ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บั๊ดดี้ ซี้รัก

    ลำดับตอนที่ #11 : ยินดีที่พบกัน

    • อัปเดตล่าสุด 21 ก.พ. 67


    โครงการบ้านจัดสรรในซอยสามทับเจ็ด ซอยนี้อยู่ในทำเลที่เงียบสงบ ผู้คนไม่พลุกพล่าน ไม่มีเสียงรถวิ่ง หรือเสียงอื่นใดที่จะเป็นการรบกวนผู้พักอาศัย ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่กันเป็นครอบครัวสามหรือสี่คน เช่นเดียวกับครอบครัวบาลลินเจอร์
    แมทธิว หนุ่มน้อยผมทองสวมเสื้อคอปกกับกางเกงขายาวเข้าชุดกัน กล่าวขอบคุณโชเฟอร์รุ่นพี่ที่ขอติดรถมาด้วย เพราะบ้านแมทธิวเป็นทางผ่านก่อนจะถึงบ้านพี่เจมส์ซึ่งอยู่ห่างกันเพียงสองสามหลังถัดไป
    ก้าวลงจากรถพร้อมหิ้วถุงขนมอบหอมกรุ่นเต็มมือ เดินผ่านประตูรั้วเหล็กบานใหญ่ได้ แมทธิววิ่งฉับๆมาที่เฉลียงหน้าบ้าน ไขกุญแจประตูไม้โอ๊คให้เปิดออก ในใจนึกถึงอาหารมื้อค่ำแสนอร่อยกับที่นอนนุ่มๆในห้องชั้นบน กุญแจถูกปลดล็อก และลูกบิดประตูถูกเปิดออกตามแรงมือหมุน แมทธิวเดินเข้าสู่ตัวบ้าน ฝ่าเท้าสัมผัสพื้นกระเบื้องเย็นเฉียบ เดาได้ว่าใครสักคนต้องเปิดแอร์ในห้องนั่งเล่นทิ้งไว้ทั้งวัน ขณะนั้นเป็นเวลาเย็นมากแล้ว ตอนที่แมทธิวกลับมาถึง คุณมัลลิกากำลังเตรียมตั้งโต๊ะอาหารค่ำ มีโมรี หญิงสาวอายุย่างสามสิบญาติสนิทคุณมัลลิกา ซึ่งแมทธิวนับถือเธอเป็นพี่สาวคอยช่วยเป็นลูกมือ
    แมทธิวเดินเร็วๆขึ้นห้องส่วนตัว วางหนังสือเรียนกับสำภาระทุกอย่างลงบนโต๊ะข้างเตียงนอน จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ แล้วลงมาสมทบกับคนอื่นๆที่ชั้นล่าง
    “นั่นไง น้องแม็ทมาได้จังหวะพอดี นั่งก่อนสิคะ” โมรีผายมือไปยังที่นั่งประจำตำแหน่งหัวโต๊ะ ยื่นมืออีกข้างมารับถุงขนมจากมือเด็กชายไปเก็บบนเคาน์เตอร์ แล้วจัดแจงหาน้ำเย็นๆมาวางให้
    “ทำไมกลับเย็นนักล่ะคะ” โมรีเอ่ยถามเสียงอ่อน
    “นั่นสิ วันนี้น้องแม็ทสอบร้องเพลงถึงแค่บ่ายสามนี่จ๊ะ” คุณมัลลิกาที่กำลังจะผัดข้าวจำได้แม่นยำ
    “หลังสอบเสร็จก็ไปโรงเรียนสายทิพย์กับเจสซี่ เลยไปหาพ่อที่เซนเตอร์”
    แมทธิวหมายถึงห้องสถาบันภาษาใกล้ศูนย์การค้าเคพีพลาซ่าที่พ่อของเขาทำงานอยู่ คุณซามูเอลจะเรียกห้องเรียนขนาดใหญ่ห้องนี้ว่า “เซนเตอร์”
    “ขากลับแวะร้านเบเกอรี่ตรงปากซอย เห็นเค้กโรลใบเตยแล้วนึกถึงน้าแหม่มกับพี่โมก็เลยซื้อมาฝากฮะ”
    “โธ่! น่ารักอะไรอย่างนี้พ่อคุณ”" โมรีพูดพลางลูบศีรษะแมทธิวอย่างรักใคร่
    “ดูเถอะ คนที่ตัวเคยป้อนข้าวป้อนน้ำสมัยอยู่ที่เวสเชสเตอร์... นี่ถ้าคุณผู้หญิงยังอยู่ เธอคงได้เห็นว่าลูกชายเธอช่างงดงามทั้งกายและใจจริงๆ... “ทูนหัวของโม...”
    พอคุณรีเบคก้า แม่แท้ๆเสียชีวิตลง คุณซามูเอลก็แต่งงานใหม่กับคุณมัลลิกา อีกปีให้หลัง คุณซามูเอลพาครอบครัวมาตั้งหลักปักฐานที่เมืองไทยและจ้างโมรีไว้ให้ดูแลลูกชายเพียงคนเดียว เพราะเห็นว่ารู้จิตใจแมทธิวเป็นอย่างดี
    สมัยอยู่นิวยอร์ก โมรีต้องออกจากบ้านไปเรียนหนังสือแต่เช้า ตกเย็นก็กลับมาทำหน้าที่ดูแลแมทธิว อย่างไม่บกพร่อง จนคุณรีเบคกาพอใจ ถึงขนาดสั่งเสียกับคุณซามูเอลไว้ก่อนคุณรีเบคก้าจะเกิดอุบัติเหตุครั้งร้ายแรง
    “ฉันรักโมรีค่ะ ให้แกอยู่ดูแลแมตตี้ต่อไปนะคะ ฉันเชื่อว่าโมรีจะช่วยนำทางลูกเราไปสู่อนาคตที่ดีได้”
    คุณซามูเอลทำตามคำสั่งเสียของภรรยา และนั่นก็ทำให้เขาได้มาใช้ชีวิตร่วมกับคุณมัลลิกาจนถึงทุกวันนี้ คุณมัลลิกามักจะเปรยกับหลานสาวอยู่บ่อยๆว่า
    “ถ้าโมไม่สมัครเป็นพี่เลี้ยงน้องแม็ท อาก็คงไม่ได้แต่งงานกับพ่อเขา เราได้กินอิ่มนอนอุ่นก็เพราะคุณซามูเอลกับน้องแม็ทแท้ๆเลย””
    “โมรู้ค่ะอาแหม่ม โมจะดูแลน้องแม็ทให้ดี ให้สมกับที่คุณรีเบคกากับพ่อของเขาไว้วางใจ”
    ตอนที่ย้ายมาใหม่ๆ แมทธิวอยู่ในวัยเพียงสี่ขวบ เผลอแป๊บเดียวเป็นหนุ่มน้อยวัยสิบสี่ “เวลา” ช่างผ่านไปเร็วเสียนี่กะไร
    โมรียังจำภาพเด็กชายแม็ท หน้าตาแจ่มใส รูปร่างจ้ำม่ำ พวงแก้มอวบอูมที่ชอบดูการ์ตูนทุกวันหยุดได้ติดตา� หากบัดนี้ ไม่มีเด็กน้อยคนนั้นอีกต่อไป เพราะ “วัยรุ่น” อย่าง “น้องแม็ท” ซึ่งอาแหม่มยกให้เขาเป็น “น้องชาย” ของโมรี จะไปช่วยพ่อสอนภาษาอังกฤษที่เซนเตอร์ทุกเช้าวันเสาร์ ตอนบ่ายกลับมาถึงบ้าน น้องแม็ทจะฝึกเรียนร้องเพลงแทนที่จะดูโทรทัศน์เหมือนช่วงวัยประถม
    “พ่อเรายังไม่เลิกงานเหรอ” คุณมัลลิกาถามมาจากหน้าเตาไฟฟ้า
    “พ่อมีสอนคอนเวอร์เซชันต่อจนถึงทุ่มครึ่ง เสร็จงานแล้วจะกลับมากินข้าวเย็นด้วยฮะ”
    อืม “นี่ก็ใกล้เวลาคุณแซมเลิกงานแล้วสินะ
    “น้องแม็ท มาช่วยพี่โมจัดโต๊ะเถอะ เดี๋ยวพ่อเรากลับมาจะได้กินข้าวพร้อมกัน คุณมัลลิกาสั่งความกับแมทธิวที่นั่งอ่านข้อความจากโทรศัพท์มือถือที่โมรีซื้อให้ใช้ตอนขึ้นชั้นมัธยม

    ภายหลังจัดโต๊ะอาหารเสร็จ คุณซามูเอลกลับมาถึงบ้านพอดี ชายวัยกลางคนเดินสืบเท้าเข้าห้องกินข้าว สำรับอาหารถูกจัดวางบนโต๊ะเรียบร้อย มีทั้งสเต็กเนื้อกับมันฝรั่งทอด มีเครื่องเคียงเป็นสลัดผักกับขนมปังก้อน และยังมีข้าวผัดกระเทียมใส่ฮอทดอกหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ คุณมัลลิการู้ว่าเป็นอาหารจานโปรดของแมทธิว เธอเลยตั้งใจทำอย่างเต็มที่ ขณะกินข้าวร่วมกัน คุณซามูเอลถามแมทธิวตอนหนึ่งว่า
    “เป็นไงแมตตี้ ไปเลี้ยงอาหารน้องๆที่โรงเรียนสายทิพย์สนุกหรือเปล่า”
    “ก็ดีฮะ” แมทธิวตอบได้เท่านั้น ทำกิจกรรมครั้งนี้จะว่าสนุกแบบหลุดโลกคงยังไม่ใช่ หากนั่นคือ “ประสบการณ์ใหม่” ที่เด็กหนุ่มชาวอเมริกันจะได้รู้มากกว่าภาพจำเดิมๆที่สองตาเขาเคยพบเห็น
    นานหลายปีแล้วที่เขาตามพี่โมกับคุณมัลลิกาไปเดินเที่ยวตลาดนัดใกล้บ้าน ขณะต่อคิวรอซื้อทอดมันปลากินรองท้อง แว่วเสียงคนร้องเพลงอยู่ไกลๆ “เขาต้องผ่านมาทางนี้แน่” แมทธิวคิด แล้วก็เป็นจริงตามนั้น พอเจ้าของเสียงเดินเข้ามาใกล้ แมทธิวถึงได้เห็นถนัด
    หญิงวัยกลางคนสะพายเครื่องเสียงติดกล่องบริจาคอยู่ข้างหลัง มีผู้ชายอีกคนถือไม้เท้าขาวเดินนำหน้า ภาพที่ได้เห็นผ่านสายตาครั้งนั้น แมทธิวได้แต่นึกสงสัย “คนตาบอดต้องทำอาชีพอย่างนี้ทุกคนไหม” จนเมื่อเขากับพี่โมตามอาสร้อยและเจสซี่ไปเป็นจิตอาสาพาเพื่อนเที่ยวทะเลตอนหกขวบนั่นแหละ เขาถึงได้สัมผัสกับคนตาบอดเป็นครั้งแรก “แล้วเด็กตาบอดเขาเรียนหนังสือกันยังไงนะ” แมทธิวเก็บข้อสงสัยนี้ไว้ในใจตลอดมาจนได้เรียนร่วมกับเมรินในชั้นประถม เขาก็ได้รู้จักสเล้ทและสไตลัส อุปกรณ์เขียนอักษรเบรลล์ที่เมรินใช้จดบันทึก พอได้มาเยี่ยมเพื่อนๆน้องๆในค่ายเตรียมความพร้อมก่อนเข้าเรียนมัธยมครั้งนี้ แมทธิวก็ได้รู้จักบางสิ่งที่ดูจะล้ำสมัยไปอีกขั้น เขาเอ่ยเล่าในโต๊ะอาหารด้วยน้ำเสียงแจ่มใส
    “ผมติดรถพี่เจมส์ไปโรงเรียนสายทิพย์ด้วย ไปถึงก่อนเวลากินข้าวเย็นเล็กน้อย อามุกเลยพาไปดูน้องๆเขาเรียน ได้เห็น “คอมพิวเตอร์” ที่มีโปรแกรมเสียงอ่านหน้าจอ “น่าทึ่ง น้องๆแต่ละคนพิมพ์คอมได้ดีจนต้องยกนิ้วให้เลย”
    “ขนาดนั้นเชียวเหรอจ๊ะ” คุณมัลลิกาสงสัย โมรีกับคุณซามูเอลก็ตั้งใจฟังเช่นกัน
    “อักษรเบรลล์ว่าอเมซิ่งแล้ว โปรแกรมอ่านจอภาพ อเมซิ่งยิ่งกว่า” โปรแกรมนี้จะแปลงตัวอักษรเป็นเสียงพูด สามารถอ่านข้อความและเมนูต่างๆที่ปรากฏบนจอคอมพิวเตอร์ได้ น้องครีม เพื่อนของเมรินพูดกับแมทธิวตอนเดินเกาะกลุ่มกันไปที่โรงอาหารว่า
    “โปรแกรมเสียงทำหน้าที่แทนดวงตา... มันอ่านทุกอย่างที่ขึ้นบนจอคอมให้หนูฟัง... ทุกอย่างจริงๆนะพี่”
    “แก้วเห็นด้วยกับพี่ครีมนะคะพี่แม็ท” น้องแก้วที่เดินเกาะแขนเจสซี่เอ่ยสำทับ
    “คิดดูสิคะ ถ้าเปิดคอมแล้วไม่มีเสียงก็เท่ากับถูกปิดตานั่นแหละ”
    “เข้าใจเปรียบเทียบนะคะ” โมรีพูดยิ้มๆ นึกชื่นชมเด็กผู้หญิงที่เคยเห็นเพียงครั้งเดียวอยู่ในใจ “นั่นสินะ... คำพูดนี้น่าคิดนะแมตตี้” คุณซามูเอลพูดพลางยกแก้วน้ำขึ้นดื่มในคราวเดียว
    “ใช่แล้ว” แมทธิวเห็นจริงอย่างพ่อว่า เพราะดวงตาเป็นทุกสิ่งในชีวิตของเขาอย่างไร เสียงพูดก็เป็นทุกสิ่งในชีวิตคนตาบอดอย่างนั้นเช่นกัน พอเล่าต่อไปว่า น้องแก้วกับเพื่อนๆจะมาเริ่มต้นชีวิตมัธยมในโรงเรียนเดียวกันเท่านั้น คุณมัลลิกาจึงกำชับเสียงนุ่มนวล
    “ยังไงหากเจอน้องก็ทักทาย หรือช่วยเหลือตามโอกาสบ้าง จะเดินผ่านไปเฉยๆก็ไม่ควร เพราะมิตรภาพโดยแท้ย่อมเกิดจากเราหยิบยื่นน้ำใจให้เขาก่อนนะลูก”
    แมทธิวรับฟังอย่างเข้าใจ เมื่อยังเด็กเขาเคยกังวลว่า จะช่วยเหลือคนตาบอดอย่างไรดี แต่หลังจากผ่านการเป็นจิตอาสา บวกกับมีเมรินเป็นเพื่อนสนิท การช่วยเหลือคนตาบอดก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับเขาอีกต่อไป

    คุยกันกำลังเพลิน โทรศัพท์ในห้องนั่งเล่นส่งเสียงดังอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย โมรีรวบช้อนแล้วลุกไปรับสาย เธอหายไปครู่เดียวก็กลับมาบอกแมทธิวว่า
    “น้องเมรินโทรมาจะขอคุยสายกับน้องแม็ทจ้ะ”
    “ฮะ” แมทธิวตอบรับก่อนจะนำจานเปล่าไปเก็บให้เข้าที่ จากนั้นก็เดินไปที่โทรศัพท์ ส่งเสียงทักทายผู้อยู่ปลายสายตามฉบับของบ้านบาลลินเจอร์

    “ Hello. Matt speaking.”
    “ ฮัลโหล แม็ท นี่เมย์เองจ้ะ”
    “ว่าไง”
    “เมย์ว่าจะโทรมาคุยเรื่องของแพรว”

    เมรินอยากช่วยให้แพรวสอบคัดเลือกผ่าน เมรินเล่าว่ารุ่นพี่ที่รู้จักกันบอกแนวข้อสอบว่าเป็นโจทย์คณิตศาสตร์ความรู้ความเข้าใจ และเป็นโจทย์ภาษาอังกฤษทั้งหมด เมรินบอกว่าเธอไม่รู้จักใครที่ใช้ภาษาอังกฤษได้ดีเท่าตัวเขากับเจสซี่ ก็เลยขอให้เพื่อนทั้งสองคนช่วยติวข้อสอบให้กับแพรว
    “ได้ หลังออกจากค่ายสอนเสริมค่อยนัดเราอีกทีก็แล้วกัน”
    “ตามนั้นนะ เมย์จะได้คุยกับแพรวอีกที”
    ก่อนวางสาย เมรินบอกทิ้งท้ายว่าน้ำตาลจะย้ายไปอยู่กรุงเทพ แมทธิวใจหายเล็กน้อย กะว่าหลังวางสายจากเมริน เขาจะโทรไปคุยกับเพื่อนใหม่ที่ใครบางคนเล่าให้ฟังว่าเธอประทับใจและอยากรู้จักหลังจากที่เขาขึ้นเวทีร้องเพลงในหอประชุมยี่สิบปี

    น้ำตาลเพิ่งอ่านนิยาย “รัก” จบตอนที่เสียงนาฬิกาบอกเวลาสองทุ่ม จริงๆก็เริ่มอ่านตั้งแต่ตอนกลับถึงบ้านนั่นล่ะ ไม่อยากรับรู้เรื่องราวอะไรทั้งนั้น ในใจเฝ้าแต่ตั้งคำถาม “ทำไมพ่อต้องย้ายไปกรุงเทพ” ถ้าย้ายไปแล้ว น้ำตาลจะเป็นยังไง จะมีเพื่อนที่น่ารักและเข้าใจน้ำตาลเหมือนอย่างเพื่อนที่โรงเรียนสายทิพย์ไหม พอพูดเรื่องนี้กับแม่ตอง ก็ได้รับคำตอบว่า “ไม่ต้องกังวลหรอกน้องตาล แม่ติดต่อโรงเรียนที่กรุงเทพไว้ให้แล้ว อยู่ใกล้บ้านคุณยาย แถมมีระบบการเรียนการสอนที่ดีอีกด้วยนะ” พ่อติ๊กช่วยเสริมว่า
    “ไปอยู่โน่นก็มีคุณยาย คุณป้าแล้วก็พี่ๆคอยช่วยเหลือ ใกล้ชิดญาติเราขนาดนั้น น้องตาลจะเอายังไงอีก”
    “พ่อกับแม่เข้าใจว่า น้องตาลไม่อยากไป เพราะคิดถึงเพื่อนเก่า แต่พ่อก็อยากให้น้องตาลเข้าใจพ่อกับแม่บ้าง”
    “อย่างที่แม่เราโทรบอกเมื่อตอนเย็น พ่อได้งานขับรถส่งของที่บริษัทของคุณลุง แม่ก็ต้องย้ายไปด้วยกัน”
    “บ้านที่เราเช่าก็ต้องคืนเจ้าของเดิม ถ้าน้องตาลไม่ไป น้องตาลจะอยู่กับใคร...เชื่อเถอะนะ ว่าพ่อกับแม่เลือกสิ่งดีที่สุดให้น้องตาลเสมอ”
    น้ำตาลหงุดหงิดเหลือจะบรรยาย ตลอดทางที่รถแล่นออกจากโรงเรียนจนกลับมาถึงบ้าน น้ำตาลไม่เอ่ยปากพูดอะไรสักคำ ที่พ่อกับแม่อธิบายมาทั้งหมด น้ำตาลเข้าใจดี แต่ด้วยว่าน้ำตาลผูกพันกับที่นี่ โรงเรียนสายทิพย์ เพื่อนร่วมชั้นเรียนที่น้ำตาลรัก อีกทั้งน้ำตาลยังไม่พร้อมจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่กรุงเทพ แต่เมื่อขัดพ่อกับแม่ไม่ได้ก็ต้องยอมรับข้อตกลงแต่โดยดี “ไหนๆพรุ่งนี้ก็ต้องจากบ้านเก่าแล้ว ขออ่านนิยายให้จุใจหายเครียดสักหน่อย ก่อนที่หนังสืออักษรเบรลล์เล่มหนาจะไม่ได้อยู่ในมือของน้ำตาลอีก”
    โทรศัพท์ส่งเสียงเตือนในเวลาเลยสองทุ่ม น้ำตาลรับสาย เสียงทักทายจากใครคนหนึ่งทำให้น้ำตาลจำได้ ใครคนนั้นคือพี่แม็ท
    (น้ำตาลขอเรียกพี่แม็ทตามที่น้องแก้วเรียกก็แล้วกัน)
    “หวัดดีค่ะพี่แม็ท ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพี่จะโทรมาหาน้องตาล” ในใจคิดเช่นนั้น น้ำตาลก็กรอกเสียงพูดไปอีกอย่าง
    “พี่แม็ท ขอบคุณนะคะที่โทรมาหากัน”
    พูดออกไปแล้ว ในใจลุ้นอยู่ว่าผู้อยู่ปลายสายจะตอบกลับมาว่าอย่างไร รอต่อไปไม่นาน พี่แม็ทก็พูดว่า
    “ยินดีเสมอ” น้ำตาลอมยิ้มกับคำพูดเพียงสั้นๆ ประตูแห่ง “มิตรภาพ” เปิดขึ้นแล้วอีกบานหนึ่ง น้ำตาลเชื่อว่าประตูบานนี้จะนำเราก้าวไปสู่ความเป็นเพื่อนที่มากกว่าการได้ยินเสียงผ่านสายโทรศัพท์ ต่อให้วันพรุ่งนี้ น้ำตาลต้องจากไปอยู่ในที่ใหม่ ชื่อของโรงเรียนสายทิพย์ หมู่บ้านสวนพฤกษาจะตราตรึงอยู่ในความทรงจำ กลุ่มเพื่อนแสนดีอย่างแก้ว แพรว เมริน คลินต์ต์ ครีม ทีเจ รวมทั้งน้องจินนี่ และเพื่อนใหม่อย่างเจสซี่หรือว่าพี่แม็ทก็ดี น้ำตาลจะคิดถึงทุกๆคน เพราะทุกคนคือของขวัญที่โชคชะตาได้มอบให้ เป็นของขวัญที่มีค่ายิ่งกว่าสิ่งของใดๆที่มีอยู่ “จะไปอยู่กรุงเทพจริงๆเหรอ” เสียงพี่แม็ทเอ่ยถาม น้ำตาลกระชับกระบอกโทรศัพท์แน่นขึ้น น้ำในตาพานจะไหล น้ำตาลไม่คิดว่าคนที่เพิ่งรู้จักอย่างพี่แม็ทจะให้ความสนใจกับเรื่องนี้
    “พี่แม็ทรู้เรื่องด้วยเหรอคะ” น้ำตาลถาม พยายามข่มเสียงไว้ไม่ให้สั่น
    “พี่เพิ่งวางสายจากเมรินก่อนจะโทรหาเรานั่นล่ะ”
    “เมย์บอกพี่เหรอคะ ว่าน้องตาลจะย้ายไปกรุงเทพ”
    “ใช่” น้ำตาลหัวเราะฝืนๆ เมรินรู้เรื่องตอนที่เราอยู่บนหอพักด้วยกันก่อนแม่ตองจะรับกลับบ้าน
    “จริงสิคะ มันกะทันหันจริงๆนะพี่แม็ท พรุ่งนี้ต้องเดินทางแต่เช้า คิดถึงเพื่อนๆในค่ายจัง”
    “ตอนที่พ่อกับแม่มารับกลับบ้านนะ น้องตาลเสียใจมาก อยากจะพูดลากับเพื่อนๆก็ไม่ได้ทำ”
    “โทรคุยคืนนี้ก็ได้นี่นา พูดทุกสิ่งที่อยากพูด เล่าทุกอย่างที่อยากเล่า เหมือนที่เรากำลังคุยกับพี่นี่ไง”
    “ถ้าทำอย่างนั้น บ่อน้ำตาแตกแน่ๆค่ะ น้องตาลไม่อยากไปจริงๆนะ”
    “ทำไมล่ะ อยู่ทางโน้นมีรถเมล์กับแท็กซี่ด้วย พี่ว่าสะดวกสบายเรื่องการเดินทางดีนะ”
    สะดวกเรื่องเดินทาง แล้วเพื่อนล่ะคะ น้องตาลกังวลใจมาก ถ้าไม่มีใครคุยด้วยขึ้นมา น้องตาลคงเหงาจับใจ”
    “เอาน่า ถ้าน้องตาลไม่มีใครจริงๆ ทุกคนทางนี้ยินดีเป็นเพื่อนคุย... หรือถ้าอยากโทรคุยกับพี่ก็ยินดีรับสายทุกเวลา”
    “ยินดีรับสายทุกเวลาจริงๆเหรอคะ” ขณะตั้งคำถามนี้ น้ำตาล อดยิ้มไม่ได้
    “ Sure. You can call me anytime and let me know anything you want to."
    “ แล้วพี่จะคอยฟังข่าวน้องตาลนะ เชื่อว่าเมรินกับคนอื่นๆก็คิดถึงน้องตาลเหมือนกัน”
    “ค่ะ น้องตาลก็เชื่ออย่างนั้น พรุ่งนี้น้องตาลต้องจากเมืองโคราชไป แต่อีกไม่นาน น้องตาลจะกลับมา กลับมาหาทุกคนด้วยความรักและผูกพันอย่างไม่มีใครทดแทนได้”
    พี่ขอให้น้องตาลโชคดีนะ... ยินดีที่พบกันครับ”
    “ค่ะ ยินดีที่พบกัน”
    หลังวางสายจากพี่แม็ท น้ำตาลล้มตัวนอนบนเตียง ร้องไห้ อาลัยหมู่บ้านสวนพฤกษาที่จำต้องจากไกลโดยไม่มีทางอื่นใดจะหลีกเลี่ยง
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×