ตอนที่ 4 : รักร้ายที่สาม - 100%
— ตอนที่สาม —
“คงไม่มีอะไรที่พิทักษ์ดำรงกุล ให้คู่หมั้นตัวเองไม่ได้”
บุษกรมองสบตาคนที่เอ่ยน้ำเสียงหนักแน่น ร่างเล็กขยับตัวไปใกล้ ก่อนสองมือเล็กจะจับปลายเสื้อของคนที่นั่งอยู่ข้างกัน ออกแรงกำแน่น พร้อมเอ่ยย้ำถามในสิ่งได้ยินอีกครั้ง
“คุณพูดจริงใช่ไหมครับ”
“ฉันดูเป็นคนโกหกหรือไง”
ใบหน้าน่ารักส่ายหัวจนเส้นผมนุ่มนิ่มกระจาย ดวงตาเรียวรีหยีปิดเมื่อยกรอยยิ้มอย่างจริงใจให้กับคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าที่คู่หมั้น เจ้าของใบหน้าคมเข้มเพียงแค่มองนิ่ง อย่างที่ไม่มีใครคาดเดาความรู้สึกออก แต่บุษกรก็ใช่ว่าจะสนใจ
แค่แม่กานดา และลุงจ้อยปลอดภัย
พิทักษ์ดำรงกุล ให้ในสิ่งที่เขาต้องการก็เพียงพอแล้ว ไม่ว่าจะแลกด้วยอะไรก็ตาม
“ขอบคุณนะครับ”
“มันไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องขอบคุณ ในเมื่อเป็นข้อตกลง ฉันก็แค่ทำตามข้อตกลงบ้าบอนั่น เธอเองก็เหมือนกัน”
ชวิศเปลี่ยนจุดวางสายตาจากเจ้าของดวงตาเรียวรีที่ดูพราวระยับเมื่อเด็กหนุ่มตรงหน้าได้คำตอบจากเขาเป็นนอกกระจกรถยนต์ที่มีแต่ความวุ่นวายของลูกน้องที่วิ่งวุ่น และเพลิงไฟที่เริ่มสงบลงมีเพียงบางส่วนและทิ้งไว้เพียงเถ้าดำของความเสียหาย
ดวงตาคมเหลือบมองเงาสะท้อนกระจกก็เห็นคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าคู่หมั้นกำลังยกรอยยิ้ม คล้ายดีใจมากจนเหมือนอีกนิดเขาคงได้เห็นหูและหางกระดิกออกมา
“ถึงแบบนั้นผมก็อยากขอบคุณคุณอยู่ดีครับ คุณชวิศ”
“พี่ชวิศ”
“ครับ?”
“จากนี้ไปถ้าอยู่ข้างนอก ต่อหน้าคนอื่น โดยเฉพาะพ่อของฉัน นายควรเรียกฉันแบบนั้น” บุษกรเม้มปากแน่น สองมือเล็กคลายออกและถอยห่างไปนั่งตำแหน่งเดิม ก่อนมองใบหน้าด้านข้างของคนที่หันมองเหตุการณ์ด้านนอก แอบถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบรับ
“ครับคุณชวิศ”
เขาไม่ผิดนี่นา ก็ตอนนี้อยู่กันแค่สองคน กับคนขับรถแค่เท่านั้น ในเมื่อยังไม่มีคนอื่นก็ไม่เห็นจำเป็นต้องเอ่ยเรียกแบบที่คนตัวยักษ์ว่าเลยสักนิด ไม่เห็นเคยรู้ว่าเราสองคนเคยไปนับญาติฝ่ายไหนกัน
ยกเว้นก็แต่สถานะคู่หมั้นที่ตกลงกันร้อน ๆ ก่อนหน้า
ไม่รู้โชคช่วยหรือสวรรค์กลั้นแกล้ง แต่บุษกรก็เลือกเชื่อว่าอย่างน้อยในความโชคร้ายก็ยังมีแสงไฟที่ริบหรี่ช่วยเหลือเขาอยู่บ้าง ถึงได้ตกกะไดพลอยโจรได้เป็นคู่หมั้นของทายาทตระกูลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในอันดับต้น ๆ ของประเทศ
แม้ว่าความจริงแล้วตำแหน่งนี้น่าจะเป็นคุณหนูตระกูลดังสักตระกูลมากกว่าเป็นเขา เด็กที่ไม่มีอะไรสักอย่าง ไม่เห็นถึงความเหมาะสมเลยสักนิด
หลังจากคิดอะไรเรื่อยเปื่อย เสียงเปิดประตูจากคนที่นั่งนิ่งก็ทำให้คนตัวเล็กกว่าสะดุ้ง ร่างสูงใหญ่ของคุณชวิศเดินลงจากรถไปโดยมีลูกน้องยืนเรียงรายเอ่ยรายงานสถานการณ์ ก่อนบานประตูจะปิดลงอีกครั้ง
“นายท่านครับ”
“ว่ามา”
“ตอนนี้เราควบคุมเพลิงได้แล้วครับ...”
และบุษกรเลือกที่จะมองผ่านกระจกฟิล์มทึบ มองเห็นเปลวไฟที่นึกเกลียดได้ดับลงไปแล้ว ทุกอย่างกลายเป็นตอดำสนิทที่มีควันลอยอยู่เหลือทิ้งไว้แต่ซากความเสียหาย แผดเผาทุกอย่างไปเหลือเพียงความทรงจำเลวร้ายที่ฝังลึกในใจ
ดวงตาเรียวรีไหวระริกกับภาพตรงหน้า สูดหายใจเข้าลึก พร้อมทำใจกล้าเปิดประตูแม้มือเรียวนั้นแสนสั่น ก่อนตัดสินใจก้าวขาเดินตามแผ่นหลังกว้างที่เดินไกลออกไป
เพราะอาจยังมีสิ่งสำคัญเพียงชิ้นสุดท้ายที่เหลืออยู่
“แค่ก ๆ”
ทันทีที่เดินไปเพียงไม่กี่ก้าวและปลายจมูกได้สูดดมเอากลิ่นควันไฟ ร่างกายของบุษกรก็ต่อต้านในทันที สองมือกำแน่นอย่างทนฝืน ดวงตาเริ่มคลอด้วยน้ำใส เพราะควันไฟที่แม้ลดน้อยลงจากในตอนแรกแต่ก็ส่งผลกระทบต่อร่างเล็กไม่ใช่น้อย
“หาเรื่องจริง ๆ”
ร่างใหญ่โตของนายท่านแห่งพิทักษ์ดำรงกุลหยุดชะงัก หันหลังกลับไปมองร่างเล็กที่ตอนนี้ชวิศมองเป็นเพียงตัวปัญหาเท่านั้น ก่อนตัดสินใจไปใกล้คนที่เพิ่งตกลงว่าเป็นคู่หมั้น มือใหญ่คว้าจับข้อมือเรียวตั้งใจจะลากให้ขึ้นไปนั่งรอบนรถยนต์ตามเดิม
แต่ก็ถูกแรงเพียงน้อยนิดนั่นยื้อเอาไว้
“ไม่ครับ”
“จะมายืนตัวสั่นทำไมตรงนี้ น่ารำคาญจริง ๆ”
“ผมยังมีของสำคัญอยู่ !”
หลังจากโดนคนตัวยักษ์กล่าวหาว่าน่ารำคาญ ก็ทำให้คนที่สูงเพียงแค่ไหล่เชิดหน้าพลางเอ่ยโต้ ทั้งที่ก็แทบสู้แรงคนที่ดึงรั้งอยู่แทบไม่ได้ เพราะอาการแสบตาแสบจมูกที่ร่างกายต่อต้าน ชวิศจ้องมองเจ้าของดวงตาเรียวตกที่คลอด้วยน้ำใส ก่อนถอนหายใจออกมาหนัก ๆ และปล่อยแรงฉุดยื้อลง
“อะไร”
“ของสำคัญจากคนที่ผมรัก”
เพียงชิ้นเดียวที่เหลืออยู่...
“เป็นยังไง”
“ครับ?”
“ของที่ว่านั่นเป็นยังไง”
ถึงใครต่อใครจะบอกว่าชวิศเป็นสิงห์ที่ไม่เคยมีหัวใจ แต่เขาก็ใช่ว่าจะไร้หัวใจมากขนาดนั้น สายตาที่เด็กหนุ่มตรงหน้าสื่อดวงตาเรียวที่ไหวระริกเมื่อเอ่ยถึง ไม่ต้องบอกออกมาเป็นคำพูด ต่อให้เป็นใครที่ไม่ใช่เขาก็คงรับรู้ได้
ว่าของที่ว่าคงสำคัญมากขนาดนั้น
“กล่องไม้ แค่ก ๆ ในห้องนอนครับ ถ้ามันยังไม่ถูกไฟไหม้ไปหมดซะก่อน…”
เอ่ยแผ่วเบา และเมื่อสายตาเลื่อนมองตำแหน่งที่เคยเป็นห้องนอน หัวใจของบุษกรก็ร่วงผล็อย แทบไม่เหลือเศษซากอะไรให้มองออกนอกจากเสาไม้ใหญ่ และตู้ไม้ในห้องนอนที่คล้ายถูกเพลิงไฟลุกลามเหลือเพียงครึ่ง
สองมือกำแน่นเพื่อระบายทุกความคับแค้นในหัวใจ
พวกนั้นจะเอาทุกอย่างไปจากเขาไม่เหลือแม้กระทั่งของดูต่างหน้าคนที่เขารักเลยหรือ
ท่าทางที่กำมือแน่นคล้ายโกรธใครบางคนมาก ยังติดอยู่ในสายตาของคุณชวิศ ก่อนมือใหญ่จะยื่นผ้าเช็ดหน้าดึงความสนใจจากร่างเล็กที่ยืนตัวสั่น และยังไอไม่หยุด ออกจากภาพซากความเสียหาย
“ปิดจมูกไว้”
“ครับ ขอบคุณครับ”
ชวิศไม่ตอบอะไรจากนั้น ก่อนไปหยุดยืนเบื้องหน้า แผ่นหลังกว้างปิดบังภาพความเสียหายเบื้องหน้า ก่อนน้ำเสียงเข้มจะเอ่ยสั่งลูกน้องให้ตามหาของให้คนตัวเล็กที่ยืนฝืนอยู่ด้านหลัง และหันกลับมามองคนที่ยืนปิดจมูกแดง ๆ ด้วยผ้าเช็ดหน้าของเขา
“ส่วนเธอขึ้นไปรอบนรถ”
“ไม่ครับ”
ดื้อตาใส ชวิศให้คำนิยามของเด็กหนุ่มตรงหน้าเพิ่มอีกข้อ
“เธอควรฟังคำสั่งฉันนะบุษกร”
น้ำเสียงเข้มที่เอ่ยประโยคตรงหน้า ทำให้บุษกรอดไม่ได้ที่จะเบะปากอย่างไม่พอใจด้วยความเคยตัว ก่อนเปลี่ยนมากัดริมฝีปากอย่างคิดหาวิธีต่อรอง แม้ร่างกายนั้นจะต่อต้านกับสถานการณ์ที่ฝังลึกในใจมากแค่ไหน แต่ตัวเขาเองก็ยังดื้อรั้น อยากไปหาของสำคัญที่ว่าด้วยตัวเอง
“บุษกร ถึงเราจะตกลงเป็นคู่หมั้นกันแล้วก็ใช่ว่าเธอจะทำตามใจ มาดื้อใส่ฉันแบบนี้นะ”
“ผมไม่ได้ดื้อ”
“ขึ้นรถ ก่อนที่ฉันจะหมดความอดทนกับเธอจริงๆ”
เอ่ยเพียงแค่นั้นก่อนร่างสูงใหญ่จะเดินไปยังกลุ่มลูกน้องที่ยืนรอรายงานสถานการณ์อย่างละเอียด และหนึ่งในลูกน้องในชุดสูทดำสนิทคนหนึ่ง เดินเข้ามาหาบุษกร พร้อมกับเปิดประตูรถยนต์คันใหญ่และผายมือให้ร่างเล็ก
“เชิญขึ้นรถเถอะครับคุณบุษกร”
ยืนกำมือแน่นอยู่ชั่วอึดใจ ร่างเล็กที่ดูดื้อรั้นก็ยอมหมุนตัวกลับขึ้นบนรถไป แม้ไม่เต็มใจสักเท่าไหร่นัก แต่บุษกรก็ใช่ว่าจะไม่หวั่นใจกับดวงตาคมกริบและน้ำเสียงเข้มที่เอ่ยเมื่อก่อนหน้าของว่าที่คู่หมั้น
บุษกรจะยอมแสร้งทำตามคำสั่งไปก่อนก็ได้
ใช่ว่าจะไม่เคยได้ยินว่าทายาทของตระกูลพิทักษ์ดำรงกุลเป็นยังไง
“คุณบุษกรอย่าทำให้คุณชวิศไม่พอใจเลยครับ”
ที่ฉายาว่าสิงห์ก็ใช่เพียงแค่ใครต่อใครผู้คนต่างเรียกกันไปแค่นั้น
ข่าวหน้าหนึ่งที่เคยลงทุกฉบับบุษกรก็ยังจำได้ติดตา
ข่าวว่ามีคนไปกระตุกหนวดสิงห์ ทายาทตระกูลพิทักษ์ดำรงกุล เล่นไม่ซื่อวางแผนลอบทำร้าย แค่ไม่เพียงไม่กี่วันต่อมา ตระกูลนั้นก็ถูกจับเข้าคุกทั้งตระกูลเพราะการค้าไม้ในเขตหวงห้าม อีกทั้งพวกลูกน้องที่ทำงานผิดกฎหมายให้ทั้งค้ายาและอาวุธเถื่อน ที่ลงอยู่ในบัญชีดำยังถูกสังหารกวาดล้างจนหมดแทนพวกตำรวจ
มีแต่ข่าวซุบซิบว่าเป็นฝีมือของสิงห์อย่างคุณชวิศทั้งนั้น
เห็นแบบนี้บุษกรก็ยังฉลาดพอที่ไม่ยอมเป็น “เหยื่อ” แบบคนพวกนั้นหรอกหน่า
50 %
#รักร้ายหัวใจสิงห์
ชวิศคลายกระดุมเสื้อด้านบนทันทีที่ปลายเท้าเหยียบลงพื้นคฤหาสน์ หรือสิ่งที่เขาเรียกว่าบ้าน ท่อนขายาวก้าวอย่างไม่รีบเร่ง มองแผ่นเล็กเบื้องหน้า ที่ยังโอบประคองกล่องไม้ที่ถูกไฟไหม้จนกลายเป็นสีดำ ไหล่เล็กกว่าเขายังคงสั่นคล้ายพยายามฝืน
ดวงตาแดงก่ำ ที่มองสบกันก่อนหน้านั้นชวิศยังจำได้ดี
รูปภาพที่เลือนรางถูกไฟไหม้บางส่วน และสร้อยคอที่คนตัวเล็กที่นั่งข้างกันกับเขากำไว้แน่น อดไม่ได้ที่จะสงสัยเพราะรูปที่เห็น
และเพราะแบบนั้นทำให้ร่างสูงใหญ่หยุดยืนนิ่ง ก่อนหันไปมองสบตาเลขาประจำตระกูลที่คอยรับใช้พิทักษ์ดำรงกุลมาครึ่งชีวิต ที่รอต้อนรับอยู่ตรงหน้าประตูเช่นในทุกครั้ง ดวงคมเพียงตวัดมอง เลขาจินก็โค้งตัวและยกรอยยิ้ม
“เลขาจิน เรื่องที่ผมให้ไปตามสืบ”
“รายละเอียดอยู่ในนี้ครับ” เลขาวัยกลางคนเชื้อสายจีน ยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลให้คล้ายรออยู่นานมากแล้ว และเพื่อให้เสร็จภารกิจในวันนี้ มือเหี่ยวย่นตามวัยขยับแว่นเพียงเล็กน้อย ก่อนเดินตามผู้เป็นนายท่านไป
“ปล่อยให้เด็กนั่นไปหาแม่ของเขา ส่วนคุณจินเชิญห้องทำงานผม”
ชวิศเอ่ยสั่งลูกน้องด้านขวามือให้จัดการกับคนที่ยังยืนกอดกล่องไม้ไว้แนบอกข้างกันกับบอดี้การ์ดหญิงสองคนที่เคยสั่งให้ดูแลคนที่เป็นว่าที่คู่หมั้น ดวงตาเรียวรีตกนั้นหม่นหมองอย่างเช่นใครก็รู้สึกได้
ก่อนชวิศจะเหลือบมองเอกสารที่อยู่ในมือ และตัดสินใจไปหมุนตัวขึ้นบันไดด้านบนเพื่อไปห้องทำงาน
เอกสารที่อยู่ในมือก่อนหน้าถูกวางฟาดบนโต๊ะไม้ตรงหน้าอย่างแรง ชวิศตวัดสายตามองเลขาวัยกลางคนที่เพียงแต่ยืนกุมมือและมองปลายเท้าอยู่ด้านหน้าโต๊ะทำงาน ข้อมูลเพียงน้อยนิด ไม่ควรจะนับเป็นผลงานของเลขาฝีมือดีอย่างจินเลยสักนิด
และเพราะแบบนั้นยิ่งทำให้คุณชวิศรู้สึกหงุดหงิด
“สืบให้ละเอียดกว่านี้ คิดว่าข้อมูลแค่นี้ควรส่งให้ฉันดูหรือไง!”
“ขอโทษครับนายท่าน”
ทิ้งตัวลงนั่งกับเก้าอี้พนักพิงก่อนประสานมือและวางเท้าแขนบนโต๊ะ ดวงตาคมกริบทำให้ใครต่อใครต้องเผลอกั้นลมหายใจกำลังมองสบกับดวงตาของเลขาประจำตระกูล แค่เพียงเสี้ยววินาทีก่อนชวิศยกรอยยิ้มมุมปากที่ดูแล้วแสนร้ายกาจ
“มีอะไรที่คุณไม่ยอมบอกผมหรือเปล่าคุณจิน”
“มะ ไม่นะครับคุณชวิศ นั่นคือข้อมูลที่ผมหามาได้จริง ๆ แค่ผมไม่คิดว่าคุณบุษกรจะมีอะไรมากกว่านี้”
“หึ คนแบบคุณไม่น่าจะใช้คำว่า แค่ไม่ได้คิด”
บรรยากาศน่าตรึงเครียดท่ามกลางความเงียบสนิท เลขาจินกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ไม่เคยชินสักครั้งเมื่อต้องรับมือกับทายาทของพิทักษ์ดำรงกุลคนนี้ เหงื่อเม็ดโตไหลผุดตามกรอบใบหน้า เผลอดันแว่นที่ปลายจมูกด้วยความเคยชิน หลบเลี่ยงดวงตาคมไปมองที่ปลายรองเท้าหนังของตนเองแทน
ชวิศแค่นรอยยิ้มกับท่าทางที่ดูมีพิรุธของเลขาคนเก่งของผู้เป็นพ่อ แผ่นหลังกว้างพิงลงพนักพิง ก่อนปลายนิ้วจะเคาะโต๊ะทำงาน เพียงเท่านั้นก็สร้างความกดดันมหาศาล
“นายเหนือหัวชลกรไปไหนซะแล้วล่ะ ไม่รอต้อนรับคู่หมั้นของลูกชายหน่อยหรือไง น้องเบลที่สั่งนักสั่งหนาว่าให้ฉันไปเอาตัวมา”
“นายเหนือหัวต้องบินไปอเมริกาด่วนครับ ปัญหาเรื้อรังที่คุณชวิศก็ทราบดี”
“...”
พ่อของเขาก็แบบนี้ ออกคำสั่ง และปล่อยปัญหาทิ้งไว้เหมือนในทุกครั้ง
สุดท้ายชวิศก็ต้องลงมือจัดการเองทั้งหมด
โยนซองกระดาษและข้อมูลต่าง ๆ ของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคู่หมั้นใส่เลขาประจำตระกูล ก่อนหมุนเก้าอี้กลับหลังไปอย่างไม่คิดจะสนใจถึงคำแก้ตัวของเลขาวัยกลางคนผู้นั้น
“ออกไปได้แล้วคุณจิน หวังว่าผมจะได้ข้อมูลที่ดีกว่านี้!!”
เขาเชื่อสัญชาตญาณตัวเองดี และมันไม่เคยพลาด
ก่อนจะตัดสินใจหยิบโทรศัพท์เครื่องบางไว้ในมือ และกดปุ่มโทรด่วนหาใครบางคน
‘สวัสดีครับนายท่าน’
“อืม” เสียงตอบรับคุ้นหูทำให้ชวิศเพียงส่งเสียงตอบรับในลำคอ
‘มีอะไรให้รับใช้ขอรับ’
ชวิศเพียงยกรอยยิ้มบาง ๆ กับคำทักทายตามประสามือขวาคนสนิทที่พักร้อนยาว ตั้งแต่ตัวเขาแฝงตัวไปฝึกที่ไนจีเรีย และก็ถูกเรียกตัวกลับมาเพื่อเจอกับความวุ่นวาย คำสั่งเดียวจากผู้เป็นพ่อ ที่ชวิศไม่เคยขัด เพราะถูกฝึกให้ทำตามคำสั่งมาตั้งแต่เด็ก
“เลิกเที่ยวและกลับมาได้แล้วมั้งคิณน์”
‘ถ้านายท่านบอกแบบนั้นผมก็จะกลับไปครับ’
“ตามประวัติคนคนนึงให้ฉันที อย่างละเอียด”
ท่าทีของเลขาจินนั้นใช่ว่าชวิศจะไม่สังเกตเห็น เพราะชวิศถูกฝึกมามากความสามารถในการจับสังเกตและฝึกการวิเคราะห์ความคิดฝ่ายตรงข้ามจึงเฉียบคมกว่าใคร และเพราะยิ่งเป็นทายาทของพิทักษ์ดำรงกุล จึงถูกฝึกฝนให้ยิ่งกว่าใคร
นายเหนือหัวชลกรหรือพ่อของเขากำลังเล่นสงครามประสาทกันอีกแล้วหรือไง
นอกจากคำสั่ง สัญญาบ้า ๆ นั่น
แล้วยังคู่หมั้นของเขา บุษกร ที่คงไม่ใช่เพียงเด็กหนุ่มธรรมดาแบบที่ตาเห็น
บุษกรยังคงประคองกอดกล่องที่ใส่ของสำคัญเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตที่เหลืออยู่ ดวงตาเรียวรีแดงก่ำและคลอด้วยน้ำใส เพราะอารมณ์และความรู้สึกมากมาย เหมือนตัวเขาในตอนนี้กำลังจะแตกสลายเพราะความทรงจำตั้งแต่วัยเด็กที่แสนเจ็บปวด
บุษกรไม่เคยลืม ไม่เคยลืมได้แม้เพียงสักวินาที
“ถึงห้องรับรองแล้วค่ะคุณบุษกร”
หลังจากบานประตูห้องรับรองเปิดกว้าง หัวใจของบุษกรก็เต้นรัว เมื่อได้พบร่างของใครบางคน ก่อนร่างเล็กจะพุ่งตัวกอดแม่กานดาแน่น หลับตาก่อนปล่อยให้น้ำตาที่กลั้นมานานได้ไหลเปรอะแก้มใส อย่างแสร้งทำเป็นเข้มแข็งไม่ได้อีกต่อไป
“แม่กานดา!”
“น้องเบล!”
เพราะเขาเสียใครไปไม่ได้อีกต่อไปแล้ว หัวใจที่แตกสลายซ้ำแล้วซ้ำเล่าบุษกรคงรับมันไม่ไหวอีกต่อไป สองแขนกอดร่างของหญิงสาวสูงวัยแน่น ซุกกอดความอบอุ่นเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่
“แม่อยู่ตรงนี้แล้วน้องเบล”
“ฮึก แม่กานดา แม่ครับ…”
กานดากอดร่างเด็กหนุ่มที่เธอแสนรัก มือหยาบกร้านตามวัยลูบแผ่นหลังเล็กที่สั่นเล็กน้อย เพราะความรู้สึกที่หลากหลาย เธอลูบหลังมือของคนที่วิ่งมาซุกตัวและกอดเธอแน่นตั้งแต่วินาทีที่บานประตูห้องรับรองเปิดออก
นานหลายนาที ก่อนร่างเล็ก ๆ ของคนเป็นลูกจะขืนตัวออกและปาดเช็ดน้ำตาอย่างน่าสงสาร เป็นเธอเองที่ต้องเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาจากแก้มใส ก่อนดวงตาเรียวรีที่ฉ่ำน้ำมองสำรวจด้วยแววตาแสนห่วง จนเธอต้องยกรอยยิ้มและลูบหัวกลมอย่างนึกเอ็นดูเด็กน้อยตรงหน้า
“แม่กานดาไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ”
“ไม่เลยจ้ะ เพราะคนของคุณชวิศเขาไปช่วยได้ทัน”
“ลุงจ้อยละครับ”
“ไม่เป็นอะไรเหมือนกัน รายนั้นได้ได้พักห้องข้าง ๆ ป่านนี้คงหลับไปแล้ว”
กานดาเหลือบมองมือน้อยที่มีกล่องของสำคัญที่สุดในมือ กล่องไม้ที่ว่ามีร่องรอยดำที่โดนไฟเผา นั้นคล้ายเป็นหัวใจของเด็กตรงหน้าที่คงถูกทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเป็นครั้งนี้เป็นเธอเองที่รวบกอดเด็กน้อยของเธอแน่น
“แม่ขอโทษที่ปกป้องน้องเบลไม่ได้”
ปกป้องให้หนีห่างจากสิ่งที่เลวร้ายที่กระทบหัวใจดวงน้อยไม่ได้ใน อีกครั้ง
“ไม่ครับ แม่กานดาไม่ต้องขอโทษเลย ในเมื่อจริง ๆ แล้วเป็นเพราะพวกมัน พวกมันทั้งนั้น” บุษกรกำมือของตัวเองแน่น หลากหลายอารมณ์แต่ที่ชัดเจนที่สุดคือความเกลียดชัง
“น้องเบล...”
“…”
“ครั้งนี้มันเกินกว่าที่ผมจะทนไหวนะครับ พวกมันทำเกินไปแล้วแม่บอกเบลได้ไหม พวกมันคือใคร”
ไม่มีเสียงตอบรับใดจากหญิงวัยกลางคน กานดามองคนที่ถอนกอดออกห่าง และดวงตาเรียวรีที่มองสบคล้ายชัดเจนดีในสิ่งที่เบลนั้นรู้สึก เธอเพียงแตะบนมือเรียว หลับตาลงและถอนหายใจแผ่วเบา ใครจะไปเข้าใจความรู้สึกอึดอัดใจได้เท่าตัวเธอในตอนนี้
“น้องเบล...ฟังแม่นะคะ เมื่อถึง...”
“เมื่อถึงเวลาที่สมควรเบลจะรู้เอง แล้วเมื่อไหร่ครับแม่กานดา เบลต้องฟังคำนี้ไปอีกถึงเมื่อไหร่!” น้ำเสียงนั้นดังขึ้นอย่างอดไม่ได้ แต่เมื่อเห็นแววตาที่สะท้อนมองของคนเป็นแม่ บุษกรก็ต้องอ่อนลง เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราพูดถึงเรื่องนี้
“แม่มีเหตุผลนะคะน้องเบล”
กานดาเลือกที่จะบีบมือเรียวและลูบคล้ายปลอบประโลมให้เด็กน้อยของเธอได้ใจเย็นลง แม้สิ่งที่คนพวกนั้นทำ จะเกินขีดจำกัดไปมากแล้วก็ตาม
แต่เพราะเลือกที่จะปกป้อง กานดาจึงเลือกที่จะปิดบัง
นานหลายนาทีที่ต่างคนต่างตกอยู่ในภวังค์ความคิดตัวเอง ก่อนจะเป็นกานดาที่เลือกจะเอ่ยเพื่อทำลายความเงียบ เธอมองคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงกำลังเหม่อมองรูปถ่ายที่เป็นรอยไหม้ และมือยังคงลูบจี้ที่ห้อยคล้องกับสร้อยเส้นเล็ก
“น้องเบล”
“ครับ?”
“น้องเบลต้องเป็นเด็กดีกับคุณชวิศนะลูก”
“…”
“ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้น คุณเขามีบุญคุณกับแม่กับลุงจ้อยมากแค่ไหน ถ้าไม่ได้คนของพิทักษ์ดำรงกุล ป่านนี้...”
“ไม่ครับ! แม่กานดาต้องอยู่กับเบล” ร่างเล็กพุ่งกอดแม่กานดาแน่น
หัวกลม ๆ ส่ายไปมาอย่างไม่ยอมแพ้ ก่อนจะไปนึกถึงคนที่แม่กานดาพูดถึง เจ้าของร่างสูงใหญ่ ท่าทีเย็นชา และน้ำเสียงเข้ม ดูท่าแล้วคงเป็นคนที่เข้าถึงยากไม่ใช่น้อย แบบนั้นบุษกรจึงไม่ได้รู้สึกถูกชะตาเลยสักนิดกับคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นคู่หมั้น
แต่เพราะเสียงแม่กานดาที่เอ่ยย้ำ
“เข้าใจไหมคะ”
จึงตัดใจตอบรับไปอย่างจำยอม
“เบลจะดีกับคุณเขา”
“เก่งมากเด็กดี”
แต่บุษกร ก็แอบไขว้นิ้วอยู่ด้านหลัง
แบบที่แม่กานดาคงไม่มีทางรู้อยู่ดี
“ผมเข้าไปได้ใช่ไหมครับ” ลังเลอยู่เล็กน้อย ดวงเรียวรีช้อนมองอย่างไม่มั่นใจเท่าใดนัก หญิงสาวที่ตอนนี้บุษกรรู้ชื่อแล้วว่าเธอมีชื่อว่า อลิซ กำลังยกรอยยิ้มให้พร้อมมือยังคงเผยไปที่บ้านประตูตรงหน้า
“คุณชวิศอนุญาตแล้วค่ะว่าคุณบุษกรสามารถไปที่ไหนก็ได้ถ้าไม่ได้อยู่ในพื้นที่หวงห้าม”
“ในห้องนอน ก็ไม่ถือว่าเป็นที่หวงห้ามใช่ไหมครับ” หญิงสาวส่ายหน้า
แปลก แต่บุษกรก็ไม่นึกอยากเข้าใจนัก
คนที่หอบเอาความมั่นใจมาเต็มกระเป๋า เริ่มถดถอยลงในทุกวินาที มองควันที่ลอยฉุยเหนือแก้วน้ำชาคาโมมายล์ที่แม่กานดาลากเข้าไปในครัวเพื่อไปชงให้คุณชวิศ แม้เขาจะห้ามและแม่บ้านใหญ่ที่นี่จะออกปากห้ามก็ตาม แต่ก็ไม่มีใครห้ามความใจดีของแม่กานดาได้
เพราะอยากตอบแทนความมีน้ำใจของคุณชวิศที่ยอมช่วยเหลือไว้
และก็เป็นคราวซวยที่บุษกรต้องทำหน้าที่ยกมาเสิร์ฟให้ถึงที่
‘น้องเบลก็ต้องไปขอบคุณ คุณชวิศด้วยเข้าใจไหมคะ’
“แม่กานดานะแม่กานดา” อดไม่ได้ที่พึมพำเมื่อนึกสิ่งที่คนเป็นแม่บอกก่อนอลิซจะเปิดประตูให้ และเธอก็ส่งรอยยิ้มที่บุษกรมองว่าเป็นการให้กำลังใจกันอยู่กลาย ๆ ร่างเล็กสูดหายใจเข้าลึก พร้อมขาเล็กก้าวเข้าไปในห้องนอนของนายท่านคนสำคัญของพิทักษ์ดำรงกุล
“เชิญค่ะคุณบุษกร”
แกร๊ก
ประตูถูกปิดลงเบา ๆ ก่อนห้องนอนกว้างแทบจะเท่าบ้านเรือนไม้ของบุษกรจะปรากฏในสายตา ดวงตาเรียวรีเบิกโตน้อย ๆ แม้จะรู้สึกไม่แปลกใจเท่าไหร่กับความใหญ่โตและเครื่องเรือนที่ดูครบครัน แต่ถึงแบบนั้นก็ห้ามความตื่นตาไม่ได้
เท้าเล็กเดินตรงเข้าไปอย่างเผลอลืม จนไม่ทันได้ดูว่าไปเตะโดนแก้วไวน์ที่วางเกลื่อนบนพื้นจนส่งเสียงดัง ข้างชุดโซฟาที่มุมห้อง หลับตาปี๋อย่างหวาดกลัวจะโดนเสียงเข้มดุอีก แต่ทุกอย่างก็ยังคงนิ่งสนิท จนดวงตาเรียวรีลืมเปิด
“เฮ้อ เกือบไปแล้วไหมละ”
บุษกรถอนหายใจก่อนขยับขวดเครื่องดื่มที่วางระเกะกะ อดคิดไม่ได้ว่าคุณชวิศติดดื่มขนาดนี้เลยหรือ แต่ก็ไม่ได้สนใจมากนัก ดวงตาเรียวรีมองหาที่วางแก้วน้ำชา และก็เตรียมตัวหมุนกลับไปทันที
“…”
แต่กลายเป็นว่า ได้พบกับร่างสูงใหญ่ของใครบางคนยืนพิงกับประตูห้องน้ำ นุ่งเพียงผ้าขนหนูสีขาวผืนเดียว เปลือยท่อนบนให้เห็นกล้ามอกและหน้าท้องที่เป็นลอนสวยเกาะด้วยหยดน้ำ ดวงตาคมกริบจดจ้องมองร่างเล็กที่เบิกตาโตน้อย ๆ คล้ายกับถูกจับได้อยู่แบบนั้น
นานหลายวินาทีก่อนบุษกรจะหาเสียงตัวเองเจอ
“คะ คือ ผมเอาชาคาโมมายล์ที่แม่กานดาชงมาให้ครับ”
“…”
“มันจะช่วยให้คุณหลับสบาย”
และเป็นคนตัวโตที่ยกรอยยิ้มมุมปากเล็กน้อย เมื่อเห็นว่า เหยื่อ เดินเข้ามาติดกับถึงที่ ก่อนใบหน้าหล่อเข้มจะตีนิ่งสนิทแบบเดิม และมือใหญ่กวักเรียกคนที่ยืนทำตัวลีบตรงหน้าชุดโซฟาที่มุมห้อง
“มานี่สิ”
“ครับ?”
“เธอน่ะ มานี่”
บุษกรเผลอกลืนน้ำลายอึกใหญ่ อยากจะวิ่งออกไปซะตอนนี้ แต่ก็คล้ายขาเจ้ากรรมไม่ทำตามคำสั่ง อาจเพราะน้ำเสียงที่กดต่ำนั่น บุษกรไม่ได้กลัวสักเท่าไหร่หรอก แต่เขาก็แค่ไม่อยากจะขัดคนที่อ่านความคิดไม่ออกตรงหน้า
สุดท้ายสองเท้าเล็กก็ก้าวไป ก่อนหยุดยืนตรงหน้าคนตัวยักษ์ ก่อนถูกกระชากอย่างไม่ทันตั้งตัวให้ไปหยุดยืนอยู่ในห้องน้ำ ทำให้ดวงตาเรียวรีเบิกโตอย่างตกใจและหวาดกลัว
“คุณชวิศ!”
บุษกรเอ่ยเสียงดังด้วยความตกใจ พร้อมร่างเล็กช้อนตามองสบกับดวงตาคมที่ดูเจ้าเล่ห์มากกว่าทุกครั้ง ก่อนถอยหลังหนีคนที่ยังขยับตัวมาใกล้จนชนกับเคาน์เตอร์อ่างในห้องน้ำ ตั้งใจจะหลบไปอีกฝั่ง แต่ก็เหมือนโดนอ่านความคิดออก เมื่อท่อนแขนแข็งแรงมาขวางกั้นไว้
อันตราย
บุษกรกำลังรู้สึกว่าตัวเขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายมาก ๆ
“คุณ ปล่อยผมนะ!”
“หึ”
บุษกรสบตาคนที่ระยะลดน้อยลงเพราะท่อนแขนแข็งแรงที่กักตัวเอาไว้ ดวงตาเรียวรีตื่นตระหนกอย่างไม่เข้าใจ และเพราะระยะที่ใกล้จนเกินพอดีทำให้ได้กลิ่นลมหายใจคนตัวโตกว่าที่เจือด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์อย่างชัดเจน
ขวดแอลกฮอล์มากมายทั้งหลายบนโต๊ะหน้าโซฟา
และเพราะแบบนี้แน่ ๆ คุณชวิศถึงกลายเป็นแบบนี้ !
“คุณดื่มเยอะไปแล้วครับ”
“ฉันว่าไม่นะ” มือใหญ่นั่นเปลี่ยนมากำแขนข้างหนึ่งของบุษกรแน่น และแน่นอนว่าคนตัวเล็กไม่ยอมง่าย ๆ พยายามบิดหนีจนเกิดรอยแดง ก่อนรอยยิ้มร้ายกาจปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลา
“คุณชวิศ ปล่อยผม! นี่!”
“เสียงดัง น่ารำคาญ”
“รำคาญก็ปล่อยผมไปสิ”
ใบหน้าของคนที่ส่งเสียงดังนั้นอยู่ไม่ห่างเท่าไหร่ ทำให้ชวิศได้จ้องมองว่าที่คู่หมั้นชัด ๆ ดวงตาเรียวรีนั้นฉายแววตื่นตระหนกเหมือนกระต่ายตื่นตูม จมูกรั้น ริมฝีปากกระจับดูจิ้มลิ้ม และแก้มกลมที่เริ่มขึ้นริ้วแดงตัดผิวขาวจัด อาจเพราะกำลังขัดใจ
และทั้งหมดนั่นก็ทำให้ชวิศประเมินได้ว่าคู่หมั้นของเขาก็หน้าตาไม่ได้ขี้เหร่สักเท่าไหร่ ค่อนไปทางดีซะด้วยซ้ำ อย่างเด็กหนุ่มตรงหน้าคงเรียกได้ว่าเป็นพิมพ์นิยมสมัยนี้เลยก็ว่าได้
“คุณชวิศ ! ปล่อย ผม ครับ” เน้นย้ำแต่ละคำอย่างนักแน่น
“น่ารำคาญจริง ๆ”
“คุณ!”
บุษกรอดไม่ได้ที่จะร้องเสียงหลง แค่เพียงไม่กี่วินาทีที่ไม่ทันตั้งตัว ร่างเล็กกว่าถูกช้อนตัวให้นั่งอยู่บนเคาน์เตอร์ด้านหลัง และเมื่อขยับหนีก็ถูกร่างใหญ่โตแทรกตัวมาตรงกลางและกักไว้ไม่ให้ได้มีทางหนี
“คุณต้องการบ้าอะไรจากผมเนี่ย!”
“คิดว่าหน้าที่คู่หมั้นมีอะไรบ้างละ”
ดวงตาเรียวรีเบิกกว้าง สองมือดันไหล่แกร่งให้ออกห่าง ทั้งที่ใบหน้าหล่อคมที่ดูร้ายกาจนั่นขยับมาใกล้ทุกที จนลมหายใจร้อนแทบเป่ารดแก้มใส
และบุษกรก็อยากจะระเบิดตัวเองตายในตอนนี้จริง ๆ
100 %
#รักร้ายหัวใจสิงห์
Q : ที่ระเบิดตัวตายนี่พวกเราหรือน้องเบลกันแน่ ?
แต่แบบนี้ก็ได้เหรอคุณชวิศ เอาแต่ใจเก่ง ละน้องเบลจะรอดไหม
ให้กำลังใจน้องเยอะ ๆ เลยนะคะ
นี่ด้วยของกำลังใจด้วยจะขยันขันแข็ง ฮึ้บ!
ติดแท็ก #รักร้ายหัวใจสิงห์ และคอมเมนท์ได้เลยจ้า
มาสเตอร์เอง
@master_yp
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

มีความคิดว่าแม่กานดาไม่ใช่แม่แท้ๆของเบลหรือเปล่า แต่เบลเรียกว่าแม่เพราะผูกพันธ์หรือมีกันอยู่แค่นี้ เป็นลูกของคนตระกูลใหญ่ที่ถูกโค่นล้มหรือเปล่า ส่วนคุณชวิศนี่จะให้น้องทำไรง่ะลากเข้าไปห้องน้ำนั่งบนเคาเตอร์ให้น้องโกนหนวดให้หรอ 555555555555555 น้องเบลน่ารักตอนแอบไขว้นิ้วไว้ข้างหลัง