ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Boy Friend เพื่อนกัน มิตรภาพและความรัก [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #2 : [2] ความผิดที่ยาวนาน

    • อัปเดตล่าสุด 16 ก.พ. 53


    บทที่ สอง วามผิดที่ยาวนาน

     

     

     

                    ... เวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ เร็วจนบางครั้งเราเองก็ไม่รู้ตัวว่ามันผ่านไปเมื่อไร...แต่ความทุกข์นั้นกลับทำให้เวลาของเรายาวนานมากขึ้น จนเราก็อดที่จะพูดกับตัวเองไม่ได้...ว่าเมื่อไรมันจะผ่านไป...

     

                    .

                    .

                    .

     

                    “เงียบกันได้แล้ว!” บราเดอร์คนหนึ่งก้าวเข้ามาในห้องเรียน ตะเบ็งเสียงแข่งกับเสียงคุยสนั่นของบรรดานักเรียนม.สี่ห้องสาม และแน่นอน (ด้วยความไม่เต็มใจ) จุดศูนย์กลางของความวุ่นวายมันอยู่ที่ผม...

     

                    ผมนั่งอยู่ที่โต๊ะแถวหลังสุดประกบซ้ายขวาด้วยไอ้พริ๊นซ์ และเพื่อนมันอีกคนที่เป็นลูกครึ่งชื่อแซนด์ ข้างหน้าคือคนกลุ่มเดียวกับตอนที่อยู่หน้าบอร์ด ชื่อ ไทม์ โอห์ม และนนท์ ตรงที่ผมนั่งอยู่ถูกล้อมหน้าล้อมหลังไปด้วยเพื่อนๆทั้งห้องที่เข้ามาตบหัวลูบหลังของแปลก (และใหม่...และนั่นก็คือผมเอง)

     

    เสียงคุยเซ็งแซ่ เฮฮา สงบลงแทบจะในทันที ทุกคนพร้อมใจกันกลับไปนั่งที่อย่างเรียบร้อย ผมรู้สึกสบายใจขึ้นเยอะที่มันเป็นอย่างนี้ เพราะผมไม่ได้ชอบให้มันเป็นแบบนั้นมาตั้งแต่แรก แต่ดูเหมือนบราเดอร์จะไม่เข้าใจผมแบบนั้น...

     

                    “นายวาเลนไทน์” บราเดอร์เรียกชื่อผม “จะคบเพื่อนน่ะ เลือกให้มันดีกว่านี้ ไม่ใช่สักแต่ว่าหาเพื่อน จนไปคว้าไปพวกบ้าๆมาคบ”

     

                    ...ผมไม่ได้ไปคว้าพวกมันมาเป็นเพื่อน...ผมโดนพวกมันลากมา...จะเข้าใจมั่งไหมเนี่ย...

     

                    บราเดอร์เริ่มจัดการตั้งแต่เรื่องหาคนมาเป็นหัวหน้าห้อง เรื่องจัดเวรทำความสะอาด จนกระทั่งสรุปเรื่องกิจกรรมที่นักเรียนม.สี่จะต้องทำในปีนี้ ตกลงหน้าที่ต่างๆกันเสร็จเจ้าตัวก็เดินออกจากห้องไป ปล่อยให้วันแรกเป็นเวลาว่างของพวกหน้าไหว้หลังหลอกทั้งหลายที่เริ่มพูดคุยกันส่งเสียงดังจ้อกแจก

     

                    “ขอบคุณกูซะ นี่ถ้ามึงยังยืนรากงอกอยู่ตรงบอร์ดอยู่ล่ะก็ มึงโดนบ่นยาวแน่” ไอ้พริ๊นซ์ว่า ผมไม่รู้สึกขอบคุณมันสักนิด...ก็เพราะพวกมันไม่ใช่รึไงที่ทำให้ผมโดนเขม่น...

     

                    “จริงนะเมิงง บราเดอร์แกเกลียดพวกมาสายยิ่งกว่าอะไรดี ก่ะอีแค่เสียงดังแค่นี้จิ๊บๆ” โอห์มหันมาเสริม แต่ผมยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อ...

     

                    “ว่าแต่...ยังไม่ได้ถามเลย ว่าทำไมนายถึงย้ายมาเอาตอนขึ้นม.สี่ล่ะ” ไทม์ถามขึ้น ผมรู้สึกรื่นหูขึ้นมากกับประโยคสุภาพของไทม์

     

                    “ย้ายตามผู้ปกครองน่ะ” ผมตอบเรียบๆ ยิ้มน้อยๆให้ไทม์ที่ยิ้มตอบกลับมา

     

                    “มึงๆ” ไอ้พริ๊นซ์พูดแล้วสะกิดไหล่ผมเบาๆเพื่อจะบอกให้รู้มันกำลังหมายถึงผม

     

                    “อะไร” ผมหันไปหามันอย่างรำคาญเล็กๆ

     

                    “มึงรู้ไหมวะว่าคนที่ชื่อจริงว่าวาเลนไทน์ แม่งจะชื่อเล่นว่าอะไร” พริ๊นซ์ถามแล้วเบ้หน้าครุ่นคิดอย่างจริงจัง

     

                    ผมยิ้มให้กับคำถามงี่เง่าของมัน “แล้วมึงไม่ไปถามเขาเลยล่ะวะ ว่าเขาชื่อเล่นว่าอะไร”

     

                    “อ้าว ไอ้โง่ กูก็ถามมึงอยู่นี่ไง” ไอ้พริ๊นซ์หัวเราะเสียงดัง

     

                    ...ไม่น่าหลวมตัวไปญาติดีกับมันเลย...

     

                    “ถามจริงเหอะ ไอ้เชี่ยนี่มันเป็นงี้ตลอดเวลาป่าวเนี้ย” ผมเมินไอ้พริ๊นซ์แล้วหันไปถามโอห์มอย่างหน่ายๆ

     

                    “อย่าว่าแต่เมิงงเลยไอ้วา กูยังเบื่ออ่ะ” โอห์มตอบเสียงกึ่งเย้ากึ่งยั่ว

     

    ... เออวุ้ย...ไอ้โอห์มนี่ฉลาดว่ะ รู้ชื่อเล่นผมแล้ว...

     

                    “อ้าว ทำไมไอ้เชี่ยโอห์มมันรู้แล้ววะ มันบอกมึงตอนไหนเนี่ย” ไอ้พริ๊นซ์โวยวาย

     

                    “ไม่ต้องบอกคนอื่นเขาก็รู้เว้ย มีแต่มึงคนเดียวอ่ะพริ๊นซ์ที่แม่งโง่ดักดาน” นนท์ช่วยเสริมด่า

     

                    “พวกมึงรู้กันได้ไงวะ วา-วาเลนไทน์ แม่งดูสิ้นคิดว่ะ มันอาจจะชื่อ ช็อคโกแลต ก็ได้นะมึง” ไอ้พริ๊นซ์ยังเถียงไม่เลิก

     

                    “แล้วไอ้เชี่ยที่ไหน แม่ง จะตั้ง ชื่อจริง ก่ะ ชื่อเล่น ให้มันยาวพอกันวะ!

     

                    “พี่วา พี่วา”

     

                    บทสนทนาเรื่องชื่อของผมหยุดลงอย่างกะทันหัน ผมหันไปมองคนที่มายืนเรียกชื่อผมอยู่ที่ประตูห้องผมอย่างงงๆ ก่อนจะสังเกตเห็นว่าเป็นใครที่ผมรู้จักดี

     

                    “มีอะไรหรอเซ็ท มาหาพี่ถึงห้อง” ผมเดินเข้าไปหาเซ็ทที่หน้าห้อง แต่หูก็ยังได้ยินเสียงของไอ้พวกบ้าๆที่อยู่ข้างหลัง

     

    ไอ้โอห์มกับนนท์ ร้องเสียงดังอย่างกับถูกหวย (เห็นไหมไอ้โง่! พี่วา! วา! วาเลนไทน์! ง่ายขนาดนี้แม้แต่หมามันก็ยังรู้!) รวมทั้งเสียงไอ้พริ๊นซ์ที่ยังคงหัวเราะร่าได้อย่างไม่เปลี่ยนแปลง (เออเนอะ หมาแม่งรู้ กูเลยไม่รู้) และตามมาด้วยเสียงตุ๊บตั๊บแปลกๆ (?) ที่ผมแปลความหมายไม่ได้...

     

                    ...หึหึหึ... ผมอดหัวเราะเล็กๆออกมาไม่ได้ ถึงจะไม่เห็นด้วยตา แต่เสียงที่เล็ดลอดออกมาก็ชัดเจนกว่าภาพสามมิติเสียอีก

     

    เซ็ทมองผมด้วยสายตาแปลกๆ เป็นเวลานานมากกว่าที่เซ็ทจะพูดกับผม “...เปล่าหรอก...ผมแค่จะมาถามว่าเป็นไงมั่งพี่ วันแรก”

     

    “ไม่ต้องห่วงหรอก เรื่องแค่นี้เอง...ว่าแต่เราเถอะ เมื่อกี้หายไปไหนมาน่ะ พี่ก็ยืนรอตั้งนาน จนพวกไอ้นั้นมันต้องลากพี่ขึ้นมาเนี่ย”

     

    “...พวกนั้น...เพื่อนพี่หรอ...” เซ็ทถามเสียงเบา มองข้ามไหล่ผมไปยังพวกไอ้พริ๊นซ์ด้วยสายตาที่ผมไม่รู้ความหมาย

     

    “อืม” ผมตอบ ยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า ผมรู้สึกดีเกินกว่าจะหยุดยิ้ม

     

    “...ดูพี่มีความสุขดีนะ...” เซ็ทพูดด้วยรอยยิ้ม แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันดูเศร้าๆ...ดูเหงาๆอย่างประหลาด

     

    “เป็นอะไรหรือเปล่าเซ็ท” ผมถาม เซ็ทไม่ตอบ แต่กลับเอื้อมมือขึ้นมาเช็ดรอยยิ้มของผมเบาๆที่แก้มซ้าย...เหมือนมันเป็นรอยเปื้อนที่ต้องพยายามลบมันออกไป

     

    “ไม่มีอะไรหรอกพี่...ผมแค่จะบอกว่าตอนเย็นผมมีเรียนพิเศษ...พี่ต้องกลับเองนะ...ไว้เจอกันที่บ้านนะครับ...”

     

    เซ็ทยังคงยิ้มแบบเดิม แล้วเดินกลับไป แต่บางอย่างในรอยยิ้มของเซ็ทยังคงอยู่...ไม่รู้ว่าทำไม...แต่...ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังทำอะไรผิด...อะไรบางอย่างที่ผิดต่อรอยยิ้มนั้น...

     

                    ...ตอนนี้ผมยิ้มไม่ออกอีกแล้ว...

     

                    .

                    .

                    .

     

                    หลังเลิกเรียน ผมเก็บข้าวของที่มีน้อยนิดลงกระเป๋าอย่างไม่รีบร้อน รู้สึกราวกับว่าวันนี้มันยาวนานกว่าปกติ ยาวนานกว่าทุกวัน...แต่ถึงจะอย่างนั้น ผมก็ยังอยากให้วันนี้ของผมยังคงยาวนานออกไปอีกนานกว่านี้...

     

                    “เฮ้ย! ชักช้าจริงไอ้วา” เสียงไอ้พริ๊นซ์เอะอะโวยวายเสียงดังมาจากทางประตู ทุกคนในกลุ่มยืนอยู่ตรงนั้น...ทำไมพวกมันถึงไปอยู่ตรงนั้นได้เร็วนัก...เรื่องนี้ยังคงเป็นปริศนาสำหรับผมต่อไป “มาเร็วๆดิ๊ ทุกคนเขารอมึงอยู่คนเดียวเนี่ย”

     

                    “กูไม่เคยบอกให้มึงรอนี่” ผมเถียงกลับไม่จริงจังนัก ไม่ได้ปฏิเสธไอ้พริ๊นซ์ที่รี่เข้ามาลากตัวผมให้เดินไปกับกลุ่มพวกมัน

     

    ...ผมเองก็ยังไม่อยากรีบกลับไปอยู่บ้านกับน้าบุษสักเท่าไร...ได้อยู่กับพวกมันต่ออีกสักนิดก็ยังดี...

     

    “จะไปไหนกัน” ผมหันไปถามแซนด์ที่อยู่ข้างๆ แต่มันกลับเมินผมอย่างเห็นได้ชัด ... รู้สึกมาตั้งแต่แรกแล้วว่าแซนด์อาจจะไม่ชอบหน้าผมสักเท่าไร...

     

                    “สนามบาส” นนท์ตอบแทน “ในที่สุดกลุ่มเราก็มีหกคน ทีนี้ก็แบ่งทีมกันสามสามลงตัวสักที”

     

                    “เฮ้ย! กูเล่นบาสไม่เป็น” ผมรีบบอกอย่างตกใจ

     

                    “ไม่เป็นไรหรอกเมิงง เล่นกันฮาๆ กระชับสัมพันธ์” โอห์มพูด แต่ผมก็ยังไม่แน่ใจ ทักษะด้านกีฬานอกจากกรีฑาแล้ว อันอื่นของผมห่วยแตกสิ้นดี...

     

                    ผมเผลอหันไปสบตากับไอ้แซนด์ที่กำลังมองมา รู้สึกเสียวสันหลังวูบ เพราะรอยยิ้มของมันนี้บ่งบอกได้เลยว่า...มันก่ะกระชับสัมพันธ์กับผมเต็มที่...

     

                    .

                    .

                    .

     

                    “หวา!” ผมแหกปากร้องเสียงหลง หลบลูกบาสสุดตัว จนไอ้พวกชมรมบาสที่ซ้อมกันอยู่หันมาหัวเราะกันตรึม ก็ไอ้ลูกบาสที่ไอ้ห่าแซนด์มันปามาเนี่ย มันก่ะจะฆาตกรรมผมชัดๆ!

     

                    “เฮ้ย ไหนเมิงงบอกว่าแค่เล่นไม่เป็นไงวะ ไอ้วา” เสียงไอ้โอห์มตะโกนมากึ่งแหย่กึ่งแซว “แต่ไหงเอาเข้าจริงมัน ห่วยแตก ขนาดนี้ ไอ้บ้าที่ไหนมันกระโดดหลบลูกบาสวะ”

     

                    ผมหันไปถลึงตาใส่มัน “มึงไม่เห็นตอนลูกบาสมันกระแทกพื้นรึไงวะ! ถ้าแม่งโดนหน้ากูจริง กูคงคอหักตายไปแล้ว!

     

                    “ไอ้แซนด์ มึงก็อย่าไปอัดไอ้วามันแรงนักซีว่ะ” นนท์หันไปพูดกับแซนด์

     

    “น่าเบื่อวะ หน้าตาแม่งก็ยังกับผู้หญิง ยังต้องให้กูทำเหมือนมันเป็นผู้หญิงอีกหรอ” แซนด์ตอบกลับมาท่าทางเซ็งๆ ก่อนจะวิ่งเลี้ยงลูกเข้าไปดังก์โชว์แมนเต็มที่ แต่ผมไม่ได้รู้สึกชื่นชมมันแม้แต่น้อย

     

                    “อย่าไปคิดอะไรมากเลยนะ ไอ้แซนด์มันก็แบบนี้แหละ” ไทม์เข้ามาพูดกับผมเบาๆ

     

                    “ไม่เล่นแล้วได้ไหม ขอนั่งดูเฉยๆก็พอ” ผมยิ้มแห้งๆให้ไทม์ เจ้าตัวเองก็พยักหน้า

     

                    “ไม่ได้!” เสียงไอ้พริ๊นซ์ดังมาจากระยะไกล

     

                    “กูไม่ได้ขอมึงสักหน่อย” ผมหันไปว่ามัน แต่มันไม่สน

     

                    “เฮ้ยๆ พวกมึงไปเล่นกับชมรมบาสฝั่งนู้นไป เดี๋ยวฝั่งนี้กูจะสอนไอ้วามันเล่น” พริ๊นซ์หันไปบอกคนอื่น ผมจ้องมันตาแทบถลน

     

                    “ไม่ต้องเลยมึง กูไม่อยากเล่น” ผมบอกมัน ตั้งแต่ประถมมาแล้วที่ผมไม่เก่งกีฬา เล่นอะไรก็ออกมาไม่ดี โดยเฉพาะผมไม่อยากเล่นอะไรที่มันเป็นทีม...มันกดดัน...ผมกลัวจะถ่วงคนอื่นเขา...

     

                    “ชีวิตมึง วันๆจะปล่อยให้มันผ่านไป เอาแต่นั่งดูคนอื่นรึไง” พริ๊นซ์พูดท่าทางจริงจัง ผมไม่อยากเถียง หรืออันที่จริง...ผมก็เถียงไม่ออก... “จะทำอะไรให้สนุก เก่งหรือไม่เก่ง มันก็ไม่เกี่ยวกันหรอกนะ อยู่ที่ว่ามึงจะทำมันรึเปล่าก็เท่านั้นล่ะไอ้วา”

     

                    “มึง...” เงียบกันไปนานกว่าผมจะคลำหาเสียงตัวเองเจอ แต่ก็ยังหาคำพูดที่ดูเข้าท่าไม่เจอ อาจจะเป็นเพราะผมกำลังตกใจที่ไอ้พริ๊นซ์มันพูดจาดูมีหลักการก็ได้ “...พูดมากน่ารำคาญจริง กูอยากกลับไปอัดบาสใส่ไอ้แซนด์จะตายห่าอยู่แล้ว”

     

                    พริ๊นซ์ยิ้มให้กับประโยคโง่ๆของผม “กูว่ามึงจะโดนมันเล่นตายห่าซะก่อนน่ะสิ”

     

                    .

                    .

                    .

     

                    “แดกเข้าไปเดี๋ยวนี้เลยไอ้เชี่ยวา อย่ามากระแดะ! เสียของหมด” เสียงไอ้พริ๊นซ์โวยใส่ผมท่ามกลางเสียงเชียร์ แก้วเหล้าที่ดูก็รู้ว่าแม่งโคตรเข้มจ่ออยู่ตรงหน้าผม

     

                    หลังจากที่ผมกับพวกไอ้พริ๊นซ์ไปออกกำลังกาย เล่นบาสเรียกเหงื่อกันที่สนามจนตะวันตกดินแล้ว ไอ้พริ๊นซ์ก็ดันเสนอความคิดชั่วๆขึ้นมาอีก...นั่นคือ แดกเหล้ารับผมเข้ากลุ่ม...ผมรู้น่า...ถึงไม่รับผม มันก็แดกกัน...แต่ปัญหาของผมไม่ใช่ที่ตรงนั้น...

     

                    “แดกห่าไรล่ะ บอกว่า กูกินไม่เป็น กูไม่เคยกินเหล้า” ผมเถียงมันกลับ ผมไม่ได้โกหก ผมไม่เคยกินจริงๆ แต่มันไม่ฟัง ไอ้โอห์มกับไอ้นนท์เข้ามาล็อคตัวผมแน่น ในขณะที่ไอ้พริ๊นซ์กำลังจะกรอกเหล้าผม

     

                    “เฮ้ย กูว่าพวกมึงแรงเกินไปนะ”

     

    ผมรักไทม์! มันช่วยผมเสมอ! ผมส่งประกายตาปิ๊งๆ ไปบอกมันแบบนั้น

     

    “...ชงเข้มแบบนี้เดี๋ยววาก็น็อคเร็วหรอก ชงให้อ่อนกว่านี้อีกนิดไม่ดีกว่าหรอ วาจะได้ดื่มได้นานๆหน่อยไง”

     

    อ้าว เฮ้ย ผมหันไปถลึงตาใส่ไทม์อย่างเหลือเชื่อ โฮฮฮฮ นี่แม้แต่ไทม์ก็ทรยศผมเสียแล้ว ผมไว้ใจใครไม่ได้อีกแล้วววว

     

    ไอ้แซนด์ที่นั่งนิ่งๆมานานหัวเราะพรืดดด หนอย! สะใจสิมึงที่ไทม์ทรยศกู คอยดู...คอยดู...คอยดูไปก่อนเถอะเมิงงงง!

     

    “เออวะ มึง ความคิดเข้าท่า” ว่าแล้วไอ้พริ๊นซ์ก็จัดการกรอกแก้วในมือเอง ส่งเสียง ฮ่าห์ ประมาณว่าได้ใจคนแก่ แล้วชงให้ผมใหม่ ท่ามกลางเสียงเชียร์ของไอ้โอห์มกับไอ้นนท์ “นี่เลยมึง แดกไปอย่าเรื่องมาก พวกกูไม่มีทางยอมให้มึงรอดหรอก”

     

    “เออๆๆ ปล่อยกู เดี๋ยวกูกินเอง” ผมเริ่มปลงตกตั้งแต่ไทม์ทรยศ ยังไงวันนี้ก็ท่าจะเลี่ยงไม่ได้ พอแขนเป็นอิสระก็คว้าแก้วเหล้าตรงหน้ามาดื่มเอื้อกๆ ก่ะให้รวดเดียวหมด...

     

    ...โธ่เว้ย ก่ะอีแค่เหล้าแก้วเดียว มันคงไม่ถึงตายหรอกวะ...

     

    .

    .

    .

     

    “...ย...เฮ้...ไ...ว....”

     

    เสียงอะไรกันนะ...ไม่อยากลืมตาเลย...ให้ตายสิ...ปวดหัว...

     

    “...ว....ไ.....วา...”

     

    วา...ชื่อผมนี่... “อือออออ”

     

    “ไอ้วา” เสียงไอ้พริ๊นซ์ฟังดูชัดกว่าตอนแรกขึ้นมาก แต่ภาพของมันดูเบลอๆแปลกๆ ถึงยังงั้นผมก็พอจะรู้ตัวว่ากำลังนอนอยู่ที่เบาะหลังบนรถไอ้พริ๊นซ์

     

    “ไอ้เชี่ยนี่ คออ่อนแล้วเสือกทำเก่ง ตายห่าตั้งแต่แก้วแรกเลยมึง..”

     

    ...มึง...อย่าบ่นได้ไหม...กูอยากนอน...

     

    “อ้าวเฮ้ย ไอ้เชี่ยอย่าเพิ่งหลับอีกรอบสิมึง” ไอ้พริ๊นซ์โวยวาย “บ้านมึง อยู่ไหน ตื่นมาบอกกูก่อน กูจะไปส่ง คนอื่นมันทิ้งมึงกลับหมดแล้วเนี่ย”

     

    ...ไม่รู้...กูไม่รู้...บ้านกูอยู่ไหนวะ?....

     

    “กู...ไม่รู้...” ผมตอบมันไปตามนั้น

     

    “อย่ามาเสือกโง่ตอนนี้ บ้านมึงน่ะ บ้างมึง” ไอ้พริ๊นซ์เร่งยิกๆ น่ารำคาญที่สุด!

     

    “กูบอกว่ากูไม่รู้!ผมตะเบ็งเสียงตอบมันดังลั่น

     

    ...ผมต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ...หรือไม่ก็แค่ฤทธิ์เหล้า...ผมแค่รู้สึกรำคาญ...รำคาญไอ้พริ๊นซ์เท่านั้น...ผมควรจะแค่ลุกขึ้นมานั่งแล้วเถียงมันด่ามันอย่างที่ผมเคยทำ...

     

    ...แต่ทำไมตอนนี้ผมกลับร้องไห้...

     

    “กูไม่รู้ว่าบ้านกูอยู่ไหน! กูไม่รู้! มึงเข้าใจไหมว่ากูไม่รู้!

     

    ผมไม่รู้ว่าไอ้พริ๊นซ์ตอนนี้กำลังทำหน้าแบบไหน ไม่รู้ว่ามันรู้สึกยังไง ... ผมมองอะไรไม่เห็นเลย...

     

    “มึงนอนที่ไหน” เสียงพริ๊นซ์ถามอีกครั้ง คราวนี้มันไม่น่ารำคาญเท่าตอนแรกแล้ว...

     

    “บ้านเซ็ท...” ผมตอบปะปนไปกับเสียงสะอื้นที่ผมพยายามหยุด แต่ก็หยุดไม่ได้

     

    “อือ” พริ๊นซ์ตอบผมแค่นั้น แล้วเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีก

     

    มันโทรหาคนหลายคน...ผมไม่รู้จักใครเหล่านั้นเลย...จนในที่สุดชื่อที่ผมคุ้นดีก็ออกมาจากปากไอ้พริ๊นซ์

     

    “ฮัลโหล...น้องเซ็ทใช่ไหมครับ...พี่พริ๊นซ์ครับ...ใจเย็นๆครับน้อง พี่กำลังจะพาวากลับไปส่งนี่แหละครับ แต่พี่ไม่รู้ทาง วาก็ไม่ได้สติ พี่เลยต้องโทรมาหาน้องนี่ล่ะครับ...ครับ...โอเคครับ พี่จะรีบไปส่งครับ...”

     

    “มึง...” ผมเรียกมันทันทีที่เห็นว่ามันวางสายจากเซ็ทแล้ว รถค่อยๆเคลื่อนตัวไปช้าๆอย่างรู้สึกได้

     

    “หืมม์” มันขานรับ

     

    “กูไม่อยากกลับ...ไปที่นั่น...” ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงพูด รู้แต่ว่าที่ผมพูดออกมาเป็นความจริง “กูไม่อยากกลับ...ที่นั่นไม่ใช่บ้านกู...”

     

    พริ๊นซ์เงียบไปนานมากจนผมแน่ใจว่ามันคงจะไม่ตอบอะไรผมแล้ว และไม่ว่ายังไงมันก็คงจะต้องไปส่งผมที่บ้านเซ็ทแน่ๆ...

     

    “...วา...” พริ๊นซ์เรียกผม เป็นครั้งแรกที่มันเรียกชื่อผมโดยไม่มีชื่อสิ่งมีชีวิตอื่นมาปลอมปม แต่ผมไม่ตอบ ผมไม่อยากคุยกับมันจริงๆ...

     

    “ถึงมึงจะไม่อยากกลับไปที่นั่น...แต่ไม่ว่าที่ไหน...มันก็ไม่ใช่บ้านมึงทั้งนั้นแหละนะ...”

     

    ผมรู้สึกราวกับโดนสาดด้วยน้ำที่เย็นจัด มันหนาวผมจนตัวสั่นอย่างคุมไม่ได้

     

    “...กูรู้...” ผมพึมพำเสียงแหบแห้งตอบมันไป “...กูรู้...แล้ว...กูรู้...ไม่ต้องบอกกู...”

     

                    .

                    .

                    .

     

    ตลอดทางที่พริ๊นซ์มาส่งผม เราไม่พูดอะไรกันสักคำ แม้กระทั่งตอนที่ผมลงจากรถของมันมาแล้ว ผมก็ยังพูดอะไรไม่ออก...

     

    ...ผมไม่ได้โกรธมัน...ผมรู้ดี...ว่าผมไม่มีที่ไปที่ไหนอีกแล้ว...และมัน...มันก็ไม่จำเป็นต้องมารับผิดชอบอะไรในตัวผม...เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น...ผมไม่ได้สำคัญขนาดนั้น...มันไม่ผิดเลย...พริ๊นซ์ไม่ได้ผิดอะไรเลย...

     

      แม้ว่าตอนนี้ผมจะหันหลังให้รถของพริ๊นซ์ แต่หูผมก็กลับยังคอยฟังเสียงรถที่เคลื่อนตัวห่างออกไปอย่างตั้งใจ...

     

                    “พี่วา!

     

                    เซ็ทเข้ามากอดผม ผมไม่ได้กอดตอบ...แต่ก็ไม่ได้ขัดขืน...ผมรู้สึกเหมือนอ้อมกอดของเซ็ทช่างหนักอึ้งเสียเหลือเกิน แม้ว่าเซ็ทจะกอดผมหลวมๆ ในเวลาเพียงแค่ไม่กี่วินาที แต่ผมกลับไม่รู้เลยว่าเวลานี้มันจะยาวนานออกไปอีกนานเท่าไร...

     

    ...ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไรผมถึงจะหลุดพ้นไปจากความรู้สึกแบบนี้สักที...

     

                    “พี่อย่าทำแบบนี้อีกนะพี่” เซ็ทพึมพำบอกผมที่ข้างหู “ผมนึกว่าพี่จะไม่กลับมาแล้ว”

     

                    “ขอโทษ...พี่ขอโทษ” ผมพึมพำตอบมันไป แม้ร่างกายผมจะหนักสักเท่าไร แต่ในใจผมกลับเบาหวิว จนเหมือนกันว่ามันไม่ได้อยู่กับผมอีกแล้ว

                   

                    เซ็ทพาผมกลับขึ้นไปบนห้องของตัวผมเองอย่างไม่ลำบากอะไร ตลอดทางผมรับรู้ได้ถึงสายตาและเสียงบ่นงึมงำของน้าบุษที่ผมเข้าใจว่าหมายถึงผมแน่ๆ...แค่น้าแกไม่พูดออกมาตรงๆ...

     

                    “เด็กสมัยนี้ ใจคอมันทำด้วยอะไรกันนะ พ่อแม่ตัวเองตายไม่เคยจะร้องไห้เสียน้ำตาให้ พอได้เพื่อนใหม่หน่อยล่ะ วันๆเอาแต่เที่ยวเตร่ กินเหล้าเมายา หวังว่าเซ็ทคงไม่ทำตามตัวอย่างเลวๆหรอกนะ...ฉันต้องพูดกับลูกมากกว่านี้...เราต้องคุยกับลูกให้มาก...ต้องคุยกับเซ็ท...”

     

                    ผมเชื่อว่าน้าแกคงยังพูดอะไรอีกยืดยาวแน่ ถ้าผมยังอยู่ในระยะที่ยังสามารถได้ยินเสียงอยู่ได้ล่ะก็นะ... ผมแกล้งทำเป็นหลับ...ทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่น้าบุษพูด...ผมไม่อยากให้เซ็ทรู้ว่าผมได้ยิน...

     

                    ทันทีที่ผมถึงเตียงเซ็ทก็สาละวนเปลี่ยนเสื้อผ้าและเช็ดตัวให้ผมที่แกล้งทำเป็นหลับ ตอนแรกผมว่าจะแกล้งทำเป็นสะดุ้งขึ้นมาแล้วทำเอง...แต่ไปๆมาๆ ผมกลับลุกไม่ขึ้นจริงๆ...

     

                    “เฮ้อ...” เซ็ทถอนหายใจออกมาเบาๆ ผมไม่รู้ว่าตอนนี้มันทำหน้ายังไง แต่ถ้ามันจะเกลียดผมแล้ว...มันก็ช่วยไม่ได้...ผมทำให้มันลำบาก...ทั้งๆที่ผมอายุมากกว่ามัน...ทั้งๆอย่างนั้นกลับเป็นผมเองที่ทำให้มันต้องมาดูแล...

     

                    “...ขอบคุณนะพี่...ขอบคุณที่กลับมา...ฝันดีครับ...”

     

                    ไฟในห้องผมดับลง แล้วเสียงประตูก็ปิดตัวลงตามมา ไม่นานเสียงการโต้เถียงเล็กๆก็ดังขึ้นมาจากข้างล่าง

     

                    ผมนอนลืมตาโพล่งในความมืดสลัว รู้สึกเจ็บปวดด้วยคำพูดและการกระทำของเซ็ท ถ้ามันจะเกลียดผมไปเลย ก็คงจะดีกว่านี้...เหมือนอย่างน้าบุษ...ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมคงไม่รู้สึกอย่างนี้...

     

    ...ผมมีความสุข...ที่ได้ออกไปจากบ้านหลังนี้...มีความสุขมากเสียจนผมไม่อยากจะกลับมาอีก...แต่ในขณะเดียวกัน...ความสุขเหล่านั้นก็กลายเป็นหอกแหลมคมที่คอยทิ่มแทงตัวผมเองด้วยความรู้สึกผิด...รู้สึกผิดต่ออ้อมกอด...รู้สึกผิดต่อคำขอบคุณ...รู้สึกผิดต่อความห่วงใย...

     

    ...ผมรู้สึกผิดต่อเซ็ทมากเหลือเกิน...

     

                    .

                    .

                    .

     

                    ...ถ้าหากความรู้สึกผิดของผมตอนนี้คือความทุกข์...ผมก็เข้าใจแล้วว่าทำไมวันนี้ของผมถึงได้ยาวนานขนาดนี้...

     

     

     

    Boy Friend เพื่อนกัน มิตรภาพและความรัก

    TBC.

     

    ไรเตอร์เองค่ะ! :

    ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์เลยค่ะ! และก็ขอบคุณสำหรับแฟนนิยายจริงๆค่ะ! มีความสุขมากเลยเวลาเห็นทั้งสองอย่างนี้ ขอบคุณจริงๆค่ะ! ^^

     

    ปล. ถ้าใครอ่านตอนนี้แล้วงงๆ กับท่าทาง ความสัมพันธ์ระหว่างเซ็ทกับวา รวมถึง น้าบุษ น้าของวาด้วย แล้วล่ะก็ อย่าเพิ่งตกใจไปค่ะ...อีกไม่นานเราคงจะได้รู้กัน...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×