คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : เด็กในอุปการะ
อัคนี ภูริ
และธารทิพย์พากันเดินเข้ามายังบริเวณด้านหน้าประตูทางเข้าซึ่งคลาคล่ำไปด้วยกลุ่มคนมากมายที่พยายามเบียดเสียดกันเข้าไปภายในจนร่างเล็กของคนเดินตามหลังถูกเบียดให้ออกห่างจากผู้นำทางทั้งสองดีที่บอดี้การ์ดหนุ่มหันกลับมาเห็นเข้าเสียก่อนจึงเอื้อมมือคว้าเข้าที่ข้อมือเรียวแล้วฉุดร่างเล็กให้เดินตามมาได้ทันก่อนจะพลัดหลงกัน
"ภูริ วันนี้มันวันอะไรทำไมคนถึงได้เยอะขนาดนี้"
"วันนี้อาทิตย์คนก็เยอะเป็นปกติอยู่แล้วครับ แต่วันนี้คงจะพิเศษหน่อยตรงที่มีนักร้องมาร้องเพลงเปิดงานสัปดาห์หนังสือ...ที่เยอะๆ นี่คงเป็นแฟนคลับทั้งนั้นแหละครับ"
ธารทิพย์ที่พยายามเดินฝ่าฝูงชนมาต่อท้ายภูริได้ไม่นานก็ถูกลุ่มคนด้านหลังดันจนล้มลงไปกองกับพื้นก่อนจะโดนเหยียบขาซ้ำให้ร้องโอดโอย
อัคนีเห็นดังนั้นจึงรีบคว้าแขนเรียวแล้วออกแรงยกร่างบางจนลอยลิ่วมาประชิดแผงอก
“เป็นอะไรมากหรือเปล่า”
“ไม่ค่ะ แค่ตกใจนิดหน่อย”
“เธอมาอยู่ข้างหน้าฉันดีกว่า ตัวเล็กๆ
อย่างเธอถูกคนอื่นดันหลังเดี๋ยวก็ล้มลงไปให้เขาเหยียบอีก”
ไม่พูดเปล่า
มือหนายังจับเข้าที่ไหล่บางแล้วพยายามพาเด็กสาวเดินฝ่าการเบียดเสียดไปอย่างระมัดระวังและตอนนั้นเองแผงอกกับหน้าท้องลอนแข็งที่ติดกับแผ่นหลังของคนด้านหน้าโดยไม่ได้ตั้งใจมันทำให้เขารู้สึกกระอักกระอ่วนภายในพิกล
"คนไม่ค่อยเยอะแล้วคุณอัคนีปล่อยหนูเถอะค่ะ" ธารทิพย์กล่าวพลางเงยหน้ามองร่างสูงกว่าด้วยสีหน้าไร้เดียงสาแต่ในขณะเดียวกันใบหน้าที่ห่างกันเพียงคืบกับลำตัวที่แนบชิดกลับทำให้อีกฝ่ายเสียอาการจนหน้าแดง
"นายครับ ร้านชุดนักเรียนคุณฉัตรอยู่ถัดไปอีกสามร้านครับ" ภูริตัดสินใจขัดขึ้นเมื่อเห็นว่าผู้เป็นเจ้านายจ้องมองใบหน้าของเด็กสาวในอุปการะอย่างไม่วางสายตา
"อืม นายนำไปสิ"
"ครับ" บอดี้การ์ดหนุ่มลอบมองใบหน้าเคร่งขรึมอันแดงก่ำของคนเบื้องหน้าอีกครั้งเพื่อความแน่ใจก่อนจะเดินนำหน้าชายหญิงทั้งสองไปยังร้านขายเครื่องแบบนักเรียนและอุปกรณ์การเรียนขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
"สวัสดีค่ะคุณเพลิง วันนี้ร้านของฉัตรต้องขายดีมากแน่ๆ เลย เพราะเจ้าพ่อแห่งไร่ภูเพลิงมาอุดหนุนฉัตรถึงร้าน"
สาวประเภทสองเจ้าของร้านจีบปากจีบคอพูดอย่างมีจริตด้วยท่าทางสนิทสนม
"มีอะไรให้ฉัตรรับใช้บอกมาได้เลยนะคะ ฉัตรยินดีค่ะ"
"ถ้าอย่างนั้นรบกวนคุณฉัตรช่วยจัดเครื่องแบบชุดนักเรียนม.ปลายมาให้คุณผู้หญิงท่านนี้สักสามสี่ชุด แล้วก็อุปกรณ์การเรียนจำพวกเครื่องเขียนเอาให้ครบเลยนะครับ อ้อ กางเกงพละ รองเท้าผ้าใบ รองเท้า ถุงเท้านักเรียนด้วยครับ" ภูริกล่าวแทน
"รับทราบค่ะ...ตามฉันมาทางนี้จ้ะหนู ไปวัดตัวเลือกไซต์เสื้อผ้ากันจ้ะ"
"ค่ะ"
ร่างบางเดินตามเจ้าของร้านไปด้วยท่าทางเจียมเนื้อเจียมตัวก่อนจะหันมาส่งยิ้มสดใสให้ชายทั้งสองที่ยืนดึงหน้าขรึมมองเธอจากทางหน้าร้านราวกับหุ่นลองชุด
"ขอโทษนะคะ เมื่อกี้หนูได้ยินคุณฉัตรเรียกคุณอัคนีว่าคุณเพลิง...นั่นคือชื่อเล่นของคุณอัคนีเหรอคะ"
"ใช่แล้วจ้ะ น้อยคนนักที่จะรู้เพราะส่วนใหญ่ทุกคนก็พากันเรียกชื่อจริงหรือไม่ก็เรียกว่าเจ้าพ่อมาเฟียกันทั้งนั้น
คนสนิทเท่านั้นแหละถึงจะรู้ชื่อเล่นของคุณเพลิง"
"โห ถ้าอย่างนั้นคุณฉัตรก็ต้องสนิทกับคุณอัคนีมากแน่ๆ เลยใช่ไหมคะถึงได้รู้ชื่อเล่น
ขนาดหนูอยู่ในไร่มาตั้งแต่เกิดก็เพิ่งจะรู้ว่าคุณอัคนีมีชื่อเล่นก็วันนี้เองค่ะ"
"สนิทสิจ๊ะ ฉันน่ะรับใช้ตระกูลอัศวินเทวามาตั้งแต่สมัยพ่อกับแม่ของคุณเพลิงยังเป็นหนุ่มเป็นสาว
ไม่อยากจะโม้ว่าฉันน่ะเห็นคุณเพลิงมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย แถมคุณเพลิงเองก็ส่งคนมาซื้อเสื้อผ้ากับเครื่องเขียนร้านฉันไปแจกเด็กๆ
บนดอยทุกปี ไม่มีร้านไหนในเชียงใหม่ที่จะสนิทกับเจ้าพ่อภูเพลิงไปมากกว่าฉันแล้วหละหนู"
"ว้าว สุดยอดไปเลยค่ะ" เด็กสาวกล่าวพลางยกหัวแม่มือสองข้างให้คู่สนทนาด้วยท่าทางราวกับเด็กจนคนที่แอบลอบมองจากหน้าร้านอยู่ไกลๆ
อดยิ้มไม่ได้
"ลองเข้าไปลองชุดดูจ้ะ"
"ค่ะ" มือเรียวรับเครื่องแบบนักเรียนที่อีกฝ่ายยื่นให้มากระชับมือก่อนจะเข้าไปลองเสื้อผ้าในห้องลองชุดก่อนจะถูกพาไปเลือกซื้ออุปกรณ์เครื่องเขียนต่างๆ จนได้ทุกอย่างครบตามความตั้งใจของชายวัยกลางคนที่ยืนรออยู่หน้าร้าน
"เธออยากได้อะไรอีกไหมธารทิพย์" ร่างสูงกว่ากดสายตาลงมาเอ่ยถามเด็กสาวข้างกายขณะยืนรอรับใบเสร็จอยู่ที่หน้าเคาท์เตอร์คิดเงิน
"ไม่แล้วค่ะ"
"ถ้าอย่างนั้นพอเราซื้อชุดลำลองของเธอเสร็จเราจะได้กลับกันเลย"
"ค่ะ" เด็กสาวรับคำด้วยรอยยิ้มก่อนจะเดินตามแผ่นหลังกว้างไปยังร้านถัดไปโดยมีบอดี้การ์ดหนุ่มคอยเดินตามหลังอย่างเงียบๆ
เสื้อผ้าแฟชั่นมากมายถูกแขวนเรียงรายเต็มราวละลานตาจนคนที่เดินตามร่างเบื้องหน้าเข้ามาตาลุกวาวด้วยความตื่นเต้น
"เธออยากได้ชุดไหนก็หยิบเอาเลยนะ เดี๋ยวฉันจะออกไปรอด้านนอก"
"เดี๋ยวค่ะๆ คุณอัคนีคะเสื้อผ้าในร้านราคาค่อนข้างสูง...หนูว่าซื้อเสื้อผ้าตัวละร้อยสองร้อยให้หนูก็พอค่ะ"
"ไม่ได้ ฉันเป็นผู้ปกครองของเธอแล้วเพราะฉะนั้นเสื้อผ้าที่เธอใส่ต้องดูดีในระดับนึง
คนอื่นเขาจะว่าเอาได้ถ้าหากเธอใส่ชุดราคาไม่กี่บาทเดี๋ยวจะหาว่าฉันดูแลเธอไม่ดี"
"แต่..."
"ไม่มีแต่ เลือกชุดไป ฉันจะออกไปยืนรอหน้าร้าน" เสียงห้าวกล่าวแกมดุจนคนถูกดุหน้าหงอยก้มหน้างุด
"ค่ะ" หลังจากที่ธารทิพย์เดินดูเสื้อผ้าในร้านสักพักก็ไม่สามารถเลือกตัวที่ถูกใจได้เลยเนื่องจากเสื้อผ้าแต่ละตัวนั้นมีราคาค่อนข้างสูงเกินความจำเป็นของเธอทำให้บอดี้การ์ดหนุ่มที่คอยลอบสังเกตอยู่นานตัดสินใจเดินเข้ามาถามไถ่
"มีอะไรหรือเปล่า หรือเธอไม่ชอบเสื้อผ้าร้านนี้"
"ไม่ใช่นะคะ เสื้อผ้าในร้านนี้สวยมากค่ะแต่ราคาสูงเกินไปหนูเลยไม่กล้าหยิบ
หนูเกรงใจคุณอัคนี"
"โถ่ เด็กน้อย เงินนายมีเป็นร้อยล้านกะอีแค่เสื้อผ้าตัวละห้าร้อยหนึ่งพันหรือเหมาไปทั้งร้านยังไม่ทำให้นายจนลงเลย...มานี่เดี๋ยวฉันเลือกให้" ไม่รอช้า ชายหนุ่มเอื้อมคว้าเสื้อผ้าบนราวใกล้ตัวมาทาบลงบนร่างบางที่ยืนนิ่งงันหน้าตาเหลอหลาทีละชุดจนคนที่มองจากหน้าร้านต้องเดินเข้ามาสมทบ
"มีอะไร"
"เอ่อ ธารทิพย์ไม่กล้าเลือกชุดครับบอกว่ามันแพงไปผมเลยเข้ามาช่วยเลือกให้"
"พอๆ "
สายตาคมกริบสอดส่ายสายตาหาเจ้าของร้านก่อนจะกวักมือเรียกให้เข้ามาหา
"คุณลูกค้ามีอะไรให้ช่วยคะ"
"ผมเอาที่อยู่บนราวนี่อย่างละหนึ่งตัว...เธอใส่ไซต์อะไร"
เขาหันไปถามเด็กสาว
"เอสค่ะ"
"เอาไซต์เอสแล้วมาคิดเงินกับผมได้เลย"
"ได้ค่ะคุณลูกค้า" เจ้าของร้านรับคำด้วยรอยยิ้มก่อนจะจัดการบรรจุเสื้อผ้าหลากหลายชุดลงถุงกระดาษที่เคาท์เตอร์คิดเงินหน้าร้านตามคำสั่ง
"คุณอัคนี..."
"ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ขืนรอเธอเลือกพรุ่งนี้ก็คงไม่เสร็จ ต้องใช้วิธีนี้แหละ"
ดวงตากลมโตหันไปสบกับบอดี้การ์ดหนุ่มข้างกายด้วยสีหน้าสลดและรู้สึกเสียดายเงินจำนวนไม่น้อยที่เจ้าพ่อมาเฟียหมดไปกับเธอ
เมื่อกลับถึงไร่ภูเพลิง
ภูริกับวิชัยก็ช่วยขนสัมภาระของธารทิพย์เข้าไปเก็บไว้ภายในบ้านตามคำสั่งของอัคนี
คนอยากช่วยได้แต่ยืนมองตาละห้อยเนื่องจากถูกรั้งข้อมือปรามไม่ให้ช่วยตามที่ตั้งใจ
"เอาของไว้ที่นี่ก่อนแล้วกันจนกว่ากระท่อมของเธอจะเสร็จ เอาไปตอนนี้ก็เกะกะคนที่เธอไปอาศัยอยู่ด้วยเปล่าๆ
"
“ค่ะ
ขอบคุณอีกครั้งนะคะที่...”
จู่ๆ
อัคนีก็ยกมือขึ้นกุมที่หน้าท้องพลางนิ่วหน้า ธารทิพย์เห็นดังนั้นจึงตกใจร้องลั่น
"คุณอัคนีเป็นอะไรคะ!"
"...โรคกระเพาะคงจะกำเริบน่ะ สงสัยเป็นเพราะกินข้าวผิดเวลา"
"จริงด้วย! คุณอัคนียังไม่ได้ทานข้าวเลยตั้งแต่เช้า
เป็นเพราะหนูแท้ๆ เลย...ต้องขอโทษด้วยนะคะ"
"นิ่ เลิกโทษตัวเองแล้วก็ลดนิสัยขี้เกรงใจลงบ้างจะได้ไหม"
"ก็มันจริงนี่คะ...ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวหนูทำอาหารให้ทานนะคะถือเป็นการตอบแทนที่คุณอัคนีพาหนูไปซื้อของวันนี้"
"เอางั้นรึ"
"ค่ะ" ธารทิพย์รับคำพร้อมรอยยิ้มสดใสก่อนจะยกมือเรียวขึ้นประคองท่อนแขนแกร่งของชายวัยกลางคนจนเจ้าของร่างถึงกับชะงัก
"เธอจะทำอะไร"
"ต้องไปดูในตู้เย็นของคุณอัคนีก่อนค่ะว่ามีอะไรที่พอจะทำได้บ้าง"
"ไม่ใช่ ฉันหมายถึงเธอเข้ามาประคองแขนฉันทำไม"
"อ้าว ก็หนูกลัวคุณอัคนีหิวข้าวจนเป็นลมล้มลงไปไงคะ พ่อหนูก็เคยเป็นลมเพราะหิวข้าวมาแล้วเพราะฉะนั้นหนูจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นอีกค่ะ" เธอตอบอย่างใสซื่อจนคนฟังลอบยิ้มมุมปากด้วยความเอ็นดู
"มาค่ะ"
ขณะที่ร่างเล็กกว่ากำลังช่วยพยุงร่างสูงเข้าไปภายในบ้านด้วยความระมัดระวัง
ภูริที่จัดการยกสัมภาระของเด็กสาวไปเข้าเก็บในห้องเก็บของก็เดินกลับออกมาพอดี
สิ่งที่เห็นตรงหน้ามันทำให้เขาถึงกับประหลาดใจในท่าทีของผู้เป็นเจ้านายที่มีต่อเด็กสาวข้างกาย...ธารทิพย์ดูเหมือนจะเป็นเพียงคนเดียวที่ใช้เวลาใกล้ชิดกับอัคนีน้อยที่สุดแต่กลับทำให้อัคนีไว้ใจง่ายที่สุด
คนที่มีศัตรูรอบทิศรอบตัวอย่างอัคนีไม่เคยเปิดโอกาสให้คนแปลกหน้าได้เข้าใกล้ตัวเขาได้เกินระยะสองเมตร
เพิ่งจะมีเจ้าของรอยยิ้มสดใสราวกับพระอาทิตย์นี่แหละที่ทำให้อัคนีแหกกฎของตัวเองออกมาได้ราวกับเป็นเรื่องอัศจรรย์
"คุณอัคนีนั่งรอหนูอยู่ตรงนี้ก่อนนะคะ หนูจะรีบไปทำอาหารมาให้ทานค่ะ...ว่าแต่ห้องครัวไปทางไหนคะ"
"เดี๋ยวฉันพาไป" บอดี้การ์ดหนุ่มกล่าวพลางผายมือแทนคำบอกเล่า
เขาเดินนำหน้าเด็กสาวไปยังห้องครัวซึ่งอยู่ไม่ไกลนักโดยมีสายตาคู่หนึ่งมองตามไล่หลังให้รู้สึกประหลาดใจ
ร่างสูงยืนพิงประตูมองร่างบางที่เดินเข้าไปสำรวจห้องครัวสภาพใหม่เอี่ยมเสียจนคิดว่ามันไม่เคยถูกใช้งานมาก่อนและคาดเดาได้ว่าเธอคงจะเอ่ยประโยคคำถามขึ้นมาหลังสำรวจห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าเสร็จ
"โห ทำไมข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ถึงได้ดูใหม่อย่างกับไม่เคยผ่านการใช้งานแบบนี้หละคะคุณภูริ"
"ก็แน่หละ นายไม่ค่อยได้ทำครัว อาหารส่วนใหญ่ก็ทานมาจากข้างนอกเพราะด้วยความยุ่งของงานในไร่ทำให้ไม่มีเวลามากพอที่จะมายืนใจเย็นทำอาหารทานเอง แต่ก็มีบ้างนานๆ ครั้งที่นายจะลงมือทำอาหาร…ครั้งสุดท้ายที่ทำก็เมื่อสองเดือนที่แล้ว"
"โห แล้วอย่างนี้จะมีวัตถุดิบให้หนูทำอาหารไหมคะเนี่ย" เด็กสาวกล่าวพลางเอื้อมมือไปเปิดตู้เย็นขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้ตัว
"ไม่มี!!"
"มีสิ อยู่ในตู้ข้างๆ นั่นไง"
"บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป!?" เสียงหวานอุทานลั่นเมื่อฝาตู้ถูกเปิดออกให้เห็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหลากหลายยี่ห้อวางเรียงรายละลานตา
"ใช่"
"มันไม่ดีต่อสุขภาพเลยนะคะ"
"หรือเธอมีอะไรให้ทำนอกเหนือจากนี้ล่ะ"
"ไม่มีค่ะ...โอ๊ะ นั่นตำลึงนี่คะ" ธารทิพย์ตาลุกวาวเมื่อหันไปเห็นยอดตำลึงที่ริมรั้ว
ขาเรียวยาวปีนป่ายข้ามวงกบบานหน้าต่างเพื่อออกไปเด็ดเถาตำลึงสีเขียวอ่อนพร้อมกับดวงตาที่ลุกวาวราวกับเจอเรื่องสนุก
"จะห้ามก็คงไม่ทันแล้วสินะแม่สาวน้อย" ชายหนุ่มได้แต่ยืนมองเธอตาปริบๆ
และไม่คิดว่าเด็กสาวท่าทางเรียบร้อยจะมีความทะโมนอยู่ในตัวไม่น้อย
เมื่อได้สิ่งที่ต้องการมาเต็มมือแล้ว ธารทิพย์จึงรีบปีนกลับเข้าครัวพร้อมกับตำลึงกำใหญ่แต่ด้วยความรีบร้อนจนไม่ทันระวังทำให้เท้าของเธอสะดุดเข้ากับวงกบบานหน้าต่างจนร่างบางหน้าทิ่มขมำจวนเจียนจะถึงพื้นกระเบื้องเบื้องล่าง ดีที่ภูริเข้ามารับร่างของเธอไว้ในอ้อมกอดได้ทันท่วงที
"เธอเป็นอะไรไหม เจ็บตรงไหนหรือเปล่า" ชายหนุ่มถามร่างในพันธนาการด้วยความห่วงใย
"หนูปลอดภัยดีค่ะ ขอบคุณนะคะที่ช่วยหนูไว้" ใบหน้าสวยระบายยิ้มก่อนจะรีบพยุงตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง...เธอไม่ทันได้สังเกตแม้แต่น้อยว่าอีกฝ่ายนั้นแสดงออกถึงความดีใจที่ได้ใกล้ชิดกับเธอเสียจนเผลอยิ้มกว้างออกมาอย่างลืมเก็บอาการ
เด็กสาวตรงไปยังหน้าเตาไฟฟ้าก่อนจะตั้งน้ำในหม้อจนเดือดพล่านแล้วจัดการฉีกซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหย่อนลงไปตามด้วยใบตำลึงและปิดท้ายด้วยเครื่องปรุงรสก่อนจะปิดเตา
"หอมน่าทานมากเลยค่ะคุณภูริว่าไหม"
"อืม...อันที่จริงเราก็อายุอานามห่างกันไม่มาก เธอเรียกฉันว่าพี่ก็ได้นะ"
"คะ?"
"เธอเรียกฉันว่าคุณมันดูเหมือนฉันแก่ยังไงก็ไม่รู้ แล้วอีกอย่างฉันก็ไม่ได้ต่างจากเธอเท่าไรนักไม่ต้องให้เกียรติฉันมากหรอก...เพราะนายก็อุปการะฉันมาเหมือนกัน"
"จริงหรอคะ"
"จริงสิ"
ยังไม่ทันทีบทสนทนาบทต่อไปจะเริ่มขึ้นก็มีเสียงดังขึ้นหนึ่งเรียกความสนใจจากชายหญิงทั้งสองเสียก่อน
"ทำอะไรกันทำไมนานนัก"
"เสร็จพอดีเลยค่ะ หนูกำลังจะยกออกไปให้คุณอัคนีทานพอดีเลย"
"ไม่ต้องแล้ว ฉันทานในนี้นี่แหละจะได้ไม่ต้องยกไปยกมาให้เสียเวลา"
"ถ้าอย่างนั้นเชิญนั่งเลยค่ะ" เด็กสาวจัดแจงยกถ้วยบะหมี่มาวางบนเคาท์เตอร์ลายหินอ่อนกลางห้องครัว
"ภูริ"
"ครับนาย"
"นายช่วยไปดูงานในไร่แทนฉันหน่อยสิ เดี๋ยวฉันทานบะหมี่เสร็จว่าจะนอนพักสายตาสักหน่อยวันนี้คงไม่ได้ออกไปเดินตรวจไร่"
"ได้ครับ" บอดี้การ์ดหนุ่มหันมองใบหน้าสวยหวานก่อนเดินจากไปอย่างรู้สึกเสียดายแต่พอนึกถึงสัมผัสที่อยู่ในอ้อมกอดเมื่อครู่ก็ทำให้รู้สึกอิ่มเอมหัวใจได้ไม่น้อยจนเผลอคลี่ยิ้มออกมาเพียงลำพังอีกครั้ง
ความคิดเห็น