คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : [3] เห็นแก่ตัว
บทที่ สาม เห็นแก่ตัว
...ทุกคนในโลกล้วนเห็นแก่ตัว...ไม่มีใครที่จะทำเพื่อคนอื่นได้ตลอดเวลา...ไม่มีใครทำเพื่อคนอื่นได้ตลอดไป...แต่สิ่งที่จะทำให้คนคนหนึ่งยังคงไม่กลายเป็นคนเห็นแก่ตัว...ก็คือคนคนนั้นจะทนเห็นแก่คนอื่นไปได้นานเท่าไร...
.
.
.
วันต่อมา ผมกับเซ็ทยังคงมาโรงเรียนด้วยกันเหมือนปกติ...ทั้งๆที่มันไม่ปกติ...อาการเมาค้างที่เคยเห็นแต่คนอื่นเขาเป็นกัน เวลานี้มันกลับมาเล่นงานตัวผมเองเสียเต็มๆ ผมรู้สึกอึดอัด ปวดหัว คลื่นเหียน อยากจะอาเจียนอยู่แทบจะตลอดเวลา จนผมอยากจะสาบานอย่างจริงจังว่า ผมจะไม่ริอาจดื่มเหล้าอีกแล้ว...
“ตอนเย็น ผมจะมารับพี่กลับนะ” เซ็ทพูดขึ้นอย่างเป็นห่วงระคนไม่พอใจ ตอนนี้พวกเราเดินมาถึงตึกเรียนของผม “ความจริงวันนี้พี่น่าจะหยุดด้วยซ้ำ...”
“ไม่เป็นไรหรอกเซ็ท แอบงีบในห้องสักหน่อยก็น่าจะดีขึ้น” ผมบอกเซ็ทแม้ว่าตัวเองก็ไม่แน่ใจนัก “...แล้วตอนเย็นไม่ต้องมารับพี่หรอก เซ็ทมีเรียนพิเศษไม่ใช่หรอ ถ้าพี่กลับเองไม่ไหวจริงๆ เดี๋ยวพี่ให้เพื่อนไปส่ง...”
“เพื่อนพี่นี่ใครล่ะ” เซ็ทขัดขึ้นเสียงแข็งกร้าว ก่อนจะเบือนหน้าหนีอย่างพยายามข่มอารมณ์ แล้วหันกลับมาเป็นเซ็ทปกติอย่างที่ผมเคยรู้จัก “ผมจะไปส่งพี่เอง พี่อยู่บ้านเดียวกับผม ผมเป็นน้องพี่นะ ส่วนเพื่อนที่พี่ว่า พี่ก็เพิ่งจะรู้จักเมื่อวาน...อย่าไปรบกวนพวกเขามากสิพี่”
ผมนิ่งเงียบไปอย่างนึกจุกด้วยคำพูด...
...มันไม่จำเป็นต้องมารับผิดชอบอะไรในตัวผม...เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น...
...ผมรู้ดี...ผมเข้าใจ...ผมเป็นคนพูดเองแท้ๆ...แต่ถึงจะอย่างนั้น...มันก็อดที่จะคาดหวังไม่ได้...อดที่จะรู้สึกเจ็บแปลบไม่ได้...
“ผมต้องไปแล้ว” เซ็ทพูดเมื่อเพลงมาร์ชสัญญาณเข้าแถวในตอนเช้าดังขึ้น แม้จะมองมาที่ผมด้วยสายตาเป็นห่วง แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลย “...แล้วเจอกันครับ”
ผมเพียงแค่พยักหน้าน้อยๆให้เซ็ท จ้องมองคนที่เดินไปจากผมอย่างไม่มีความหมาย ผมยังคงยืนอยู่ตรงนั้น...ผมก้าวขาไม่ออก...ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ผมควรจะไปที่ไหน...ผมควรจะกลับไปที่ห้องเรียนไหม...ควรจะไปหาพวกพริ๊นซ์หรือเปล่า...พวกเขาเป็นเพื่อนของผมจริงๆ...ที่ตรงนั้น...มันเป็นของผมจริงๆอย่างงั้นหรอ...ผมชักไม่แน่ใจ...
...ผมกำลังสำคัญตัวเอง...ผิดไปหรือเปล่า...
“อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!”
...เสียงนี้มัน...เสียงอะไรวะ!?
ผมเงยหน้าขึ้นมองหาต้นเสียงนั้นด้วยสัญชาตญาณอย่างตกใจ เพิ่งจะรับรู้ได้ว่ารอบตัวผมมันยุ่งวุ่นวายขนาดไหน นักเรียนม.ปลายจำนวนมากกำลังเบียดเสียดกันสุดฤทธิ์ เป้าหมายคือบันไดขึ้นตึกที่อยู่ข้างหลังผม ไม่รู้ว่าผมยืนนิ่งอยู่ในสถานการแบบนี้ได้ยังไงโดยที่ไม่โดนเหยียบเละ...แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ประเด็น...
...ประเด็นคือพวกไอ้พริ๊นซ์ทั้งหลายแหล่...ที่กำลังวิ่งกันหน้าตั้งกันอย่างไม่คิดชีวิต...
ไอ้แซนด์ที่ตัวสูงที่สุด เด่นสง่ามาเป็นคนแรก หน้าตาดีๆของมันดูตื่นๆซีดๆ เห็นแล้วอดหัวเราะไม่ได้ กลุ่มนี้วิ่งนำหน้าด้วยหัวโจกอย่างไอ้พริ๊นซ์ แล้วตามมาติดๆด้วยไทม์ ไอ้โอห์มและนนท์อยู่รั้งท้าย ท่าทางแต่ล่ะคน...เหมือนกำลังโดนตะกวดไล่ยังไงยังงั้นเลย...
“ไอ้เชี่ยวา เกะกะๆๆเว้ย! ยืนให้พ่อมึงมาสอยตูดไงวะ วิ่งงงงงงงงงงงงงงง!” ไอ้พริ๊นซ์มันว่าผม แล้วคว้าแขนออกแรงฉุดกระชากให้ผมออกวิ่งไปกับกลุ่มพวกมัน ผมตัวปลิวลอยตามมันไปอย่างช่วยไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้สวยงามเท่าไร...ผมกระเสือกกระสนคลานขึ้นบันไดตามพวกมันไปอย่างทุลักทุเล...
ผมหันไปมองรอบข้าง...ยิ่งมองเห็นสีหน้าของทุกคนมากเท่าไร...ผมก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆมากขึ้นเท่านั้น...
“...ไอ้....เชี่ยพริ๊นซ์!...............หยุด........” ผมพยายามจะพูดบอก แต่บางอย่างในตัวกลับอื้ออึงต่อต้าน ผมไม่อยากให้พวกมันมาลากผมไปแบบนี้...มันทำให้ผมรู้สึก...มากไปกว่านี้...
“หยุดทำด๋อยไรวะ! วิ่งๆเข้าไปเถอะน่า จะถึงอยู่แล้วมึง! จะถึงอยู่แล้ว! เชี่ยๆๆๆ เพลงจะจบแล้ว!” ไม่รู้ว่าไอ้พริ๊นซ์ยังมีแรงเหลือจากไหนมาโวยวายใส่ผม...แต่ตอนนี้ผมคิดอะไรไม่ออกแล้ว...สมองผมตื้อไปหมด...ทุกอย่างมันดูพร่ามัวแปลกๆ...
ในที่สุดพวกผมก็ผ่านโค้งสุดท้ายตรงหัวมุมตึก เข้าสู่ทางตรงระยะห้าสิบเมตรสุดท้าย...ระเบียงหน้าห้องผมอยู่ใกล้แค่เอื้อม...แค่เอื้อมเท่านั้น...อีกแค่นิดเดียว...แต่ว่า...
...เพลงมาร์ชโรงเรียนได้จบลงในระยะเมตรสุดท้าย...
“มาสาย...หกคน” บราเดอร์พูดด้วยน้ำเสียงที่ผมอยากจะเรียกมันว่า โรคจิต...ไม่รู้ว่าแกยิ้ม(จิตๆ)ด้วยไหม (แต่ผมแอบมั่นใจนิดนึงว่าใช่แน่ๆ) เพราะตอนนี้ผมได้แต่ยืนก้มหน้า หอบหายใจเบาๆอย่างอดกลั้นบางอย่าง รวมทั้งงอตัวด้วยอาการแปลกๆ ราวกับว่าอวัยวะภายในของผมมันกำลังบิดมวลรวมกันแล้วกลายเป็นหลุมดำอยู่ในท้อง...
...พวกไอ้พริ๊นซ์มองผมที่ยืนกุมท้อง เหงื่อออกท่วมตัว หน้าซีดจัด ก่อนจะหันไปสบตากันอย่างสื่อความหมายบางอย่าง...
...ผมจะไม่ไหวแล้ว...อยากออกไปจากตรงนี้...
“บราเดอร์ วาเลนไทน์ไม่สบายครับ” ไทม์แหลสด แต่ด้วยบุคลิกแล้วทำให้มันดูน่าเชื่อถืออย่างสุดๆ “พวกผมเจอเขาเป็นลมอยู่กลางทาง กว่าจะพาขึ้นมาได้ เลยไม่ทันเพลงมาร์ชครับ”
ผมรับรู้ได้ว่าบราเดอร์หันมามองที่ผมอย่างชั่งใจ แน่ล่ะ ไทม์น่าเชื่อถือก็จริง แต่ผมมั่นใจว่าบราเดอร์ต้องเห็นตอนที่พริ๊นซ์มันลากผมมาซะตัวลอยตามระเบียงเมื่อกี้...
...มันไม่น่าจะใช่ สิ่งที่คนเขาทำกับคนป่วยกันสักเท่าไร...
“นายวาเลนไทน์ ไม่สบายตรงไหน ปวดท้องหรือไง” บราเดอร์ถาม ก่อนจะตัดสินใจเดินปราดเข้ามาหาผมเพื่อจะดูให้ชัดว่าจริงหรือเปล่า
...ผม...
บราเดอร์วางมือกดลงบนไหล่ผมเบาๆ “ไหน เงยหน้าขึ้นหน่อยสิ”
...ตอนนี้...ผม...อย่า...ผม...
แรงดันที่ไหลทั้งสองทำให้ผมต้องยืดตัวขึ้นยืนตรงอย่างไม่มีเรี่ยวแรงจะหลีกเลี่ยง
...จะอ้วก...
แหวะ~! ผมอาเจียนพรวดใส่บราเดอร์ในทันที...ก็นั้นล่ะ...พอผมยืดตัวขึ้นมา...อะไรๆมันก็พรวดตามขึ้นมาด้วย...
เกิดความโกลาหนวุ่นวายขึ้นท่ามกลางเสียงร้องเพลงชาติของนักเรียนทั้งโรงเรียน ผมถูกใครบางคนดึงออกห่างจากบราเดอร์ เสียงนักเสียงม.สี่ห้องสามโหกเหวกโวยวายบางอย่างฟังไม่ได้ศัพท์ อาการหน้ามืดทำให้ผมโดนหามส่งห้องพยาบาลในที่สุด...และแน่นอน...ด้วยเหตุนี้...
...ทั้งผมและพวกไอ้พริ๊นซ์จึงรอดพ้นไปจากความผิดโทษฐานมาสายไปได้อย่างสวยงาม(?)...
.
.
.
ห้า! ห้า! ห้า! ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!
เสียงหัวเราะเฮฮาดังสนั่นคับห้องพยาบาล อย่างที่ไอ้พวกต้นเหตุ ไม่ได้สำนึกเลยสักนิดว่าตัวผมที่กำลังเป็นคนป่วยในห้องนั้นต้องการความสงบในการนอนมากแค่ไหน...
...นี่คงจะพักเที่ยงแล้วล่ะมั้ง...ไอ้พวกนี้ถึงมาเริงร่าอยู่ที่ห้องพยาบาลนี่ได้...
“ไอ้วาแม่ง! แหล่มวะ~ ดูหน้าบราเดอร์ดิ หวอแดกไปเลยสาดด~!” เสียงไอ้โอห์มโวยวายเป็นสิ่งแรกที่ผมได้ยินหลังจากที่ผมงัวเงียตื่นขึ้นมา
“ตอนแรกกูก็นึกว่ามันแค่สำออยเหนื่อยๆ อีตอนบราเดอร์เข้าไปหามันนะ กูงี้ซีดเลยกลัวแม่งจับได้...ที่ไหนได้ เจือกแหวะแตกออกมาจริงๆ โชคดีสัด ห่ะห่ะห่ะ!” นี่ก็เสียงไอ้นนท์
“เป็นไงบ้างวา” ไทม์ที่นั่งอยู่ข้างเตียงถามผมเสียงอ่อนเมื่อเห็นว่าผมขยับน้อยๆได้สติ ในขณะที่ไอ้พวกข้างหลังยังคงคุยกันเสียงดัง (ยกเว้นแซนด์ เพราะผมเห็นมันแอบงีบหลับอยู่บนเตียงข้างๆ) “ยังคลื่นไส้อยู่ไหม...ปวดหัวหรือเปล่า?”
“หนวกหูอ่ะ” ผมตอบไทม์เสียงอ่อน เห็นผมพูดหยาบๆกับคนอื่นหยั่งงี้ แต่ผมก็แพ้พวกพูดเพราะๆนะ ยิ่งไทม์ชอบเป็นห่วงเป็นใย เอาใจใส่นี่ยิ่งแล้วใหญ่ นานๆไปมันก็อดที่จะ ‘อ้อน’ กลับไม่ได้
“พวกมึงเบาเสียงลงหน่อยดิ” ไทม์หันไปเอ็ด “ไม่สนใจวาเขา ก็เกรงใจเขาหน่อยได้ไหม”
“ก็แม่งมันฮานี่หว่า” ไอ้พริ๊นซ์เถียง แต่ก็ยอมลดเสียงเบาลงมาก “มึงเองก็ฮาแตกจะตายตอนไอ้วามันอ้วกใส่บราเดอร์แกน่ะ อย่าคิดนะว่ากำลังวุ่นๆกันแล้วกูจะไม่เห็นน่ะ ไอ้ไทม์”
ไทม์อมยิ้มน้อยๆให้ไอ้พริ๊นซ์ที่รู้ทัน แต่ผมนี่แทบอยากจะแทรกกระเบื้องหนี (ห้องพยาบาลมันพื้นกระเบื้องอ่ะ) ไม่ใช่อายหรอก เรื่องแค่นี้มันเหตุสุดวิสัย แต่ที่ไอ้ผมจะหนีน่ะ...หนีความผิดต่างหาก!
...ผมล่ะไม่อยากกลับไปเจอหน้าแกตอนคาบบ่ายเลย...ให้ตายสิ...
“เฮ้ย เป็นไงมั่งวะมึง ทำหน้าเหมือนปวดขี้...” ไอ้พริ๊นซ์ขยับเข้ามาใกล้ผมอย่างเพิ่งสำนึกได้ว่ามันควรจะเป็นห่วงผม (ไม่แค่มันหรอก คนอื่นด้วยนั่นแหละ) แตะหลังมือบนหน้าผากผมเบาๆ แล้วขมวดคิ้ว “...ตกลงมึงเมาค้างหรือไม่สบายกันแน่วะ ตัวร้อนเป็นเตารีดเลยมึง”
ผมส่ายหน้าให้มันอย่างอับจนในคำตอบ จู่ๆเรื่องที่ผมตะโกนใส่พริ๊นซ์เมื่อวานผุดขึ้นมาในหัว รู้สึกตะขิดตะขวงใจชอบกลที่มันทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น...
“ไทม์ว่าไปโรงพยาบาลดีไหม” ไทม์ถามผม คราวนี้ผมส่ายหน้าปฏิเสธอย่างไม่ลังเล
“ไม่ต้องหรอกไทม์ แค่นี้ กินยาก็หาย แต่ตอนนี้ วาหิวโคตรๆเลย ไปกินข้าวกันเหอะ” ผมยันตัวลุกขึ้นนั่งโดยมีไทม์ช่วยดึงและพยุงผมเข้าไปคุยกับพยาบาลที่ห้องพัก เธอปล่อยผมให้ออกไปกินข้าวได้พร้อมกับยาหลังอาหารอีกนิดหน่อย
ในเวลานี้ ผมเลิกที่จะกังวลแล้ว ว่าพวกเขาเป็นเพื่อนของผมหรือเปล่า เพราะทุกการกระทำ มันมีค่ามากกว่าการที่ผมจะมานั่งคิดไปเอง และถึงแม้ว่าพวกพริ๊นซ์จะไม่คิดว่าผมเป็นเพื่อน ต่อให้ผมจะไม่ใช่เพื่อนของพวกเขา ผมก็ไม่แคร์ ผมขอแค่เป็นแบบนี้ต่อไปก็ได้...
.
.
.
“ไอ้วา วันนี้เมิงงจะไม่ไปกับพวกกูจริงดิ” โอห์มถามผม ไม่ต่างไปจากสายตาของทุกคนที่มองมาทางผมอย่างรอคำตอบ “เมื่อวานกูเข้าใจว่ามึงไม่สบาย แต่วันนี้มึงก็สบายดีแล้วจะรีบกลับไปทำไมวะ”
“ก็กูต้องกลับพร้อมเซ็ท” ผมตอบไปเลี่ยงๆ เมื่อวานนี้ตอนที่เซ็ทมารับผมกลับบ้าน คนอื่นถึงได้รู้ว่าผมเป็นญาติกับเซ็ทและอาศัยอยู่กับน้องเขา...แต่ก็ไม่มีใครรู้...ว่ามันเพราะอะไร...
ผมไม่เคยตอบคำถามที่ต้องการทราบสาเหตุเหล่านั้นเลย แม้แต่กับไทม์ที่สนิทกับผมที่สุด ผมก็ไม่ตอบ และพยายามอย่างยิ่งที่จะทำตัวดูไม่หยี่ระกับเรื่องนี้ ราวกับว่ามันไม่มีอะไรในกอไผ่ แต่ว่าผมก็ไม่สามารถทนสบตาทุกคนได้ ผมจึงเลือกที่จะทำเป็นสาละวนอยู่กับการหาสมุดการบ้านที่ผมรู้ดีว่าอยู่ที่ไหน
“พวกมึงเห็นสมุดฟิฯกูไหม”
“อยู่กับกูเอง” นนท์ตอบ ผมรู้ว่ามันเอาลอกไปตั้งแต่พักกลางวันแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะยังลอกไม่เสร็จ “ยังเหลืออีกเยอะอ่ะ กูขอยืมไปลอกต่อที่บ้านล่ะกัน”
“อ้าว ไอ้เชี่ยนี่ มึงไม่คิดจะแบ่งคนอื่นลอกมั่งรึไงวะ” ไอ้โอห์มสะดุ้งแล้วหันไปว่านนท์ ก็แน่ล่ะ...โอห์มมันจองห่อกลับบ้านไว้ตั้งแต่ตอนเรียนแล้ว...
“มึงก็เอาเลขไปลอกก่อนดิวะ ของมิสศรีเรียนคาบแรกด้วย” ไอ้นนท์ก็พูดได้ เพราะมันลอกเสร็จแล้ว
“อย่ามาๆ สมุดเลขวา กูจองกลับบ้านแล้ว” ไทม์หันไปแขวะทั้งสองคน
เมื่อผมวางสมุดการบ้านกับสมุดจดทุกวิชาที่ผมทำเสร็จแล้วไว้บนโต๊ะ สงครามแย่งชิงสมุดก็เริ่มขึ้น โดยมีแซนด์เข้าไปร่วมวงด้วยตอนไหนก็ไม่รู้ ต่างจากคนอื่นนิดหน่อยตรงที่แซนด์ไม่ได้ลอกการบ้านผม แต่มันลอกสมุดจดของผม มันเลยไม่ต้องแย่งกับใครเท่าไร...
และในเมื่อพวกมันเลิกที่จะสนใจแล้ว ว่าทำไมผมถึงต้องกลับบ้านพร้อมกับเซ็ททุกวัน ผมจึงบอกลาพวกมันเบาๆ แล้วลุกขึ้นเพื่อจะเดินไปจากห้องเรียนราวกับว่าพวกเราไม่เคยพูดอะไรกันนอกเหนือไปจากเรื่องสมุดการบ้านของผม
“น้องมึงไม่พอใจที่พวกกูพามึงไปกินเหล้าจนดึกใช่ไหม”
ผมหยุดชะงักอยู่กับที่ ทั้งๆที่เพิ่งจะเดินออกมาจากโต๊ะได้เพียงไม่กี่ก้าว เมื่อพริ๊นซ์ถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจังเครียดๆอย่างหาได้ยากยิ่ง จนสงครามที่เพิ่งจะเริ่มกลับจบลงเร็วพอๆกับตอนที่มันเกิดขึ้น
“เดี๋ยวกูไปขอโทษก็ได้ เรื่องแค่นี้ทำไมน้องมึงต้องทำอย่างกับเป็นเรื่องใหญ่วะ...”
“ไม่ใช่ อย่างกับเป็นเรื่องใหญ่ หรอกมึง...แต่มันเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ” ผมขัดขึ้นโดยไม่หันไปมองหน้าพริ๊นซ์ แต่ในที่สุดผมก็คิดได้ว่าไม่ควรทำอย่างนั้น ผมจึงหันกลับไป พยายามจ้องตากับมันด้วยท่าทีที่ผมคิดว่าดูจริงใจมากที่สุด...
“...กูไปอาศัยอยู่บ้านเขานะเว้ย จะให้ทำตัวแย่ๆ ตามใจตัวเองน่ะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก...”
...คนอย่างกูน่ะ...เอาแต่ใจตัวเองไม่ได้หรอกนะ...
พริ๊นซ์มองผมด้วยสายตาที่ไม่เชื่อผมเอาเสียเลย แต่มันก็ไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น...ไม่ถามอะไรผมมากไปกว่านั้น...ทั้งๆที่ผมยืนอยู่ตรงนั้น...ยืนรออยู่อย่างนั้น...
ผมไม่เคยโกหกพริ๊นซ์...ไม่เคยบ่ายเบี่ยงไม่ตอบคำถามเลยสักครั้ง...แม้ว่าผมจะไม่เคยตอบออกไปมากกว่าที่มันถามมา...ผมก็ยังตอบมันเสมอ...ผมไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงทำอย่างนั้น...แต่...ขอเพียงมันถามมา ว่าทำไม...หรือเพราะอะไร...ผมก็พร้อมที่จะพูด...พร้อมที่จะเล่าทุกอย่างให้มันฟัง...แต่ทำไม...
...ทำไมมันถึงไม่เคยถามอะไรผมบ้างเลย...ทั้งๆที่ผมกำลังรอให้มันถามผมอยู่อย่างนี้...
.
.
.
เซ็ทยังคงมาส่งผมที่บ้านเหมือนเมื่อวาน ก่อนที่ตัวเองจะออกไปเรียนพิเศษต่อ ทั้งๆที่ผมบอกเซ็ทแล้วแท้ๆว่าไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้ ผมกลับเองได้ แต่เซ็ทดูจะไม่เชื่อใจผมเอาเสียเลย...
“ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อใจพี่นะ” เซ็ทบอกผม “ผมรู้ว่าพี่กลับเองได้...แต่ผมก็ยังเป็นห่วงอยู่ดีที่จะให้พี่กลับเองคนเดียว”
“พี่ไม่ใช่ผู้หญิงนะ ไม่ได้อ่อนแอขนาดที่จะโดนใครรังแกหรอก” ผมเถียงเซ็ทเสียงขุ่น สำหรับผมแล้วการไม่เชื่อว่าผมสามารถดูแลตัวเองได้ ก็ไม่ต่างอะไรไปจากการไม่เชื่อใจ
เซ็ทคว้าแขนผมให้หันกลับไปเผชิญหน้า “ผมไม่ได้เป็นห่วงพี่เพราะพี่อ่อนแอ...ผมเป็นห่วงพี่...เพราะพี่...เป็นคนสำคัญ...”
ดวงตาของเซ็ทสั่นไหว แต่ก็ยังคงเป็นประกายแรงกล้า มันดูมุ่งมั่นและจริงจังเสียจนผมไม่อาจทนสบตากับเขาได้
“รีบไปเรียนเถอะ เดี๋ยวจะสายเสียเปล่าๆ” ผมบอกเซ็ทอย่างปกติ ทำเหมือนไม่รู้...ไม่เข้าใจความหมายที่ฉายอยู่ในดวงตาคู่นั้น...
...ผมไม่ใช่คนโง่...ผมรู้ดีว่าเซ็ทมองผมด้วยสายตายังไง...ผมตอบรับไม่ได้...แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกัน...
“...แล้วผมจะรีบกลับมานะ”
ผมตอบรับคำ โบกมือให้เซ็ท เหมือนอย่างปกติ ยืนมองดูคนที่เดินห่างออกไปจากบ้านหลังนี้จนลับตา...อยากให้คนที่เดินจากไปตอนนี้เป็นตัวผมเสียเอง...
ปี๊นนน ปี๊นนน ผมสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์เมื่อจู่ๆเสียงแตรรถก็ดังขึ้นใกล้ๆตัว ไม่รู้ตัวเลยว่ายืนอยู่ตรงนี้นานแค่ไหนแล้ว ผมหันกลับไปมองข้างหลังด้วยความตระหนก
“แหมไอ้วา แทนที่มึงจะคิดหลบรถ ดันเสือกยืนเอ๋อเชียวนะมึง” เสียงไอ้นนท์ว่าผ่านหน้าต่างที่ลดกระจกลงต่ำ มันนั่งอยู่ที่เบาะหลังของรถที่ผมจำได้ว่าเป็นของใคร
“ตอนแรกก็กลัวกันว่าจะหาบ้านเมิงงไม่เจอกัน ก็ไอ้เชี่ยพริ๊นซ์น่ะสิ มันเสือกจำไม่ได้ว่าหลังไหน” ไอ้โอห์มโผล่หน้าออกมาพูดบ้าง
“พะ..พวกมึง...” ผมพยายามพูด แต่ก็พูดไม่ออก ได้แต่ยืนมองกลุ่มคนที่ทยอยลงมาจากรถกันทีล่ะคน...
...ไอ้นนท์...ไอ้โอห์ม...ไอ้แซนด์...ไทม์...
...และพริ๊นซ์ที่ก้าวลงจากรถเป็นคนสุดท้าย...
สมองของผมไม่ทำงาน มันว่างเปล่าขาวโพลน และทุกอย่างก็เงียบสนิท ราวกับว่าไม่อาจมีเสียงใดก็ตามที่จะสามารถดังมาถึงตัวผมได้เลย พริ๊นซ์เดินก้าวเข้ามาหาผม...มีเพียงเสียงของพริ๊นซ์เท่านั้น ที่ดังมาถึงผม...
“ถ้าน้องเซ็ทของมึงไม่ยอมให้มึงไปกับพวกกู...พวกกูมาหามึงแทนก็ได้...”
...ไม่...
“ไม่ได้!” ผมโพล่งออกมา รู้สึกหนังอึ้งในอก พวกมันมองหน้าผมที่ซีดจัดอย่างไม่เข้าใจ
“ทำไมล่ะวา” ไทม์เดินเข้ามาหาผม สองมือคว้าไหล่ของผมที่สั่นระริก “พวกเราทุกคนเป็นเพื่อนวานะ มีเรื่องอะไรก็บอกพวกเราสิ...อย่าเก็บเอาไว้คนเดียวได้ไหม...ทุกคนเขาเป็นห่วงวานะ...”
...ผมรู้...ผมรู้...ผมรู้...แต่ว่า...
“...วารู้ ไทม์...แต่...กลับไปก่อน...กลับไปกันเถอะ...ขอร้องล่ะ...กลับไปก่อนที่...”
...น้าบุษจะ...
“หึหึหึ” เสียงหัวเราะแหลมเล็กที่ถูกพยายามบังคับกดให้ต่ำลงดังขึ้นมาจากด้านหลังของผม ผมหันกลับไปมองทั้งๆที่รู้ตัวดีอยู่แล้ว ว่าคนที่อยู่ข้างหลังของผมคือใคร...
“...น้าบุษ...” ผมพูดเบาราวเสียงกระซิบ พวกไอ้พริ๊นซ์หันไปมองหน้ากันก่อนจะยกมือขึ้นจะไหว้คนที่ได้ชื่อว่าเป็นน้าของผมอย่างเก้งๆกังๆ
น้าบุษไม่ได้รับไหว้ ดวงตาโปนๆเหมือนคนที่ร้องไห้อยู่ตลอดเวลาของเธอจ้องมองมาที่พวกผมดูราวกับกำลังเหม่อลอย ใบหน้าซูบตอบที่เหมือนกับคนอมทุกข์อยู่ตลอดเวลาของเธอบิดเบี้ยวด้วยรอยยิ้มที่ดูวิกลจริต
ผมไม่รู้ว่าเธอจะทำยังไงถ้าผมพาพวกมันเข้าบ้าน...เธอจะทำเป็นไม่เห็นไม่สนใจผมแต่ก็แอบบ่นผมอยู่ตลอดเวลาเหมือนอย่างที่เป็นประจำหรือเปล่า...หรือเธอจะรักษาหน้าตัวเอง...ผมไม่รู้...แต่ที่ผมรู้...คือผมไม่อยากให้พวกมันมาเห็นแบบนี้...
พวกมันกำลังจะรู้เรื่องของผม...โดยที่ผมไม่ได้ยินยอมเลยสักนิด...
“...เพื่อน...งั้นหรอ...” น้าบุษถามเสียงแหบแห้ง ผมได้แต่พยักหน้าส่งๆให้เธอ นี่เป็นบทสนทนาตอบโต้กันครั้งแรกระหว่างผมกับเธอ ตั้งแต่ผมย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านหลังนี้
“...รู้อะไรบ้างล่ะ...”
ผมเงียบไม่ตอบอะไร ไม่เข้าใจว่าเธอกำลังหมายถึงเรื่องอะไร
“...ไม่ได้บอก...ยังงั้นหรอ...” น้าบุษเผยอรอยยิ้มเล็กๆที่ทำให้ใบหน้าของเธอดูบิดเบี้ยวมากขึ้นไปอีก เธอตวัดสายตาไปไล่เรียงมองพวกพริ๊นซ์ที่ยืนนิ่งอยู่ที่ล่ะคน
...เธอดูมีสติดี...แต่ก็นั่นล่ะที่ผมกลัว...
“...บอกพวกเขาไปสิ...บอกความจริงพวกเขาไป...ว่าเธอฆ่าพ่อแม่ของเธอด้วยวิธีไหน...”
“ผมไม่ได้ทำ” ผมตวาดใส่เธอ ใบหน้าร้อนผ่าว ผมอยากให้พวกไอ้พริ๊นซ์หายไปจากบริเวณนี้ ตอนนี้ ไม่อยากให้พวกมันรู้อะไรก็ตามที่ออกมาจากปากของน้าบุษ...แม้มันจะไม่ใช่ความจริง...
“...ไม่ต้องกลัว...ไม่ต้องห่วง...พวกเขาเป็นเพื่อนเธอนี่...พวกเขาต้องเข้าใจเธออยู่แล้ว...”
“หุบปากนะ!”
“แกมันไอ้เด็กสารเลว!” น้าบุษสวนขวับทันทีที่ผมสบถใส่เธอ ตอนนี้เธอดูเหมือนคนกำลังคลุ้มคลั่ง ต่างจากท่าทีเหมือนเคลิ้มฝันเมื่อกี้อย่างสิ้นเชิง พวกไอ้พริ๊นซ์ตกใจจนสะดุ้งโหยงไปกับการเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของเธอ
“ไอ้เด็กอกตัญญู! พี่สาวฉันเลี้ยงแกไม่ดียังไง! ทำไมแกถึงได้ใจต่ำได้ขนาดนี้!”
ผมตัวชาวาบ รู้สึกราวกับว่าพื้นที่ผมยืนอยู่กำลังโงนเงนไม่มั่นคง จนต้องคว้าแขนของใครสักคนที่อยู่ข้างตัวผมไว้เป็นหลักใช้พยุงตัวผมเองไว้ให้ยืนอยู่ได้ ผมรับรู้ได้ว่าคนๆนั้นเองก็จับมือผมไว้แน่นราวกับจะปลุกปลอบผมว่าไม่เป็นไร...มันทำให้ผมอุ่นใจได้บ้าง...
...จริงอยู่...ผมอยากให้พวกมันหายไปจากตรงนี้...แต่ถึงยังงั้น...ผมเองก็ไม่อยากอยู่คนเดียว...
“คุณน้าครับ...เอ่อ...ใจเย็นๆก่อนเถอะครับ...” ไทม์พยายามจะปรามเสียงของเธอ เพราะตอนนี้มีเพื่อนบ้านในละแวกนั้นเริ่มมามุงดูกันจนได้ยินเสียงกระซิบกระซาบอยู่ลับหลัง
“ให้เขารู้กันให้ทั่วไปเลยสิดี! จะได้รู้กันสักทีว่าแกยังมีความละอายแก่ใจเหลืออยู่บ้างไหม! เด็กเลวอย่างแกมันยังพอจะสำนึกอยู่ได้บ้างไหม!” น้าบุษยังคงพ่นออกมาเสียงดังราวกับคนเสียสติ
“แม่!”
ผมเห็นเซ็ทปราดเข้าไปหาน้าบุษ ทันทีที่ลูกชายของเธอกลับมา ท่าทีของเธอก็เปลี่ยนไปราวกับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่ความฝัน
“เซ็ท...ลูกแม่ ทำไมลูกถึงมาอยู่ที่นี่ได้...ตอนนี้ลูกน่าจะอยู่ที่โรงเรียนสอนพิเศษสิลูก...ไม่เอานะ...กลับไปลูก...กลับไป...”
เซ็ทหันมามองผมอย่างเป็นห่วง แล้วกวาดสายตามองพวกพริ๊นซ์อย่างแข็งกร้าว “พวกพี่มาทำอะไรที่นี่”
“เซ็ท...ไม่เอาลูก...อย่าไปยุ่งกับคนไม่ดีนะ...” น้าบุษพูดกับลูกชายของเธอเสียงอ่อน
“แม่...เข้าไปในบ้านเถอะ” เซ็ทหันไปพูดกับหน้าบุษสีหน้าเคร่งเครียด เธอหน้าซีดลงราวกับคนที่ผิดหวังในอะไรบางอย่างมากๆ แต่ก็ยอมที่จะเดินกลับเข้าไปตามที่ลูกชายของเธอต้องการ
“เซ็ทกลับมา...ทำไม...” ผมถามเซ็ทอย่างไม่เข้าใจ
“ผมเห็นรถคันนั้นสวนเข้ามา” เซ็ทชี้ไปที่รถของพริ๊นซ์ “ผมจำมันได้...ผมถึงกลับเข้ามา...”
“ทำไมน้องถึงต้องทำอย่างนี้” คนข้างตัวที่ผมอาศัยเกาะเป็นหลักยืนพูดขึ้น ไม่ต้องเงยหน้าขึ้นมอง ผมก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นเสียงของใคร...พริ๊นซ์...
“ทำอะไร” เซ็ทถามกลับนิ่งๆ
“ห้ามไม่ให้วาไปไหนกับพวกพี่หลังเลิกเรียน” พริ๊นซ์อธิบายอย่างใจเย็น “ถ้าน้องไม่พอใจที่วันนั้นพวกพี่พาวาออกไปกินเหล้าจนดึกดื่นก็พูดออกมาตรงๆ ไม่ต้องมาใช้วิธีกักบริเวณกันอย่างกับเด็กๆแบบนี้”
“ถึงผมจะพูดออกมาตรงๆว่าไม่พอใจ...ก็แล้วยังไงล่ะ” เซ็ทพูดกลับด้วยรอยยิ้มเยาะ “พี่จะทำยังไง?...ขอโทษขอโพย...แล้วสัญญาว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีกยังงั้นหรอ”
“แล้วน้องอยากให้พี่ทำอะไร? กราบตีนขอโทษ แล้วไปผูกคอตายไถ่บาปหรือไง”
“สิ่งที่ผมต้องการ ผมทำของผมเองได้ ไม่ต้องรบกวนพี่หรอก”
“ทำสิ่งที่ต้องการได้เอง? น้องหมายถึงไอ้การบังคับให้วากลับบ้านมาเจอกับอะไรที่ตัวเองก็รู้ดีอยู่แล้วนี่น่ะหรอ ไม่คิดถึงจิตใจของวาเลยอย่างนี้น่ะหรอ”
เซ็ทมองจ้องพริ๊นซ์ ดวงตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธ “มันไม่เกี่ยวอะไรกับพี่”
“ข้ออ้างเด็กๆ” พริ๊นซ์ยิ้มเยาะราวกับผู้ชนะ
ใช่...ผมรู้ดีว่าทำไมเซ็ทถึงเถียงกลับด้วยข้ออ้างข้างๆคูๆแบบนี้...เพราะเหตุผลที่แท้จริงของเซ็ทน่ะ...มันไม่สามารถพูดออกมาได้หรอกนะ...
“ไปเหอะ” พริ๊นซ์กระตุกแขนผม...แค่เบาๆ...แต่เป็นผมเองที่โอนอ่อนตาม...
“พี่วา!” เซ็ทเรียกผม มีบางอย่างในน้ำเสียงนั้นทำให้ผมต้องหยุดนิ่ง
“...ใครจะรับเลี้ยงเด็กคนนั้นล่ะ ญาติทางพ่อเขามีไหม...”
“...ให้เด็กคนนั้นไปอยู่กับญาติทางแม่สิ น่าจะสนิทกันมากกว่าทางนี้นะ...”
“...ก็โตๆกันแล้ว ไม่เห็นจำเป็นต้องหาคนเลี้ยงเลยนี่...อยู่คนเดียวเองก็เป็น...แบบนี้น่าจะสบายใจทั้งสองฝ่ายมากกว่านะ...รวมทั้งตัวเด็กคนนั้นเองด้วย...”
“...พี่ครับ...มาอยู่กับผมนะ...”
“...ผมนึกว่าพี่จะไม่กลับมาแล้ว...ขอบคุณนะพี่...ขอบคุณที่กลับมา...”
“...กูไปอาศัยอยู่บ้านเขานะเว้ย จะให้ทำตัวแย่ๆ ตามใจตัวเองน่ะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก...”
...คนอย่างกูน่ะ...เอาแต่ใจตัวเองไม่ได้หรอกนะ...
“...พี่อย่าทำแบบนี้อีกนะพี่...”
“ขอโทษ...พี่ขอโทษ”
“ขอโทษ...พี่ขอโทษ”
.
.
.
...ถ้าผมอยากที่จะมีความสุข...มันจะเป็นการเห็นแก่ตัวเกินไปหรือเปล่านะ...
Boy Friend เพื่อนกัน มิตรภาพและความรัก
TBC.
ไรเตอร์เองค่ะ! : (รู้ทั้งรู้นะว่าไม่มีใครอ่านตรงนี้ แต่ไรเตอร์ก็ยังอยากที่จะพิมพ์ T^T)
ความรู้สึกเกี่ยวกับตอนนี้...ยาวมาก- -...
และ...อัพช้ามาก...ใช่ไหม...(ใช่)...ไรเตอร์รู้สึกว่าตัวเองแต่งช้ามากค๊า ท่านผู้อ๊านนนนนนน!
โฮๆๆๆๆๆๆๆ เศร้าใจ... ยิ่งแต่งยิ่งเศร้าค่ะ แต่ก็จะพยายามต่อไป - -
ขอบคุณอีกครั้ง และอีกหลายๆครั้งค่ะสำหรับทุกคอมเม้นท์ในตอนนี้และในอนาคต (เอ...จะมีแน่หรอไอ้อันหลังนั่น!) ไรเตอร์เองก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ชอบไปอ่านแต่ไม่เม้นท์ ก็เข้าใจว่ามันต้องมีคนอย่างไรเตอร์อยู่เยอะแน่ๆ แต่ก็อดเศร้าใจไม่ได้อยู่ดี T^T
ปล. ตอนหน้าเราจะได้รู้ความจริงกันค่ะ!
ความคิดเห็น