ตอนที่ 1 : บทนำ
ชวิศ แปลว่า ผู้มีไหวพริบเป็นยอด
ใช่ และพ่อคงกำลังทดสอบคุณชวิศ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน โดยการเอาบอดี้การ์ดเกือบยี่สิบคนมารุมล้อมอยู่หน้าบ้าน แถมบรรยากาศที่เป็นใจ เมื่อก้อนเมฆดำมืดในช่วงเย็นนั่นตั้งเค้าพร้อมลมพายุที่เริ่มพัดแรง แต่นั่นแหละคนแบบชวิศเคยกลัวที่ไหน
เพราะสาเหตุที่เขากำลังโดนทดสอบอยู่นี่มันไร้สาระสิ้นดี
เจ้าของร่างสูงใหญ่เกือบร้อยเก้าสิบเซนติเมตร ในเสื้อยืดสีขาวกางเกงยีนส์ขาดเข่าและรองเท้าแตะคู่ใจ ยืนอยู่ท่ามกลางบอดี้การ์ดรูปร่างใหญ่โตในชุดสูทสีดำสนิท เหล่าบอดี้การ์ดในศูนย์ฝึกที่พ่อคัดมาแต่ระดับต้นๆทั้งนั้น แต่ถึงแบบนั้นชวิศก็ยังไม่สะทกสะท้าน สองมือยังคงล้วงกระเป๋าด้วยท่าทีสบาย ๆ
“แกผ่านพวกนี้ไปให้ได้สิ แล้วฉันจะฟังเหตุผลของแก ชวิศ!”
พ่อผู้บังเกิดเกล้าที่เลี้ยงลูกด้วยลำแข้งตะโกนเสียงดังลั่น แข่งกับเสียงท้องฟ้าที่เริ่มคำรามใส่ แต่คนแบบชวิศก็ไม่นึกสะท้านแม้ความเกรี้ยวกราดของผู้เป็นพ่อไม่ได้มีให้เห็นบ่อยนักก็ตาม นายท่านคนสำคัญของตระกูล‘พิทักษ์ดำรงกุล’ยืนอยู่ด้านหลังฝูงบอดี้การ์ดที่ล้อมรอบลูกชายหัวรั้นของตัวเอง
ชวิศไม่ตอบอะไรผู้เป็นพ่อ ร่างสูงใหญ่เริ่มส่งสัญญาณตั้งท่ารับโดยขายาวก้าวถอยไปด้านหลัง สองมือยกขึ้นตั้งการ์ดจนท่อนแขนขึ้นลอนกล้ามเนื้อ แถมยักคิ้ว ก่อนกวักมือให้เริ่มการต่อสู้นี้สักที
“คุณชวิศครับ” บอดี้การ์ดร่างสูงคนสนิทตรงหน้าเอ่ยร้องขอให้ผู้เป็นนายยอมลงให้นายเหนือหัวสักหน่อย เพราะแบบนี้พวกเขาก็ไม่สบายใจ หนึ่งต่อยี่สิบคำนวณยังไงเจ้านายของเขาก็เสียเปรียบ
แม้ประมาทกับฝีมือคุณชวิศไม่ได้เลยก็ตาม
“อย่าออมแรง” เสียงของนายท่านใหญ่ดังขึ้น
“…”
“เพราะถ้าใครออมแรงฉันก็จะไม่ให้ผ่านเหมือนกัน”
สิ้นเสียงของหัวหน้าตระกูล กายสูงของทายาทคนสำคัญก็ปล่อยหมัดพุ่งตรงใส่บอดี้การ์ดคนสนิททันที ไม่มีการออมแรงใด ๆ ทั้งนั้น ทำให้เหล่าชายในชุดสูทดำเตรียมพุ่งตัวเข้าใส่เจ้านายของตน ชวิศตวัดท่อนขาเตะคอคนที่พุ่งตัวมาด้านหลังจนล้มลง ก่อนจะหลบและศอกใส่อีกคนที่พุ่งใส่ด้านหน้า
เพราะจำนวนคู่ต่อสู้ที่มากกว่าหลายเท่าตัวทำให้คุณชวิศพลาดท่าโดนต่อยสวนคืนหลายหมัด แต่ถึงแบบนั้นสิงห์เลือดร้อนก็ยังคงปล่อยทั้งหมัดทั้งศอกใส่คืนอย่างไม่ยอมแพ้
นายเหนือหัวชลกรมองลูกชายที่ถูกรุมยำอยู่กลางวงบอดี้การ์ดที่ตนเองฝึกมากับมือแล้วก็ได้แต่หันหลังหนี ทำเป็นใจแข็งแค่เพียงนาทีก่อนหน้า ก่อนกระซิบบอกลูกน้องอย่าเอาถึงตาย ยังไงมันก็ลูกชายเขาทั้งคน
“เอาแค่ให้มันสลบก็พอ รั้นดีนัก!”
เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง ชวิศใช้สองมือยันตัวไว้ไม่ให้ล้ม หอบหายใจหนักเพราะความเหนื่อยล้าและบาดแผล ก่อนเสียงฟ้าร้องจะดังลั่นและสายฝนสาดลงมาเป็นสาย ความเย็นจากสายฝนทำให้คุณชวิศฮึดสู้อีกครั้ง
ร่างสูงใหญ่ยัดตัวขึ้นยืนแม้โงนเงน ก่อนจะยกเท้าขึ้นสูงเตะเข้ากลางอกลูกน้องที่วิ่งเข้ามาใกล้ พร้อมกับปล่อยหมัดใส่อีกคนทางฝั่งซ้ายมือ หมัดนั้นไม่รวดเร็วแม่นยำเหมือนช่วงแรกเนื่องจากความสะบักสะบอมจากการต่อสู้ที่ไม่มีใครคิดออมแรง สิงห์อย่างชวิศพยายามสู้อีกตั้งตามประสาคนที่ไม่เคยยอมแพ้
แต่ก็เท่านั้นเมื่อโดนหมัดหนัก ๆ จากใครสักคน
ที่คุณชวิศหมายหัวเอาไว้จะเอาคืนให้หมด
ทำให้ร่างสูงใหญ่นั้นล้มลงไปกองกับพื้น
ดวงตาเริ่มพร่าเลื่อน สองมือเริ่มไร้แรง และก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลง
ชวิศได้ยินเสียงผู้เป็นพ่อบังเกิดเกล้านั้นตะโกนย้ำเสียงดัง
“ถ้าพาน้องเบลมาด้วยไม่ได้ ก็ไม่ต้องมาเหยียบที่นี่!”
♥
พายุฝนกลั่นตัวเป็นหยดน้ำไหลตกกระทบพื้นดินจนเฉอะแฉะ ร่างเล็กของใครบางคนที่เปียกปอนด้วยน้ำฝน กอดกระเป๋าแนบอกแม้มีร่มคันเล็กกางกั้นเอาไว้แต่ก็ไม่สามารถสู้พายุฝนนี้ได้เลย บุษกรเลยเปียกโชกไปทั้งตัว
รั้วสีขาวที่เห็นในสายตาทำให้สองช่วงขารีบเดินสับเท้าอย่างรวดเร็ว ว่ากันว่าเวลาตากฝนยิ่งวิ่งจะยิ่งเปียก แต่ไหน ๆ ก็เปียกแล้ว วิ่งเลยก็แล้วกัน ! คิดได้แบบนั้นชายหนุ่มร่างเล็กที่ตัวสั่นงก ๆ เพราะความหนาวก็ออกแรงวิ่งให้ใกล้รั้วบ้านมากยิ่งขึ้น
ก่อนสองขาจะหยุดชะงัก ดวงตาเรียวเบิกโตพร้อมหัวใจที่เต้นรัว
ด้วยความตกใจระคนหวาดกลัว
ร่างใหญ่โตของใครบางคนนอนคว่ำอยู่ที่พื้นติดรั้วหน้าบ้าน บุษกรจะไม่ตกใจเลยสักนิดหากไม่เห็นสีแดงจางที่ไหลเป็นแอ่งน้ำอยู่รอบกายคนนั้น ที่ไม่ต้องบอกก็รู้ได้ในทันทีว่านั่นคือเลือด !
“แม่กานดา! แม่ครับ แม่!!”
เสียงใสร้องเรียกตะโกนลั่น ก่อนเสียงกุกกักจะดังจากในบ้านและเป็นหญิงสาววัยกลางคนรีบวิ่งออกมาพร้อมร่มคันใหญ่ และลุงจ้อยที่วิ่งตามออกมาเช่นเดียวกัน
“บุษกร! แม่บอกแล้วไงคะว่าอย่าตากฝนมาแบบนี้”
“แม่อย่าเพิ่งดุซี่ ดูนี่ก่อน…”
เมื่อผู้ใหญ่ทั้งสองเปิดประตูรั้วได้ก็ได้เห็นชายร่างใหญ่โตที่นอนคว่ำ แม่กานดานั้นแทบลมจับ ส่วนลุงจ้อยก็รีบทรุดตัวไปตะโกนเรียกปลุกเพื่อหวังให้ชายคนนั้นตื่นขึ้นมา และตัวบุษกรเองก็ไปทรุดตัวนั่งข้าง ๆ เช่นเดียวกัน ช่วยลุงพลิกตัวก่อนได้เห็นใบหน้านั้นชัดเจน
“คุณ ๆ”
ชายที่นอนแน่นิ่งนั้นไม่มีทีท่าจะตื่นขึ้นมาสักนิด บุษกรแอบเช็คดูด้วยปลายนิ้วไปอังที่ปลายจมูกโด่งนั่นก็ยังพบว่าหายใจ แตะบนหน้าอกก็ยังสัมผัสได้ถึงแรงเต้นของหัวใจ แม้มีรอยฟกช้ำตามใบหน้าและร่างกายกำยำที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามนี่แต่เท่าที่สังเกตก็ยังไม่เห็นแผลลึกตรงไหนที่ดูอันตราย
“จะทำยังไงดีละครับ”
“ปล่อยทิ้งไว้ตรงนี้แหละลุงจ้อย”
“น้องเบล!”
เสียงแม่กานดาที่ดังอยู่ด้านหลังทำให้บุษกรต้องหันไปยิ้มแหยใส่
“จะปล่อยเขาทิ้งไว้ได้ยังไงคะ”
“แม่กานดา เขาไม่ตายหรอกหน่าดูแล้วก็น่าจะเป็นคนเมามีเรื่องแล้วมาหัวทิ่มหน้าบ้านเรา ตัวก็ใหญ่ตั้งเท่านี้ไม่น่าเป็นอะไรหรอก เชื่อเบลสิครับ”
“แต่แม่ว่าเขาหน้าคุ้น ๆ”
ลุงจ้อยก็พยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วยกับแม่กานดา แต่บุษกรนั้นส่ายหัวอย่างไม่อยากจะเชื่อ คุ้นอะไรกันเบลไม่เห็นจะนึกออก ไม่เคยมีส่วนไหนในสมองจำได้ว่ารู้จักคนตัวยักษ์หนวดเคร้าเฟิ้มขนาดนี้ แถมเราก็เพิ่งจะย้ายมาอยู่ที่นี่ไม่กี่ปี
“จ้อยพาเขาขึ้นบ้าน”
“แม่! เกิดเขาเป็นโจรขึ้นมาละครับ”
“แล้วบ้านเรามีอะไรให้เขาขโมยเหรอคะลูก”
บุษกรแอบทำหน้าบูดใส่ ปากอิ่มเบะคว่ำอย่างนึกขัดใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นัก ไม่ไว้ใจเลยสักนิดแต่ก็ยอมเดินไปช่วยลุงจ้อยกับแม่กานดาพาคนตัวยักษ์ที่ไม่น่าไว้ใจขึ้นบ้านไป แต่ก็อย่างว่าบ้านของเราไม่มีอะไรให้น่าขโมย เป็นบ้านไม้ขนาดเล็กที่แทบไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าสักอย่าง อย่างมากก็พัดลม ถ้าจะขโมยโทรทัศน์ก็อย่าหวัง เพราะไม่มีแม้สักเครื่อง
ถ้าเป็นโจร ก็ถือว่าโชคร้ายไปซะหน่อย ...
จับคนยักษ์ไปบุกบ้านน้องแล้ววว
ฝากคุณชวิศและน้องเบลไว้ด้วยนะคะ
ขอแค่กำลังใจเล็ก ๆ จากคุณคนอ่าน เป็นคอมเม้นหรือแท็ก แล้วจะรีบมาต่อเลยค่า
มาสเตอร์เอง J
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เนื้อเรื่องน่าติดตามมากเลยค่ะ