NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ
  • มีการบรรยายเนื้อหาที่เกี่ยวกับความรุนแรงสูง
  • มีเนื้อหาที่เครียดหรือหดหู่มาก ซึ่งอาจกระทบต่อภาวะทางจิตใจ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ผู้วิเศษแห่งรภัสธวัล

    ลำดับตอนที่ #1 : พ่อมดเฒ่าบนหุบเขา

    • อัปเดตล่าสุด 22 เม.ย. 67


    ปฐมบท

    พ่อมดเฒ่าบนหุบเขา

    ณ หุบเขาสามสีมีเรื่องเล่ากล่าวถึงตำนานพ่อมดเฒ่าบนหุบเขา ชายชราผู้มีเมตตาใจดีราวกับนางฟ้านางสวรรค์ ชาวบ้านในเมืองเล็ก ๆ นามว่า “ทวิคิรี” เล่าขานเรื่องพ่อมดเฒ่าบนหุบเขาไว้ว่า…

    เมื่อยามสงครามระหว่างศาสตรจักรแห่งแสงและกองทัพมืด ชาวคิรีร่วมแรงร่วมใจปกป้องแดนเกิดของตนเองสามวันสามคืนมิยอมรา ราวกับอาทิตย์อัสดงแดนสนธยาเข้าครอบง่ำเมืองทวิคิรี ชาวคิรีไม่เคยติดต่อกับโลกภายนอกเลยจึงทำให้ไม่มีใครกล้าเสี่ยงนำกองทัพมาช่วยพวกเขาจากกองทัพมืดของเจ้าอนธการ

    วันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า นานนับสัปดาห์ที่ชาวคิรีต่อสู้เพื่อปกป้องบ้านเกิดของตัวเอง พวกเขาสวดภาวนาต่อเทพเจ้าทั้งปวงอธิษฐานถึงปาฏิหาริย์ในฝันครั้งแล้วครั้วเล่า แต่ก็ไม่มีเทพองค์ใดจำแลงลงมาช่วยเหลือพวกเขา สุดท้ายแล้วก็ไม่มีกองกำลังใดที่ไม่เหนื่อยล้า

    นักรบคิรีเริ่มท้อแท้พวกเขาศรัทธาในตัวเองและไม่เคยบูชาสักการะทวยเทพองค์ใด แต่มาบัดนี้เขาไม่มีทางเหลือชาวคิรีทุกคนสวดอ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าขอจงนำแสงสว่างมาสู่เมืองทวิคิรี ราวกับพระองค์ทรงตอบรับหลังจากพวกเขาสวดภาวนาเป็นเวลาสามวันสามคืน บังเกิดแสงฉายลงจากฟ้าระหว่างยอดภูเขาแฝด พลังเวทมหาศาลก่อตัวเป็นกำแพงไล่กองทัพมืด พวกมันถูกแสงแผดเผาไม่ต่างกับเนื้อบนตะแกรงย่าง

    ยามแสงลับตาเผยให้เห็นร่างชายชราสูงใหญ่ผอมเพรียวผิวสีซีดเช่นเดียวกับผมงอกที่ขาวเด่น แตกต่างกับดวงตาสีทองสุกสกาวเปล่งประกาย เขาย่างกายสู่พื้นดินชายตามองทั่วบริเวณไร้สิ้นเสียง ชาวคิรีต่างเงียบเพื่อรอผู้ช่วยชีวิตเอ่ยอะไรสักอย่าง

     

    “ไม่มีใครช่วยพวกเจ้าได้นอกจากตัวเจ้าเอง อย่าคาดหวังว่าผู้อื่นจะมาช่วยเจ้าตลอดไป จงสู้เพื่อปกป้องสิ่งที่เจ้ารัก!” 

     

    สิ้นเสียงคำรามของชายชราปริศนากลุ่มแสงสีขาวจะไหลเวียนไปทั่วกายชาวคิรีทุกคน บาดแผลและพละกำลังฟื้นฟูกลับมาราวกับพวกเขาได้กลายเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า กองทัพมืดของเจ้าอนธการต่างสั่นคลอนกับกองทัพที่ฆ่าไม่ได้ พวกเขารบรากันเจ็ดวันเจ็ดคืนแทบไม่พัก จนแล้วจนรอดผู้บัญชาการทัพมืดละความพยายามเขายอมแพ้ต่อเมืองเล็ก ๆ บนหุบเขาแฝดแห่งนี้

    ชัยชนะของชาวคิรีถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์มหาทวีป เมืองที่ไร้ซึ่งทวยเทพคุ้มครองแต่กลับสามารถต้านกองทัพมืดของเจ้าอนธการได้ หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นชาวคิรีก็ไม่เคยเห็นชายชราปริศนาอีกเลย แต่พวกเขาจดจำคำของชายชราปริศนาได้เป็นอย่างดี – ไม่มีใครช่วยพวกเจ้าได้นอกจากตัวเจ้าเองจงสู้เพื่อปกป้องสิ่งที่เจ้ารัก

    พันปีที่เลือนลางผู้คนรู้เพียงมหาทวีปลุกโชนเพราะไฟสงครามศักดิ์สิทธิ์ และได้บันทึกไว้ว่าเหล่าผู้พิทักษ์แสงและผู้เพรียกเงาหายไปพร้อมกันโดยไม่ทราบสาเหตุ เมื่อไร้ซึ่งผู้นำทัพกองกำลังทั้งสองฝ่ายต่างระเห็ดระเหินกันไป เวลาผ่านนานเกินกว่าจะนับได้ดินแดนที่ผุพังก็ถูกเยียวยา

    “ว้าว! จริงหรือท่านปู่ ข้าเองก็อยากเป็นผู้พิทักษ์แสงจะได้ปกป้องพวกเราจากความมืด!” เสียงเด็กชายร้องตะโกนสนุกสนาน เรื่องราวนิทานปรัมปราถึงตำนานในครั้งเก่าเป็นที่นิยมของเด็กน้อยมากจริง ๆ ชายแก่ใจดีผมงอกยาวถักเปียกยาวมองเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู บรรยากาศเมืองชนบทเรียกว่าหมู่บ้านชนบทคงจะถูกกว่า บ้านที่สร้างด้วยอิฐและปูนดูแข็งแรงทนทานขัดกับวิถีใช้ชีวิตของชาวบ้านที่นี่

    “ท่านปู่ ข้าเองก็อยากเป็น/ข้าด้วย ๆ ” เสียงเด็กชายหญิงดังระงมหน้าบ้านของชายชรา ระหว่างที่เขากำลังนั่งคุยเล่นกับเด็กน้อยอยู่นั้น ชายหนุ่มลูกครึ่งนางฟ้าเดินเข้ามาเรียกเขาเข้ามากินข้าวก่อนเพราะตอนนี้ตะวันใกล้ตกดินเต็มที

    “ท่านปู่ฟาฟาเข้ามาทานมื้อเย็นก่อนเถิด ปล่อยพวกตัวดื้อกลับบ้านไปหาพ่อแม่เสียบ้าง” ชายหนุ่มถือสำหรับข้าวที่เต็มไปด้วยข้าวต้มเนื้อกระต่ายหอมสมุนไพรนานาชนิด ชายแก่เห็นดังนั้นจึงบอกให้เด็ก ๆ กลับบ้านอย่างปลอดภัยก่อนที่เขาจะเอ่ยเรียกชายหนุ่ม “มาเถิดโสรยา เรามากินข้าวด้วยกัน”

    ทั้งสองทานมื้อเย็นอย่างเอร็ดอร่อยเป็นภาพที่เห็นได้ประจำในเมืองทวิคิรีแห่งนี้ ระหว่างที่พวกเขากำลังกินข้าวอยู่นั้นท่านปู่ฟาฟาเอ่ยถามโสรยาด้วยความเป็นห่วง “โสรยา เจ้าดูแลข้ามาตั้งแต่เจ้าจำความได้ เหตุใดเผ่านางฟ้าเช่นเจ้าไม่กลับเกาะลอยฟ้าไปเล่า ไม่จำเป็นเลยที่เจ้าจักต้องมาดูแลชายแก่ใกล้ลงโลงเฉกเช่นข้า”

    “ท่านก็ว่าเกินไป เหตุใดเผ่านางฟ้าอันสูงส่งจะรับตัวพันธุ์ทางกาลกิณีเฉกเช่นข้าด้วยเล่า ท่านปู่ฟาฟาเลอะเลือนแล้วจริง ๆ แม้แต่ปีกคู่อันเป็นเอกลักษณ์ของเผ่านางฟ้าข้ายังไม่มีมันด้วยซ้ำ” โสรยากล่าวเสียงเรียบคล้ายกับเล่าว่าวันนี้กินข้าวกับอะไร ไม่มีความโศกเศร้าน้อยเนื้อต่ำใจแต่อย่างใด มือขาวเรียวพลางตักข้าวต้มเพิ่มให้กับชายชราตรงหน้า

    “แม้เจ้าจะไม่มีปีกไว้บินแต่มันก็ไม่ได้ทำให้เจ้าต้อยต่ำลง อีกอย่างเจ้าก็ควรออกไปเผชิญโลกภายนอกบ้างนะโสรยา มิใช่คอยดูแลข้าเพียงอย่างเดียว ปีนี้เจ้าก็อายุครบยี่สิบห้าปีแล้วหากเป็นคนอื่นคงมีครอบครัวบุตรหลานเต็มบ้านเต็มเมือง” ปู่ฟาฟากล่าวอย่างปลงตกเขาเบื่อกับนิสัยละทางโลกของโสรยา ไม่มีสิ่งไหนเลยดึงดูดใจชายหนุ่มได้เลย เขาปราถนาเพียงใช้ชีวิตอยู่บนหุบเขาอย่างสงบสุข

    “ตามจริงข้าก็อยากจะเป็นผู้วิเศษอย่างเหล่าจอมเวทดูบ้างนะตาเฒ่า ฮา ๆ ” โสรยากล่าวตลกขบขันไม่จริงจัง ชายหนุ่มไม่ทันสังเกตแววตาเปล่งประกายของชายแก่ หลังจากพวกเขากินข้าวเสร็จโสรยาก็ออกไปทำความสะอาดบ้านล้างจานเหมือนทุกวัน

    ระหว่างที่โสรยากำลังทำกิจวัตรประจำวันเสียงชายแก่คนเดียวในบ้านพลันดังขึ้น “หากเจ้าต้องการเป็นจอมเวทข้าสามารถสอนเจ้าได้นะ” ปู่ฟาฟานอนเอนหลังบนเปลหลังบ้านอย่างสบายใจ โสรยาที่ได้ยินหยุดชะงักก่อนจะเอ่ยถามขำ ๆ “ตาเฒ่า ท่านแก่มากแล้วจริง ๆ ”

    “เจ้านกน้อย! เห็นแบบนี้ข้าก็เป็นจอมเวทเหมือนกันนะ” ปู่ฟาฟากล่าวอย่างภูมิใจจนโสรยาอดหมั่นไส้เดินมาผลักเปลจนเกือบทำให้ชายแก่ล้มหัวคะมำ แต่ขณะนั้นเองปรากฏแสงสีขาวรอบตัวชายแก่ก่อนจะหลอมรวมกันเป็นทรงกลมแปรเปลี่ยนเป็นไฟ

    “แล้วตอนนี้เจ้าเชื่อข้าหรือยังเด็กน้อย” เปลวเพลิงสีแดงลอยอยู่บนฝ่ามือของชายแก่

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×