คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 1
เพราะความจริงมันเจ็บปวดเกินไป เลยอยากจะแค่ “พักหัวใจ” ลงที่ใดสักแห่ง
“พี่จินอู วันนี้ไม่ไปทำงานหรือไง ?”
ร่างเล็กๆ ของจินฮวานทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ร่างของพี่ชายที่มีขนาดเล็กไม่ต่างกันเอื้อมมือไปคว้ารีโมทมาเปลี่ยนช่องรายการโทรทัศน์ที่จินอูกำลังดูอยู่ หน้าจอแอลอีดีที่เคยเป็นรายการแฟชั่นจึงดับวูบเป็นจอมืดดำราวๆ เสี้ยววินาทีก่อนจะสว่างขึ้นมาอีกครั้งด้วยรายการสารคดีสัตว์โลกน่ารัก จินฮวานวางรีโมทลงบนโต๊ะตัวเล็กที่เดิมแล้วเปลี่ยนไปคว้าถังป๊อบคอร์นใบเล็กขึ้นมาวางบนหน้าตัก ใช้มือซ้ายควักเอาของกินเล่นภายในส่งเข้าปากเคี้ยวจนแก้มตุ่ย
“ไปอยู่อ่ะ ... รอพี่ซึงรีอยู่”
จินอูตอบเสียงเรียบ นัยน์ตากลมโตยังคงจ้องที่จอโทรทัศน์ฉายสารคดีสัตว์โลกน่ารักอยู่ แม้เจ้าตัวจะไม่ค่อยชอบรายการอะไรแบบนี้แต่เพราะรักน้องชายคนนี้เหลือเกิน จินอูจึงไม่ขัดหรือเหวี่ยงโวยวายเมื่อเห็นจินฮวานเปลี่ยนช่องรายการแฟชั่นที่ตัวเองชอบนักหนา
เพราะเจ้าตัวเป็นนายแบบ รายการแฟชั่นจึงเป็นรายการที่เจ้าตัวต้องดูบ่อยๆ เพื่ออัพเดทสไตล์ที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา
ส่วนพี่ซึงรี บุคคลที่สามที่จินอูกล่าวถึงนั้นคือผู้จัดการส่วนตัวที่คนตัวเล็กนับถือเป็นพี่น้องแท้ๆ อีกคน เพราะตั้งแต่ที่จินอูก้าวขาเข้ามาในวงการนี้ ซึงรีคือบุคคลที่ช่วยเหลือจินอูในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว จินอูก็มักจะได้รับความช่วยเหลือจากซึงรี ผู้จัดการส่วนตัวคนนี้เสมอมา
และเพราะทั้งสองผูกพันกันด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ จึงไม่เคยมีข่าวคราวว่านายแบบตัวเล็กกับผู้จัดการคนเก่งคู่นี้จะมีเรื่องบาดหมาง ขัดแย้งหรือขัดผลประโยชน์กันเลยสักครั้งเดียว
“อ๋อ ... หรอ ?”
จินฮวานรับคำด้วยน้ำเสียงยียวน ควักป๊อบคอร์นในถังใบเล็กเข้าปากต่อจนจินอูนึกหมั่นไส้ ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเดินอาดๆ ไปทางห้องครัว สองเท้ามาหยุดยืนอยู่หน้าตู้เย็นหลังใหญ่ ยกมือบางขึ้นเปิดประตูเครื่องใช้ไฟฟ้าด้านหน้า ทันทีที่ไอความเย็นกระทบเข้าหน้า จินอูก็เลื่อนมือเอื้อมหยิบขวดน้ำแอปเปิ้ลขวดใหญ่ที่วางอยู่ฝาประตูมาหมุนฝาขวดสีขาวออกวางไว้ในถาดแก้วน้ำใส เลื่อนมือคว้าแก้วน้ำใบใสรินน้ำหวานที่แสนโปรดปรานขึ้นดื่ม แต่ยังไม่ทันที่น้ำหวานในแก้วจะไหลลงคอจนหมดแก้ว เสียงกริ่งหน้าประตูก็ดังขึ้นเนื่องจากมีคนกดมัน จินอูลดแก้วน้ำใสที่จ่ออยู่กับริมฝีปากลงแล้วชะเง้อคอมองประตูห้องพักของคอนโดมิเนียมหรู จินอูคิดว่าเป็นซึงรี ผู้จัดการส่วนตัวของเขามารับ แต่เจ้าตัวคิดผิดเมื่อจินฮวานวิ่งลั่นลาไปเปิดประตูห้องพักด้วยตัวเอง
ทันทีที่บานประตูเปิดออก ร่างค่อนข้างสูงที่ยืนอยู่ด้านนอกก็กระโดดเด้งเข้ามาภายในห้อง จินฮวานยิ้มกว้างโชว์ฟันสวยแล้วกระโดดเกาะเข้าที่แขนของผู้มาเยือนทันที
แต่หัวใจของจินอูกระตุกจนแทบหยุดเต้น
“ฮันบินอา ... ทำไมนายรีบมาจัง ?”
จินฮวานวาดมือไปดันประตูห้องพักให้ปิดสนิท ส่งยิ้มหวานให้ฮันบินที่หลุบตามองคนตัวเล็กที่อยู่ข้างตัว ท่อนแขนและมือเล็กของจินฮวานเกาะเกี่ยวเข้ากับแขนแกร่งที่ปกปิดคลุมด้วยเสื้อฮู้ตแขนยาวสีแดงสด
“เพราะคิดถึงพี่จินฮวานไง” ตอบยิ้มๆ ด้วยความอารมณ์ดีผสานกับอาการเขินอายจนใบหน้าขาวของทั้งคู่ขึ้นสีแดงเรื่อ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่จินอูเดินอาดๆ ออกมาจากห้องครัว “พี่จินอู สวัสดีครับ”
“อืม ... สวัสดี”
พี่ชายร่างเล็กทักทายกลับด้วยน้ำเสียงเรียบก่อนทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟา นัยน์ตากลมจับจ้องที่โทรทัศน์หน้าจอแอลอีดีเครื่องใหญ่เพื่อไม่ให้ตัวเองหันไปสนใจคู่รักที่ใครหลายคนมองว่าเหมาะสมกันเหลือเกิน ภายในหัวใจภาวนาขอให้ซึงรีรีบๆ มาเสียที
และดูเหมือนพระเจ้าจะได้ยินคำวิงวอน เมื่อเสียงกริ่งหน้าประตูดังเข้ามาภายในห้องพักหรูอีกครั้ง เรียกให้บุคคลทั้งสามหันขวับไปที่ประตูกันอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่ได้นัดหมาย
จินอูรีบเด้งตัวลุกจากโซฟาหนานุ่มวิ่งผ่านร่างของฮันบินกับจินฮวานไปเปิดประตู อยากจะตะโกนขอบคุณบุคคลที่มาใหม่ดังๆ ที่มาได้เหมาะสมกับเวลาเสียเหลือเกิน
“พี่ซึงรี ...” ไม่รอให้ผู้จัดการส่วนตัวของตนเข้ามาภายในห้อง จินอูก็ผลักร่างของผู้ที่ตนนับถือเป็นพี่ชายออกไปให้พ้นๆ บริเวณหน้าห้องทันที “พี่ซึงรี เราไปทำงานกันเถอะ ... จินฮวาน จะออกไปไหนก็อย่าลืมล็อกห้องให้ดีล่ะ”
ชะโงกใบหน้าหวานเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าคล้ายๆ ว่าจะอารมณ์ดีแล้วปิดประตูห้องพักเสียงดังสนั่น มือบางของเจ้าตัวคว้าข้อมือของซึงรีก็เริ่มออกวิ่งคล้ายๆ ว่าจะลากผู้จัดการส่วนตัวไปเร็วๆ เพราะในใจของจินอูเวลานี้อยากจะไปให้พ้นๆ กับภาพความเจ็บปวดที่พบเจอนี่เร็วๆ
“นี่ยังไม่ลืมอีกหรอ จินอู ?” มือของซึงรีจับบังคับพวงมาลัยรถยนต์หรูสีขาวแต่ติดฟิล์มกันแดดสีดำสนิทเอ่ยปากถามคนตัวเล็กที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับ โดยที่สายตาของคนถามยังคงมองตรงดูถนนหนทางและรถรา ส่วนจินอูที่นั่งเงียบอยู่นานนั้นหันมามองคนที่ตั้งคำถามด้วยแววตาไม่เข้า ซึงรีกรอกตาแวบลอบมองนายแบบตัวเล็กในความดูแลก่อนมองกลับมามองตรงไปข้างหน้าดังเดิม “ฮันบินไง”
“แล้วพี่จะพูดขึ้นมาทำไม ?”
น้ำเสียงใสขุ่นเคืองบ่งบอกว่าไม่ค่อยพอใจเท่าไรที่โดนถามถึงบุคคลที่ตนอยากจะลืมๆ ไปซะ ขาข้างหนึ่งถูกยกขึ้นนั่งไขว้ห้าง แขนทั้งสองข้างสอดประสานกอดที่ระดับอก ท่าทางที่แสดงถึงความไม่พอใจ แม้แต่ซึงรีเองก็รู้เพราะเมื่อไรก็ตามที่จินอูไม่พอใจ ท่าทางของเด็กในปกครองคนนี้จะแสดงออกมาอย่างไม่ปิดกั้นเพื่อฝืนความรู้สึก
“เป็นห่วง” ซึงรีหมุนพวงมาลัยเพื่อนำรถทั้งคันจอดเทียบฟุตบาท ทันทีที่รถจอดสนิทคนที่มีศักดิ์เป็นพี่ก็ปลดเข็มขัดนิรภัยออกพร้อมเอี้ยวตัวมองคนในความดูแลของตนอย่างเป็นห่วงตามที่บอก เวลานี้จินอูหลุบสายตาลงก่อนจะค่อยๆ ก้มหน้าลงเพื่อหลบซ่อนความรู้สึกของตัวเอง “จินอู ถ้านายรักฮันบินขนาดนั้น ทำไมถึงได้ยอมหลีกทางให้จินฮวานล่ะ ?”
“เพราะผมรักจินฮวานมากกว่ายังไงล่ะ !”
ใบหน้าหวานเงยขึ้นส่งสายตาไหวระริกเพราะน้ำตาอุ่นเริ่มเรื่อขึ้นเอ่อที่ขอบตา ซึงรีถึงกลับพูดไม่ออกไปสักพักก่อนจะเอื้อมมือไปลูบหัวของคนตัวเล็ก
แม้มองเผินๆ จินอูจะดูเป็นเด็กร่าเริง แต่ความจริงแล้วในหัวใจของจินอูเปราะบางและเก็บซ่อนความลับอะไรหลายๆ อย่างไว้มากมายเหลือเกิน
ซึงรีรู้ดีว่าจินอูนั้นรักฮันบินมากมายแค่ไหน แต่เพราะหน้าที่การงานและสายตาของใครหลายคนมักจะมองว่าฮันบินนั้นเหมาะสมกับจินฮวานมากกว่า จินอูนั้นก็เป็นคนรักน้องชายตัวเองมากเสียด้วยสิ ฉะนั้น จินอูจึงเป็นฝ่ายเสียสละมาตลอด
แม้แต่ความรัก จินอูก็สามารถเสียสละให้น้องได้
ช่างเป็นพี่ชายที่แสนดีเหลือเกิน ...
“นายเสียสละมากเกินไปแล้วนะจินอู เมื่อไรกันที่นายจะทำอะไรตามใจตัวเองบ้าง ?”
มีเพียงหัวเล็กๆ ที่ถูกบังคับให้ส่ายน้อยๆ เป็นคำตอบเท่านั้น ซึงรีลอบถอนหายใจยาวๆ มือที่ลูบหัวจินอูอยู่นั้นถูกเปลี่ยนมาเป็นจับสายเข็มขัดนิรภัยคาดล็อกตัวเองกับเบาะของที่นั่ง เลื่อนไปเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติแล้วเหยียบคันเร่งให้รถคันหรูวิ่งตรงไปข้างหน้าเพื่อไปให้ถึงบริษัทซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของเขาทั้งสองคน
“พี่ซึงรี วันนี้หลังเลิกงานแล้ว ผมขอไปปลดปล่อยหน่อยนะ”
ย่านของสถานบันเทิงชื่อดังกลางเมืองในยามที่ท้องฟ้าเบื้องบนทาสีดำสนิทเป็นช่วงเวลาที่เหล่าผีเสื้อกลางคืนเริ่มออกโบยบินอีกครั้ง แสงสีเสียงรอบข้างคือสิ่งดึงดูดให้ผีเสื้อกางปีกสวยงามโผผินบินเข้ามาหาราวกับสถานที่เหล่านั้นคือดอกไม้ที่อุดมไปด้วยน้ำหวานที่แสนหอมหวาน
สองขายาวๆ ก้าวเข้ามาในพื้นที่หลังร้านซึ่งเป็นพื้นที่ที่สงวนไว้สำหรับให้พนักงานเข้าออกเท่านั้น ก่อนที่ร่างสูงโปร่งจะนั่งลงบนเก้าอี้พลาสติกข้างเวที ไม่นานร่างของพนักงานอีกคนจะเข้ามาพร้อมกับแก้วเครื่องดื่มเย็นในมือ
“พี่ซึงยูน วานิลลาลาเต้เย็นของพี่ค่ะ”
“จะแก่ไหมเนี้ย ?”
“ไม่แก่เกินไปหรอกค่ะ รับรองได้”
พนักงานสาวยิ้มให้กับผู้เป็นเจ้านาย ซึงยูนยิ้มตอบก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าแก้วเครื่องดื่มเย็นสีเข้มที่ก้นแก้ว แต่นมวานิลลาหอมหวานลอยอยู่ด้านบนครึ่งแก้วพร้อมทั้งไอเย็นๆ จากน้ำแข็งที่จะช่วยลดความขมของกาแฟได้อีก ซึงยูนใช้มือข้างที่ว่างอยู่จับปลายหลอดที่โผล่พ้นขอบแก้วขึ้นมาคนผสมให้กาแฟและนมวานิลลาด้านบนเข้ากันก่อนดูดดื่ม เมื่อลิ้นสัมผัสกับรสชาติละมุนของกาแฟอ่อนๆ บวกกับความหอมหวานของวานิลลาก็ยิ้มร่า พนักงานสาวจึงขอตัวเดินเลียบออกมาเมื่อเห็นว่าเจ้านายหนุ่มพึงพอใจกับเครื่องดื่มที่ตนนำมาให้ออกไปทางที่เจ้าตัวเพิ่งเดินมา
ถ้าถามว่าในสถานที่แบบนี้ ทำไมไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็คงเป็นเพราะมีเหตุผลเดียวเท่านั้นคือ ...
ซึงยูนแพ้แอลกอฮอล์
พอร่างกายได้รับคาเฟอีน ซึงยูนก็พอจะกระชุ่มกระชวยได้บ้าง เริ่มลุกขึ้นเดินก้าวเท้าขึ้นไปบนเวที คว้ากีต้าร์ที่สายแจ็คเชื่อมต่อเข้ากับตู้แอมป์หลังโต วาดนิ้วดีดสายเส้นตัวกำเนิดเสียงเพื่อเช็คว่ากีต้าร์ตัวนี้ถูกตั้งสายไว้ตรงตามคีย์แล้วหรือยัง ?
เมื่อแน่ใจแล้วว่ากีต้าร์ตัวเขื่องในมือนั้นมีเสียงที่ตรงตามคีย์ ซึงยูนจึงเดินอาดๆ มายืนกลางเวทีที่มีไมโครโฟนถูกเปิดสวิตซ์เอาไว้เพื่อรอให้คนมาพูดกรอก
“ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ WN Night Club สถานที่ที่จะทำให้ทุกๆ ค่ำคืนของท่านเป็นค่ำคืนที่พิเศษที่สุด ... เอาล่ะครับ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาเริ่มต้นความสนุกไปพร้อมๆ กันดีกว่าครับ”
เสียงปรบมือเกรียวกราวดังขึ้นเรียกขวัญกำลังใจให้ซึงยูนที่จะทำหน้าที่เป็นนักร้องโฟร์คซองในค่ำคืนวันนี้ ซึงยูนลดตัวลงนั่งที่เก้าอี้พลาสติกที่พนักงานของร้านเพิ่งนำขึ้นมาให้ ประคองกีต้าร์ให้มาวางบนหน้าตักด้วยท่าทีสบายๆ กดไมโครโฟนลงให้อยู่ในระดับที่ริมฝีปากหนาพร้อมขับร้องเพลงให้แขกผู้มีพระคุณของร้านทั้งหลายฟัง
สายตาคมกวาดมองไปรอบๆ พื้นที่ก่อนจะสะดุดเข้ากับคนตัวเล็กร่างบอบบางผิวขาวใสแต่ทำตัวแตกต่างจากนักท่องราตรีคนอื่นๆ
สถานที่ที่มืดมิดอย่างนี้ ยังจะสวมแว่นตากันแดดสีดำอีกนะ ...
“ดวงตาที่เปียกชุ่ม น้ำตากำลังไหลรินอาบแก้มทั้งสองข้าง”
แม้จะเริ่มขับร้องเสียงแหบและหนักแน่นลงเครื่องขยายเสียง แต่สายตากลับจดจ้องที่บุคคลแตกต่างจากคนอื่นๆ ตาไม่กระพริบ
“มันหยดลงมาแล้วแพร่แพร่เป็นสีดำ วันนี้เธอร้องไห้อีกแล้ว”
แอบยิ้มบางๆ เมื่อเห็นว่าคนๆ นั้นที่ตัวเองสนใจหันไปถามอะไรบางอย่างจากจุนฮเวแล้วชี้โบยมาทางเขาเหมือนสนใจไม่ต่างกัน
“ฉันปลอบประโลมครั้งแล้วครั้งเล่าว่าอย่าร้องไห้เลย แต่เธอก็ยังเอาแต่ร้องไห้ อะไรกันที่ทำให้เธอเจ็บปวดได้ถึงเพียงนี้ ?”
ซึงยูนยิ้มออกเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กที่สวมแว่นตาดำดูจะสนอกสนใจเขามากเป็นพิเศษ ข้อศอกของคนที่เป็นลูกค้าตั้งฉากกับเคาน์เตอร์บาร์เพื่อสามารถวางค้ำใบหน้าหวานๆ นั้นลงกับมือ แต่ซึงยูนก็ยังสามารถสัมผัสได้ว่าคนๆ นั้นยังเหลือบตามองตนผ่านแว่นตากันแดดสีดำ
“เปิดประตูที่ปิดตายนั้นแล้วยิ้มซะ ออกมาจากห้องนั้นแล้วก็ยิ้มด้วย ให้เหมือนกับแสงที่สาดส่องของดวงอาทิตย์เจิดจ้า”
รอยยิ้มของลูกค้าคนนั้นผุดขึ้นตามความหมายของเพลงที่ซึงยูนกำลังขับร้องอยู่ จนคนที่กำลังร้องเพลงอยู่รู้สึกมีความสุขไปด้วย
“ออกจากกรอบที่ปิดกั้นเธอไว้แล้วยิ้มได้แล้ว จับมือฉันไว้แล้ววิ่งหนีไปด้วยกันเหมือนวันเก่าๆ ที่มันช่างอบอุ่นเหลือเกิน”
หัวใจของซึงยูนแทบหล่นลงตาตุ่มเมื่ออยู่ดีๆ ร่างเล็กนั้นก็ลุกเดินหนีออกไปทางหน้าร้าน ซึงยูนแทบไม่เหลือสติสตางค์ในการร้องเพลง อยากจะเขวี้ยงกีต้าร์บนหน้าตักทิ้งไปให้พ้นๆ แล้ววิ่งตามคนที่น่าสนใจนั้นไป
แต่ลูกค้าสำคัญกว่า ซึงยูนจึงใจเย็นขับร้องเพลงอย่างอดทนที่สุดแม้ร่างของคนน่ารักจะหายไปแล้ว
ทันทีที่บรรเลงเพลงท่อนสุดท้ายจบลง ซึงยูนก็ลุกพรวดจากเก้าอี้ วางเครื่องดนตรีที่ถือประคองอยู่ลงบนแท่นวาง สองเท้าไม่รอช้ารีบวิ่งรุดลงจากเวทีท่างกลางเสียงโห่ร้องสดงความไม่พอใจของลูกค้าที่ตั้งใจฟังเสียงของซึงยูนโดยเฉพาะ
“เห้ย ! ซึงยูน จะไปไหน ?”
เป็นคังแดซองที่ตะโกนถามเมื่อปรายสายตาเห็นน้องชายของตนทิ้งคิวร้องเพลงแล้ววิ่งโลดลงจากเวทีเล็กๆ แบบนี้ แต่ซึงยูนกลับยักไหล่แล้วตอบพี่ชายตัวเองกวนๆ
“ไปตามหาคน”
ยกยิ้มมาดกวนแล้ววิ่งผละแทรกบรรดาลูกค้าหนาแน่นออกมาทางด้านหน้าร้าน ในใจภาวนาขอให้ตามทันคนๆ นั้น คนที่ตัวเล็กน่ารักแม้ไม่เห็นใบหน้าทั้งหมด
และดูเหมือนคำภาวนาที่อ้อนวอนร้องขอจะเป็นใจ เมื่อสายตาคมเหลือบไปเจอร่างนั้นเดินแตร่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ท่ามกลางแสงสลัวจากไฟถนนสูง ซึงยูนวิ่งตามไปพร้อมๆ กับเอื้อมมือคว้าข้อมือบางของคนที่กำลังตามอยู่ให้หันหน้ามาเผชิญหน้าตน
และก็เป็นคนที่เขาต้องการเจอจริงๆ ด้วย ...
“มืดขนาดนี้ยังจะใส่แว่นกันแดดอีกนะ มองเห็นถนนหนทางหรือไง ?”
ถือวิสาสะยกมืออีกข้างที่ว่างอยู่ถอดแว่นตากรอบสีดำนั้นออกอย่างรวดเร็วไม่ให้เจ้าของแว่นตานั้นโวยวาย แต่ถึงอย่างนั้นร่างบางก็ต้องโวยขึ้นเมื่อใครบางคนที่เพิ่งรู้จักชื่อมาทำละลาบละล้วงเกินเลย
“ย่าห์ ! เอาแว่นตาของฉันคืนมานะ”
ดวงตากลมโตที่ถูกซ่อนอยู่เผยออก แม้ร่างเล็กจะยื้อแย่งแว่นตาเจ้าปัญหานั้นกลับคืนมา แต่ก็ไม่สามารถเอากลับคืนมาได้เลยเมื่อซึงยูนยกมือที่จับแว่นตานั้นขึ้นเหนือศีรษะ ด้วยความสูงที่ต่างกันทำให้คนตัวเล็กไม่สามารถคว้าแว่นตาที่อยู่สูงเกินคว้าได้
หน้าคุ้นๆ ... คือสิ่งที่ซึงยูนฉุกคิดได้
คนตรงหน้ากำลังพยายามปีนป่ายแขนของซึงยูนอยู่นั้นช่างคุ้นหน้าคุ้นตาเหลือเกิน ราวกับเพิ่งเคยเห็นตามหน้าปกนิตยาสารหรือโทรทัศน์รายการแฟชั่นโชว์ หรืออะไรสักอย่างที่เกี่ยวข้องกับวงการมายา
ร่างเล็ก ผิวขาวใส เส้นผมสีน้ำตาลหนานุ่มที่ปรกหน้าผากมนและคิ้วโก่งได้รูป จมูกโด่งรั้น กลีบริมฝีปากคู่สวยสีอ่อนธรรมชาติเวลานี้ขยับก่นด่าคนตัวสูงไม่หยุด คางเรียวมน แก้มจิ้มลิ้มน่าฝังจมูกลงหอมสักฟอด มือไม้ของคนตัวเล็กยังคงเกาะเกี่ยวปีนป่ายร่างของซึงยูนไม่หยุด และสิ่งที่ทำให้ซึงยูนสะดุดคือดวงตากลมโตใสแป๋วราวกับกวาง
กวาง ...
“เจ้ากวางน้อยคิมจินอู ?”
XXXXX
งืมๆ ทำไมพระเอกกับนายเอกของเราเจอกันเร็วจัง ><
รีดเดอร์ชอบกันไหมเอ่ย ? เรียกพี่แป๋วของเราว่า “เจ้ากวางน้อยคิมจินอู” น่ะคะ
น่ารักเนาะ ฟังแล้วน่าทะนุถนอมจริงจัง
แต่ว่าคุณคังของเราท่าทางจะไม่ค่อยถนอมพี่กวางน้อยสักเท่าไหร่เนาะ
แต่ไม่นานหรอกค่ะ สักวันคุณคังของเราต้องยอมใจคุณคิม
ต้องติดตามกันต่อไปเนาะว่าเรื่องนี้จะออกมาเป็นยังไง ^^
Enjoy reading นะคะรีดเดอร์ที่น่ารักของเจ๊ตีบ
#ฟิคจินแอนด์โทนิก
ปล.1 จากที่เกริ่นๆ ไปแล้วนะคะว่าฟิคเรื่องนี้ไม่มีพล็อต ฉะนั้นเนื้อเรื่องไม่ปะติปะต่อกันบ้าง
รีดเดอร์ต้องให้อภัยเจ๊ตีบนะคะ ^^
ปล.2 อาจจะอัพช้าไปบ้างเพราะเจ๊ตีบต้องเตรียมทั้งสอบ ทั้งทำงาน
รีดเดอร์ต้องเข้าใจเจ๊ตีบน๊า T^T จะพยายามอัพให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เนาะ [รักรีดเดอร์นะคะ จุ๊บ ^3^]
ความคิดเห็น