ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [มีE-Book]ไฟ(ลวน)ลามทุ่ง

    ลำดับตอนที่ #1 : ลวนลามครั้งที่...1 มะไฟ

    • อัปเดตล่าสุด 17 เม.ย. 67


    ลวนลามครั้งที่…1 มะไฟ

    “อ้าว…เจอกันอีกแล้วนะน้องทุ่ง ยังหล่อเหมือนเดิมเลย” น้ำเสียงเจื้อยแจ้วเรียกผมมาจากที่ไกล ๆ

    ในค่ำคืนนี้พวกผมพากันมาร่วมฉลองวันเกิดของเพื่อนพี่ชายผมที่ผับแห่งหนึ่ง และเธอที่เข้ามาทักทายก็คือ ‘มะไฟ’ เป็นเพื่อนในแก๊งอีกที

    ผมชื่อทิวทุ่งครับ เกิดทีหลังพวกเขาแค่สามปีเอง ผมจึงมักจะได้ร่วมกลุ่มร่วมแก๊งกับเหล่าพี่ ๆ อยู่บ่อยครั้งเพราะสนิทกับพี่ชาย

    “แหม…มาถึงก็แซวผู้ชายเลยนะ เบา ๆ หน่อยน้องกูกูหวง” ไอ้ทิว หรือทิวเขาเป็นพี่ชายของผมเอ่ยแซวเธอที่พอมาถึงก็ดิ่งเข้ามาหาผม

    มือไม้ไม่อยู่สุขข้างหนึ่งเกาะแขนอีกข้างแปะไปที่หน้าอกผม ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้หากเป็นแต่ก่อนผมคงเอียงตัวหลบ แต่ตอนนี้ผมยืดอกใส่อย่างเดียว

    ก็คนมันมั่นในกล้ามอกอะครับ

    “อย่ามา ๆ น้องแกไม่ใช่สิ่งของสักหน่อย ใช่ไหมคะน้องทุ่ง อุ๊ย! อกแน่นขึ้นปะเนี่ย ไหนดูซิขอบีบหน่อย” ประโยคแรกหันไปเถียงทิวเขา แต่ประโยคหลังหันมาพูดกับผม แก้มของเธอก็แนบชิดกับไหล่ พูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นช่องสองที่สามต่างจากที่พูดกับทิวเขา

    ก็เป็นซะอย่างงี้ ผมถึงได้ชอบเธอจนแทบจะคลั่งอยู่แล้ว แม้ว่าเธอจะไม่เคยรู้เลยก็ตาม

    “ให้มันน้อย ๆ หน่อย ไอ้ทุ่งมันยังเด็ก ทำตัวเป็นควายกินหญ้าอ่อนไปได้”

    “ควายบ้านแกสิ เขามีแต่วัวย่ะ”

    “ก็แกไงเป็นควาย”

    “ว๊าย…หยาบคายมากตบปากตัวเองเท่าพ.ศ.เกิดเดี๋ยวนี้”

    ทั้งสองทุ่มเถียงกันอย่างเมามัน ไม่ใช่ทะเลาะกันหรอก นี่คือเรื่องปกติ เธอกับไอ้ทิวชอบเถียงกันแบบนี้เป็นประจำ

    ผมก็ชอบ….ชอบฟังเสียงเธอ ไอ้การแว๊ด ๆ ทำตัวยุกยิกเหมือนจะเข้าไปตบให้ได้มันน่ารักจนใจเจ็บ ดูสิขนาดผมแอบกอดเอวเธอไว้ยังไม่รู้ตัวเลย

    “เชอะ! ฉันไม่คุยกับแกแล้วไปหายัยแป้งดีกว่า” เมื่อเถียงไม่สู้เธอก็สะบัดก้นไปที่อื่นทันที

    ผมยิ้มไล่หลังเธอไป มองร่างอรชรอ้อนแอ้นไปยืนเมาท์มอยกับเพื่อนคนอื่นต่อ ผิวขาวผ่องหยอกล้อกับแสงไฟมันสะดุดตา ไหนจะเรือนร่างสมส่วนภายใต้ชุดที่บางและน้อยชิ้นนั่นอีก

    หัวใจผมคันยุบยิบอยากจะถอดเสื้อตัวเองไปคลุมไว้ แต่ถ้าหากผมทำอย่างนั้นคนอื่นก็จะรู้ว่าผมคิดไม่ซื่อกับเธอ

    “มองขนาดนั้นชอบมันรึไง” ผมสะดุ้งโหยงเมื่อไอ้ทิวมันมากระซิบที่ข้างหู ตกใจหมดเลยไอ้พี่บ้าเอ๊ย

    ละ…แล้วชอบเชิบอะไรวะ พูดจามั่วซั่ว นี่ผมแสดงออกชัดจนมันรู้เลยเหรอเนี่ย

    “ปะ..เปล่า ก็เห็นวันนี้แต่งตัวสวยดี ปกติเห็นแต่ใส่เดรส” ผมปฏิเสธลิ้นพันกันไปหมด เฉไฉไปเรื่องอื่น

    “ไม่ชอบแต่จำได้ยันชุดที่ใส่ ไม่ชอบแบบใด?”

    “จำได้ไม่ได้แปลว่าชอบปะวะ” แล้วมันจะไล่ต้อนผมทำไมวะ

    ผมเริ่มนั่งไม่ติดที่รู้สึกเหมือนหลังมันร้อน ๆ หันไปสบตาไอ้ทิวทีไรก็เจอแต่สายตาล้อเลียน เหมือนจะบอกว่า ‘อย่ามาตอแหล’ แปะหน้ามันไว้เลย

    “คิดดีแล้วเหรอไปชอบมันน่ะ ดูกะล่อนขนาดนั้น”

    “ก็บอกว่าไม่ได้ชอบไง” ผมปฏิเสธเสียงแข็ง

    “กูเป็นพี่มึงมานานเท่าอายุมึง รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับมึง คิดว่าเรื่องแค่นี้กูจะไม่รู้รึไง แล้วนี่อีก เวลาโกหกทีไรชอบเกามือตัวเอง” มันว่ามาเป็นชุด ชี้ไปที่มือผมที่กำลังถูกันอยู่ตามที่มันพูด มันเป็นพฤติกรรมที่ผมทำโดยไม่รู้ตัวเมื่อโกหก

    “กูแค่คัน” ผมยังเถียงข้าง ๆ คู ๆ เรื่องอะไรจะยอมรับล่ะ ตามสเต็ปผมต้องเฉไฉก่อนค่อยยอมรับสิ นี่ยังหาทางหนีได้อีกนะเนี่ย

    “แอบกอดเอวเขาตั้งนานสองนานขนานนั้น คนไม่ชอบเขาทำแบบนี้เหรอ ไหนจะยอมให้เขาจับนั่นจับนี่แตะเนื้อต้องตัวตามใจชอบ แล้วสายตามึงละจากมะไฟซะที่ไหน ถ้าจะยังบอกว่าไม่ชอบก็ไปอมขี้มาพ่นใส่หน้ากูซะ”

    เหมือนโดนมันเอาเชือกมามัดแล้วต่อยใส่จุดสำคัญโดยที่ไม่สามารถตอบโต้อะไรได้เลยสักอย่าง

    “เออ…ชอบ” ผมยอมรับในที่สุด หมดมุกจะแถแล้วครับ เหลือแค่แกล้งบ้าแล้วแหละ

    “กูว่าแล้ว” มันตบเข่าฉาด

    “ว่าตอนไหน” ถ้าว่าผมต้องได้ยินสิ

    “กูคิดไว้แล้ว”

    เออ คิดก็บอกคิดสิ มาบอกว่าล้งว่าแล้วอะไร ไม่เห็นจะเคยได้ยินอะไร

    “แล้วนี่ชอบมากเลยเหรอ” พอโดนผมกวนตีนมันก็ทำหน้าเหมือนกับว่ากำลังด่าพ่อล้อแม่ผมในใจก็เข้าสู่หมวดคำถามจริงจัง นี่มันเป็นไบโพล่าหรือเปล่า เปลี่ยนอารมณ์ไวขนาดนี้

    “ไม่รู้ ชอบพอ ๆ กับข้าวมันไก่มั้ง”

    “นั่นมันก็ชอบที่สุดแล้วปะ”

    เออใช่ ชอบมาก ๆ ชอบพอ ๆ กับข้าวมันไก่ที่กูอยากจะกินทุกวันนั่นแหละ

    “แล้วคนนี้มึงว่าไง” ผมถามมัน ผมว่าทิวเขาคงจะรู้จักกับมะไฟมากกว่าผม

    “ก็ตามที่มึงเห็น อัธยาศัยดี ใส่ใจคนรอบข้างไปหมด แต่ข้อเสียอย่างเดียวคือแอ๊วผู้ชาย อาจเพราะโสดด้วยมั้งเลยทำแบบนั้นได้” ทิวเขายกเหล้าขึ้นมาจิบไปพลางเล่าไป น้ำเสียงไม่ยี่หระคร้านจะบอกว่าการที่เธอแซวผมหรือเข้าหาผมนั้น เธอก็ทำกับคนอื่นเช่นกัน

    ผมมองไปยังเธอที่ยกแก้วชนกับคนอื่นไปมาหน้าเวทีพร้อมกับเพื่อนคนอื่น ๆ ในขณะที่โต๊ะนี้มีแค่ทิวเขากับผม

    ผมกับพี่ชายเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือไม่ชอบการเบียดเสียดกับผู้คน มักจะหลีกเลี่ยงการสัมผัสด้วยซ้ำ หรือจะเรียกง่าย ๆ ว่าถือตัว

    แต่มันจะมีข้อยกเว้นอยู่คนหนึ่ง นั่นก็คือเธอคนนั้น มะไฟ…คนที่ผมชอบ

    เธอนั้นอัธยาศัยดี อารมณ์ดีอยู่เสมอ เวลาพบเธอผมมักจะรู้สึกว่ามีแสงเปล่งประกายออกมา รอยยิ้มที่เจิดจ้า น้ำเสียงติดแหลมไปบ้างแต่ก็ยังน่าฟัง มือไม้อยู่ไม่สุข มักจะเกาะแขน กอดคอ หรือไม่ก็จับมือกับคนอื่น ๆ หรือเรียกตรง ๆ ว่าติดสกินชิพ

    ตรงข้ามกับคนอย่างผมที่หวงเนื้อหวงตัว ไม่สนิทจริง ๆ ผมไม่ให้สัมผัส

    แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อพบเธอ…

    เมื่อก่อนนี้ผมเป็นคนเก็บตัวมากกว่านี้ อาจเพราะผมเป็นเด็กขี้โรค ป่วยบ่อยทำให้โตช้ากว่าเด็กคนอื่น ๆ เพื่อน ๆ ก็ชอบเล่นแรงผมสู้ไม่ไหวเลยเลือกที่จะตีตัวออกหากจากเพื่อนที่แก่นเซี้ยว

    และไปขลุกตัวอยู่กับพวกเนิร์ด ทำให้ผมกลายเป็นเด็กเนิร์ดและเข้าสังคมไม่เก่ง

    วันหนึ่งเธอก็เข้ามา ในนามเพื่อนของทิวเขา เธอมักจะมาชวนคุยและชมผมว่าหน้าตาดีบ้าง ชอบมาแต๊ะอั๋งเล็ก ๆ น้อย ๆ ในตอนแรก ๆ ผมก็ไม่ชอบใจนัก

    แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่รู้อะไรบ้างเลย ยังคงเย้าหยอกผมด้วยการจิ้มแก้มบ้าง กอดแขนบ้าง เธอก็คอยบอกผมว่าให้ออกกำลังลายสร้างกล้ามเนื้อเพื่อจะได้ดูหล่อมากกว่านี้

    แล้วคิดว่าผมจะทำตามไหม….ใช่ครับผมทำตาม แล้วไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามหากเราได้พบกันเธอจะคอยตรวจร่างกายผมอยู่เสมอ

    จวบจนถึงตอนนี้รูปร่างผมก็ดูหนาขึ้น ส่วนสูงขึ้นเร็วเพราะผมโหนบาร์บ่อย ผมมั่นใจในตัวเองมากขึ้น

    ส่วนมากก็เพราะเธอที่คอยเป็นกำลังใจและบอกวิธีเหล่านี้ จนผมนั้นอดที่จะหวั่นไหวไม่ได้

    ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เธอเข้าอยู่ในหัวใจผม เป็นผมที่ยอมให้เธอสัมผัสร่างกายเพื่อเช็กความเปลี่ยนแปลง

    “ถ้าจะชอบก็ทำใจไว้บ้างก็แล้วกัน” ทิวเขาตบไหล่ผมเบา ๆ อย่างให้กำลังใจ

    “กูไม่ได้จะจีบสักหน่อย”

    “เหอะ…ระดับมะไฟถ้าชอบใครไม่นั่งรอเขามาจีบหรอก มันบุกเองอยู่แล้ว ส่วนมึงถ้ามัวแต่ปอดแหกก็แดกแห้วไปแล้วกัน” ทิ้งวาจาสุนัขไม่รับประทานเสร็จแล้วมันก็ลุกออกไปร่วมกับเพื่อน ๆ ที่หน้าเวที

    ผมถอนหายใจอย่างคิดหนัก ผมกับเธอนิสัยต่างกันสุดขั้ว ขณะที่เธอเป็นดั่งแสงสว่างราวกับดวงตะวัน แต่ผมกลับมีแสงริบหรี่ไม่ต่างจากหิ่งห้อยตัวน้อย

    ผมเท้าคางมองเธอที่กำลังเมาม่วนจอยกับเพื่อน ๆ มีแว็บหนึ่งที่หันมาเจอผม พร้อมกับยิ้มกว้างยกแก้วเหล้าในมือขึ้นเป็นการบอกว่าจะชนกับผม ผมยกกลับไปบ้าง นี่คงเป็นการชนแก้วระยะไกล

    ไอ้น้ำสีอำพันรสขมปร่านี่มันช่างไม่อร่อยเอาซะเลย พอมันไหลลงคอก็ทิ้งความร้อนผ่าวเอาไว้ ไม่นานก็รู้สึกมึน ๆ นี่สินะความเมา

    “น้องทุ่งเมาแล้วเหรอคะ มามะมาเต้นกัน” มือบางฉุดผมให้ลุกเดินออกไป

    “แก้มแดงน่ารักจัง”

    เธอพูดเจื้อยแจ้วเช่นเดิม จับไหล่ผมให้โยกไปมาตามจังหวะเพลง และชวนคุยอีกมากมาย ผมตอบแค่ว่าครับอย่างเดียว

    ในตอนนี้นอกจากคนตรงหน้าผมก็ไม่เห็นอะไรอีกแล้ว มืออุ่นที่คลำสะเปะสะปะตามตัวมันสร้างความร้อนผ่าวไปตามจุดที่เธอสัมผัสผ่าน

    หัวใจผมเต้นรัว กลิ่นน้ำหอมที่โชยออกมาจากตัวเธอมันช่างดึงดูด ผมก้มลงไปสูดกลิ่นอย่างแรงตรงซอกคอเธอ

    “น้องทุ่งเมาหนักเลยเหรอคะ ไหวไหมลมหายใจร้อนจัง” เธอดูร้อนรนไปหมด คงคิดว่าผมซุกคอเพราะไม่มีแรงยืนสินะ

    “อือ” ผมครางอู้อี้ในคอเป็นคำตอบ เธอกอดผมไว้แน่นจนกระทั่งมีแรงกระชากตัวผมจากด้านหลัง

    “ไหวไหมมึง” เป็นไอ้ทิวครับ มันมาดึงผมออกไปจากอ้อมกอดของพี่มะไฟ

    ผมเบนสายตาไปด่ามัน และแน่นอนว่ามันก็รู้ตัว ได้แต่ทำหน้ากลั้นขำอยู่อย่างนั้น สันขวานเถอะไอ้พี่ตัวซวย คนกำลังฟินเลย

    นู้น มะไฟไปนู้นแล้วทิ้งผมให้ยืนแกร่วอยู่กับไอ้ทิวเขา อยากจะกระทืบมันจริง ๆ ช่างไม่รู้งาน มาห่วงว่าผมจะเมาอะไรตอนนี้

    “โทษทีมึง ก็มะไฟมันกวักมือเรียกจะให้กูทำไง ตัวมึงยังกับควายแล้วไปพิงแบบนั้นอีก กูเห็นแล้วเวทนาว่ะ” มันตอบพลางขำออกมา

    “เออ เมานิดหน่อยแต่ไหวอยู่” ถึงผมจะไม่เคยเมาแต่ก็พอจะรู้ตัวว่ายังไหวอยู่ และผมจะเลิกกินแล้วแหละกลัวว่าเมาแล้วจะเรื้อนเหมือนหมาอย่างไอ้ทิว

    นี่ก็ผ่านไปเดือนกว่า ๆ แล้วที่ไม่ได้เจอกับคนในดวงใจ ผมแทบจะถามไอ้ทิวทุกวันว่าเธอทำอะไร อยู่ไหน กับใคร และมันก็ตอบผมตลอดว่าให้ไปถามเอง

    คิดถึงจัง อยากเจอแล้วอะ อุตส่าห์ปั้นกล้ามหน้าอกมาให้จับเลยนะ ทำไมไม่แวะมาจับสักที

    “มึงจะไปไหน” ผมถามทิวเขาที่กำลังจะออกจากบ้านไป วันเสาร์แบบนี้ไม่มีเรียนนี่นา แล้วยิ่งตื่นเช้าขนาดนี้มันผิดวิสัยของมัน

    “ไปทำรายงานบ้านแป้ง” เพื่อนในกลุ่มมันแหละ

    “พี่ไฟไปด้วยไหม” มันมองค้อนผมมา แถมยังเบะปากใส่อีก

    “ไป ก็ทำด้วยกัน”

    “ขอไปด้วยดิ”

    “ไปทำไมกูไม่ได้ไปเที่ยวนะ เกะกะคนอื่นเขา” ดูมันพูดเข้า ผมไม่ใช่เด็กเลี้ยงยากสักหน่อย กะอีแค่ไปนั่งดูพี่ ๆ ทำรายงานมันจะรบกวนแค่ไหนกันเชียว

    “กูไม่รบกวนหรอกน่า จะไปช่วยด้วย” ผมเสนอตัวเองซะเลย ไหนดูซิจะกล้าพลาดข้อเสนอของเด็กเรียนอย่างผมได้ไหม

    “เออไปก็ไป กูจะใช้งานจนมึงไม่ว่างไปจ้องสาวเลยคอยดู”

    เหอะ จ้องบ้าจ้องบออะไร ใครมันจะไปจ้องขนาดนั้น ผมแค่อยากจะเจอหน้านิด ๆ หน่อย ๆ ให้หายคิดถึง ขอแค่ได้ยินเสียงเธอก็พอใจแล้ว คงพอได้บรรเทาความคิดถึงที่มันจุกในอก

    -----------------------------------------------

    สวัสดีค่ะนักอ่านที่น่ารักทุกท่าน มาพบกับนิยายเรื่องที่สามของเพียงนะคะ เรื่องนี้จะเป็นเรื่องสั้น5ตอนจบเท่านั้นค่ะ

    เพียงจะลงให้ทดลองอ่าน1ตอน ทุกท่านสามารถอ่านต่อได้ในอีบุ๊คนะคะ

    ฝากนิยายเรื่องใหม่ของเพียงไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×