กสิพงศ์ วงศ์ระพี - กสิพงศ์ วงศ์ระพี นิยาย กสิพงศ์ วงศ์ระพี : Dek-D.com - Writer

    กสิพงศ์ วงศ์ระพี

    ...ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมานั้น มันมืดมนและหลั่งรินเหมือนสายน้ำตาของเขาและเธอ เวลานี้เขาไม่แน่ใจนัก ว่าระหว่างเธอกับเขาใครกันแน่ที่ตัวเขาควรจะสงสาร...

    ผู้เข้าชมรวม

    66

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    4

    ผู้เข้าชมรวม


    66

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักดราม่า
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  31 ม.ค. 66 / 16:59 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    เขาชื่อกสิพงศ์

    _______________________ปี 2540

    หลังจบ ม. 6 กสิพงศ์เลือกเรียนต่อ ปวส.สาขาพืชศาสตร์ ที่วิทยาลัยเกษตรประจำจังหวัด ด้วยความใฝ่ฝันว่าอยากเป็นเกษตรอำเภอ พงศ์…คือชื่อเล่นของเขา พงศ์เป็นลูกคนสุดท้องของครอบครัวชาวไร่ เขามีพี่ๆอีกสองคน พี่คนโตเป็นชายชื่อทิดสักแต่งงานกับสาวบ้านเดียวกันเมื่อปีกลาย ส่วนคนกลางเป็นหญิงชื่อรัตนา พอจบ ม. 6 ก็หอบกระเป๋าขึ้นรถผ้าป่า ไปเป็นสาวโรงงานย่านบางพลี รัตนาส่งเงินมาให้ที่บ้านทุกเดือนไม่เคยขาด ส่วนพ่อกับแม่สุขภาพไม่ดีนัก แต่ก็พอมีแรงช่วยพี่ชายคนโตดูแลไร่ข้าวโพดกับไร่มันสำปะหลังของที่บ้านได้บ้างเล็กๆน้อยๆ ครอบครัวพงศ์แม้จะไม่ได้ร่ำรวย แต่ก็ใช่จะยากจน พวกเขามีชีวิตที่ปกติเหมือนคนบ้านนอกทั่วไป…เป็นชีวิตประชาชนคนธรรมดาในประเทศที่ผู้คนชอบคิดว่า อาชีพเกษตรกรมันลำบากยากจน…และเขาก็คิดเช่นนั้น

    'เพื่อนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้ไปพัฒนาการเกษตรที่บ้าน’ เขาเขียนมันลงในบรรทัด ‘เหตุผลที่เลือกเรียนเกษตร’ ในวันที่กรอกใบสมัคร

    ในวิทยาลัยพงศ์ดูจะสนิทสนมกับวงศ์ระพีหรือพีมากกว่าใคร ทั้งสองรู้จักกันในวันปฐมนิเทศ วันนั้นพีเขาเป็นพี่เลี้ยงจำเป็นของพงศ์ แม้จะถูกอาจารย์สั่งมาอีกที แต่พีก็ทำมันด้วยความเต็มใจ วันนั้นพงศ์เขาดูไม่ต่างจากบ้านนอกเข้ากรุง แม้จะโตพอควรแล้ว แต่บางทีการปรับตัวให้เข้ากับสถานที่ ผู้คนและเรื่องราวใหม่ๆเขายังต้องใช้เวลา อาจารย์ผู้ดูแลหอพักจัดให้พงศ์กับพีพักอยู่ห้องเดียวกัน รวมกับเพื่อนอีกสองคนเป็นสี่คน ที่นี่เรียกกันว่า'หอใน' เด็กปีหนึ่งทุกคนต้องอยู่อาศัยหลับนอนที่นี่ ขึ้นปีสองจึงจะสามารถเดินทางไปกลับหรือออกไปเช่าหอพักเอกชนอยู่ตามลำพังได้ ตัวหอพักเป็นชั้นเดียว สร้างอย่างง่ายๆ ในห้องมีเตียงสองชั้นสองชุด มีราวแขวนผ้า มีโต๊ะเก้าอี้ไม้สำหรับทำการบ้านหนึ่งชุด หลังห้องเป็นลานอาบน้ำกลางแจ้ง และห้องน้ำรวมเรียงไปเป็นตับ ถัดไปด้านหลังเป็นราวตากและรั้วสังกะสีสีเขียว หอในมีกฏระเบียบที่เคร่งครัด มีกิจกรรมลงแปลง หรือลงฟาร์มให้นักศึกษาทำทุกเช้าเย็น ถือเป็นงานหนักสำหรับคนที่ไม่เคยทำงานเกษตรมาก่อน ผ่านไปไม่ถึงเดือน หลายคนก็ท้อจนต้องย้ายที่เรียน บางคนก็ถึงกับหนีกลับบ้านเลยก็หลายคน

    'เรียนฟรี อยู่ประจำ ทำโครงการ' คือคอนเซ็ปต์ที่เขียนไว้ตรงป้ายหน้าหอ

    พี..มีบ้านอยู่ในเมืองทุกคนในบ้านรับราชการเกือบทั้งหมด ทั้งพ่อแม่และพี่ชาย เหลือเพียงเขาและน้องสาวเท่านั้นที่กำลังเรียนอยู่ นอกจากรับราชการแล้วครอบครัวพียังมีธุรกิจให้เช่าอาคารพานิชย์ ซึ่งเป็นมรดกจากอากงตาของพี แม่พีเป็นลูกคนจีนที่ไม่ชอบการค้าขาย แต่ชอบงานราชการ ส่วนพ่อเป็นลูกชาวนา แต่ไม่ชอบทำนา ทั้งคู่จึงมาเป็นข้าราชการสายปกครองมีที่ทำงานอยู่ที่ศาลากลางจังหวัด ส่วนพลพี่ชายเขาสอบบรรจุได้อยู่เทศบาลต่างจังหวัด นานๆทีจึงจะได้กลับบ้าน ส่วนน้องสาวที่ชื่อแพรกำลังเรียนอยู่ชั้นม.ต้น โรงเรียนมีชื่อแห่งหนึ่งในจังหวัด

    พีดื้อมาเรียนวิทยาลัยเกษตรฯแห่งนี้ตั้งแต่จบม.3 จากโรงเรียนประจำจังหวัด ท่ามกลางเสียงคัดค้านของคนรอบข้าง แม้พ่อแม่จะห่วงเขาเพียงใด แต่ทั้งสองท่านก็ไม่สามารถบังคับใจลูกได้ เพราะวันนั้นไม่มีใครเชื่อว่า คนที่ท่าทางดูเป็นลูกคุณหนูอย่างเขาจะทนงานเกษตรไหว แต่เขาก็สามารถพิสูจน์ตัวเองจนกระทั่งผ่านมาได้ด้วยดี แม้บ่อยครั้งที่เขาต้องเสียน้ำตาไปกับงานปฏิบัติที่ทั้งหนักและสกปรก บ่อยครั้งที่พีท้อแต่เขาก็ไม่เคยถอย พีเคยตอบคำถามเพื่อนๆที่ถามเขาว่าทำไมคนอย่างเขาถึงหลงมาเรียนสายนี้ได้ว่า “เราก็รู้นะว่ามันหนัก...แต่เราชอบแบบฟาร์มโชคชัย เราฝันอยากมีแบบนั้น” เขาตอบด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่นและมีความหวัง แดดยามเช้าตกกระทบใบหน้าที่ขาวสะอาดของพี จนเห็นชัดว่ามันเริ่มแดงเพราะแรงแดด พลางใช้หมวกสานพัดไล่ความร้อน

    “ขอให้นายมีอย่างนั้น มีแล้วอย่าลืมเรานะเว้ย…เราจะไปสมัครเป็นผู้จัดการ” เพื่อนพูดทีเล่นทีจริง

    “ได้ซิเพื่อน…พนักงานรีดนมน่าจะเหมาะกับนายนะ” มันเรียกเสียงฮาได้เหมือนพูดเอาตลก แต่สำหรับพีแล้วเขาเอาจริง

    "มึงรีดยังงี้ใช่ม่ะ..คิมูจี คิมูจี อิคึอิคึ" เพื่อนคนนึงทำท่าทะเล้นล้อเลียน จนคนที่ถูกล้อต้องลุกขึ้น กระโดดเตะโหย่งๆ รอบกองหญ้าที่พึ่งถูกคราดมากองรวมไว้ เสียงเฮลั่นทำเอาอาจารย์มองมาอย่างสงสัย

    “เฮ้ยยย พวกมึงทำงานได้แล้ว มัวเล่นกันอยู่ได้” อาจารย์ตะโกนมาพร้อมกับชี้นิ้วมาที่กลุ่มเขา มันทำให้ทุกคนต้องรีบจับอุปกรณ์ทำท่าทำาทางอย่างแข็งขัน

    ภาพฟาร์มโชคชัยที่พีเคยไปทัศนะศึกษาตอน ม.3 ยังคงแจ่มชัดในใจไม่เลือนหาย เพราะความฝันนั้นพีจึงได้เรียนปวช.เกษตรศาสตร์ และความฝันนั้นมันยังพาเขามาจนถึงปวส. สาขาสัตวศาสตร์ในวันนี้

    ด้วยเรื่องการเรียน และความที่บ้านพงศ์อยู่ต่างอำเภอ พงศ์จึงไม่ค่อยได้กลับบ้าน เวลาของพงศ์ส่วนใหญ่จึงอยู่ที่วิทยาลัยและหอพัก แรกๆที่รู้จักกัน ช่วงวันหยุดพีมักชวนพงศ์ไปเล่นที่บ้าน แต่ช่วงหลังพ่อแม่ของพีมักจะเป็นฝ่ายชวนเขามามากกว่า เพราะพงศ์เป็นคนขยันว่าง่ายไม่เกี่ยงงาน พ่อแม่พีจึงไหว้วานขอให้เขาเป็นลูกมือช่วยงานในบ้านได้เสมอ และเขาเองก็ยินดีช่วยสุดกำลัง ความขยันของพงศ์มันทำให้พีต้องขยันตามไปด้วย ข้อนี้มันทำให้แม่พีชอบใจเป็นพิเศษ

    อีกเหตุหนึ่งที่พงศ์ชอบมาบ้านนี้ เพราะเขาจะได้อ่านหนังสือเตรียมสอบราชการ ที่พี่ชายของพีจัดเรียงไว้อย่างดี เจ้าของหนังสือเหล่านี้กลายเป็นไอดอลของพงศ์ แม้เขาจะไม่เคยเจอเจ้าของตัวจริงเลยสักครั้ง..ทุกครั้งที่ว่างพงศ์จะตั้งใจอ่านมันด้วยความหวัง

    วันคืนผ่านไปพร้อมกับความสนิทกันมากขึ้นของคนทั้งสอง ชีวิตนักศึกษาปวส. มีเวลาแค่สองปี วันเวลามันจึงดูรวดเร็วหากอยู่กับมันอย่างมีความสุข ชีวิตปีหนึ่งกำลังจะผ่านไป ปิดเทอมใหญ่ครั้งนี้มาพร้อมกับการฝึกงาน พงศ์เลือกฝึกที่ศูนย์วิจัยพืชสวนของจังหวัด ส่วนพีเลือกฝึกที่ฟาร์มโชคชัยที่เขาคิดถึง จากนี้ไปเป็นเวลาสามเดือนเต็ม ที่ทุกคนจะต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์และออกเผชิญโลก โลกแห่งความเป็นจริงด้วยตนเอง

    หลังฝึกงานจบหลักสูตร พงศ์มีเวลากลับบ้านหนึ่งสัปดาห์ ก่อนที่จะกลับมาวิทยาลัยเพื่อเริ่มเรียนตามปกติ สัปดาห์แรกของปีสองเทอมหนึ่งผ่านไปไวเช่นเคย ศุกร์นี้เป็นอีกวันที่เขากลับบ้านพร้อมกับพี หลังจากที่หายหน้าไปหลายเดือน

    เสียงออดดังขึ้นอีกครั้ง แต่พีเจ้าของบ้านก็ยังคงจดจ่อกับจอเกม พงศ์จำต้องวางหนังสือ แล้วรีบลุกออกไปเปิดประตูที่หน้าบ้าน

    “พี่พีอยู่ไหม” เธอในชุดนักเรียนม.ปลาย รวบผมเรียบร้อยเอ่ยถามชายผู้เปิดประตูให้ พงศ์ตอบด้วยการพยักหน้า ผู้มาเยือนรีบเดินเข้ามาอย่างคุ้นเคย พงศ์ต้องเป็นฝ่ายเดินตามเธอด้วยท่าทางสนใจ

    “พี่พีน้องเหมียวไม่สบาย” หญิงสาวหน้าเศร้าพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนกำลังจะร้องไห้ ในอ้อมแขนเธอประคองกล่องสีน้ำตาลไว้อย่างถนอม พีมองมาที่เธอทำสีหน้างงๆ ก่อนจะผละจากหน้าจอ แล้วเดินออกมาหาเธอตรงประตูห้อง พีก้มลงมองที่กล่องใบนั้น เห็นแมวสีส้มนอนเหยียด ตาเหลือกค้างลมหายใจแผ่วเบา “พี่พีช่วยเจ้าส้มหน่อยได้ไหม” เธอพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน

    “ได้ซี…อาจารย์หมอที่สอนพี่เขาเก่งมากเลยนะ รับรองได้” พีบอกอย่างมั่นใจ มันพลอยทำให้เธอคลายกังวลลงไปมาก เขารีบวิ่งไปหยิบกุญแจรถกระบะ ชวนคนทั้งสองขึ้นรถ แล้วสตาร์ทเครื่องออกไปจากโรงรถด้วยความระมัดระวัง พีเป็นคนขับ คนที่นั่งเบาะหน้าข้างพีคือเธอคนนั้น ส่วนคนที่นั่งเบาะด้านหลังคือพงศ์ สองมือเขาคอยประคองกล่องใบนั้นไว้บนตัก พงศ์สังเกตเห็นเธอคนนั้นเหลียวมองมาที่กล่องใบนี้อยู่บ่อยๆ และเขาก็แอบสบสายตาคู่นั้นอยู่เสมอ เธอคงจะรักแมวตัวนี้มาก พงศ์ก็รู้สึกสงสารเธอไม่ต่างกัน

    ‘พิมพ์..พิมพร’ พงศ์ทวนชื่อเธออยู่ในใจเมื่อได้ยินคนทั้งสองพูดคุยกันกับเห็นชื่อที่ปักบนเสื้อ เขาสังเกตน้ำเสียงดูแล้ว พีและเธอคงไม่ใช่แฟนกัน…พงศ์ยิ้มให้ตัวเอง และแอบมองตาเธออีกหลายครั้ง

    เย็นวันศุกร์แบบนี้รถมักติดหนัก กว่าที่ทั้งสี่ชีวิตจะถึงวิทยาลัยเวลาก็โพล่เผล้ โชคดีที่อาจารย์หมอยังไม่กลับ 

    “อาจารย์จะพยายามนะ” อาจารย์หมอบอกก่อนจะถอนหายใจเฮือก

    อาจารย์หมอคือสัตวแพทย์ ที่สอนเรื่องโรคและการรักษาสัตว์ กล่องใบนั้นถูกอุ้มเข้าห้องแล็บ ตรงนี้นอกจากจะมีอาจารย์หมอและกลุ่มของพงศ์แล้ว ยังมีรุ่นพี่อีกกลุ่มกำลังทำงานวิจัยในอีกส่วนของห้อง มันช่วยให้บรรยากาศในห้องไม่วังเวงจนเกินไป

    แม้จะเป็นวิทยาลัยเดียวกันแต่สำหรับพงศ์เขากลับไม่คุ้นเคยกับสถานที่แถวนี้เลย คงเพราะไม่ใช่คณะที่เขาเคยไปเรียนอยู่เป็นประจำ นาฬิกาบอกเวลาใกล้สามทุ่ม รุ่นพี่ที่ทำงานวิจัยทยอยกลับกันจนหมด ในห้องมีเพียงพีคนเดียวที่พอจะช่วยอาจารย์หมอหยิบจับอะไรได้บ้าง พงศ์เห็นสีหน้าอาจารย์หมอแล้ว ก็รู้ว่าแมวคงอาการหนักเอาเรื่องอยู่ 

    “ไม่ไหวว่ะพี” อาจารย์หมอบอกก่อนที่พงศ์จะเดินหลบออกมาจากห้อง ตรงระเบียงสายลมพัดมาสัมผัสผิว จนพงศ์รู้สึกหนาวแปลกๆ ดูบรรยากาศในห้องแล้วเขาไม่อยากเดาเหตุการณ์อีกต่อไป...แต่แล้วสิ่งที่เขาไม่อยากเดาก็เกิดเป็นอย่างนั้น

    ขากลับบรรยากาศในรถเงียบกว่าขามา พงศ์ได้รับหน้าที่เดิม ผิดกันตรงร่างแมวในกล่องเริ่มแข็งทื่อ ส่วนพิมพ์นั่งนิ่งเหมือนคนเหนื่อยมาทั้งวัน มีเพียงคำปลอบใจจากพีที่ดังแทรกความเงียบไม่กี่คำ

    กระทั่งรถมาหยุดตรงหน้าบ้านหลังหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้านพักข้าราชการ พงศ์อุ้มกล่องลงไปส่งให้เธอ “ขอบคุณมาก ๆนะพี่พี...พี่พงศ์” เธอยิ้มให้เขาทั้งคู่ทั้งที่ตายังเปียกชุ่ม ก่อนจะพากล่องใบนั้นเดินเข้าบ้านไป

    พงศ์ดีใจที่เธอจำชื่อเขาได้ เช่นกันกับเขาที่ยังจดจำชื่อ ใบหน้าและแววตาเศร้าคู่นั้นได้เสมอ ไม่ยากนักสำหรับชายหนุ่มหากเขาอยากจะเจอหญิงสาวผู้เป็นรักแรกพบอีกสักครั้ง ในเมื่อชื่อที่อยู่และโรงเรียนของเธอ เขาจำได้ขึ้นใจยิ่งกว่าสูตรปุ๋ยที่อาจารย์บังคับให้ท่อง

    พิมพ์...เธอกำลังเรียนอยู่ชั้นม.6 โรงเรียนประจำจังหวัด โรงเรียนเดียวกันกับที่พีเคยเรียน พ่อแม่ของเธอเป็นข้าราชการเพิ่งย้ายมาจากต่างจังหวัดเมื่อต้นปี ไม่นานนักครอบครัวของเธอและครอบครัวของพีก็สนิทสนมกัน ที่สำคัญเธอเป็นลูกสาวที่ยังเหลืออยู่เพียงคนเดียวของบ้านนั้น เพราะเธอเคยมีพี่สาวแต่เธอกลับจากทุกคนไปด้วยอุบัติเหตุเมื่อหลายปีก่อน

    แสงแดดยามเย็นสาดทาทิวต้นยางนาประดุจเป็นต้นไม้สีทอง เสียงนกกาเหว่าแว่วมาตามสายลม เป็นเวลาที่พงศ์และเพื่อนๆกำลังขะมักเขม้นกับการรดน้ำผักในแปลงรับผิดชอบของตนเองให้แล้วเสร็จ ก่อนที่ฟ้าจะมืดมนจนมองอะไรไม่เห็น

    “พงศ์เรามีเรื่องจะคุยกับนายหน่อย” เสียงคุ้นหูของคนที่คุ้นเคย ดังมาจากข้างหลัง พียืนอยู่ตรงนั้นใบหน้าเขากระทบแสงแดดอ่อนๆตอนเย็น สีหน้าที่ดูจริงจังมันยิ่งทำให้พงศ์รู้สึกอึดอัดใจ เขานิ่งอยู่นานกว่าจะพูดออกมา“พงศ์…มึงเป็นเพื่อนกูนะทำไมกูจะไม่รู้ว่ามึงกำลังคิด กำลังทำอะไรอยู่” สรรพนามเปลี่ยนไป ทำให้พงศ์กังวลใจยิ่งขึ้น ใจเขาอยากจะสวนกลับไปแบบขำๆหวังให้บรรยากาศคลายลง แต่ก็ต้องล้มเลิกความคิด

    “กูว่าจะไม่พูดหรอก กูว่าจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แต่มึงไม่รอบคอบ มึงอย่าลืมซีพิมพ์น่ะ ลูกสาวใคร…ใครรู้จักน้องเค้าบาง….” พีจงใจเว้นจังหวะ

    “เมื่อวาน..พ่อกับแม่กูเห็นมึงกับน้องพิมพ์เดินจับมือกันแถวหน้าตลาด”

    พงศ์ เขาคิดถูกที่ทำตัวเป็นผู้ฟังอย่างเดียว เขารู้สึกอายและรู้สึกผิดในเวลาเดียวกัน

    “กูแค่มาเตือนมึง ทำอะไรให้มันพองาม…กูไม่ว่าอะไรมึงหรอก แต่พ่อแม่กูเขาซีเรียส” พียิ้มแหยะๆ ก่อนจะเดินกลับไป พงศ์รู้สึกหนักใจจนต้องวางบัวรดน้ำลงบนพื้นอย่างเชื่องช้าคล้ายคนกำลังจะหมดแรง เขารู้ดีว่าพีหวังดีกับเขาเสมอ จริงอย่างมันว่าเขาทำอะไรตามหัวใจตัวเองเกินไป ความไม่รอบคอบของเขา พาลจะทำให้คนรักของตนต้องตกอยู่ในสถานะที่ลำบาก เสียงเพลงลูกทุ่งอกหักดังแว่วมาจากป้อมยาม บรรยายเรื่องราวของดอกฟ้ากับหมาวัด ยิ่งทำให้เขารู้สึกเกลียดตัวเองและลุงยามผู้เปิดเพลงหนักขึ้น

    เข้าสู่หน้าฝนอย่างเต็มตัว ผลการสอบแข่งขันทั้งทฤษฎีและสัมภาษณ์ เพื่อคัดเลือกผู้ที่เหมาะสมไปฝึกประสบการณ์ด้านการเกษตรแบบทวิภาคีที่ประเทศญี่ปุ่นออกมาแล้ว ทุกคนลุ้นว่าใครจะมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ มีเพียงสามคนเท่านั้นที่จะได้สิทธิ์นี้ และผลที่ออกมามันทำให้พงศ์แทบกระโดดเต้นอยู่ตรงนั้น เพราะชื่อกสิพงศ์ติดหนึ่งในสามคน ต่อจากนี้สี่เดือนเขาต้องพร้อมทุกด้าน ทั้งภาษา วัฒนธรรม ความพร้อมของร่างกาย และเอกสารหลักฐาน และจะเป็นหนึ่งปีเต็มที่เขากับคนรักต้องห่างกัน เวลานั้นพิมพ์คงจะไปเรียนต่อที่กรุงเทพแล้ว พงศ์รู้สึกสับสน เขารู้สึกสมหวังและผิดหวังในเวลาเดียวกัน…

    พิมพรไม่เจอหน้าพงศ์จะเป็นเดือน เธอรู้ข่าวจากพีว่าเขาสอบได้ทุนไปญี่ปุ่น และเขาต้องเตรียมตัวอย่างหนัก คงไม่มีเวลานัดเจอกันเหมือนเมื่อก่อน พิมพรเข้าใจและอยากให้เวลากับเขา ในขณะที่เพื่อนๆกลับรบเร้าให้เธอเป็นฝ่ายไปหาเขาเอง เธออิดออดว่าคงไม่ดี เพราะตัวเป็นผู้หญิง…แต่อีกใจหนึ่งเธอก็คิดถึงเขามากเกินจะทน 

    หลังเลิกเรียนของวันนั้น สายลมฝนต้นฤดูพัดมาจากไกลๆ ในสระ…ใบและดอกบัวลู่ปลิวไปเป็นคลื่น บนถนนพงศ์จูงจักรยานเดินเคียงมากับพิมพ์ ข้างล่างฝั่งหนึ่งเป็นฝายและบ่อของแผนกประมง ตรงนั้นมีเพื่อนๆของเขากำลังลงงานฟาร์มกันอยู่กลางบ่อ เสียงแซวแว่วขึ้นมา แต่ฟังไม่เป็นความ พงศ์ชี้ชวนพิมพ์ให้ดูอย่างขบขัน นานเกือบเดือนที่ทั้งคู่ไม่ได้เจอกัน เขาและเธอมีเรื่องเล่าสู่กันฟังมากมาย

    “ยินดีด้วยนะ” เธอส่งยิ้มบอกเขา พงศ์ยิ้มให้แทนคำขอบคุณ

    “ช่วงนี้ยุ่งหลายเรื่องเลย” พงศ์สารภาพตามความจริง ใจเขายังรู้สึกหนักใจกับวิชาภาษาญี่ปุ่นที่กำลังจะทดสอบ

    “วันขึ้นเครื่อง…พิมพ์คงไม่ได้ไปส่ง”

    แม้จะเป็นไปตามคาด แต่พงศ์ก็อดรู้สึกผิดหวังไม่ได้ นับจากนี้ไปคงหาโอกาสเจอกันยากกว่านี้มาก เพราะเขาต้องติวหนักขึ้นทุกวัน ทั้งด้านวินัยและวิชาการ ส่วนเธอก็คงยุ่งกับเรื่องสอบเข้ามหาวิทยาลัย พงศ์พาเธอไปดูผักที่เขาปลูกในแปลงทดลอง ข้างๆกันนั้นมีแปลงไม้ดอกเมืองหนาวกำลังประชันช่อดอกแลงามอร่ามตา สองข้างทางคือทิวแถวต้นมะพร้าวสูงชะลูด จักรยานนำพาทั้งคู่สู่ฟาร์มโคนมที่พีมักจะมาคลุกคลีได้ทั้งวัน ฝั่งตรงข้ามเป็นคอกควายนมและแพะแกะ  ข้างหน้านั้นคือทุ่งหญ้ากว้างสุดลูกหูลูกตา มองไปเห็นหมู่เมฆสีเข้มลอยคล้อยต่ำใกล้เข้ามาทุกที

    “ฝนจะตกแล้ว…พิมพ์คงต้องกลับแล้วล่ะ”

    “เดี๋ยวพี่ไปส่ง”

    ไม่ทันไร ฝนก็เริ่มโปรยเม็ด หญิงสาวเดินกางร่มอยู่ฝั่งหนึ่งของถนน ส่วนชายหนุ่มเดินจูงจักรยานตากฝนอยู่อีกฝั่ง เธอรู้สึกเป็นห่วง แม้จะรู้สึกตลกเมื่อเห็นเขาเปียกปอนอย่างนั้น พงศ์หันมายิ้มและสบตากับเธออีกครั้งก่อนที่เขาจะปล่อยให้เธอเดินต่อไปเพียงลำพังจนลับสายตา...มันทำให้เขาต้องเข้าเรียนพิเศษสาย เป็นวิชาภาคสนามเสียด้วย “ไปไหนมา..กสิพงศ์” ครูฝึกถามเขา พงศ์อ้ำอึ้งในขณะที่เนื้อตัวเปียกโชก นอกจากจะถูกทำทัณฑ์บนแล้ว พงศ์ยังต้องถูกลงโทษด้วยท่าฝึกแสนโหดที่ทุกคนเรียกว่าท่าเตรียม ยังดีที่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาทำผิดระเบียบ แม้จะเหลือโอกาสอีกสองครั้ง แต่เขาคงจะไม่ทำผิดอีกหน “ใกล้จะได้บินแล้ว คุณอย่าทำตัวมีปัญหา...พวกคุณด้วย” ครูฝึกเตือนเขาและเพื่อนน้ำเสียงเข้มแข็ง..พงศ์รู้สึกเข็ดขยาดเมื่อนึกถึงวันพรุ่งนี้ วันที่ร่างกายเขาจะต้องปวดระบมไปทั้งตัว

    พิธีอำลาจัดขึ้นที่หน้าเสาธง วันนี้พงศ์และเพื่อนอีกสองคนเป็นพระเอก ผอ. อาจารย์และเพื่อนๆ ต่างทยอยขึ้นกล่าวคำชื่นชมยินดีพร้อมมอบช่อดอกไม้และของขวัญ เสียงปรบมือดังกึกก้องทั้งสนาม เขาและเพื่อนยิ้มอย่างภาคภูมิใจ นี่เป็นแค่ผลเพียงเล็กน้อยที่เขาจะได้รับจากความสำเร็จในครั้งนี้ ต่อเมื่อเขากลับมาแล้ว มันจะกลายเป็นใบเบิกทางอย่างดีในการก้าวเข้าสู่เส้นทางข้าราชการที่เขาหวัง…ตีสองคือเวลาขึ้นเครื่องของพงศ์ แต่สี่ทุ่มทุกคนต้องพร้อมกันที่จุดนัดรวมพลในวิทยาลัย

    งานเลี้ยงส่งพงศ์ มีอีกครั้งในช่วงค่ำ รอบนี้มีเฉพาะแม่ พี่ชายพี่สะใภ้ที่กำลังท้อง และเพื่อนๆที่สนิท ร้านนี้เป็นร้านประจำที่กลุ่มนี้มากินจนสนิทกับเจ๊เจ้าของร้าน แต่ครั้งนี้พวกเขาไม่ต้องจ่ายเพราะเจ๊เป็นเจ้าภาพ พงศ์แทบไม่แตะอาหาร เขารู้สึกอิ่มเอมจนกินอะไรไม่ได้อีกแล้ว เช่นเดียวกับแม่และพี่ชายของเขาที่เฝ้ามองเขาด้วยความชื่นชมและอิ่มใจ

    พิมพรเพิ่งกลับมาถึงบ้าน เธอหลบออกมาจากงานเลี้งส่งหัวหน้าพ่อ พ่อแม่ของพีก็อยู่ที่งานนี้ พิมพ์เธอมานั่งรอพงศ์ด้วยใจจดจ่อ ในมือมีผ้าพันคอสีหวานที่เธอตั้งใจถักเอง พิมพ์ยกมันขึ้นมาแนบอกและแก้มอย่างทนุถนอม เหมือนกลัวว่ามันจะบอบช้ำ เสียงรถมอเตอร์ไซค์ดังมาหยุดตรงหน้าบ้าน พิมพรภาวนาให้เป็นคนที่เธอรอ พี่พงศ์...เธอเรียกชื่อเขาอยู่ในใจ พร้อมกับรีบลุกไปที่ประตูรั้ว สายตาเธอมองไปที่รถมอเตอร์ไซค์คันนั้น มันดูคล้ายกันกับมอเตอร์ไซค์คันของพียังกะคันเดียวกัน

    “คันนี้เหรอ ของขวัญจากพี่สาว” เธอยิ้มให้กับรสนิยมที่คล้ายกันของเขาทั้งสอง

    “ครับโผม” พงศ์ยิ้มกว้างจนเห็นฟันที่ขาวและเรียงเป็นระเบียบ

    พิมพ์ชวนเขาเข้าไปนั่งในห้องรับแขก เธอบริสุทธิ์ใจ และพ่อแม่เธอก็คงจะเข้าใจ เพราะท่านทั้งสองเป็นผู้ใหญ่และมีเหตุผล นาฬิกาในห้องรับแขกบอกเวลาเลยสามทุ่มไปหลายนาที ดอกเล็บมือนางส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยผ่านริ้วผ้าม่านเข้าปกคลุมในห้อง พิมพรตัดสินใจยื่นผ้าพันคอให้คนรัก พงศ์ยิ้มกว้างรับมันมาด้วยความเต็มใจ 

    “ที่โน่นคงจะหนาว…อาจจะไม่สวยพึ่งหัดทำ” จริงอย่างที่เธอว่า มันไม่สวยจริงๆ

    “มันเป็นศิลปะ”เขาพูดยิ้มๆพร้อมกับเอามันมาแนบไว้กับอก อาการของเขามันทำให้พิมพรต้องเอียงหน้าอาย

    “ส่งข่าวมาบ้างนะพี่พงศ์” เธอขอร้อง พงศ์สบตาเธอพร้อมกับพยักหน้ารับ พงศ์พูดอะไรไม่ออก เมื่อเห็นสายตาเศร้าคู่นั้น

    ทั้งสองคุยกันนานจนเสียงระฆังดังรัวจากป้อมยามกลางหมู่บ้าน มันดังเพื่อบอกเวลาสามทุ่ม เวลาของคนรักกันมักผ่านไปเร็วเสมอ สมควรแล้วที่ทั้งสองจะต้องจากกัน

    รถตู้มีตราหน่วยงาน ค่อยๆเคลื่อนเข้ามาหยุดที่หน้าบ้าน “ไอ้พีมันมาทำอะไรดึกๆดื่นๆว่ะ” ชายวัยห้าสิบบ่นเมื่อเห็นรถมอเตอร์ไซค์คันที่จอดอยู่หน้าบ้าน ประตูรั้วบ้านถูกเปิดออก เพื่อนและลูกน้องที่มาด้วยกันรีบตามเข้าไปประคองเมื่อเห็นชายคนแรกนั้นซวนเซ

    “พ่อ” เสียงพิมพ์แผ่วเบา

    “ของดีต้องใจเย็นๆโว้ยพวกมึง” เสียงเอะอะดังมาพร้อมกับประตูห้องถูกเปิดออก

    เขารู้อยู่แล้วว่าคนที่เปิดประตูเข้ามานั้นคือพ่อของหญิงคนรัก พงศ์รู้สึกอึดอัดจนทำตัวไม่ถูก เขาควรทำอย่างไรต่อถึงจะเหมาะในสถานการณ์ที่ทุกสายตาจับจ้องมาที่เขาและเธอ

    “พ่อ…นี้พี่พงศ์ เพื่อนหนูค่ะ เขากำลังจะไปฝึกงานที่ญี่ปุ่น หนูเลยให้มาเอาของฝากค่ะ” ก็จริงอย่างที่เธอว่า เพราะเธอและเขายังไม่เคยตกลงเป็นแฟนกัน

    “สวัสดีครับ” พงศ์ยกมือไหว้ทุกคน

    เมื่อฤทธิ์เหล้าเข้าผสมยศศักดิ์ ทำให้เหตุผลกลายเป็นสิ่งไร้ค่า เรื่องเล็กน้อยจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ กิริยาอันปกติของทั้งสองกลับทำโทสะของคนเมาให้ทวีความรุนแรง คมเมารี่เข้าชกหน้าพงศ์ในขณะที่เขาคาดไม่ถึงว่าพ่อของคนรักจะบ้าบิ่นถึงเพียงนี้ หมัดคนเมาแม้จะไม่หนักนัก แต่ก็ทำให้เขาเซซวนจนแทบล้ม คนที่มาด้วยกันตกตลึงพร้อมกับรีบเข้าไปห้ามอย่างทุลักทุเลเพราะฤทธิ์เหล้า

     “มึงเป็นใคร มึงมาทำอะไรสองต่อสองกับลูกกูดึกๆดื่นๆยังงี้” พิมพรรู้สึกเหมือนฟ้าฟาดลงกลางใจ เธอไม่เคยเห็นพ่อเธอทำกิริยาเช่นนี้มาก่อน น้ำตาเธอไหลพรากพร้อมกับร่างที่ทรุดลงตรงนั้น คนเมาไม่ฟังใคร แม้กระทั่งลูกสาวตัว ส่วนพงศ์ยิ่งแล้วใหญ่ เขายิ่งพูดยิ่งให้เหตุผล ยิ่งเหมือนเทน้ำมันราดรดไฟให้โหมหนัก การด่าทอชกต่อยและห้ามปรามยิ่งดุเดือด พงศ์ยอมให้คนเมากระทำตนแต่ฝ่ายเดียว ไม่ยอมแม้แต่จะผลักหรือปกป้องตัวเอง ขณะที่เลือดของเขาก็ยังไหลไม่หยุด เห็นแล้วเหมือนใจเธอแทบขาดดิ้น 

    “ดูซิพิมพ์” คนเมาผายมือไปรอบๆ “ดูว่าพ่ออับอายขายหน้าเขาแค่ไหน ดูซี”

    “เราไม่ได้มีอะไรกัน เราบริสุทธิ์ใจครับ” พงศ์พยายามเค้นเสียงที่แหบพร่า

    “เออ กูเชื่อมึง ไอ้ควาย!!! แต่ใครเขาจะเชื่อกู ดูคนเต็มบ้านไปหมด…เหี้ย!!”อีกครั้งที่ฝ่ามือกระทบใบหน้าเขาเสียงดัง“เผี๊ยะ” สิ้นเสียงนั้น พงศ์ทรุดลงเหมือนโดนน็อกกลางอากาศ พิมพรคลานเข้ากอดคนรักเหมือนคนบ้า เธอฟูมฟายโทษตัวเองว่าเป็นต้นเหตุให้เขาต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ฝ่ายคนเมาก็เข้าห้ามกันอย่างทุลักทุเล บนพื้นพรมพงศ์แนบหน้ากัดฟันแน่น เขาพยายามข่มอารมณ์อย่างทรมาน เสียงพิมพรยังสะอื้นที่ข้างหู แม้จะสงสารเธอปานใจจะขาด แต่ก็จนใจที่จะทำอะไรได้อีก 

    ภาพลูกสาวตนกอดประคองชายหนุ่มไว้ ยิ่งทำให้ผู้เป็นพ่อโกรธเกรี้ยว“กูจะแจ้งตำรวจจับมึง”

    เวลาเลยสี่ทุ่มมานานแล้ว พระจันทร์ข้างขึ้นลอยเด่นอยู่กลางฟ้า ครูและเพื่อนๆของเขานัดกันว่าสี่ทุ่ม พงศ์หายไปนานมากแล้ว ท่าทางพีกระสับกระส่ายกว่าทุกคน เขาเป็นเพียงคนเดียวที่พอจะเดาได้ว่าเพื่อนรักหายไปไหน พีหมดความอดทนสตาร์ทรถคิดจะไปบ้านของพิมพ์ ก็พอดีที่รถอีแต๋นวิ่งฝ่าความมืดมาจอดเทียบตรงหน้าร้านเสียงดังสนั่นอย่างกับรถถัง

    “เฮ้ยพวกมึง เพื่อนมึงชิปหายแล้ว ไอ้พงศ์ถูกจับ อาจารย์ว่ามันไปขึ้นบ้านหาลูกสาวเค้า พวกมึงไปช่วยกันที่โรงพักเร็ว”

    แต่พงศ์ไม่ได้อยู่ที่โรงพัก และไม่มีใครสามารถช่วยเขาได้ มติของการประชุมด่วนทางโทรศัพท์คือกสิพงศ์ถูกกรรมการโครงการตัดสิทธิ์ก่อนเที่ยงคืน เขาขอร้องให้ตำรวจที่พาเขาออกมาจากบ้านหลังนั้น ให้ช่วยพาเขาไปส่งที่วิทยาลัยอย่างคนมีความหวัง

    “อาจารย์ขอทางผู้ใหญ่ท่านแล้ว แต่ก็ไม่สามารถ...พงศ์” อาจารย์ที่ปรึกษาบอกเขา เมื่อเขาหยอดเหรียญโทรไปถาม “ทำไงได้กฎก็ต้องเป็นกฎ..” เสียงอาจารย์สะอื้นยิ่งทำให้เขาสะเทือนใจ

    “ผมขอโทษครับอาจารย์” เขาพูดไปจากใจด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

    “ไม่เป็นไรอาจารย์เข้าใจนาย อาจารย์ก็รอนายมาอยู่นี่ รู้ไหมอาจารย์กับเพื่อนๆเราไปตามหาที่ไหนก็ไม่เจอ..แล้วนายเป็นไงบ้าง”

    “ไม่เป็นไรครับจารย์...สบายมาก” พงศ์ตอบพร้อมเสียงหัวเราะหวังกลบเกลื่อน กับรู้สึกขบขันในวาสนาตัวเอง

    “เมื่อกี้เพื่อนเราก็ไปก่อเรื่องกันที่โรงพักอีก เดี๋ยวจารย์ต้องเข้าไปโรงพักอีกรอบ แล้วนายอยู่.....” พงศ์จงใจไม่หยอดเหรียญลงเพิ่ม เขาเดินโซเซออกมาจากตู้โทรศัพท์อย่างคนหมดหนทาง “พี่จับผมเถอะ” พงศ์ขอร้องตำรวจทั้งสองนายนั้นอีกครั้ง แล้วพาร่างกายอันอิดโรยทรุดนั่งลงตรงนั้น แสงไฟส่องสลัวเผยให้เห็นใบหน้าที่บอบช้ำ เขาปล่อยน้ำตาไหลอาบเลอะสองแก้ม มันคงนานเกินทนที่เขาพยายามอดกลั้นมันเอาไว้...พงศ์ยอมให้ตัวเองสอื้นไห้อย่างไม่อายใคร

    เรื่องราวของกสิพงศ์ถูกบันทึกไว้ที่หน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นในวันถัดมา…ไอ้หื่นบุกขืนใจลูกสาวปลัดจังหวัดคาบ้านพัก

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×