ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Boy Friend เพื่อนกัน มิตรภาพและความรัก [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #3 : [3] เห็นแก่ตัว

    • อัปเดตล่าสุด 7 มี.ค. 53


    บทที่ สาม ห็นแก่ตัว

     

     

     

                    ...ทุกคนในโลกล้วนเห็นแก่ตัว...ไม่มีใครที่จะทำเพื่อคนอื่นได้ตลอดเวลา...ไม่มีใครทำเพื่อคนอื่นได้ตลอดไป...แต่สิ่งที่จะทำให้คนคนหนึ่งยังคงไม่กลายเป็นคนเห็นแก่ตัว...ก็คือคนคนนั้นจะทนเห็นแก่คนอื่นไปได้นานเท่าไร...

     

                    .

                    .

                    .

     

                    วันต่อมา ผมกับเซ็ทยังคงมาโรงเรียนด้วยกันเหมือนปกติ...ทั้งๆที่มันไม่ปกติ...อาการเมาค้างที่เคยเห็นแต่คนอื่นเขาเป็นกัน เวลานี้มันกลับมาเล่นงานตัวผมเองเสียเต็มๆ ผมรู้สึกอึดอัด ปวดหัว คลื่นเหียน อยากจะอาเจียนอยู่แทบจะตลอดเวลา จนผมอยากจะสาบานอย่างจริงจังว่า ผมจะไม่ริอาจดื่มเหล้าอีกแล้ว...

     

                    “ตอนเย็น ผมจะมารับพี่กลับนะ” เซ็ทพูดขึ้นอย่างเป็นห่วงระคนไม่พอใจ ตอนนี้พวกเราเดินมาถึงตึกเรียนของผม “ความจริงวันนี้พี่น่าจะหยุดด้วยซ้ำ...”

     

                    “ไม่เป็นไรหรอกเซ็ท แอบงีบในห้องสักหน่อยก็น่าจะดีขึ้น” ผมบอกเซ็ทแม้ว่าตัวเองก็ไม่แน่ใจนัก “...แล้วตอนเย็นไม่ต้องมารับพี่หรอก เซ็ทมีเรียนพิเศษไม่ใช่หรอ ถ้าพี่กลับเองไม่ไหวจริงๆ เดี๋ยวพี่ให้เพื่อนไปส่ง...”

     

                    “เพื่อนพี่นี่ใครล่ะ” เซ็ทขัดขึ้นเสียงแข็งกร้าว ก่อนจะเบือนหน้าหนีอย่างพยายามข่มอารมณ์ แล้วหันกลับมาเป็นเซ็ทปกติอย่างที่ผมเคยรู้จัก “ผมจะไปส่งพี่เอง พี่อยู่บ้านเดียวกับผม ผมเป็นน้องพี่นะ ส่วนเพื่อนที่พี่ว่า พี่ก็เพิ่งจะรู้จักเมื่อวาน...อย่าไปรบกวนพวกเขามากสิพี่”

     

                    ผมนิ่งเงียบไปอย่างนึกจุกด้วยคำพูด...

     

    ...มันไม่จำเป็นต้องมารับผิดชอบอะไรในตัวผม...เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น...

     

                    ...ผมรู้ดี...ผมเข้าใจ...ผมเป็นคนพูดเองแท้ๆ...แต่ถึงจะอย่างนั้น...มันก็อดที่จะคาดหวังไม่ได้...อดที่จะรู้สึกเจ็บแปลบไม่ได้...

     

                    “ผมต้องไปแล้ว” เซ็ทพูดเมื่อเพลงมาร์ชสัญญาณเข้าแถวในตอนเช้าดังขึ้น แม้จะมองมาที่ผมด้วยสายตาเป็นห่วง แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลย “...แล้วเจอกันครับ”

     

                    ผมเพียงแค่พยักหน้าน้อยๆให้เซ็ท จ้องมองคนที่เดินไปจากผมอย่างไม่มีความหมาย ผมยังคงยืนอยู่ตรงนั้น...ผมก้าวขาไม่ออก...ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ผมควรจะไปที่ไหน...ผมควรจะกลับไปที่ห้องเรียนไหม...ควรจะไปหาพวกพริ๊นซ์หรือเปล่า...พวกเขาเป็นเพื่อนของผมจริงๆ...ที่ตรงนั้น...มันเป็นของผมจริงๆอย่างงั้นหรอ...ผมชักไม่แน่ใจ...

     

                    ...ผมกำลังสำคัญตัวเอง...ผิดไปหรือเปล่า...

     

                    “อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!

     

                    ...เสียงนี้มัน...เสียงอะไรวะ!?

     

                    ผมเงยหน้าขึ้นมองหาต้นเสียงนั้นด้วยสัญชาตญาณอย่างตกใจ เพิ่งจะรับรู้ได้ว่ารอบตัวผมมันยุ่งวุ่นวายขนาดไหน นักเรียนม.ปลายจำนวนมากกำลังเบียดเสียดกันสุดฤทธิ์ เป้าหมายคือบันไดขึ้นตึกที่อยู่ข้างหลังผม ไม่รู้ว่าผมยืนนิ่งอยู่ในสถานการแบบนี้ได้ยังไงโดยที่ไม่โดนเหยียบเละ...แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ประเด็น...

     

    ...ประเด็นคือพวกไอ้พริ๊นซ์ทั้งหลายแหล่...ที่กำลังวิ่งกันหน้าตั้งกันอย่างไม่คิดชีวิต...

     

    ไอ้แซนด์ที่ตัวสูงที่สุด เด่นสง่ามาเป็นคนแรก หน้าตาดีๆของมันดูตื่นๆซีดๆ เห็นแล้วอดหัวเราะไม่ได้ กลุ่มนี้วิ่งนำหน้าด้วยหัวโจกอย่างไอ้พริ๊นซ์ แล้วตามมาติดๆด้วยไทม์ ไอ้โอห์มและนนท์อยู่รั้งท้าย ท่าทางแต่ล่ะคน...เหมือนกำลังโดนตะกวดไล่ยังไงยังงั้นเลย...

     

                    “ไอ้เชี่ยวา เกะกะๆๆเว้ย! ยืนให้พ่อมึงมาสอยตูดไงวะ วิ่งงงงงงงงงงงงงงง!” ไอ้พริ๊นซ์มันว่าผม แล้วคว้าแขนออกแรงฉุดกระชากให้ผมออกวิ่งไปกับกลุ่มพวกมัน ผมตัวปลิวลอยตามมันไปอย่างช่วยไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้สวยงามเท่าไร...ผมกระเสือกกระสนคลานขึ้นบันไดตามพวกมันไปอย่างทุลักทุเล...

     

    ผมหันไปมองรอบข้าง...ยิ่งมองเห็นสีหน้าของทุกคนมากเท่าไร...ผมก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆมากขึ้นเท่านั้น...

     

                    “...ไอ้....เชี่ยพริ๊นซ์!...............หยุด........” ผมพยายามจะพูดบอก แต่บางอย่างในตัวกลับอื้ออึงต่อต้าน ผมไม่อยากให้พวกมันมาลากผมไปแบบนี้...มันทำให้ผมรู้สึก...มากไปกว่านี้...

     

                    “หยุดทำด๋อยไรวะ! วิ่งๆเข้าไปเถอะน่า จะถึงอยู่แล้วมึง! จะถึงอยู่แล้ว! เชี่ยๆๆๆ เพลงจะจบแล้ว!” ไม่รู้ว่าไอ้พริ๊นซ์ยังมีแรงเหลือจากไหนมาโวยวายใส่ผม...แต่ตอนนี้ผมคิดอะไรไม่ออกแล้ว...สมองผมตื้อไปหมด...ทุกอย่างมันดูพร่ามัวแปลกๆ...

     

                    ในที่สุดพวกผมก็ผ่านโค้งสุดท้ายตรงหัวมุมตึก เข้าสู่ทางตรงระยะห้าสิบเมตรสุดท้าย...ระเบียงหน้าห้องผมอยู่ใกล้แค่เอื้อม...แค่เอื้อมเท่านั้น...อีกแค่นิดเดียว...แต่ว่า...

     

                    ...เพลงมาร์ชโรงเรียนได้จบลงในระยะเมตรสุดท้าย...

     

                    “มาสาย...หกคน” บราเดอร์พูดด้วยน้ำเสียงที่ผมอยากจะเรียกมันว่า โรคจิต...ไม่รู้ว่าแกยิ้ม(จิตๆ)ด้วยไหม (แต่ผมแอบมั่นใจนิดนึงว่าใช่แน่ๆ) เพราะตอนนี้ผมได้แต่ยืนก้มหน้า หอบหายใจเบาๆอย่างอดกลั้นบางอย่าง รวมทั้งงอตัวด้วยอาการแปลกๆ ราวกับว่าอวัยวะภายในของผมมันกำลังบิดมวลรวมกันแล้วกลายเป็นหลุมดำอยู่ในท้อง...

     

    ...พวกไอ้พริ๊นซ์มองผมที่ยืนกุมท้อง เหงื่อออกท่วมตัว หน้าซีดจัด ก่อนจะหันไปสบตากันอย่างสื่อความหมายบางอย่าง...

     

                    ...ผมจะไม่ไหวแล้ว...อยากออกไปจากตรงนี้...

     

                    “บราเดอร์ วาเลนไทน์ไม่สบายครับ” ไทม์แหลสด แต่ด้วยบุคลิกแล้วทำให้มันดูน่าเชื่อถืออย่างสุดๆ “พวกผมเจอเขาเป็นลมอยู่กลางทาง กว่าจะพาขึ้นมาได้ เลยไม่ทันเพลงมาร์ชครับ”

     

                    ผมรับรู้ได้ว่าบราเดอร์หันมามองที่ผมอย่างชั่งใจ แน่ล่ะ ไทม์น่าเชื่อถือก็จริง แต่ผมมั่นใจว่าบราเดอร์ต้องเห็นตอนที่พริ๊นซ์มันลากผมมาซะตัวลอยตามระเบียงเมื่อกี้...

     

                    ...มันไม่น่าจะใช่ สิ่งที่คนเขาทำกับคนป่วยกันสักเท่าไร...

     

                    “นายวาเลนไทน์ ไม่สบายตรงไหน ปวดท้องหรือไง” บราเดอร์ถาม ก่อนจะตัดสินใจเดินปราดเข้ามาหาผมเพื่อจะดูให้ชัดว่าจริงหรือเปล่า

     

                    ...ผม...

     

    บราเดอร์วางมือกดลงบนไหล่ผมเบาๆ “ไหน เงยหน้าขึ้นหน่อยสิ”

     

    ...ตอนนี้...ผม...อย่า...ผม...

     

    แรงดันที่ไหลทั้งสองทำให้ผมต้องยืดตัวขึ้นยืนตรงอย่างไม่มีเรี่ยวแรงจะหลีกเลี่ยง

     

                    ...จะอ้วก...

     

                    แหวะ~! ผมอาเจียนพรวดใส่บราเดอร์ในทันที...ก็นั้นล่ะ...พอผมยืดตัวขึ้นมา...อะไรๆมันก็พรวดตามขึ้นมาด้วย...

     

                    เกิดความโกลาหนวุ่นวายขึ้นท่ามกลางเสียงร้องเพลงชาติของนักเรียนทั้งโรงเรียน ผมถูกใครบางคนดึงออกห่างจากบราเดอร์ เสียงนักเสียงม.สี่ห้องสามโหกเหวกโวยวายบางอย่างฟังไม่ได้ศัพท์ อาการหน้ามืดทำให้ผมโดนหามส่งห้องพยาบาลในที่สุด...และแน่นอน...ด้วยเหตุนี้...

     

    ...ทั้งผมและพวกไอ้พริ๊นซ์จึงรอดพ้นไปจากความผิดโทษฐานมาสายไปได้อย่างสวยงาม(?)...

     

                    .

                    .

                    .

     

                    ห้า! ห้า! ห้า! ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!

     

                    เสียงหัวเราะเฮฮาดังสนั่นคับห้องพยาบาล อย่างที่ไอ้พวกต้นเหตุ ไม่ได้สำนึกเลยสักนิดว่าตัวผมที่กำลังเป็นคนป่วยในห้องนั้นต้องการความสงบในการนอนมากแค่ไหน...

     

                    ...นี่คงจะพักเที่ยงแล้วล่ะมั้ง...ไอ้พวกนี้ถึงมาเริงร่าอยู่ที่ห้องพยาบาลนี่ได้...

     

                    “ไอ้วาแม่ง! แหล่มวะ~ ดูหน้าบราเดอร์ดิ หวอแดกไปเลยสาดด~!” เสียงไอ้โอห์มโวยวายเป็นสิ่งแรกที่ผมได้ยินหลังจากที่ผมงัวเงียตื่นขึ้นมา

     

                    “ตอนแรกกูก็นึกว่ามันแค่สำออยเหนื่อยๆ อีตอนบราเดอร์เข้าไปหามันนะ กูงี้ซีดเลยกลัวแม่งจับได้...ที่ไหนได้ เจือกแหวะแตกออกมาจริงๆ โชคดีสัด ห่ะห่ะห่ะ!” นี่ก็เสียงไอ้นนท์

     

                    “เป็นไงบ้างวา” ไทม์ที่นั่งอยู่ข้างเตียงถามผมเสียงอ่อนเมื่อเห็นว่าผมขยับน้อยๆได้สติ ในขณะที่ไอ้พวกข้างหลังยังคงคุยกันเสียงดัง (ยกเว้นแซนด์ เพราะผมเห็นมันแอบงีบหลับอยู่บนเตียงข้างๆ) “ยังคลื่นไส้อยู่ไหม...ปวดหัวหรือเปล่า?”

     

                    “หนวกหูอ่ะ” ผมตอบไทม์เสียงอ่อน เห็นผมพูดหยาบๆกับคนอื่นหยั่งงี้ แต่ผมก็แพ้พวกพูดเพราะๆนะ ยิ่งไทม์ชอบเป็นห่วงเป็นใย เอาใจใส่นี่ยิ่งแล้วใหญ่ นานๆไปมันก็อดที่จะ อ้อนกลับไม่ได้

     

                    “พวกมึงเบาเสียงลงหน่อยดิ” ไทม์หันไปเอ็ด “ไม่สนใจวาเขา ก็เกรงใจเขาหน่อยได้ไหม”

     

                    “ก็แม่งมันฮานี่หว่า” ไอ้พริ๊นซ์เถียง แต่ก็ยอมลดเสียงเบาลงมาก “มึงเองก็ฮาแตกจะตายตอนไอ้วามันอ้วกใส่บราเดอร์แกน่ะ อย่าคิดนะว่ากำลังวุ่นๆกันแล้วกูจะไม่เห็นน่ะ ไอ้ไทม์”

     

                    ไทม์อมยิ้มน้อยๆให้ไอ้พริ๊นซ์ที่รู้ทัน แต่ผมนี่แทบอยากจะแทรกกระเบื้องหนี (ห้องพยาบาลมันพื้นกระเบื้องอ่ะ) ไม่ใช่อายหรอก เรื่องแค่นี้มันเหตุสุดวิสัย แต่ที่ไอ้ผมจะหนีน่ะ...หนีความผิดต่างหาก!

     

                    ...ผมล่ะไม่อยากกลับไปเจอหน้าแกตอนคาบบ่ายเลย...ให้ตายสิ...

     

                    “เฮ้ย เป็นไงมั่งวะมึง ทำหน้าเหมือนปวดขี้...” ไอ้พริ๊นซ์ขยับเข้ามาใกล้ผมอย่างเพิ่งสำนึกได้ว่ามันควรจะเป็นห่วงผม (ไม่แค่มันหรอก คนอื่นด้วยนั่นแหละ) แตะหลังมือบนหน้าผากผมเบาๆ แล้วขมวดคิ้ว “...ตกลงมึงเมาค้างหรือไม่สบายกันแน่วะ ตัวร้อนเป็นเตารีดเลยมึง”

     

                    ผมส่ายหน้าให้มันอย่างอับจนในคำตอบ จู่ๆเรื่องที่ผมตะโกนใส่พริ๊นซ์เมื่อวานผุดขึ้นมาในหัว รู้สึกตะขิดตะขวงใจชอบกลที่มันทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น...

     

                    “ไทม์ว่าไปโรงพยาบาลดีไหม” ไทม์ถามผม คราวนี้ผมส่ายหน้าปฏิเสธอย่างไม่ลังเล

     

                    “ไม่ต้องหรอกไทม์ แค่นี้ กินยาก็หาย แต่ตอนนี้ วาหิวโคตรๆเลย ไปกินข้าวกันเหอะ” ผมยันตัวลุกขึ้นนั่งโดยมีไทม์ช่วยดึงและพยุงผมเข้าไปคุยกับพยาบาลที่ห้องพัก เธอปล่อยผมให้ออกไปกินข้าวได้พร้อมกับยาหลังอาหารอีกนิดหน่อย

     

     

    ในเวลานี้ ผมเลิกที่จะกังวลแล้ว ว่าพวกเขาเป็นเพื่อนของผมหรือเปล่า เพราะทุกการกระทำ มันมีค่ามากกว่าการที่ผมจะมานั่งคิดไปเอง และถึงแม้ว่าพวกพริ๊นซ์จะไม่คิดว่าผมเป็นเพื่อน ต่อให้ผมจะไม่ใช่เพื่อนของพวกเขา ผมก็ไม่แคร์ ผมขอแค่เป็นแบบนี้ต่อไปก็ได้...

     

                    .

                    .

                    .

     

                    “ไอ้วา วันนี้เมิงงจะไม่ไปกับพวกกูจริงดิ” โอห์มถามผม ไม่ต่างไปจากสายตาของทุกคนที่มองมาทางผมอย่างรอคำตอบ “เมื่อวานกูเข้าใจว่ามึงไม่สบาย แต่วันนี้มึงก็สบายดีแล้วจะรีบกลับไปทำไมวะ”

     

                    “ก็กูต้องกลับพร้อมเซ็ท” ผมตอบไปเลี่ยงๆ เมื่อวานนี้ตอนที่เซ็ทมารับผมกลับบ้าน คนอื่นถึงได้รู้ว่าผมเป็นญาติกับเซ็ทและอาศัยอยู่กับน้องเขา...แต่ก็ไม่มีใครรู้...ว่ามันเพราะอะไร...

     

    ผมไม่เคยตอบคำถามที่ต้องการทราบสาเหตุเหล่านั้นเลย แม้แต่กับไทม์ที่สนิทกับผมที่สุด ผมก็ไม่ตอบ และพยายามอย่างยิ่งที่จะทำตัวดูไม่หยี่ระกับเรื่องนี้ ราวกับว่ามันไม่มีอะไรในกอไผ่ แต่ว่าผมก็ไม่สามารถทนสบตาทุกคนได้ ผมจึงเลือกที่จะทำเป็นสาละวนอยู่กับการหาสมุดการบ้านที่ผมรู้ดีว่าอยู่ที่ไหน

     

    “พวกมึงเห็นสมุดฟิฯกูไหม”

     

                    “อยู่กับกูเอง” นนท์ตอบ ผมรู้ว่ามันเอาลอกไปตั้งแต่พักกลางวันแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะยังลอกไม่เสร็จ “ยังเหลืออีกเยอะอ่ะ กูขอยืมไปลอกต่อที่บ้านล่ะกัน”

     

                    “อ้าว ไอ้เชี่ยนี่ มึงไม่คิดจะแบ่งคนอื่นลอกมั่งรึไงวะ” ไอ้โอห์มสะดุ้งแล้วหันไปว่านนท์ ก็แน่ล่ะ...โอห์มมันจองห่อกลับบ้านไว้ตั้งแต่ตอนเรียนแล้ว...

     

                    “มึงก็เอาเลขไปลอกก่อนดิวะ ของมิสศรีเรียนคาบแรกด้วย” ไอ้นนท์ก็พูดได้ เพราะมันลอกเสร็จแล้ว

     

                    “อย่ามาๆ สมุดเลขวา กูจองกลับบ้านแล้ว” ไทม์หันไปแขวะทั้งสองคน

     

    เมื่อผมวางสมุดการบ้านกับสมุดจดทุกวิชาที่ผมทำเสร็จแล้วไว้บนโต๊ะ สงครามแย่งชิงสมุดก็เริ่มขึ้น โดยมีแซนด์เข้าไปร่วมวงด้วยตอนไหนก็ไม่รู้ ต่างจากคนอื่นนิดหน่อยตรงที่แซนด์ไม่ได้ลอกการบ้านผม แต่มันลอกสมุดจดของผม มันเลยไม่ต้องแย่งกับใครเท่าไร...

     

    และในเมื่อพวกมันเลิกที่จะสนใจแล้ว ว่าทำไมผมถึงต้องกลับบ้านพร้อมกับเซ็ททุกวัน ผมจึงบอกลาพวกมันเบาๆ แล้วลุกขึ้นเพื่อจะเดินไปจากห้องเรียนราวกับว่าพวกเราไม่เคยพูดอะไรกันนอกเหนือไปจากเรื่องสมุดการบ้านของผม

     

                    “น้องมึงไม่พอใจที่พวกกูพามึงไปกินเหล้าจนดึกใช่ไหม”

     

    ผมหยุดชะงักอยู่กับที่ ทั้งๆที่เพิ่งจะเดินออกมาจากโต๊ะได้เพียงไม่กี่ก้าว เมื่อพริ๊นซ์ถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจังเครียดๆอย่างหาได้ยากยิ่ง จนสงครามที่เพิ่งจะเริ่มกลับจบลงเร็วพอๆกับตอนที่มันเกิดขึ้น

     

    “เดี๋ยวกูไปขอโทษก็ได้ เรื่องแค่นี้ทำไมน้องมึงต้องทำอย่างกับเป็นเรื่องใหญ่วะ...”

     

                    “ไม่ใช่ อย่างกับเป็นเรื่องใหญ่ หรอกมึง...แต่มันเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ” ผมขัดขึ้นโดยไม่หันไปมองหน้าพริ๊นซ์ แต่ในที่สุดผมก็คิดได้ว่าไม่ควรทำอย่างนั้น ผมจึงหันกลับไป พยายามจ้องตากับมันด้วยท่าทีที่ผมคิดว่าดูจริงใจมากที่สุด...

     

    “...กูไปอาศัยอยู่บ้านเขานะเว้ย จะให้ทำตัวแย่ๆ ตามใจตัวเองน่ะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก...”

     

                    ...คนอย่างกูน่ะ...เอาแต่ใจตัวเองไม่ได้หรอกนะ...

     

    พริ๊นซ์มองผมด้วยสายตาที่ไม่เชื่อผมเอาเสียเลย แต่มันก็ไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น...ไม่ถามอะไรผมมากไปกว่านั้น...ทั้งๆที่ผมยืนอยู่ตรงนั้น...ยืนรออยู่อย่างนั้น...

     

     

                    ผมไม่เคยโกหกพริ๊นซ์...ไม่เคยบ่ายเบี่ยงไม่ตอบคำถามเลยสักครั้ง...แม้ว่าผมจะไม่เคยตอบออกไปมากกว่าที่มันถามมา...ผมก็ยังตอบมันเสมอ...ผมไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงทำอย่างนั้น...แต่...ขอเพียงมันถามมา ว่าทำไม...หรือเพราะอะไร...ผมก็พร้อมที่จะพูด...พร้อมที่จะเล่าทุกอย่างให้มันฟัง...แต่ทำไม...

     

    ...ทำไมมันถึงไม่เคยถามอะไรผมบ้างเลย...ทั้งๆที่ผมกำลังรอให้มันถามผมอยู่อย่างนี้...

     

                    .

                    .

                    .

     

    เซ็ทยังคงมาส่งผมที่บ้านเหมือนเมื่อวาน ก่อนที่ตัวเองจะออกไปเรียนพิเศษต่อ ทั้งๆที่ผมบอกเซ็ทแล้วแท้ๆว่าไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้ ผมกลับเองได้ แต่เซ็ทดูจะไม่เชื่อใจผมเอาเสียเลย...

     

    “ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อใจพี่นะ” เซ็ทบอกผม “ผมรู้ว่าพี่กลับเองได้...แต่ผมก็ยังเป็นห่วงอยู่ดีที่จะให้พี่กลับเองคนเดียว”

     

    “พี่ไม่ใช่ผู้หญิงนะ ไม่ได้อ่อนแอขนาดที่จะโดนใครรังแกหรอก” ผมเถียงเซ็ทเสียงขุ่น สำหรับผมแล้วการไม่เชื่อว่าผมสามารถดูแลตัวเองได้ ก็ไม่ต่างอะไรไปจากการไม่เชื่อใจ

     

    เซ็ทคว้าแขนผมให้หันกลับไปเผชิญหน้า “ผมไม่ได้เป็นห่วงพี่เพราะพี่อ่อนแอ...ผมเป็นห่วงพี่...เพราะพี่...เป็นคนสำคัญ...”

     

    ดวงตาของเซ็ทสั่นไหว แต่ก็ยังคงเป็นประกายแรงกล้า มันดูมุ่งมั่นและจริงจังเสียจนผมไม่อาจทนสบตากับเขาได้

     

    “รีบไปเรียนเถอะ เดี๋ยวจะสายเสียเปล่าๆ” ผมบอกเซ็ทอย่างปกติ ทำเหมือนไม่รู้...ไม่เข้าใจความหมายที่ฉายอยู่ในดวงตาคู่นั้น...

     

    ...ผมไม่ใช่คนโง่...ผมรู้ดีว่าเซ็ทมองผมด้วยสายตายังไง...ผมตอบรับไม่ได้...แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกัน...

     

    “...แล้วผมจะรีบกลับมานะ”

     

    ผมตอบรับคำ โบกมือให้เซ็ท เหมือนอย่างปกติ ยืนมองดูคนที่เดินห่างออกไปจากบ้านหลังนี้จนลับตา...อยากให้คนที่เดินจากไปตอนนี้เป็นตัวผมเสียเอง...

     

     

    ปี๊นนน ปี๊นนน ผมสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์เมื่อจู่ๆเสียงแตรรถก็ดังขึ้นใกล้ๆตัว ไม่รู้ตัวเลยว่ายืนอยู่ตรงนี้นานแค่ไหนแล้ว ผมหันกลับไปมองข้างหลังด้วยความตระหนก

     

    “แหมไอ้วา แทนที่มึงจะคิดหลบรถ ดันเสือกยืนเอ๋อเชียวนะมึง” เสียงไอ้นนท์ว่าผ่านหน้าต่างที่ลดกระจกลงต่ำ มันนั่งอยู่ที่เบาะหลังของรถที่ผมจำได้ว่าเป็นของใคร

     

    “ตอนแรกก็กลัวกันว่าจะหาบ้านเมิงงไม่เจอกัน ก็ไอ้เชี่ยพริ๊นซ์น่ะสิ มันเสือกจำไม่ได้ว่าหลังไหน” ไอ้โอห์มโผล่หน้าออกมาพูดบ้าง

     

    “พะ..พวกมึง...” ผมพยายามพูด แต่ก็พูดไม่ออก ได้แต่ยืนมองกลุ่มคนที่ทยอยลงมาจากรถกันทีล่ะคน...

     

    ...ไอ้นนท์...ไอ้โอห์ม...ไอ้แซนด์...ไทม์...

     

    ...และพริ๊นซ์ที่ก้าวลงจากรถเป็นคนสุดท้าย...

     

    สมองของผมไม่ทำงาน มันว่างเปล่าขาวโพลน และทุกอย่างก็เงียบสนิท ราวกับว่าไม่อาจมีเสียงใดก็ตามที่จะสามารถดังมาถึงตัวผมได้เลย พริ๊นซ์เดินก้าวเข้ามาหาผม...มีเพียงเสียงของพริ๊นซ์เท่านั้น ที่ดังมาถึงผม...

     

    “ถ้าน้องเซ็ทของมึงไม่ยอมให้มึงไปกับพวกกู...พวกกูมาหามึงแทนก็ได้...”

     

    ...ไม่...

     

    “ไม่ได้! ผมโพล่งออกมา รู้สึกหนังอึ้งในอก พวกมันมองหน้าผมที่ซีดจัดอย่างไม่เข้าใจ

     

    “ทำไมล่ะวา” ไทม์เดินเข้ามาหาผม สองมือคว้าไหล่ของผมที่สั่นระริก “พวกเราทุกคนเป็นเพื่อนวานะ มีเรื่องอะไรก็บอกพวกเราสิ...อย่าเก็บเอาไว้คนเดียวได้ไหม...ทุกคนเขาเป็นห่วงวานะ...”

     

    ...ผมรู้...ผมรู้...ผมรู้...แต่ว่า...

     

    “...วารู้ ไทม์...แต่...กลับไปก่อน...กลับไปกันเถอะ...ขอร้องล่ะ...กลับไปก่อนที่...”

     

    ...น้าบุษจะ...

     

    “หึหึหึ” เสียงหัวเราะแหลมเล็กที่ถูกพยายามบังคับกดให้ต่ำลงดังขึ้นมาจากด้านหลังของผม ผมหันกลับไปมองทั้งๆที่รู้ตัวดีอยู่แล้ว ว่าคนที่อยู่ข้างหลังของผมคือใคร...

     

    “...น้าบุษ...” ผมพูดเบาราวเสียงกระซิบ พวกไอ้พริ๊นซ์หันไปมองหน้ากันก่อนจะยกมือขึ้นจะไหว้คนที่ได้ชื่อว่าเป็นน้าของผมอย่างเก้งๆกังๆ

     

    น้าบุษไม่ได้รับไหว้ ดวงตาโปนๆเหมือนคนที่ร้องไห้อยู่ตลอดเวลาของเธอจ้องมองมาที่พวกผมดูราวกับกำลังเหม่อลอย ใบหน้าซูบตอบที่เหมือนกับคนอมทุกข์อยู่ตลอดเวลาของเธอบิดเบี้ยวด้วยรอยยิ้มที่ดูวิกลจริต

     

    ผมไม่รู้ว่าเธอจะทำยังไงถ้าผมพาพวกมันเข้าบ้าน...เธอจะทำเป็นไม่เห็นไม่สนใจผมแต่ก็แอบบ่นผมอยู่ตลอดเวลาเหมือนอย่างที่เป็นประจำหรือเปล่า...หรือเธอจะรักษาหน้าตัวเอง...ผมไม่รู้...แต่ที่ผมรู้...คือผมไม่อยากให้พวกมันมาเห็นแบบนี้...

     

    พวกมันกำลังจะรู้เรื่องของผม...โดยที่ผมไม่ได้ยินยอมเลยสักนิด...

     

     “...เพื่อน...งั้นหรอ...” น้าบุษถามเสียงแหบแห้ง ผมได้แต่พยักหน้าส่งๆให้เธอ นี่เป็นบทสนทนาตอบโต้กันครั้งแรกระหว่างผมกับเธอ ตั้งแต่ผมย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านหลังนี้

     

    “...รู้อะไรบ้างล่ะ...”

     

    ผมเงียบไม่ตอบอะไร ไม่เข้าใจว่าเธอกำลังหมายถึงเรื่องอะไร

     

    “...ไม่ได้บอก...ยังงั้นหรอ...” น้าบุษเผยอรอยยิ้มเล็กๆที่ทำให้ใบหน้าของเธอดูบิดเบี้ยวมากขึ้นไปอีก เธอตวัดสายตาไปไล่เรียงมองพวกพริ๊นซ์ที่ยืนนิ่งอยู่ที่ล่ะคน

     

    ...เธอดูมีสติดี...แต่ก็นั่นล่ะที่ผมกลัว...

     

    “...บอกพวกเขาไปสิ...บอกความจริงพวกเขาไป...ว่าเธอฆ่าพ่อแม่ของเธอด้วยวิธีไหน...”

     

    “ผมไม่ได้ทำ” ผมตวาดใส่เธอ ใบหน้าร้อนผ่าว ผมอยากให้พวกไอ้พริ๊นซ์หายไปจากบริเวณนี้ ตอนนี้ ไม่อยากให้พวกมันรู้อะไรก็ตามที่ออกมาจากปากของน้าบุษ...แม้มันจะไม่ใช่ความจริง...

     

    “...ไม่ต้องกลัว...ไม่ต้องห่วง...พวกเขาเป็นเพื่อนเธอนี่...พวกเขาต้องเข้าใจเธออยู่แล้ว...”

     

    “หุบปากนะ!

     

    “แกมันไอ้เด็กสารเลว! น้าบุษสวนขวับทันทีที่ผมสบถใส่เธอ ตอนนี้เธอดูเหมือนคนกำลังคลุ้มคลั่ง ต่างจากท่าทีเหมือนเคลิ้มฝันเมื่อกี้อย่างสิ้นเชิง พวกไอ้พริ๊นซ์ตกใจจนสะดุ้งโหยงไปกับการเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของเธอ

     

    “ไอ้เด็กอกตัญญู! พี่สาวฉันเลี้ยงแกไม่ดียังไง! ทำไมแกถึงได้ใจต่ำได้ขนาดนี้!

     

    ผมตัวชาวาบ รู้สึกราวกับว่าพื้นที่ผมยืนอยู่กำลังโงนเงนไม่มั่นคง จนต้องคว้าแขนของใครสักคนที่อยู่ข้างตัวผมไว้เป็นหลักใช้พยุงตัวผมเองไว้ให้ยืนอยู่ได้ ผมรับรู้ได้ว่าคนๆนั้นเองก็จับมือผมไว้แน่นราวกับจะปลุกปลอบผมว่าไม่เป็นไร...มันทำให้ผมอุ่นใจได้บ้าง...

     

    ...จริงอยู่...ผมอยากให้พวกมันหายไปจากตรงนี้...แต่ถึงยังงั้น...ผมเองก็ไม่อยากอยู่คนเดียว...

     

    “คุณน้าครับ...เอ่อ...ใจเย็นๆก่อนเถอะครับ...” ไทม์พยายามจะปรามเสียงของเธอ เพราะตอนนี้มีเพื่อนบ้านในละแวกนั้นเริ่มมามุงดูกันจนได้ยินเสียงกระซิบกระซาบอยู่ลับหลัง

     

    “ให้เขารู้กันให้ทั่วไปเลยสิดี! จะได้รู้กันสักทีว่าแกยังมีความละอายแก่ใจเหลืออยู่บ้างไหม! เด็กเลวอย่างแกมันยังพอจะสำนึกอยู่ได้บ้างไหม! น้าบุษยังคงพ่นออกมาเสียงดังราวกับคนเสียสติ

     

    “แม่!

     

    ผมเห็นเซ็ทปราดเข้าไปหาน้าบุษ ทันทีที่ลูกชายของเธอกลับมา ท่าทีของเธอก็เปลี่ยนไปราวกับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่ความฝัน

     

    “เซ็ท...ลูกแม่ ทำไมลูกถึงมาอยู่ที่นี่ได้...ตอนนี้ลูกน่าจะอยู่ที่โรงเรียนสอนพิเศษสิลูก...ไม่เอานะ...กลับไปลูก...กลับไป...”

     

    เซ็ทหันมามองผมอย่างเป็นห่วง แล้วกวาดสายตามองพวกพริ๊นซ์อย่างแข็งกร้าว “พวกพี่มาทำอะไรที่นี่”

     

    “เซ็ท...ไม่เอาลูก...อย่าไปยุ่งกับคนไม่ดีนะ...” น้าบุษพูดกับลูกชายของเธอเสียงอ่อน

     

    “แม่...เข้าไปในบ้านเถอะ” เซ็ทหันไปพูดกับหน้าบุษสีหน้าเคร่งเครียด เธอหน้าซีดลงราวกับคนที่ผิดหวังในอะไรบางอย่างมากๆ แต่ก็ยอมที่จะเดินกลับเข้าไปตามที่ลูกชายของเธอต้องการ

     

    “เซ็ทกลับมา...ทำไม...” ผมถามเซ็ทอย่างไม่เข้าใจ

     

    “ผมเห็นรถคันนั้นสวนเข้ามา” เซ็ทชี้ไปที่รถของพริ๊นซ์ “ผมจำมันได้...ผมถึงกลับเข้ามา...”

     

    “ทำไมน้องถึงต้องทำอย่างนี้” คนข้างตัวที่ผมอาศัยเกาะเป็นหลักยืนพูดขึ้น ไม่ต้องเงยหน้าขึ้นมอง ผมก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นเสียงของใคร...พริ๊นซ์...

     

    “ทำอะไร” เซ็ทถามกลับนิ่งๆ

     

    “ห้ามไม่ให้วาไปไหนกับพวกพี่หลังเลิกเรียน” พริ๊นซ์อธิบายอย่างใจเย็น “ถ้าน้องไม่พอใจที่วันนั้นพวกพี่พาวาออกไปกินเหล้าจนดึกดื่นก็พูดออกมาตรงๆ ไม่ต้องมาใช้วิธีกักบริเวณกันอย่างกับเด็กๆแบบนี้”

     

    “ถึงผมจะพูดออกมาตรงๆว่าไม่พอใจ...ก็แล้วยังไงล่ะ” เซ็ทพูดกลับด้วยรอยยิ้มเยาะ “พี่จะทำยังไง?...ขอโทษขอโพย...แล้วสัญญาว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีกยังงั้นหรอ”

     

    “แล้วน้องอยากให้พี่ทำอะไร? กราบตีนขอโทษ แล้วไปผูกคอตายไถ่บาปหรือไง”

     

    “สิ่งที่ผมต้องการ ผมทำของผมเองได้ ไม่ต้องรบกวนพี่หรอก”

     

    “ทำสิ่งที่ต้องการได้เอง? น้องหมายถึงไอ้การบังคับให้วากลับบ้านมาเจอกับอะไรที่ตัวเองก็รู้ดีอยู่แล้วนี่น่ะหรอ ไม่คิดถึงจิตใจของวาเลยอย่างนี้น่ะหรอ”

     

    เซ็ทมองจ้องพริ๊นซ์ ดวงตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธ “มันไม่เกี่ยวอะไรกับพี่”

     

                    “ข้ออ้างเด็กๆ” พริ๊นซ์ยิ้มเยาะราวกับผู้ชนะ

     

                    ใช่...ผมรู้ดีว่าทำไมเซ็ทถึงเถียงกลับด้วยข้ออ้างข้างๆคูๆแบบนี้...เพราะเหตุผลที่แท้จริงของเซ็ทน่ะ...มันไม่สามารถพูดออกมาได้หรอกนะ...

     

                    “ไปเหอะ” พริ๊นซ์กระตุกแขนผม...แค่เบาๆ...แต่เป็นผมเองที่โอนอ่อนตาม...

     

    “พี่วา! เซ็ทเรียกผม มีบางอย่างในน้ำเสียงนั้นทำให้ผมต้องหยุดนิ่ง

     

     

    “...ใครจะรับเลี้ยงเด็กคนนั้นล่ะ ญาติทางพ่อเขามีไหม...”

    “...ให้เด็กคนนั้นไปอยู่กับญาติทางแม่สิ น่าจะสนิทกันมากกว่าทางนี้นะ...”

     

    “...ก็โตๆกันแล้ว ไม่เห็นจำเป็นต้องหาคนเลี้ยงเลยนี่...อยู่คนเดียวเองก็เป็น...แบบนี้น่าจะสบายใจทั้งสองฝ่ายมากกว่านะ...รวมทั้งตัวเด็กคนนั้นเองด้วย...”

     

    “...พี่ครับ...มาอยู่กับผมนะ...”

     

     

    “...ผมนึกว่าพี่จะไม่กลับมาแล้ว...ขอบคุณนะพี่...ขอบคุณที่กลับมา...”

     

     

    “...กูไปอาศัยอยู่บ้านเขานะเว้ย จะให้ทำตัวแย่ๆ ตามใจตัวเองน่ะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก...”

     

                    ...คนอย่างกูน่ะ...เอาแต่ใจตัวเองไม่ได้หรอกนะ...

     

     

    “...พี่อย่าทำแบบนี้อีกนะพี่...”

     

                    “ขอโทษ...พี่ขอโทษ”

     

     

                    “ขอโทษ...พี่ขอโทษ”

     

                    .

                    .

                    .

     

                    ...ถ้าผมอยากที่จะมีความสุข...มันจะเป็นการเห็นแก่ตัวเกินไปหรือเปล่านะ...

     

     

     

    Boy Friend เพื่อนกัน มิตรภาพและความรัก

    TBC.

     

    ไรเตอร์เองค่ะ! : (รู้ทั้งรู้นะว่าไม่มีใครอ่านตรงนี้ แต่ไรเตอร์ก็ยังอยากที่จะพิมพ์ T^T)

                    ความรู้สึกเกี่ยวกับตอนนี้...ยาวมาก- -...

                    และ...อัพช้ามาก...ใช่ไหม...(ใช่)...ไรเตอร์รู้สึกว่าตัวเองแต่งช้ามากค๊า ท่านผู้อ๊านนนนนนน!

              โฮๆๆๆๆๆๆๆ เศร้าใจ... ยิ่งแต่งยิ่งเศร้าค่ะ แต่ก็จะพยายามต่อไป - -

              ขอบคุณอีกครั้ง และอีกหลายๆครั้งค่ะสำหรับทุกคอมเม้นท์ในตอนนี้และในอนาคต (เอ...จะมีแน่หรอไอ้อันหลังนั่น!) ไรเตอร์เองก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ชอบไปอ่านแต่ไม่เม้นท์ ก็เข้าใจว่ามันต้องมีคนอย่างไรเตอร์อยู่เยอะแน่ๆ แต่ก็อดเศร้าใจไม่ได้อยู่ดี T^T

     

    ปล. ตอนหน้าเราจะได้รู้ความจริงกันค่ะ!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×