คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Thursday
Day 4
Ryoma Part
“ฮารุคุง~ วันนี้ไปหาคุณพ่อคุณแม่กันนะจ๊ะ~” เสียงหวานเอ่ยปลุกผมที่นอนอยู่บนโซฟา ไม่รอให้ผมได้ตอบอะไร ริวซากิก็อุ้มผมใส่กระเป๋าแมวสีชมพูสดใสลายดอกซากุระที่ยัยนี่ไปซื้อกับอาจารย์ริวซากิมาเมื่อวาน
“ซากุโนะ ไปเองได้แน่ๆใช่ไหม” อาจารย์ริวซากิที่ออกมาส่งพวกผมหน้าบ้านถามย้ำเป็นรอบที่ 100 ด้วยความห่วงหลานสาวสุดที่รักของแก “ให้ย่าไปเป็นเพื่อนดีกว่าไหมซากุโนะ”
“ไปเองได้จริงๆค่ะคุณย่า แค่นั่งรถไปแป๊ปเดียวก็ถึงแล้วค่ะ” ยัยนั่นกอดกระเป๋าใส่ผมแน่นเลย สงสัยกลัวไม่ได้ไปมั้ง
“แน่ใจใช่ไหม? หรือจะไปวันอื่น รอย่าว่างก่อนดีกว่าไหมซากุโนะ” อาจารย์ริวซากิยังไม่ยอมแพ้ ดูก็รู้ว่าเธอห่วงหลานสาวขนาดไหน ขนาดตอนม.ต้นที่ให้ผมพาริวซากิไปขึ้นเอ็นแร็กเก็ต ตอนที่ผมรอยัยนี่อยู่ คุณยายโทรถามผมทุก 5 นาที ว่าหลานสาวแกไปถึงรึยังแต่ยัยเปียดันมาช้า คุณยายก็ห่วงว่าจะเกิดอะไรขึ้น แกเกือบเลิกทำงานแล้วไปตามหาหลานสาวแทนแล้ว แต่โชคดีที่ยัยเปียโผล่มาก่อน ไม่งั้นคุณยายได้ทิ้งงานมาจริงๆแน่
“หนูไปได้ค่ะคุณย่า คุณย่าพักผ่อนอยู่บ้านดีกว่านะคะ เมื่อวานก็นั่งทำงานยันดึกเลย” ยัยริวซากิเอาไม้ตายออกมาใช้แล้วฮะ ยัยนั่นกำลังทำหน้างอนๆแก้มป่องๆแบบนั้นน่ะ ร้อยทั้งร้อยยังไง๊ยังไงอาจารย์ริวซากิก็แพ้แน่นอน
“ถ้าหนูว่าอย่างงั้น ไปดีมาดีนะซากุโนะ เกิดไรขึ้นโทรหาย่าเลยนะ” อาจารย์ริวซากิไม่รู้จะพูดยังไงต่อในเมื่อหลานสาวยืนยันหนักแน่นว่าตัวเองไปเองได้แน่นอน เห็นมะ บอกแล้วว่ายังไงก็แพ้
“ค่ะคุณย่า ไว้เจอกันตอนเย็นนะคะ~” ยัยริวซากิรีบอุ้มผมออกจากบ้าน ก่อนจะขึ้นรถแท็กซี่ที่อาจารย์ริวซากิเรียกมาไว้ให้ ดูท่าวันนี้ผมคงต้องออกไปผจญภัยกับริวซากิอีกแล้วสินะ
ตอนนี้ผมกับริวซากิกำลังนั่งอยู่บนแท็กซี่ โดยที่ริวซากิวางกระเป๋าที่ใส่ผมไว้ข้างๆตัว ส่วนยัยนั่นหันหน้ามองไปด้านนอกรถ ตลอดเวลาที่อยู่บนรถยัยเปียไม่หันหน้ามาคุยกับผมเลย ผิดปกติแฮะ เหมือนกับว่าเธอกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
“เมี้ยว” คิดอะไรอยู่น่ะริวซากิ ผมตะกุยกระเป๋าเล็กน้อยเผื่อยัยเปียจะหันมาสนใจผมบ้าง ผมไม่ได้เรียกร้องความสนใจหรอกนะ แค่มันผิดปกติจริงๆนี่
“อ๊ะ! ขอโทษนะจ๊ะฮารุคุง เหงาใช่ไหมเนี่ย~” เปล่า ฉันไม่ได้เหงา ริวซากิเธอคิดไปเอง! “เดี๋ยวอีกสักพักก็ถึงแล้วนะ จะได้เจอคุณพ่อคุณแม่ของฉันแล้ว ดีใจไหมเอ่ย” ยัยนั่นหันหน้ามาสนใจ และเอื้อมมือมาเกาคอผม แต่สีหน้าของยัยนั่นมัน…ดูนิ่งๆ ไม่สดใสเหมือนเคย
“เมี้ยว” คุณพ่อคุณแม่หรอ
และริวซากิก็หันกลับไปมองวิวข้างทางเหมือนเดิม แปลกๆนะปกติเวลาอยู่ที่บ้านยัยนั่นแทบจะตัวติดกับผมเหมือนเด็กเห่อของเล่นใหม่ ต้องเข้ามาอ้อนผม ไม่ก็หาของเล่นแมวมาเล่นกับผมแล้ว แต่แค่มาหาพ่อแม่ทำไมต้องทำสีหน้าจริงจังแบบนั้นด้วยล่ะ
แต่อีกเดี๋ยวผมก็คงจะรู้แล้วล่ะ
ตอนนี้รถจอดสนิทแล้วครับ วิวด้านนอกเปลี่ยนจากวิวเมืองเป็นวิวชนบท ต้นไม้เต็มไปหมด นี่เราออกมาถึงชานเมืองเลยหรอ ไหนยัยริวซากิบอกใกล้ๆนี่ไง แถมแถวนี้มันวังเวง ชวนขนลุกแปลกๆแฮะ ริวซากิอุ้มผมลงมาจากรถ และพาเดินข้ามไปถนนอีกฝั่ง ก่อนจะแวะร้านขายดอกไม้เพื่อซื้อช่อดอกไม้สีขาว และพาผมเดินเข้าซอยเล็กๆข้างๆร้านนั่น และที่อยู่ตรงหน้าผมก็คือ
“ถึงแล้วล่ะจ้ะฮารุคุง” ฮะ? เอาจริงดิริวซากิ
ตอนนี้ริวซากิที่อีกมือหนึงถือกระเป๋าใส่ผมในร่างแมว อีกมือถือช่อดอกไม้สีขาวสะอาดตา กำลังเดินอยู่ในสุสานครับทุกคน! ฟังไม่ผิดครับ สุสาน! สองฝั่งข้างทางคือเต็มไปด้วยป้ายหลุมศพคนตายกับต้นไม้แห้งๆ บรรยากาศวังเวงเหมือนอยู่ในหนังผีพวกที่เข้ามาล่าท้าผีอะ ไรกันแบบนั้น ชวนขนหัวลุกมากเลยครับ ผมน่ะเป็นคนไม่กลัวผีหรืออะไรนะ แต่การมาอยู่ในสถานที่ที่เรียกว่าสุสานน่ะ มันก็อดจะขนลุกไม่ได้อยู่ดี
“ไม่ต้องกลัวนะจ๊ะฮารุคุง” ริวซากิก้มมาคุยกับผมที่อยู่ในกระเป๋า ยัยนี่เสียงปกติมากเหมือนไม่รู้สึกกลัวเลย แถมสีหน้าก็ยังมีรอยยิ้มที่ดูสบายๆนั่นอีก แต่รอยยิ้มของยัยนี่…มันเป็นรอยยิ้มที่ไม่ไปถึงดวงตาน่ะสิ แปลกๆแล้วนะ
“…”
ปกติแล้วยัยนี่เป็นคนที่ขี้กลัวมากๆ แค่เจ้าโฮริโอะแกล้งแหย่นิดหน่อยก็แทบจะวิ่งป่าราบแล้ว ไหนจะยังขี้กังวลขี้ห่วงอีก แค่เจอใครทำหน้าดุๆหรือขึ้นเสียงใส่หน่อยก็ทำหน้าจะร้องไห้แล้ว แต่นี่คือกำลังเดินอยู่ในสุสานนะ ถ้าปกติยัยนี่ต้องกลัวแล้วไหม พิลึก…
ริวซากิเริ่มเดินหน้าต่อโดยที่ไม่สนใจรอบข้างเลยสักนิด ตอนนี้บนใบหน้าของเธอไม่มีรอยยิ้มหวานๆแล้วครับ มีแต่สีหน้าเฉยชากับแววตาที่นิ่งจนผมขนลุก ผมไม่เคยคิดเลยว่าริวซากิจะทำหน้าแบบนี้ได้ แต่พอผมมาเจอริวซากิในโหมดนี้ผมแอบทึ่งแฮะ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมเจอแต่โหมดสดใสของยัยนี่
ผมเจอแต่รอยยิ้มหวานๆที่แจกจ่ายให้เพื่อนฝูงหรือพวกรุ่นพี่และผม เจอแต่ท่าทางที่น่ารักน่าเอ็นดูที่แสดงออกกับอาจารย์ริวซากิและผม ไหนจะท่าทางเขินอายเวลาอยู่ใกล้ๆผมอีก โคตรน่ารัก โดยเฉพาะสายตาที่มองผมน่ะก็ไม่ได้นิ่งเป็นน้ำแข็งเหมือนตอนนี้เลยสักนิด ออกแนวชื่นชมหรือปลื้มมากๆอีก สายตาของยัยนั่นที่มองมาที่ผมเรียกว่าเปล่งประกายจนผมแสบตาเลยล่ะ แต่กับตอนนี้มันไม่ใช่ เรียกยังไงดีล่ะครับ มันน่ากลัว…
“นี่ไงจ๊ะฮารุคุง คุณพ่อคุณแม่ของฉันล่ะ” ริวซากิวางกระเป๋าใส่ผมลงหน้าป้ายสุสานอันหนึ่ง และปล่อยให้ผมออกมาจากกระเป๋า ส่วนตัวเธอเอาดอกไม้ที่ซื้อมาไปใส่แจกันที่วางอยู่ข้างหน้าป้ายนั่น เมื่อผมเดินออกมาแล้ว…
ริวซากิ มาซาโตะ
ริวซากิ ซากุระ
ชื่อที่อยู่บนป้ายนั่นเล่นเอาผมรู้สึกชาไปทั่วทั้งร่างเลยครับ เพราะนั่นคือชื่อของพ่อแม่ของยัยเปียนี่น่า
‘นี่พวกรุ่นพี่ครับ คุณริวซากิเป็นหลานสาวของอาจารย์ริวซากิจริงๆหรอ ดูไม่เหมือนกันสักนิดเลยนะ’
‘ต่างกันมากใช่ไหมล่ะคาสึโอะ ริวซากิจังเธอเหมือนคุณซากุระ คุณแม่ของเธอน่ะ’
‘ซากุระกับซากุโนะ ชื่อน่ารักจริงๆเลยนะเนี้ยว~’
‘รู้ได้ไงอะครับรุ่นพี่โออิชิ’
‘อาจารย์เคยบอกพวกเราตอนปี 1 น่ะ และพวกเราปี 3 ทุกคนก็เคยเจอทั้งคุณพ่อคุณแม่ของริวซากิจังแล้ว ตอนแรกที่พวกเรารู้ว่าริวซากิจังเป็นหลานสาวก็ตกใจมากเลยนะ’
‘ใช่แล้วๆโออิชิ ใครจะคิดว่าเด็กตัวเล็กถักเปียสองข้างน่ารักๆที่อยู่ในอ้อมกอดคุณยาย จะเป็นหลานของคุณยายจอมโหดอะ นึกว่าไปขโมยลูกใครเขามาซะอีกล่ะเนี้ยว~’
‘เพราะพวกเราเจอกันมาตั้งแต่ริวซากิจังยังเด็กเนี่ยแหละ เธอเลยเหมือนน้องสาวของพวกเราอีกคนเลยล่ะ ^^’
‘ตามข้อมูลแล้วอาจารย์ริวซากิเป็นคนโตเกียวตั้งแต่เกิด มีลูกชาย 1 คนชื่อว่าริวซากิ มาซาโตะ มีหลานแค่คนเดียวคือริวซากิ ซากุโนะ และเหมือนตอนนี้ก็จะอยู่กันแค่สองคนย่าหลาน แต่ส่วนใหญ่ริวซากิจะอยู่บ้านคนเดียวมากกว่า เพราะอาจารย์ต้องมาทำงานที่โรงเรียนประจำ สถิติที่ริวซากิอยู่บ้านคนเดียวก็ 46.539%’
‘รู้ดีจังเลยนะอินูอิ ^^’
‘แล้วพ่อแม่ของคุณริวซากิล่ะครับ ตอนนี้ไปไหนแล้วหรอ’
‘เอ่อเรื่องนั้น…’
‘ตรงนั้นน่ะมัวแต่พูดเรื่องไร้สาระกันอยู่ได้ ไปวิ่งรอบสนาม 20 รอบ!’
‘ครับกัปตัน!!’
อยู่ๆเสียงบทสนทนาของพวกรุ่นพี่กับสามใบเถาในตอนที่ยังอยู่เซย์งาคุดังเข้ามาในหัวผม เป็นเรื่องที่ผมลืมไปแล้ว ถ้าจำไม่ผิด ตอนนั้นเหมือนผมอยู่กับรุ่นพี่โมโมะที่กำลังทะเลาะกับรุ่นพี่ไคโดอยู่ ตอนแรกผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังหรอก แต่ชื่อริวซากิมันดันลอยเข้ามาในหูผม ผมเลยอดที่จะฟังไม่ได้ นี่ผมไม่ได้สนใจหรอกนะแค่อยากรู้เฉยๆเท่านั้นเอง
‘โออิชิ อาจารย์เคยสั่งไว้ไม่ใช่หรอว่าห้ามพูดเรื่องนั้นอีก’
‘เท็ตสึกะคือฉันไม่ได้’
‘น่าๆเท็ตสึกะ โออิชิไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย ไปวิ่งกันดีกว่านะ ^^’
‘ถูกของฟูจินะ ไปวิ่งกันเถอะพวก เบิร์นนิ่งงงง’
เสียงห้ามของรุ่นพี่เท็ตสึกะดังเข้ามาในหัวผม ตอนนั้นผมอยากรู้มากเลยนะว่าอะไรที่รุ่นพี่โออิชิพูดค้างไว้กัน ลองถามใครหลายๆคนก็ได้คำตอบเหมือนๆกันไปหมด
‘เอจิเซ็น บางเรื่องนายรู้ไปก็ไม่ช่วยอะไรหรอกนะ’
‘อยากรู้หรอเอจิเซ็น ถ้าเป็นเรื่องอื่นฉันคงตอบได้นะแต่ยกเว้นเรื่องนี้จริงๆ ^^’
‘ขอโทษนะเจ้าเปี๊ยก แต่เรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ’
‘เอ๋ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันนะ ตอนเข้าชมรมมาก็เจอริวซากิจังอยู่ 2-3 ครั้งเอง สนใจริวซากิจังหรอเอจิเซ็น วัยรุ่นนี่มันดีจังเลยน้า~’
แต่ตอนนั้นมันใกล้ช่วงแข่งกับโรงเรียนเฮียวเท และผมที่มีแต่เทนนิสในหัวเลยลืมเรื่องนั้นไปเฉยเลย แต่ใครจะคิดล่ะว่าความจริงพ่อแม่ของริวซากิจะอยู่บนฟ้าแล้ว ผมหันไปมองริวซากิที่ตอนนี้นั่งอยู่ข้างๆผม สีหน้าปกติ มีรอยยิ้มเล็กน้อยแต่มันดูเศร้ามากกว่า
“สวัสดีค่ะคุณพ่อคุณแม่ วันนี้หนูพาลูกชายอีกคนมาหาด้วยนะคะ ชื่อฮารุคุงค่ะ~” ยัยนี่เริ่มพูดด้วยเสียงหวานสดใสแบบที่ผมได้ยินมาตลอดและสีหน้าที่ดูมีความสุขมากๆนั่นอีก แต่มันดูพยายาม…ที่จะสดใส
“ขอโทษที่ช่วงนี้หนูไม่ได้มาหาเลยนะคะ หนูยุ่งมากๆเลย ตอนนี้หนูจะขึ้นม.ปลายแล้วน้า~ หนูโตขึ้นมากเลยใช่ไหมล่ะ”
“…”
“วันนี้หนูมีอะไรจะบอกคุณพ่อคุณแม่ด้วยนะคะ~”
“…”
“คุณพ่อคุณแม่คะ หนูน่ะพอขึ้นม.ปลายแล้ว หนูตัดสินใจแล้วค่ะ” เธอเว้นช่วงเล็กน้อย เหมือนพยายามที่จะพูดประโยคถัดไปออกมา “หนู…จะเลิกเล่นเทนนิสค่ะ”
“เมี้ยว!” ทำไมล่ะริวซากิ! เธอชอบเทนนิสไม่ใช่หรอ?! ผมรีบหันไปมองเธอ หน้าของเธอตอนนี้ไม่มีคำว่าล้อเล่นเลย ดวงตาเริ่มมีน้ำตาคลอเล็กน้อย ดูก็รู้ว่าที่พูดออกมาเมื่อกี้มันฝืนขนาดไหน ผมไม่เข้าใจเธอ ถ้าการเลิกเล่นเทนนิสมันทรมานจะเลิกทำไมล่ะริวซากิ
“หนูน่ะชอบเทนนิสมากๆเลยคุณพ่อคุณแม่ก็รู้ใช่ไหมล่ะคะ” เธอเอื้อมมือไปลูบที่แผ่นป้ายหลุมศพด้วยท่าทางทะนุถนอม “แต่ว่าหนูอยากตั้งใจเรียนเพื่อเป็นหมอค่ะ หนูเห็นพวกรุ่นพี่ที่เล่นเทนนิสบาดเจ็บทีไรแล้ว ตัวหนูที่ช่วยอะไรคุณย่าหรือพวกรุ่นพี่ไม่ได้ โคตรรู้สึกแย่เลยค่ะ หนะ-หนูเลยอยากเป็นกำลังเสริมให้กับทีม หรือนักกีฬาในอนาคต อย่างน้อย…หนูอาจจะมีประโยชน์กับเรียวมะคุงบ้าง แม้นิดเดียวก็ยังดี”
“…” บนใบหน้าของริวซากิมีหยดน้ำไหลออกมาจากดวงตาคู่สวย หนึ่งหยด สองหยด จนเริ่มไหลออกมาไม่หยุด
“โดยเฉพาะตอนนั้น ถ้าวันนั้นหนูมีประโยชน์สักนิด คุณพ่อคุณแม่คงยังอยู่กับหนูใช่ไหมคะ” เสียงริวซากิเริ่มเปลี่ยนไป เริ่มสั่นเครือ สองมือของเธอเอามาวางไว้ที่ป้ายหลุมศพ
“ถะ-ถ้าหนูมีประโยชน์สักนิด ถ้าหนูช่วยคุณพ่อคุณแม่ได้ วันนี้เราคงยังอยู่ด้วยกันเหมือนครอบครัวอื่นใช่ไหมคะ”
“…” ยัยนั่นเริ่มสะอื้น
“ตอนนั้นถ้าหนูไม่ข้ามถนนไป คุณพ่อคุณแม่คงไม่ต้องมาเจ็บเพราะหนู ถะ-ถ้าหนูโทรเรียกรถพยาบาลเร็วกว่านี้ล่ะก็ หรือรู้วิธีช่วยคุณพ่อคุณแม่ วันนี้เราคงยังอยู่ด้วยกันใช่ไหมคะ” ตอนนี้ตัวของเธอเริ่มสั่นตามแรงของการร้องไห้ เธอโน้มหน้าผากของเธอไปจรดกับป้ายหลุมศพ ทำให้ตอนนี้เหมือนเธอกำลังกอดป้ายอยู่
“ตะ-แต่คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องห่วงหนูหรอกนะคะ ตอนนี้หนูเก่งขึ้นมากแล้วนะคะ หลังจากวันนั้น…หนูเคยไม่กล้าข้ามถนน แต่เพราะคนคนหนึ่งเขาพูดกับหนูว่า ‘ฉันมีสิ่งที่ต้องเอาชนะให้ได้’ รู้ไหมคะ? ตอนที่เขาพูดประโยคนี้ เขากำลังข้ามทางม้าลายไปก่อนหนูด้วยค่ะ ฮาฮ่า” ริวซากิหัวเราะทั้งน้ำตา
‘ฉันมีสิ่งที่ต้องเอาชนะให้ได้’
‘…’
‘อ่าว ทำไมไม่เดินมาล่ะริวซากิ’
‘คะ-คือ’
‘มานี่’
ภาพในอดีตย้อนเข้ามาในหัวของผม เป็นตอนที่พึ่งขึ้นม.ต้นใหม่ๆ วันนั้นผมกลับบ้านพร้อมกับริวซากิ ตอนนั้นหลังจากตอบคำถามของเธอแล้ว ผมเดินข้ามทางม้าลายไป เพราะคิดว่าเธอคงเดินตามหลังมา แต่พอหันกลับไป เธอยังยืนอยู่ที่ฟุตบาทของอีกฝั่ง ผมเลยเดินกลับไปรับเธอโดยที่ผมจับมือของเธอจนพามาอีกฟากได้
คนคนหนึ่งนั่น ฉันหรอ?
“…” ผมเดินไปนั่งบนตักเธอ พยายามเอาหัวไปถูใบหน้าของเธอ เผื่อจะช่วยให้น้ำตาพวกนั้นหายไปได้บ้าง แค่เล็กน้อยก็ยังดี
“หนูก็เลยเริ่มกล้าที่จะเอาชนะความกลัวในจิตใจค่ะ จนตอนนี้หนูสามารถกลับมาใช้ชีวิตแบบปกติได้แล้วนะคะ หนูเก่งใช่ไหมล่ะ~” ริวซากิที่พูดพร้อมกับพยายามปาดน้ำตาบนใบหน้าไปด้วยแต่ดูเหมือนน้ำตามันจะไม่หยุดไหลให้เธอ
“หนูขอโทษ หนูพูดอะไรที่ทำให้บรรยากาศเสียทุกทีเลยสิ~ ทั้งๆที่คุณย่าก็บอกหนูแล้วนะว่าไม่ใช่ความผิดของหนู แต่หนูก็ยังโทษตัวเองอยู่เรื่อยเลย ให้ตายสิตัวฉัน~” ยัยนั่นพยายามพูดติดตลกเพื่อให้บรรยากาศดีขึ้น แต่ทำไมผมรู้สึกว่ามันทรมานกว่าเดิมกันนะ
เลิกฝืนเถอะริวซากิ เลิกทำเป็นเข้มแข็งสักที! อยากร้องก็ร้องออกมาเลย ไม่ต้องเก็บเอาไว้แล้ว ฉันอยู่นี่ ร้องไห้กับฉันเลยสิ ร้องออกมา!
‘นี่เจ้าเรียวมะ ดูแลซากุโนะด้วยล่ะ เด็กคนนั้นน่ะเสียของรักไปเยอะแล้ว ฉันหวังพึ่งแกได้ใช่ไหม’
อยู่ๆคำพูดของอาจารย์ริวซากิก็เข้ามาในหัวของผม ที่พูดตอนนั้น ก็เพราะแบบนี้นี่เองหรอ
“อ๊ะจริงด้วยสิ! คุณพ่อคุณแม่จำเรียวมะคุงได้ไหมคะ” ชื่อของผม “เมื่อวานคุณย่าบอกว่าเขาแข่งชนะด้วยค่ะ เก่งมากๆเลยใช่ไหมล่ะคะเจ้าชายของหนูน่ะ~” เจ้าชงเจ้าชายอะไรกันยัยนี่
“ตอนนี้เขาไปไกลมากเลยค่ะ เหมือนหนูกำลังมองพระอาทิตย์อยู่เลย แต่เรียวมะคุงก็เหมือนอยู่คนละโลกกับหนูมาแต่ไหนแต่ไรแล้วหนิ~”
“…”
“แต่หนูก็ยังคอยเชียร์เขาอยู่เหมือนเดิมนะคะ ก็เขาน่ะเป็นทั้งแรงบันดาลใจของหนู เป็นแสงสว่างในชีวิตของหนู เป็นทั้งฮีโร่ของหนู และก็เพราะเขาอีกนั่นแหละค่ะที่ทำให้หนูชอบเทนนิสขนาดนี้”
สายตาเธอตอนเอ่ยชื่อผมเปล่งประกายมากเลยล่ะครับ ประโยคพวกนั้นเล่นเอาผมแอบเขิน แต่พอใบหน้าเธอที่ยังมีคราบน้ำตาอยู่ มันเลยดูขัดๆกันจนผมรู้สึกอยากทำให้คราบน้ำตามันหายไปให้หมด ริวซากิน่ะไม่เหมาะกับน้ำตาเลยสักนิด
“หนูนี่มากี่ครั้งก็พูดแต่เรื่องเรียวมะคุง คุณพ่อคุณแม่คงเบื่อแย่เลยใช่ไหมคะเนี่ย~”
“เมี้ยว”
“เอ๋~ ฮารุคุงอยากคุยกับคุณพ่อคุณแม่ด้วยหรอจ๊ะ” ริวซากิหันมาสนใจผมที่อยู่ข้างๆและเอื้อมมือมาลูบหัวผมด้วย
“เมี้ยว” ผมไม่ขยับหนีมือของเธอและเดินเข้าไปหาป้ายหลุมศพที่อยู่ข้างหน้า
“คุณพ่อคุณแม่ของฉันก็เหมือนของฮารุคุงนะจ๊ะ พวกท่านใจดีมากๆเลย!”
“…”
ผมมองริวซากิที่ยิ้มเหมือนฝืนๆนั่นแล้วหันมามองป้ายหลุมศพข้างหน้า เธอคงพยายามมามากเลยสินะกว่าจะกลับมาสดใสได้ ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อแม่ของเธอ เพราะตั้งแต่ที่ผมรู้จักเธอก็เห็นมีแต่อาจารย์ริวซากิที่เป็นคนในครอบครัว แต่ผมรู้สึกว่าผมควรจะพูดอะไรกับพ่อแม่ของเธอสักหน่อย แม้ว่าพวกเขาอาจจะไม่ได้ยินเสียงผมเลยก็ได้
“เมี้ยว”
‘สวัสดีครับคุณลุงคุณป้-’ ไม่สิ ริวซากิบอกว่า พ่อแม่ของเธอก็เหมือนพ่อแม่ของผมไม่ใช่หรอ
“เมี้ยว”
‘คุณพ่อคุณแม่ ผมเอจิเซ็น เรียวมะเองครับ ตอนนี้ผมคงไม่สามารถพูดว่าจะดูแลริวซากิได้เพราะผมอยู่ในร่างแมว แต่ถ้าเมื่อไรผมคืนร่างเดิมแล้ว ผมจะกลับมาพูดด้วยอีกครั้งแน่นอนครับ’ ผมควรเรียกชื่อนั้นของเธอได้แล้วรึเปล่า ‘และเมื่อผมคืนร่าง ผมสัญญาว่าซากุโนะจะไม่ต้องมาร้องไห้คนเดียวแบบนี้อีก ผมจะอยู่กับเธอทุกช่วงเวลาครับ’ เมื่อผมพูดจบอยู่ๆก็มีสายลมพัดมาทางผมกับริวซากิเบาๆ แถมยังมีกลีบดอกไม้ลอยมาจากไหนไม่รู้อีก แต่แบบนี้ก็แปลว่า…
“เมี้ยว”
‘ถือว่ารับรู้แล้วนะครับคุณพ่อคุณแม่ :)’
“เด็กคนนั้นก็ดูใช้ได้ดีนะคะคุณ เขาต้องดูแลซากุโนะจังของเราได้แน่ๆ”
“หึ ยังอีกไกลที่รัก”
Talk :
วันนี้มาดึกมาก ขอโทษนะคะ เพราะตอนนี้ต้องนั่งทำอารมณ์กับตัวเองนานเลยค่ะ แอบร้องไห้เล็กน้อย สงสารยัยหนูซากุโนะของหม่ามี๊ กอดๆนะคนเก่ง หนูน่ะเหมาะกับรอยยิ้มมากที่สุดเลยรู้ไหม!
ส่วนฝั่งเจ้ามะ ไรท์เคยเรียนญี่ปุ่นมาค่ะ ส่วนใหญ่คนญี่ปุ่นเวลาบอกชอบหรือขอแต่งงานมักจะชอบพูดอะไรอ้อมๆ บางทีก็อ้อมไปโน้นนนนนน ไรท์เลยได้แรงบันดาลใจมาแต่งตอนนี้ค่ะ เรียวมะรักษาคำพูดด้วยล่ะ!
หวังว่าจะสนุกกันนะคะ อาจจะใช้เวลาปั่นนานไปหน่อย เพราะไรท์พยายามตรวจหาคำผิด หาข้อมูลต่างๆมาแต่ง ย้อนดูอนิเมะไปด้วย เพราะอยากให้รี้ดที่น่ารักได้อ่านแต่งานที่เราตั้งใจแต่งมันขึ้นมาค่ะ! เอ็นจอยรี้ดดิ้งนะคะ เจอกันตอนหน้าค่าา
ความคิดเห็น