ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แก๊งป่วน >ก๊วนปราบผี?!!!

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่1:เด็กหนุ่มผู้โชคร้าย

    • อัปเดตล่าสุด 28 ธ.ค. 49


                            Chapter 1 :เด็กหนุ่มผู้โชคร้าย

                 แสงแดดสีเหลืองนวลยามเย็นส่องเข้ามากระทบหน้าต่างในห้องเล็กๆซึ่งดูก็รู้  ว่าเป็นห้องเล็กๆในอพาทเม้นท์แห่งหนี่ง 
       
              แอ๊ดดด  เสียงเปิดประตูดังขึ้น เด็กชายผมและนัยตาสีดำ ผิวสีขาวตัดกับนัยตาคู่นั้น เดินเข้ามา 
     
    "เฮ้อ...ถ้าหนีไม่ทันนะ ป่านนี้เราคงตายไปแล้ว"เด็กชายคนนั้นบ่นเบาๆกับตัวเอง
      เขาเดินเอากระเป๋าไปวางไว้ข้างโต๊ะเขียนหนังสือของเขา และบรรจงเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดนักเรียนเป็นชุดลำลอง เสื้อยืดสีฟ้ากับกางเกงยีนส์
    "เฮ้อ...เหลือเวลาครึ่ง    ชั่วโมงทำอะไรดีน้า...จริงสิ"มื่อพูดจบเด็กคนนั้นเดินมาที่โต๊ะเขียนหนังสือและหยิบสมุดเขียนไดอารี่ออกมาจากลิ้นชัก เขาเริ่มเขียนอะไรบางอย่างลงไปในกระดาษหน้าแรก

                                                                                                             วันที่
    10/12/2006
               
          
    สวัสดีครับ นี่เป็นวันแรกที่ผมเริ่มเขียนไดอารี่ ที่ผมเริ่มเขียนไดอารี่วันนี้ เพราะว่าวันนี้เป็นวันเกิดของผมๆ จึงถือว่า การเริมเขียนไดอารี่ในวันนี้ ถือซะว่าเป็นของขวัญให้ตัวผมเอง งั้นผมขอแนะนำตัวเลยแล้วกัน ผมชื่อ เลอัส เกรทเจอร์ ผมอยู่ ตัวคนเดียวในห้องเช่านี้นี้วันนี้ผมก็อายุ 16 แล้วแต่ไม่มีเค้กให้เป่าไม่ได้ขอขวัญเหมือนเด็กคนอื่นทั่วไปหรอกครับ ก่อนหน้านี้ผมเคยอยู่กับคุณลุงคุณป้าที่ เมือง
    กรีนทาว์น (Green Town) เพราะพ่อแม่ของผมเสียชีวิตไปในอุบัติเหตุ เครื่องบินตกป้ามักจะบอกผมเสอมว่าผมเป็นเด็กที่โชคดีมากๆ เพราะผมเป็นคนเดียวที่รอดใน
      
           เหตุการณ์เครื่องบินตกครั้งนั้น ผมไม่ได้คิดอย่างที่ป้าบอกผมหรอก ผมคิดเสอมว่าทำไมผมไม่ตายไปพร้อมกับพ่อและแม่ของผม เพราะอะไรหน่ะหรอครับ เดี๊ยวผมจะบอกแล้วกัน คุณลุงและคุณป้าของผมนั้น ไม่ใช่คนร่ำรวย พวกเขามีอาชีพชาวสวนต้องคอยเก็บผลผลิตทางการเกษตรไปขาย หน้าไหนที่ไม่ค่อยมีผลผลิตพวกเราจะต้องอยู่อย่างลำบาก อดมื้อกินมื้อก็ว่าได้  เมื่อผมอายุ 15 คุณป้าและคุณลุงส่งผมเข้ามาศึกษาต่อในเมืองเวสทาวน์
    ( West Town ) ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายบังคับของ

         รัฐบาลแห่งดินแดนเอเลเนียร์
    (ทวีปๆหนึ่งที่ประกอบไปด้วย 5เมืองหลัก)ซึ่งกำหนดเด็กเมื่ออายุครบ15 เด็กจะต้องรับการศึกษาหลักสูตรภาคบังคับเพื่อเป็นแนวทางในการประกอบอาชีพต่อไปให้ สาเหตุที่พวกท่านส่งผมมาเรียนที่นี่ก็เพราะ ที่นี่เป็นเมืองแห่งการศึกษาท่านไม่อยากให้ผมเป็นชาวนาชาวสวนอย่างพวกท่าน และท่านพยายามขวนขวายให้ผมได้เข้ามาเรียนในโรงเรียนที่ โด่งดังที่สุดในเมืองเวสทาวน์ นั่นก็คือโรงเรียน เฟอร์แบงค์( Firbank School) ซึ่งแน่นอนลำพังของพวกท่านไม่สามารถส่งผมเรียนในโรงเรียนดีขนาดนี้ได้ ท่านจึงพาผมไปติดต่อขอทุนจากทางรัฐบาลเอเลเนียร์ ซึ่งขั้นตอนในการขอทุนนั้นก็ไม่มีอะไรมาก เด็กที่จะมาขอทุนนั้น ต้องสอบเข้าโรงเรียนนั้นให้ผ่านและต้องได้คะแนน ห้ามเกินลำดับที่ 50 ซึ่งคนสอบมีเป็นพันคน เพื่อที่จะให้ได้เข้าโรงเรียนตามเจตนารมของคุณลุงและคุณป้า ผมต้องอ่านหนังไม่ได้อยุดไม่ได้หย่อนเมื่อสามารถสอบเข้ามาได้

       ท่านทั้งสองดีใจกันยกใหญ่ ถึงรัฐบาลจะออกค่าเทอมให้แต่ค่าอาหาร ค่าสาธรณูปโภคต่างๆ เราต้องเป็นคนจัดการหาเอง ลำพังเงินของคุณลุงคุณป้าก็พอแค่ค่าเช่าอพาร์เม้นท์ห้องเล็กๆในเมือง ส่วนค่าอาหารประทังชีวิตนั้นผมต้องเป็นคนหาเองโดยการไปทำงานพิเศษที่ร้านอาหารในเมือง ทุกวันหลังจากกลับจากโรงเรียนเวลาเลิกงานของผมคือ 4ทุ่มครึ่งเมื่อกลับถึงบ้าน ผมต้องกลับมาทบทวนบทเรียน อ่านหนังสือเพื่อเตรียมสำหรับวันถัดไป ผมต้องตื่นไปโรงเรียนตอน 6 โมงเช้า ซึ่งท่านผู้อ่านคงจะคิดว่า

               เรื่องแค่นี้ทำไมผมจงต้องคิดว่าไม่อยากอยู่บนโลกนี้  ตามที่สัญญาแต่ คุณอาจจะไม่เชื่อผมคิดว่าผมเป็นเด็กเลี้ยงแกะ แต่ผมขอยืนยันเรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้เป็นความจริงทุกประการ  นั่นก็คือผมเป็นเด็กที่มีสิ่งประหลาดๆไม่เหมือนชาวบ้าน สิ่งนั่นคือสิ่งที่เรียกว่า สัมผัสที่ 6 หลายๆคนอาจจะคิดว่าการมีสิ่งนี้ เป็นสิ่งที่วิเศษ แต่ไม่ใช่ผม ผมคิดว่าผมทำบาปทำกรรมอะไรไว้ถึงได้มีสิ่งนี้อยู่กับตัว อย่าเช่นตอนนี้ คุณตารูมเมทของผมแกจ้องมองผมจากตรงนั้นประจำ มาที่นี่วันแรกผมแทบบ้า ตอนผมจะหลับอยู่ดีๆแกก็ขึ้นมาเหยียบบนตัวผม ร่างของแกนั้นหนักมากราวกับเอาก้อนหินมาไว้บนตัวผมยังไงยังงั้นสักพัก..ตัวผมก็ตกลงมาจากเตียง แกที่ยืนอยู่บนเตียงจ้องหน้าผมแล้วพูดว่า
    "เตียงของกู เอ็งอย่ามายุ่ง" เช้าวันต่อมาผมได้ลองไปทำป้าที่ทำความสะอาดด้านล่างดู แกบอกว่า คุณตาคนนั้นลูกหลานทิ้งไปหมดแกเลยเอาเงินเก็บก้อนสุดท้ายมาเช่าอพาร์ทเม้นนี้อยู่ แต่สุดท้ายแกก็ตรอมใจตาย

           ตอนแรกผมก็รู้สึกโมโห ทำไมเอาห้องที่เคยมีคนตายมาให้คนอื่นเช้า แต่ตอนหลังผมรู้สึกสงสารคุณตาคนนั้นผมเลยยอมยกเตียงนั้นให้ แกก็ไม่ทำอะไรผมอีกเลยนอกจากยืนอยู่บนเตียงนั้นจ้องมาที่ผม  บางวันถ้าวันไหนผมตื่นมาตอนกลางคืนแกก็จะมานั่งยองๆ ข้างๆตัวผมและจ้องมาใกล้ๆหน้าผมหรือบางทีแกก็ยืนอยู่บนเพดานห้อยหัวลงมาที่หน้าผม แต่ก็เอาเถอะผมก็ชินแล้วที่ต้องอยู่กับแก ใน่เมื่อที่แกไม่ได้ทำอะไร และอีกอย่างผมเคยจะลองขอย้ายห้องแต่อพาร์ทเม้นท์นี้คนเช่าเต็มตลอดและถ้าผมย้ายไปที่อื่นยังไงก็ไม่มีที่ไหนเช่าได้ถูกเท่าที่นี่ 

               อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกเลวร้าย นั่นก็คือสถานที่ๆเรียกว่า โรงเรียนซึ่งเป็นที่ๆมีแต่ความแก่งแย่งชิงดี หาสิ่งที่เรียกว่า มิตรภาพไม่ได้ ทุกคนเกลียดผมเพราะว่าผมเรียกเก่งกว่าพวกเขา  ผมไม่มีทางเลือกถ้าคะแนนตกผมก็ไม่สามารถขอทุนจากรัฐบาลได้อีก เพราะอย่างนั้นทุกวันผมต้องเผชิญกับความกดดันของคนที่นี่ ไม่ใช่เพียงแค่คนนะ ผีที่นี่ยังทำให้ผมแทบบ้า อย่างเมื่อวานซืน เมื่อถึงเวลาเลิกเรียนผมกำลังเดินออกจากตัวตึกเรียน อยู่ดีๆมีร่างของเด็กผู้หญิงผมยาวตกลงมากระทบพื้นเฉียดหน้าผม สมองและเลือดของเธอกระจายออกมาเต็มพื้น กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปหมด ผมตกใจมากจึงเผลอตะโกนร้องออกมาอย่างสุดเสียง ทันใดนั้นเธอหันหน้าขวับมาทางผม ตาข้างหนึ่งของเธอทะลักออกมา
    "แกมองเห็นฉันใช่ไหม ช่วยฉันที ช่วยฉัน ฉันไม่อยากอยู่อย่างงี้อีกแล้ว ไม่อยากโดดตึกซ้ำๆกันทุกวัน ช่วยฉันที ช่วยฉันที เอาฉันออกไปจากตรงนี้"เธอพูดประโยคซ้ำไปซ้ำมา เธอใช้มือที่หัก ซึ่งกลับด้านไป 180องศาคลานเข้ามาหาผม เศษสมองที่ยังอยู่บนกะโหลกที่แตกของเธอ ค่อยๆไหลย้อยลงมาเป็นทาง พร้อมๆกับเลือดสีแดงสดราวกับแตงโมที่ตกกระทบพื้นแยกออกเป็นสองซีกซึ่งเศษสมองของเธอก็เปรียบได้ดังเนื้อสีแดงฉ่ำของแตงโม  ตาข้างหนึ่งของเธอห้อยลงมาจากเบ้า ตอนนั้นผมเลยตะโกนโหวกเหวกออกมาซะยกใหญ่ ผมพยายามถอยหลังหนีจนหลังไปชนกำตู้ล๊อกเก้อ จากที่เธอค่อยๆคลานมาอย่างช้าๆ กลายเป็นเร็วขึ้น เร็วขึ้นเรื่อยๆเธอใกล้เข้ามาที่ตัวผม จังหวะนั้นเอง

                อาจารย์เข้ารีบวิ่งมาดูผมทันที ยัยผีนั่นหายไป ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิมเลือดและสมองที่นองอยู่เต็มพื้นหายไปราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น  อาจารย์เรียกผมเข้าไปคุย เธอเข้าใจว่าผมเสียสติไปแล้วเนื่องจากเรียนหนักเกิน เธอพยายามจับผมไปให้จิแพทย์บำบัด มื่อข่าวแพร่ไปทั่วทั้งโรงเรียนทุกคนมองว่าผมเป็นคนบ้า ต่างพากันหัวเราะเยาะผม  มันไม่ได้มีเพียงแค่นี้หรอกครับ นอกจากสัมผัสที่ 6 ผมยังสามารถ ล่วงรู้อนาคตอันใกล้ได้  อย่างเช่นวันนี้ ผมเดินผ่านกลุ่มผู้ชายกลุ่มหนึ่ง พอเห็นหน้าผู้ชายคน คนหนึ่งในนั้น ภาพเขาคนนั้นถูกรถชนตาย คอหักตายคาที่ เข้ามาในหัวผม ด้วยความที่ผมอยากจะเตือนเข้า จึงเดินเข้าไปบอกเขาทั้งหมดที่ผมเห็น สิ่งที่ผมได้รับตอบแทนก็คือ โดนพวกนั้น ทั้งเตะทั้งต่อย ผมแทบหนีไม่ทันมาแอบในร้าน ขายของชำ คุณลุงเจ้าของร้านถามผมว่าทำไมพวกนั้นจึงไล่ตามผม ผมเลยเล่าให้ฟังกับสิ่งที่เกิดขึ้น คุณลุงก็ไม่เชื่อ เขาคิดว่าผมโกหก ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรเพราะผมเล่าเรื่องทำนองนี้ให้ใครฟัง ไม่เคยมีใครเชื่อผมสักคน  สุดท้ายนี้ผมก็ได้แต่หวังว่าท่านผู้อ่านจะเชื่อในสิ่งที่ผมเล่าให้ฟังในวันนี้  ผมต้องขอจบการเขียนไดอารี่สำหรับวันนี้ เพียงแค่นี้

    ปล.คุณตายังไม่เลิกจ้องผมเลย
    T-T
                                                                               เลอัส เกรทเจอร์
                                                                เขียนเมื่อ 15นาฬิกา45 นาที 57 วินาที

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×