คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : ตอนที่ 10 เมื่อผมออกค่าย
“โอ๊ก อ้วก”
เสียงของเพื่อนคนหนึ่งในรุ่นที่64 ของโรงเรียนล้นรัก ใช่ นางกำลังเมารถ
และเราต้องหยุดรถเพื่อให้นางได้อาเจียนออกมา
ตอนนี้ก็ปิดเทอมแล้วครับ
ก็ถึงเวลาที่เป๊ะจะหากิจกรรมมาให้ผมได้วุ่นอีกแล้ว ใช้คำว่าหาไม่ได้แล้วสิ
เพราะตอนนี้ผมก็ขึ้นรถมาแล้วกับเพื่อนๆก๊กเดิม เรามาออกค่ายอาสาทำห้องสมุดให้กับโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่
ซึ่งหนทางค่อนข้างจะเลี้ยวโค้งมากมาย จึงทำให้สภาพของเพื่อนบางคนของผม ย่ำแย่
“พี่ดินเมารถมั้ยครับ”
ตะวันถามขึ้น
“ระดับพี่แล้ว
สบายมาก” ใช่แล้วครับ ตะวันก็มาด้วย
โครงการนี้ได้ปรึกษาล่วงหน้ามาได้ซักสองเดือนแล้วครับ
ซึ่งผมก็เอากล่องบริจาคหนังสือไปไว้ที่โรงเรียนของตะวันด้วย
นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ตะวันขอมาด้วยนั่นเอง
“ดินเอาน้ำมั้ย”
เป๊ะถามขึ้น เรานั่งรถตู้คันเดียวกัน ซึ่งรวมถึงยัยปิ่น ที่หลับสัปหงกไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วย
“ตะวันเอาน้ำด้วยมั้ย”
ผมหันไปถามตะวันด้วย ผมรู้สึกว่าต้องเทคแคร์ตะวันหน่อยเพราะทริปนี้
ตะวันก็ไม่ค่อยรู้จักใคร
ตะวันผงกหัว
“เป๊ะ ขอสองขวด” ผมจึงบอกเป๊ะไปตามนั้น
“อ่ะนี่
ตะวัน น้ำอาจจะหวานไปหน่อยนะ เพราะพี่ใส่ใจไปด้วย” เป๊ะแซว
“พี่เป๊ะ
ขี้เล่นเสมอเลยนะครับ”
“กับคนอื่นพี่ก็เฉยๆนะ
แต่กับคนข้างๆนี่ พี่เฉยไม่ไหว” ใช่ครับสถานการณ์ตอนนี้คือผมนั่งตรงกลาง
ขนาบข้างด้วยเป๊ะและตะวันนั่นเอง
“เฉยไม่ไหวยังไง”
ผมตัดบทขึ้น
“ก็คนมันน่าแกล้งนี่น่า”
“พี่สองคนคงจะสนิทกันมากสินะครับ”
ตะวันถามขึ้น
“ก็อยู่แบบนี้มาเป็นสิบปีแล้วอ่ะเนาะ”
เป๊ะตอบ ใช่มันเป็นแบบนี้มาเป็นสิบปีแล้ว เป๊ะคอยแซว คอยแหย่
บางทีก็เหมือนให้ความหวัง แต่ก็ไม่เคยชัดเจนซักครั้งมาตลอด แต่ผมก็ไม่เคยถามออกไปแม้แต่ครั้งเดียวด้วยแหละ
มันจึงไม่ใช่ความผิดของเป๊ะอย่างเดียว
“ผมพึ่งมารู้จักพี่ดินได้
สี่เดือน ผมคงจะต้องรู้อะไรอีกเยอะเลยสินะครับ” ตะวันพูดเหงาๆ
บทสนทนา
มาเป็นพักๆตลอดการเดินทาง แต่ก็ไม่ได้มีสาระแต่อย่างใด แต่สิ่งที่ผมสังเกตเห็น
นั่นคือรอยยิ้มแห้งๆของตะวัน
“พ่อถึงแล้วนะครับ
อยู่กับคุณปู่คุณย่า เป็นเด็กดีนะ” ผมโทรศัพท์รายงานเจ้าตัวเล็ก
ทริปนี้ค่อนข้างไกล และนานถึง3วัน
ผมจึงเลือกที่จะฝากเจ้าตัวเล็กไว้บ้านคุณปู่
“พ่อดูแลตัวเองดีๆนะคะ”
“ถ้าโจรมาทำร้าย
พ่อก็ใช้วิชาคาราเต้เลยนะครับ” นี่เจ้าเพชรเข้าใจว่าผม มาลุยป่าหรือยังไง
“เฮ้
ทุกคนมารวมกันทางนี้ด้วย เดี๋ยวเราจะบอกกติกาการอยู่ค่ายกันก่อน”
เป๊ะที่เป็นประธานเรียกรวมพล
“ไปก่อนนะลูก
อย่าซนนะ” ผมสำทับเด็กๆ
“ก็เราจะเล่นเกมกันนะ
ในกล่องนี้ มีสลากอยู่ 3 แบบ คือ ผี คน
และหมอผี
โดยจุดประสงค์ของเกมนี้
เพื่อให้เราไปไหนมาไหนกันเป็นกลุ่ม
กติกาก็คือ
ถ้าใครแอบไปกันเป็นคู่ หรือไปไหนคนเดียว แล้วโดนตาม
โดยผี
จะต้องล่าคน เมื่ออยู่กันสองคน ผี สามารถ แสดงสลากผี ให้คนดูได้ ถ้าทำสำเร็จ
ผีจะคืนชีพกลายเป็นคน ส่วนคนก็จะกลายเป็นผีแทน
แต่ถ้าผี ไปแสดงสลากใส่หมอผี ผีตัวนั้น จะถูกจับบูชายัญทันที
และถ้าผีไม่ยอมล่าคน
เมื่อจบค่าย เราก็จะบูชายัญผีเช่นกัน” เป๊ะอธิบายยาวยืด กติกามาเป็นฉากๆ สาธุ
ขอให้ผมจับได้ หมอผีเหอะ จะได้ไม่ต้องทำอะไร เพี้ยงๆ
ผมและเพื่อนๆ
ค่อยๆทยอย ออกไปจับสลากทีละคน พอจับเสร็จผมก็แอบมานั่งเปิดสลากเงียบๆ
“พี่ดิน
ได้อะไรครับ” ผมสะดุ้งรีบปิดสลากทันที
“ตะวัน
ไม่ให้สุ้มไม่ให้เสียง พี่ตกใจหมด”
“ตกใจขนาดนี้
ผมรู้แล้วละ หึหึ” ตะวันหัวเราะเจ้าเล่ “เดี๋ยวตะวันคนนี้ จะปกป้องพี่เองครับ”
จากนั้นชาวคณะ
ก็ขนข้าวของลงรถกัน เราได้หนังสือจากการบริจาคมาประมาณ 2,000 เล่ม ซึ่งค่อนข้างเยอะทีเดียว
แต่เนื่องจากเราเดินทางมาถึงเกือบเย็นแล้ว ภารกิจของเราจึงจะเริ่มในวันพรุ่งนี้
ส่วนเย็นนี้ ทางโรงเรียนเจ้าภาพได้จัดเตรียมอาหารเย็นให้เราเรียบร้อย
“ยัยปิ่น
กินข้าวเสร็จ ไปเข้าห้องน้ำกัน” ใช่แล้วผมกำลังว้าวุ่นใจ เพราะสลากที่ผมจับได้ คือ
ผี นั่นเอง
“อะไร
ไปห้องน้ำ ต้องไปเป็นเพื่อนด้วยเหรอ นี่แกคิดว่าแกถักเปีย อยู่ ม.ต้น รึไง”
ยัยนี่ก็สำบัดสำนวน หรือว่าจะไหวตัวทัน
“เออ
จำไว้” ไปเองก็ได้ ผมจำยอมต้องทำตัวว่าต้องไปห้องน้ำ
ผมออกมาจากโรงอาหาร
ไปล้างหน้าซะหน่อยละกัน ไงก็เป็นผีนี่ จะกลัวอะไร คนไม่ล่าผีหรอก
“พี่ดิน
แลกกับผมมั้ย” ตะวัน โผล่มาจากไหนอีกไม่รู้ นี่สินะอภิสิทธิ์ของคนแปลกหน้าในทริปหรือไง
เดินไปไหนก็ไม่มีใครสนใจ
“แลกอะไร”
ผมถามกล้าๆกลัวๆ
“ก็สลากไงครับ”
“บ้าเหรอ
ผิดกติกานะรู้เปล่า โดนจับได้บูชายัญสองเท่านะ”
“ก็รู้กันสองคนสิครับ”
ตะวันทำหน้าทะเล้น
“ไม่เอาหรอก
พี่เป็นหมอผีแล้ว ไม่ได้กลัวอะไร” ใช่ครับคนเป็นหมอผี สบายสุดในเกม
ไปไหนมาไหนคนเดียวได้ และผีก็ไปไหนมาไหนคนเดียวได้เช่นกัน
“งั้นผมจะอยู่ใกล้ๆพี่นะ
จะคอยตามปกป้องพี่เอง”
“ก็บอกแล้วพี่เป็นหมอผี
แต่ถ้าอยากทำก็ตามสบายนะ” ผมพูดแบบปัดๆ ตอนนี้ผมเริ่มแน่ใจขึ้นมานิดนึง
ว่าตะวันจะต้องตามผมไปตลอดทริปแน่ๆ
ตอนนี้เรากลับมารวมกันที่หอประชุม
เพื่อชี้แจงภารกิจในวันถัดไป ซึ่งในส่วนของผมก็ไม่ต้องฟังอะไรมาก ก็มีงานแต่ในครัวมาหลายปี
ไม่ต้องทำอะไร แต่คราวนี้มีลูกมือติดมาด้วยหนึ่งคน ก็ไม่พ้นตะวัน ที่ไม่รู้จักใคร
ก็ต้องมาเป็นลูกมือผมโดยปริยาย
หลังเสร็จสิ้นการชี้แจง
ผมเดินออกมาดูดาวคนเดียว ก็เป็นผีนี่ ไปไหนมาไหนคนเดียวจะกลัวอะไร ส่วนยัยปิ่นกำลังนั่งมโนว่าจะวาดภาพอะไรบนผนังห้องสมุด
ส่วนเป๊ะด้วยหน้าที่ประธานต้องเดินตรวจตราทั่วไป
“ดาวสวยมั้ยพี่”
มาอีกแล้ว 3รอบละนะ จะทำให้ตกใจตายรึไง
ตะวันเดินมานั่งใกล้
พร้อมกีต้าร์หนึ่งตัว
“อ้าวกีต้าร์เป๊ะนี่”
ผมจำได้อยู่ละ อยู่ด้วยกันมาหลายปีนี่
“ครับ
ผมยืมมาน่ะ”
“ตะวันไปไหนมาไหนคนเดียว
ไม่กลัวโดนล่าเหรอ”
“ก็เหมือนพี่แหละ
สถานะเดียวกันนี่ ผู้ที่ไม่กลัวโดนล่า” ผมพอจะรู้แล้วแหละว่าตะวันอยู่ในสถานะไหน
ผมที่เก็บอาการหวั่นไหวกับการเป็นผี แต่ตะวันที่ทำตัวสบายๆ
“ฟังเพลงซักหน่อยมั้ยครับ
อยากร้องให้ฟัง”
“เอาสิ”
บรรยากาสเย็นสบาย ดาวเต็มฟ้า กับเพลงเพราะๆซักเพลง
“จะทำทุกๆอย่าง จะทำทุกๆทาง มันทำให้ฉันนั้นรู้ดีว่า
จะเป็นเช่นไร
แม้เธอจะมีใครไม่สำคัญ
แค่เพียงเธอมองมาที่ฉัน เท่านั้นก็พอใจอยู่ภายใน
แม้เธอจะมีใครไม่สนใจ
แม้ความเป็นจริงจะเป็นเช่นไร ไม่รู้แค่มีเธออยู่ในใจ
จะทำทุกๆอย่าง
จะทำทุกๆทาง ให้เธอได้รู้สึกอบอุ่นหัวใจไปกับฉัน
แต่เราพึ่งรู้จัก
แค่มองด้วยสายตา มันทำให้ฉันนั้นรู้ดีว่า จะเป็นเช่นไร
แม้เธอจะมีใครไม่สำคัญ
แค่เพียงเธอมองมาที่ฉัน เท่านั้นก็พอใจอยู่ภายใน
แม้เธอจะมีใครไม่สนใจ
แม้ความเป็นจริงจะเป็นเช่นไร ไม่รู้แค่มีเธออยู่ในใจ
จะทำทุกๆอย่าง
จะทำทุกๆทาง ให้เธอได้รู้สึกอบอุ่นหัวใจไปกับฉัน
แต่เราพึ่งรู้จัก
แค่มองด้วยสายตา มันทำให้ฉันนั้นรู้ดีว่า จะเป็นเช่นไร”
ผมที่กำลังเคลิ้มกับเพลง
และความรู้สึกที่ตะวันส่งมาให้ อยู่ๆก็มีมือล้วงกระเป๋าเสื้อของผม ฉับไว
“ผมขอใบนี้นะพี่
ส่วนของพี่เอาของผมไปแทน” พูดเสร็จตะวันก็เดินหนีไป ทิ้งให้ผมนั่งอึ้งอยู่คนเดียวต่อไป
ผมค่อยๆคลี่กระดาษ
ออกดูมันเขียนว่า “หมอผี” นี่สินะ สิ่งที่ตะวันจะทำเพื่อปกป้องผม แต่เอ๊ะ
งั้นตะวันก็เป็นผีแทนผมน่ะสิ ท่าทางวันวุ่นๆจะยังไม่จบลงซะแล้ว
ความคิดเห็น