกป้ายชื่อให้น้องๆทุกคนแล้ว”
ป้ายชื่อที่พี่หญิงบอก หมายถึงกระดาษแข็งซึ่งทำเป็นรูปสัตว์และดอกไม้ต่างสี มีสายสำหรับคล้องไว้ในคอเสื้อ ตัวป้ายจะลงมาอยู่ระดับกลางหน้าอกพอดี ป้ายชื่อแต่ละชนิด หมายถึงการแบ่งกลุ่มทำกิจกรรมภาคบ่ายอย่างชัดเจน
แพรว แก้ว นายบอย และเมริน อยู่ในกลุ่มผีเสื้อ ซึ่งสตาฟประจำกลุ่มคือเจสซี่กับแมทธิว ส่วนคลินต์กับครีมที่อยู่กลุ่มดอกมะลิและกลุ่มเสือดาวนั้น ทีมสตาฟก็คือ พี่ออฟ พี่หญิง พี่ทอมมี่ และเพื่อนสนิทชื่อพี่ สก๊อต
ที่ห้องประชุมของสำนักหอสมุดในตอนบ่าย
“เอาล่ะค่ะ” มีเสียงประกาศผ่านเครื่องขยายเสียง ซึ่งนักเรียนที่มาเข้าค่ายเตรียมความพร้อม ถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยสี่ถึงห้าคน แพรวจำได้ขึ้นใจว่า เจ้าของเสียงหวานเย็นสดใสที่ทำหน้าที่พิธีกรนั้นคือครูเชลซี
อดีตนักศึกษาฝึกสอนตอนที่แพรวเรียนอนุบาลสามนั่นเอง
วันนี้ครูเชลซีได้เป็นครูผลิตสื่ออักษรเบรลล์ที่โรงเรียนวินเซนต์ แพรวดีใจและรอคอยที่จะได้อยู่ร่วมกับครูเชลซีอีกครั้ง นึกๆไป แพรวให้รู้สึกคิดถึงน้ำตาลจับใจ ถ้าไม่ต้องย้ายไปกรุงเทพ น้ำตาลคงมีความสุข สุขที่ได้เจอครูเชลซี คนที่น้ำตาลบอกว่า ทั้งสวย ทั้งน่ารัก เหมือนนางฟ้าในนิทานเจ้าหญิง
“วันนี้ครูมีข้อความปริศนามาให้ทุกคนฝึกออกเสียง” ครูเชลซีพูดต่อ
ก่อนอื่น ให้สตาฟแต่ละกลุ่มออกมาหยิบบัตรคำในกล่อง” จากนั้น สตาฟนำข้อความในบัตรคำไปให้สมาชิกกลุ่มฝึกออกเสียง”
“ครูจะจับเวลาไปเรื่อยๆ ถ้าได้ยินเสียงระฆังจากครูมุกเมื่อไหร่ เป็นอันว่า ผู้ถูกเลือกในแต่ละกลุ่มจะต้องออกมาประกาศข้อความในบัตรคำให้เพื่อนๆได้รับรู้...”
ทีมสตาฟทั้ง ห้า กลุ่ม ลุกออกจากที่นั่งไปพักหนึ่งแล้ว สำหรับกลุ่มผีเสื้อ ตัวแทนหยิบบัตรคำก็คือเจสซี่
เพื่อนเรากลับมาพร้อมกับกระดาษแผ่นเล็กสีน้ำตาลในมือ
“เริ่มจับเวลาแล้วนะคะ” ครูเชลซีพูดก่อนจะวางไมโครโฟนลง จากนั้น เสียงเพลงสากลทันสมัยก็ถูกเปิดคลอเบาๆเพื่อสร้างบรรยากาศ “เราไม่ต้องเป็นพลายกระซิบใช่ไหม” แพรวถามทันทีที่เจสซี่ส่งบัตรคำให้
“ไม่ได้เล่นพลายกระซิบหรอก แค่ฝึกออกเสียง “ tongue twister”
“ ตั้งใจกันหน่อยน้า เพราะนี่เป็นคะแนนกลุ่มด้วย”
“อะไรนะ เป็นคะแนนกลุ่มด้วยหรอ” นายบอยทวนคำเสียงสูง ภายหลังรับบัตรคำจากแพรวไป
“โหย น้องบอยจะทำได้ไหมนี่...”
“ดูสิ มีแต่คำยากๆทั้งนั้น แถมเจสซี่ดันเลือกเราไปพูดหน้าเวทีอีก... ถ้าออกเสียงผิดขึ้นมาล่ะ มีหวังขายหน้าเพื่อนแย่เลย”
“ไม่ต้องกังวลนะ เดี๋ยวเรากับแม็ทช่วยฝึกให้”
“ขั้นแรก เราจะให้นายอ่านข้อความบนบัตรคำให้เราฟังก่อน”
นายบอยใช้มือคลำอักษรเบรลล์บนกระดาษแผ่นนั้นพลางออกเสียงตามไปด้วย
“ She sells sea shells on the seashore.” เพื่อนแพรวเน้นเสียงทีละคำแบบตั้งใจเกินเหตุ ถึงกระนั้นก็ได้กำลังใจจากเพื่อนในกลุ่มไม่น้อย
“สำเนียงใช้ได้นะ แต่คำว่า She นี่ ต้องห่อลิ้นหน่อย ถึงจะเป๊ะเวอร์”
“หา! ห่อลิ้นงั้นเหรอแมทธิว... เอ่อ... ทำยังไงอ่ะ เราทำไม่เป็นหรอก”
“ไม่ยาก ลองออกเสียงตามเราดู”
“โห! ยากจัง ไม่ห่อลิ้นไม่ได้เหรอ” นายบอยยังโอดครวญ แม็ทเลยสอนวิธีออกเสียงคำว่า She ให้ทุกคนในกลุ่ม ขณะที่เวลาก็ไล่หลังมาเต็มที
หลังเสร็จกิจกรรมกลุ่ม แพรว แก้ว และนายบอย ออกไปพบคลินต์กับครีมที่โต๊ะหินอ่อนหน้าโรงอาหาร ตามที่นัดกันไว้ พอรวมตัวกันครบก๊วนได้ การสนทนาอย่างเพื่อนสนิทก็หลั่งไหลออกมาเป็นสาย
“พวกเธอรู้มั้ย ไอ้ประโยคที่แปลตรงตัวว่าผู้หญิงคนนั้นขายหอยทะเลที่ริมหาดน่ะ ลูกครึ่งอย่างเราเคยลิ้นพันให้ขำกลิ้งในห้องเรียนมาแล้ว” คลินต์เปิดประเด็น
“ยังไง เล่าให้ฟังหน่อย” เพื่อนๆคะยั้นคะยอเป็นการใหญ่ คลินต์อมยิ้มก่อนพาทุกคนย้อนเหตุการณ์ในวัยเด็กไปด้วยกัน
“เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในชั่วโมงของครูวิลเลียม” ตอนนั้น แก้วไปประกวดร้องเพลง dream on
“ เอาล่ะ เด็กๆ วันนี้ครูมีอะไรสนุกๆมาให้เล่นกัน” ครูวิลเลียมกล่าวเสียงเข้ม
“ดูประโยคบนกระดาษที่ครูแจกให้นะครับ... ครูจะเรียกให้ยืนอ่านทีละคน เริ่มจาก...”
ครูวิลเลียมนิ่งไปชั่วอึดใจจึงกล่าวต่อ
“เด็กชายนครินทร์ ชิมลางเป็นคนแรกละกัน”
“โอเคครับ”
เด็กชายสวมเครื่องแบบนักเรียนสีขาวยืนขึ้นตามคำสั่ง
“อ่านเลยครับ” ครูวิลเลียมยิ้มน้อยๆขณะพูด เด็กชายมองตัวหนังสือบนกระดาษตรงหน้าครู่หนึ่ง แล้วอ่านออกเสียง
“ Sea shells she sells on the seashore.” เด็กน้อยว่าไปจนจบประโยคสุดท้าย โดยไม่ทันรู้ตัวว่าทำพลาด จนเมื่อครูวิลเลียมเปิดเสียงที่บันทึกไว้ให้ฟัง ทั้งเขาและเพื่อนๆก็หัวเราะกันดังลั่น
“โถ่เอ้ย เพี้ยนจนได้...ดีล่ะ ข้าจะจำเจ้าไปจนตาย แม่ค้าขายหอย...”
เหตุการณ์ปัจจุบัน “มันเป็นเรื่องน่าอายสำหรับเรา แต่ทุกครั้งที่นึกถึงก็อดหัวเราะไม่ได้ทุกทีไป”
“ของเราก็เกือบเพี้ยนนะ” นายบอยเริ่มเล่า
“ตอนที่แมทธิวเลือกเราไปอ่านข้อความหน้าเวทีน่ะ ยอมรับว่าไม่มั่นใจเอาเลย”
“แต่ก็ดีที่แม็ทช่วยซ้อมเราจนอ่านออกเสียงได้ถูกต้อง ไม่งั้นเราอาจพูดผิด ไม่ก็ลิ้นพันให้ได้ฮากันทั้งห้องประชุมแน่ๆ...”
ห้าโมงเย็น ก็ได้เวลากินข้าว พวกเราเดินเกาะกลุ่มกันไปที่โรงอาหาร พลันได้กลิ่นหอมของข้าวสุกโชยมาตามทาง
แพรว แก้ว และเมรินนั่งกินข้าวโต๊ะเดียวกันเหมือนเช่นเคย ทว่า วันนี้ดูเหมือนที่นั่งข้างเมรินจะว่างไป
“คิดถึงตาลเหมือนกันนะ” เมรินพูด แพรวกับแก้วไม่ตอบคำ หากภายใต้ความเงียบงัน เราทั้งใจหายและเป็นห่วง “น้ำตาลไปอยู่กรุงเทพจะเป็นอย่างไร จะมีเพื่อนที่ดีเหมือนอยู่สายทิพย์ไหม”
ที่นึกเป็นห่วง เพราะเมื่อคืนวาน น้ำตาลโทรมาร้องไห้กับแพรว บ่นว่าไม่อยากตามพ่อกับแม่ไปกรุงเทพเลย แพรวเองก็อยากจะรั้งไว้ แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะทุกชีวิตย่อมต้องดำเนินไปตามทางที่ถูกกำหนดไว้ แม้วันนี้น้ำตาลต้องย้ายไปเรียนในที่ใหม่ แต่นั่นไม่ใช่การจากลา เราจากไปเพื่อกลับมาพบกันใหม่เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม กินข้าวเย็นเสร็จก็ตั้งขบวนเดินขึ้นหอพัก แต่งเนื้อแต่งตัวชะโลมน้ำหอมจนชุ่มกาย รอเวลาเข้างานเลี้ยงตอนหนึ่งทุ่ม งานเลี้ยงที่จะส่งแพรวและเพื่อนๆกลับบ้านไปพร้อมกับภาพบรรยากาศแห่งความสุขที่จะอยู่ในความทรงจำของพวกเราชาวสายทิพย์ตราบนานเท่านาน
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น