ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สิ่งที่เรียกว่า...ความรัก

    ลำดับตอนที่ #5 : จดหมายฉบับสุดท้าย

    • อัปเดตล่าสุด 18 พ.ย. 48


    กระท่อมหลังเล็ก ๆ ริมน้ำคาน





    หวัดดี…ไอ้เอก





    ตอนนี้ข้าอยู่ที่ “เมืองงอย” เมืองเล็ก ๆ ทางด้านเหนือของหลวงพระบาง การเดินทางมาเมืองงอยสมบุกสมบันทีเดียวแหละแก เริ่มจากหลวงพระบางต้องนั่งรถสองแถวเล็กแบบรถสีฟ้าที่หน้ามหาวิทยาลัย รถวิ่งมาทางถนนหมายเลข 13 เหนือของลาว ก่อนที่จะมาแยกเข้าสู่เส้นทางหมายเลข 1 ที่บ้านปากมอง เส้นทางหมายเลข 1 นี่เป็นเส้นทางเก่าแหละแก เพราะเชื่อมแขวงเชียงขวางและหัวพันทางฝั่งตะวันออก เข้ากับแขวงหลวงน้ำทา อุดมไซ ในฝั่งตะวันตก และพงสาลีทางภาคเหนือของลาว เส้นทางเส้นนี้ทางการจีนเข้ามาสร้างไว้ตั้งแต่สมัยครั้งสงครามกลางเมืองลาวร้อนระอุนั่นแหละแก และจีนก็เข้ามาสร้างถนนในลาวโดยไม่ปรึกษาทางการลาวเสียด้วยสิ



    แกเริ่มงงอะดิว่าทำไมข้าถึงแม่นประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์นัก



    ไอ้วิมว่ะแก



    ไอ้วิมมันบอกข้าจนข้าจำขึ้นใจเลยทีเดียว มันให้ข้าจำว่า “หลวงน้ำทา” สามารถต่อรถมา บ่อแก้วที่ฝั่งเชียงของ ติดกับเชียงรายได้ ส่วน “เชียงขวาง” นั้นถ้าเอ็งเคยเห็นภาพทุ่งไหหินอันกว้างขวางนั่นแหละแก มันตั้งอยู่ที่แขวงเชียงขวาง แต่มันตั้งอยู่ที่เมืองโพนสวรรค์ซึ่งเป็นเมืองเอกำของแคว้นเชียงขวางแทนเมืองคูณที่โดนไอ้กันขนระเบิดมาบอมซะตอนสงครามเวียดนามไงแก



    ตอนที่ข้ามาเมืองงอยนะแก ข้าแทบจะบ้าตาย เพราะการเดินทางในประเทศลาวนี้หาความสะดวกสบายไม่ได้เลยนะแก ถนนหนทางล้วนแต่ลำบากเพราะผ่านการสร้างมานานแล้ว แต่พอมาถึงนะ หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลยแหละแกเอ้ย แม้เมืองงอยจะเป็นเมืองเล็ก ๆ แต่ข้ากลับรู้สึกเหมือนหลงมาในดงฝรั่ง เพราะอะไรเหรอแก ในเมืองเล็ก ๆ ที่แฝงไว้ด้วยมนต์เสน่ห์ของเมืองแห่งนี้ ล้วนโอบล้อมด้วยขุนเขารูปร่างแปลกตาแทบทั้งสิ้นเลยแหละแก เขาแต่ละลูกก็เป็นเขาหินปูน ที่มีรูปร่างแปลกตาข้าล่ะอยากให้เอ็งมาเห็นจริง ๆ เลยพับผ่าสิ



    ไอ้เอก…



    ตอนที่ข้าเดินทางมานะ ไอ้วิมมันถามข้าแปลก ๆ ด้วยแหละแก มันถามข้าว่าข้าเชื่อเรื่องรักแรกพบมั้ย?



    เอ็งก็รู้ คำตอบแหละน่าว่าข้านะ เชื่อเสียยิ่งกว่าเชื่อเสียอีก



    ข้าเชื่อสนิทเลยแหละแก เพราะข้านะรักแกตั้งแต่แรกพบเสียแล้วไงล่ะ แต่มันก็เป็นรักข้างเดียวเสียมากกว่า เพราะยังไงแกก็ให้ได้แค่ความเป็นเพื่อนกับข้าเท่านั้นแหละ อย่างว่าแหละนะ ข้าเกิดมาเพื่อแก แต่แกไม่ได้เกิดมาเพื่อข้านี่หว่า



    ภาณุทัศน์….ข้าไม่รู้ว่าข้าทำผิดหรือปล่าว วันแรกที่ข้ามาถึงเมืองงอย ข้าเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ ในขณะที่ข้ากำลังเพลินกับสายน้ำที่ไหลเย็นอยู่นั้น ไอ้ตุ๊กแก เจ้ากรรม สัตว์ที่ข้าเกลียดนักเกลียดหนามันโผล่มาตอนไหนก็ไม่รู้ ข้าร้องเสียดังลั่น ไอ้วิมรีบปรี่เข้ามาช่วยไล่มันไป แต่นั่นแหละแก ข้าในสภาพที่เปลือยโทงเทง มันไปกระตุ้นต่อมอะไรของไอ้วิมไม่รู้ มันเลยแก้ผ้าอาบน้ำกับข้าด้วย แล้วต่อไปจากนั้นแกก็น่าจะเดาถูกนะว่ามันเกิดอะไรขึ้นอีก แต่ข้ายืนยันได้นะแก ข้าไม่ได้คิดถึงไอ้วิมเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่ข้ามีอะไรกันใจข้ากลับนึกว่ามีอะไรอยู่กับแกตลอดเลยว่ะ



    จนกระทั่งเสร็จนั่นแหละ สติสัมปชัญญะข้ามันถึงเริ่มฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ทีแรกข้าก็เสียใจแหละที่มันเกิดเรื่องอย่างว่า แต่เมื่อลองคิดดูอีกที จะเสียใจไปทำไมกัน เราย้อนเวลากลับไปไม่ได้นี่หว่า เพราะฉะนั้นอะไรจะเกิดต่อจากนี้เราคงก้มหน้ารับกับชะตากรรมของมัน แกอาจจะโล่งใจที่อย่างน้อยแกก็ไม่ต้องมามีอะไรกับข้า เพราะข้าเผลอตัวไปมีอะไรกับวิมเสียแล้ว



    แต่ข้าไม่เผลอใจนะโว้ย ถึงข้าจะชอบคนง่ายแต่ข้าก็รักคนยากแหละแก



    อีกอย่างวิมมันไม่ได้พูดสักคำว่ารักข้า ข้าเลยไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันเกิดเพราะความรัก ความใคร่ ความสนิท หรือความอะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ ข้ายืนยันได้คำเดียว รักแกว่ะ แต่ข้าคงต้องจบเรื่องราวทางจดหมายกับแกแค่ฉบับนี้แล้วล่ะ



    เพราะอะไร? น่ะหรือภาณุทัศน์



    อย่างน้อย ข้าก็จะได้รู้ตัวเอง ว่ารู้สึกอย่างไรกับวิมมันนะสิ เพราะถ้าข้ายังเขียนจดหมายหาแกแบบนี้ ข้าจะไม่มีวันรู้หัวใจตัวเองเลย ว่าในหัวใจของข้ารู้สึกอย่างไหนกันแน่ ภาณุทัศน์ ต่อจากนี้เส้นทางระหว่างฉันกับแกมันคงต้องห่างกันแล้วจริง ๆ หรือ?



    ข้าใจหายวาบเลยว่ะ



    ข้าเคยชินกับการมีแกมาตลอดสี่ปีเต็ม และข้าไม่เคยนึกเลยว่าข้าจะห่างแกได้นานเกินสามวัน แต่นี่มันก็เป็นอาทิตย์แล้วล่ะที่ข้าไม่ได้เจอกับแก แรก ๆ มันเหมือนใจจะขาดรอน ๆ เสียให้ได้ มันหวิว ๆ เหมือนโลกนี้มีแต่สีเทา มันเหงามันหมองมันหม่นไปหมด ยิ่งตอนวันที่แกบอกให้ข้าติดต่อน้องแหม่มให้ด้วยแล้วล่ะก็ ข้าแทบอยากให้ดินมันสูบข้าจมหายลงไปต่อหน้าแกเลยล่ะ หัวใจน้อย ๆ ของข้ามันแหลกละเอียดเหมือนโยนลงในโถปั่นน้ำผลไม้เลยแหละแก



    จุดหมายปลายทางในลาวของข้ายังอีกหลายที่ว่ะ ออกจากเมืองงอยข้าจะไปโพนสะหวัน แขวงเชียงขวาง ที่นั่นมีทุ่งไหหินและตลาดอินโดจีน มีชาวเวียดอีกมากมายที่เข้ามาหากินในลาว และจะกลับไปหลวงพระบางอีกครั้ง วิมบอกอาจไปวังเวียงด้วยถ้ามีเวลา แต่ถ้าไม่มีก็คงกลับเชียงใหม่ แล้วหลังจากนั้นชีวิตข้าจะเป็นอย่างไรบ้างข้าก็ยากที่จะคาดเดาเลยแหละแก



    ข้าคงต้องจบจดหมายฉบับนี้ ทั้ง ๆ ที่ข้าไม่อยากจบมันเลย เพราะข้าไม่รู้เหมือนกันว่าหลังจากจดหมายฉบับนี้แล้ว เส้นใยบาง ๆ ระหว่างข้ากับแกมันจะขาดลงหรือไม่ เพราะข้าเดินก้าวข้ามเส้นนั้นไปแล้วตั้งแต่วันแรกที่ข้าเขียนจดหมายหาแกไง ข้าก้าวข้ามเส้นแห่งคำว่า “เพื่อน” และอาจมากเกินกว่าที่เพื่อนอย่างแกจะรับได้ แต่ข้าก็หวัง ให้แก เพื่อนที่ดีที่สุดในชีวิตของข้าได้อวยพรให้ข้าได้พบกับสิ่งที่หัวใจข้าปรารถนา ซึ่งข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้หัวใจข้าปรารถนาใครกันแน่ แต่แกรู้ไว้เถอะ……ภาณุทัศน์



    เมื่อสี่ปีก่อน……….ข้ารักแกว่ะ



    เมื่อปีก่อน…………หัวใจข้าก็อยู่กับแก



    สองสัปดาห์ก่อน………ข้ายังอยากใช้ชีวิตร่วมกับแกแบบที่ข้าหวัง



    วันนี้……….ข้าก็ยังบอกได้ รักแกว่ะ



    พรุ่งนี้…….ข้าตอบไม่ได้เหมือนกัน เพราะตอนนี้ร่างกายข้าอยู่กับวิม แต่หัวใจ……..ข้ายังตอบแกไม่ได้เหมือนกันว่ะ



    ข้าเห็นทีจะจบจดหมายฉบับนี้ ซึ่งเป็นฉบับสุดท้ายของข้าจริง ๆ แล้วล่ะ จะจบแบบไหนดีนะที่แกจะจดจำข้าได้บ้าง





    รักวายุบ้างไหม………ภาณุทัศน์





    วายุ





    ปล. ข้าหวังว่า ในวันหน้าถ้าเราได้เจอกัน ข้าจะยังเป็นเพื่อนที่แกกล้าเดินกอดคอเหมือนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย เรายังคงเป็นเพื่อนรักกันใช่ใหม………ภาณุทัศน์

    .

    .

    .

    .

    .



    รถแท็กซี่เลี้ยวเข้ามาในซอยที่หมู่บ้านขนาดใหญ่ริมถนนรัตนาธิเบศน์ แล้วจอดลงที่บ้านเดี่ยวขนาด 60 ตารางวา ภาณุทัศน์จ่ายค่ารถ พลางเดินลงไปหยิบกระเป๋าเป้ใบใหญ่ที่ด้านหลังเข้ามากระชับที่ไหล่ ก่อนจะเดินเปิดประตูเล็ก ๆ แล้วเดินเข้าไปในบ้านที่ตกแต่งสวนสไตล์ทางเหนือ



    “เจ๊หวัดดี แม่ไม่อยู่เหรอ” เอกทักทายหญิงสาวที่นั่งง่วนอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ เขาค่อย ๆ วางกระเป๋าแล้วเดินไปรินน้ำจากตู้เย็น



    “ยังไม่กลับจากออฟฟิศเลย ว่าแต่แกเหอะตาเอก ไปสิงคโปร์กับป๊า แล้วทำไมกลับมาก่อนล่ะ”



    “เบื่อนะเจ๊ ป๊าพาไปดูงานที่โน่นที่นี่ทุกวันเลย ป๊าแกไปฮ่องกงต่อ ทีแรกนะจะเอาชั้นไปด้วยแต่ชั้นขอบาย บอกจะกลับมาดูผลสอบ” วายุวางแก้วไว้กับโต๊ะรับแขก



    “แกจะบ่นไปทำไมว๊า แกมันลูกชายคนเดียว อีกหน่อยกิจการค้าที่ป๊าเขาร่วมกับเพื่อนแกก็ต้องดูแล แก จบแล้วเดี๋ยวป๊าก็หาเมียให้แกแต่งการแต่งงานแหละ”



    “ไม่ต้องเลยเจ๊ เรื่องนี้ชั้นขอเลือกเอง” วายุหยิบรีโมทมาเร่งเครื่องปรับอากาศให้เย็นขึ้นอีก “…..เมืองไทยนี่ร้อนขึ้นทุกวันเลยนะเจ๊”



    “เออ แกไม่อยู่ตั้งสองอาทิตย์ มีจดหมายมาหาแกทุกวันเลยว่ะ จากต่างประเทศเสียด้วยสิ โน่น อยู่บนโต๊ะหลังทีวีโน่นแน่ะ”



    “ขอบใจนะเจ๊” ภาณุทัศน์เดินไปหยิบจดหมายทั้งปึกมา แค่หน้าซองเขาก็ยิ้มออก ลายมือแบบนี้ สมัยเรียน อาจารย์เคยบอก ยิ่งกว่าไก่เขี่ย



    “ยิ้มแป้นเชียวนะ สาวเขียนมาหรือไง”



    “แหมเจ๊ เพื่อนนะ” ภาณุทัศน์ปรี่ เข้ามาหยิบกระเป๋าแล้วเดินขึ้นไปบนห้อง



    ถ้าเป็นคนอื่น จะต้องแกะจดหมายอ่านในทันที แต่ภาณุทัศน์ไม่ใช่ เขาคิดว่า วายุต้องเขียนมาเล่าเรื่องต่าง ๆ เหมือนที่เจ้าตัวเคยเล่าเวลาไปไหนมาไหนเสมอ ภาณุทัศน์เปลี่ยนเสื้อผ้าเข้าไปอาบน้ำ เขาคิด จดหมายวายุน่าจะมีแต่เรื่องสนุกสนาน รอเขาสักเดี๋ยวนะ ขออาบน้ำให้หายร้อน แล้วจะนอนอ่านจดหมายจากเพื่อนรัก เขาจะอ่านมันทุกตัวอักษรทีเดียวแหละ



    ภาณุทัศน์ออกมาจากห้องน้ำ หยดน้ำเกาะพราวตามตัว ผิวของภาณุทัศน์ไม่ขาวเหมือนป๊า แต่ได้ผิวดำแดงมาจากแม่ เขาเอาผ้าผืนเล็กเช็ดผมที่เปียก แล้เดินมาหยุดมองที่กระจก เขามองตัวเองในกระจก เห็นชัด “สร้อย” หนังสีดำเส้นเล็ก ๆ ที่จี้ของมันเป็นหอยตัวน้อย วายุเก็บหอยจากเสม็ดคราวนั้นแล้วมาร้อยกับสายหนัง ให้เขาเป็นของขวัญวันเกิด แม้มันจะไม่มีราคาค่างวดใด ๆ แต่มันมีค่าทางจิตใจสำหรับภาณุทัศน์



    “ค่ามิได้อยู่ที่ราคา แต่อยู่ที่ความตั้งใจของผู้ให้”



    ภาณุทัศน์ยิ้มกับตัวเองในกระจก



    “ไอ้วาเอ้ย นึกไงว่ะไปเที่ยวลาว” เขาเอ่ยเบา ๆ พลางยิ้ม เพราะซองจดหมายปั๊มตราชีดเจน LAOS



    เขามานั่งพิงกับหัวเตียงเอาหมอนรองด้านหลัง หยิบจดหมายวายุทั้งปึกมาดู จดหมายไม่มีรอยฉีก แถมเรียงฉบับก่อนหลังไว้ต่างหาก ภาณุทัศน์ให้มีดกรีดจดหมายออกอย่างเบามือราวกับว่ากลัวมันจะเฉือนเนื้อในของจดหมายไปด้วย



    ภาณุทัศน์อ่านจดหมายช้า ๆ ใบหน้ามีความสุขทีเดียวแหละ จนกระทั่งมาถึง





    …………………แกจำวันสอบวันสุดท้ายได้ไหม สำหรับข้าตั้งใจเป็นอย่างมากที่จะบอกบางสิ่งบางอย่างกับแก สิ่งที่ข้าเก็บมาร่วมสี่ปี

    “กูรักมึงว่ะ”

    มันน่าจะเป็นคำพูดที่ดีที่สุดที่คนอย่างข้าจะกล้าบอกกับแก แต่ข้ากลับไม่ได้ใช้มัน…………………..







    “โธ่ ไอ้วา กูทำอะไรลงไปนี่”



    ภาณุทัศน์มันคับแน่นในหัวอก บางสิ่งบางอย่างวิ่งจากภายในท้องมาจุกอยู่ระหว่างอก ใจมันสั่นแรง มันกัดริมฝีปากตัวเองเบา ๆ เงยหน้าขึ้นฟ้า มือมันกำจดหมายเอาไว้แน่น



    มันค่อย ๆ เอนตัวลงเบา ๆ กับเตียง ภาพวันนั้นมันติดตรึงตา มันเองก็ตั้งใจเหมือนวายุ มันอยากจะบอกวายเหมือนกันแหละ



    “ไอ้วากูรักมึงว่ะ”



    แต่ไม่รู้ผีห่าตัวไหนที่มาสิงมันในตอนนั้นทำให้มันไม่กล้า มันกลัวว่าถ้ามันพูดออกไปแล้ววายุจะหนีจากมันไปหรือเปล่า เพราะในความสัมพันธ์ของมัน มันไม่เคยคิดระแวงถึงความเป็นอื่นเลย มันไม่กล้าเดินก้าวข้ามเส้นใยบาง ๆ ไปด้วยซ้ำ มันได้แค่ยืนประจันหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างรีรอที่จะให้อีกฝ่ายก้าวข้ามมา



    ภาณุทัศน์รู้แล้ว หัวใจตัวเองไปไกลเหลือเกิน เขาเองที่ผลักหัวใจตัวเองไปไกลเสียด้วยซ้ำ



    “มึงติดต่อให้กูหน่อยดิ กูรักน้องแหม่มว่ะ”



    มันไม่รู้จะพูดอะไรดีในเวลานั้น ประโยคนี้นะหรือ ที่ผลักไสไล่หัวใจมันไปไกลขนาดนั้น มันโง่เองแหละ โทษใครเขาได้ โง่ที่ไม่กล้าบอกสิ่งที่เก็บไว้ในหัวใจ ภาณุทัศน์ค่อย ๆ พับจดหมายฉบับแรกตามรอยเดิม เขาเอามือปาดน้ำตาที่มันไหลรินเอ่อออกมา สายตาเหลือบไปมองจดหมายทั้งกอง ก่อนที่จะตัดสินใจหยิบมันขึ้นมาอีกฉบับ ภาณุทัศน์ค่อย ๆ แกะจดหมายด้วยใจสั่นระทึก







    …………….อันที่จริงข้าควรจะเขียน “อีแมว” (E-mail) หาแกมากกว่า แต่ข้าจนหัวอกหัวใจเหลือเกิน สิ่งแรกข้ากลัวจะได้รับอีแมว ตอบจากแกว่ะ……………

    ไอ้เอก…ข้าไม่รู้เหมือนกันว่า เอ็งจะจำที่แรกที่เราพบกันได้หรือปล่าว แต่สำหรับข้า ข้าไม่เคยลืม มันเป็นที่เดียวในชีวิตที่ข้าจะไม่ลืมมันเลย ที่ไหนนะหรือเอ็งจะลองทายดูมั้ยล่ะ

    “ก็ที่เดียวกับที่ข้าเดินจากมาเมื่อสองสัปดาห์ก่อนนั่นไง”………………………





    ภาณุทัศน์หยุดสายตาไว้แค่นั้น ภาพครั้งหลังเขาจำได้ดี ในวันที่เขากำลังคุยสนุกสนานกับเพื่อนอยู่ ผ่ามือหนัก ๆ ก็ฟาดเปรี้ยงมากลางหลัง พร้อมทัก “ไอ้เจมส์” แต่พอเขาหันกลับไปเท่านั้น คนที่ฟาดมาสีหน้าซีดเผือก เขาอยากจะเอาเรื่อง แต่ไม่รู้สิ ไม่รู้ทำไม เขากลับรู้สึกเป็นสุขเมื่อเห็นคนที่ฟาดหลังเขาเต็มตา



    ภาณุทัศน์พับจดหมายเก็บตามรอยเดิม เขาลุกขึ้นใส่เสื้อผ้า แล้วรวบจดหมายที่เหลือทั้งหมดลงเป้ใบเล็ก ภาณุทัศน์หยิบเป้ใบใหญ่ที่ยังไม่ได้รื้อข้าวของออกมาแม้แต่ชิ้นเดียว เขาวิ่งลงบันไดมาอย่างรวดเร็ว



    “เจ๊….เจ๊…..ยืมตังค์สองหมื่นดิ ป๊ากลับมาจะใช้ให้” ภาณุทัศน์เข้าประชิดที่ตัวพี่สาว



    “อะไรกันแก ตั้งสองหมื่น แกจะไปไหนอีกล่ะนั่น” พี่สาวคนเดียวมองไปทางเป้ใบเดิม



    “น่าเจ๊ ถ้าเจ๊ไม่ช่วยชั้นต้องตายแน่ ๆ เลยเจ๊” ภาณุทัศน์เขย่าแขนพี่สาวคนเดียวพร้อมส่งสายตาอ้อนวอนสุดชีวิต



    “เออ…เออ….แกนะแก ไถดะเลย รอแปบนะ” ปากบ่นแต่คนเป็นพี่เดินกลับขึ้นไปบนห้อง



    ภาณุทัศน์ยิ้ม อย่างน้อยเขาก็มีดอลลาร์ที่ยังไม่ได้แลกอีกร่วมสามร้อยดอล กับเงินที่ยืมพี่อีกสองหมื่น มันคงเพียงพอให้เขาคามหาใครสักคน มันจะบินไปเชียงใหม่ แล้วค่อยหาทางไป หลวงพระบาง ตามจดหมายของไอ้วา มันอาจจะยังไม่กลับจากเที่ยวตามเมืองต่าง ๆ แต่เขาจะรอที่หลวงพระบาง เห็นไหม เขามีแผนที่คร่าว ๆ เอาไว้แล้ว



    “เอาไป นี่ตกลงแกจะไม่บอกชั้นเลยเหรอว่าจะไปไหน” พี่สาวส่งเงินให้ ภาณุทัศน์รับเงินจากพี่



    “ขอบใจมากนะเจ๊ กลับมาชั้นจะเอาที่ป๊าจ่ายเจ๊คืนล่ะกัน ไปนะเจ๊” ภาณุทัศน์หยิบกระเป๋าเขากระชับที่ไหล่ แล้วอีกมือหิ้วเป้ใบเล็กที่บรรจุจดหมาย



    “แผนที่คร่าว ๆ ของเขาไง”



    “นี่ตกลงแกให้ชั้นบอกแม่ว่าแกไปไหน” หญิงสาวตะโกนไล่หลัง



    “หลวงพระบางเจ๊” ภาณุทัศน์หันมาตะโกนบอก



    หัวใจเขาโลดแล่นตามวายุไปแล้ว เขาจะต้องไปเริ่มต้นที่ดอนเมือง แล้วซื้อตั๋วเครื่องบินเที่ยวที่เร็วที่สุดไปเชียงใหม่ หลังจากนั้นเขาจะหาทางเข้าหลวงพระบาง อาจจะทางเดียวกับที่วายุเดินทางไป แต่ถ้าไปเร็วกว่านั้นได้ เขาก็จะไป



    ภาณุทัศน์พร้อมจะไปตามหัวใจตัวเองคืน ทั้ง ๆ ที่ได้อ่านจดหมายแค่สองฉบับ หัวใจเขาเร่าร้อน อยากไปเจอวายุให้เร็วที่สุด



    ฝนกระหน่ำเทลงมาตั้งแต่เมื่อรุ่งสางยังไม่มีที่จะจะหยุดลงง่าย ๆ หนำซ้ำยังหนาเม็ดขึ้นเรื่อย ๆ เมืองงอยเป็นเมืองที่โอบล้อมด้วยป่า ฝนตกจึงครึ้มกว่าในเมือง วิมเปิดหน้าต่างแง้มไว้ ละอองฝนกระเด็นเข้ามาโดนหน้าเป็นบางครั้งเมื่อลมพัดผ่านมาทางเดียวกัน สายฝนหนาเม็ดจนมองแทบไม่เห็นกระท่อมที่อยู่ใกล้กัน



    “ฝนหลงฤดูว่ะ ตกแรงเสียด้วยสิ” วิมบ่นเพราะขัดใจที่ฝนเป็นสาเหตุให้เขาไม่สามารถไปไหนมาไหนได้ในวันนี้



    “นานมั้ยนี่วิม ถึงจะหยุด” คนนั่งเหม่อริมหน้าต่างอีกฝั่งมองสายฝน



    หยดน้ำไหลลงมาจากฟ้า ตกกระทบหลังคา แล้วค่อย ๆ ไหลลงรวมลงที่พื้นดิน ก้อนค่อย ๆ ไหลลงไป สู้ลำน้ำอู ที่เป็นเหมือนเส้นเลือดใหญ่ของเมืองงอย น้ำอูที่เคยใส ขุ่นข้นเพราะแรงน้ำที่ไหลชะเอาดินแดงลงมา



    “น่าจะนานเอาการแหละ สงสัยวันนี้ฝนตกทั้งวันแหงเลย เบื่อเหรอ”



    “ป่าว เราไม่ชอบฝนเลย มันดูเหงา ๆ ยังไงไม่รู้”



    วิมขยับตัวเข้ามาใกล้ เขาเอาคางวางไว้ที่ใหล่ของวายุ ใช้สองมือสวมกอดจากด้านหลัง กลิ่นกายวายุหอม จนวิมแทบไม่อยากปล่อยมือออกจากอ้อมกอดเลย



    “ช่างฝันนะเรานะ” วิมกระซิบที่ข้างหูวายุเบา ๆ ก่อนหอมไปที่แก้ม



    วายุหน้าแดงเรื่อ เอาเอียงหน้าด้วยความอาย



    “เดี๋ยวคนเห็น”



    “ใครจะมาดูเล่า ฝนตกหนักขนาดนี้ อยากกอดวาเอาไว้อย่างนี้”



    ลมปากหอมหวานเสมอแหละ วายุเคลิบเคลิ้มเพราะไม่เคยมีใครมาเอาอกเอาใจมากขนาดนี้ เขาเอามือเกาะกุมมือของวิมเอาไว้ สายตาทอดยาวออกไปในสายฝนที่หนาเม็ดราวกับว่าจะมองให้เห็นอะไรที่ซ่อนอยู่ในม่านสายฝน



    วิมไม่หยุดแค่กอด วายุนอนหงายแววตาจ้องมองวิมที่ใบหน้าห่างกันแค่คืบ



    แค่คืบเท่านั้นจริง ๆ



    วิมยิ้มเล็กน้อย โลกของวายุสว่างเพราะรอยยิ้มของวิม วิมค่อย ๆ เอาริมฝีปากมาจรดที่หน้าผาก วายุหลับตาพริ้ม ลมหายใจอุ่น ๆ กระทบที่ผิวของวายุ มันมีกลิ่นหอม ๆ วิมลากจมูกของตัวเองมาชนที่ปลายจมูกของวายุอย่างช้า ๆ เขาหยุดนิ่งเอาไว้ตรงนั้น



    ปลายจมูกมันชนกันเบา ๆ



    แม้ฝนจะยังตกหนัก แต่ภายในห้องกลับเร่าร้อนด้วยเพลิงอารมณ์



    “วา….เราขอนะ” เสียงวิมอ้อนวอน



    วายุพยักหน้ารับ มาถึงขั้นนี้แล้ว อะไร ๆ มันก็ควรจะดำเนินไปในทางเดินหน้ามิใช่หรือ



    สายฝนยังคงกระหน่ำ แต่ภายในกระท่อมทุกอย่างนิ่งเงียบ

    .

    .

    .

    .

    .





    ภาณุทัศน์มาถึงเชียงใหม่เอาเกือบบ่ายสาม เขาแหงนหน้ามองป้ายบอกไฟล์ขาออก ยังพอมีเวลา ขอแค่มีที่ว่างเท่านั้น ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงขอช่วยให้เขาได้ไปหลวงพระบางในวันนี้ด้วยเถอะ เขาเดินปรี่ไปที่เคาเตอร์ของการบินลาว ที่ตั้งอยู่ในสนามบินเชียงใหม่ ด้วยอาการร้อนรน



    “ขอโทษนะครับ หลวงพระบางวันนี้มีที่เหลือมั้ยครับ” ภาณุทัศน์ก้มหน้าไปตรงช่องที่พนักงานขายตั๋ว



    “มีค่ะ กี่ที่ค่ะ”



    ภาณุทัศน์ยิ้ม อย่างน้อยเขาไม่โชคร้ายจนเกินไปหรอก รออีกเดี๋ยวนะวาย รอไอ้เอกก่อน แล้วไอ้เอกคนนี้แหละจะตามหาเอ็งให้ทั่วหลวงพระบางเลย ต่อให้ต้องพลิกแผ่นดิน ถ้าได้เจอวายุ ไอ้เอกคนนี้ก็จะทำ



    “ที่เดียวครับ”



    “ขอพาสปอร์ตด้วยค่ะ ขาเดียวหรือไปกลับค่ะ” วายุส่งหนังสือเดินทางเล่มสีแดงเลือดนกให้



    “ขาเดียวครับ”



    “สักครู่นะค่ะ” หล่อนรับหนังสือเดินทางไป แล้วคีย์ข้อมูลเข้าคอมพิวเตอร์



    “สองพันแปดร้อยบาทค่ะ”



    ภาณุทัศน์ส่งธนบัตรใบละพันสามใบ หล่อนส่งตั๋ว พาสปอร์ตพร้อมเงินทอนคืน “ขอบคุณค่ะ ขอให้สนุกกับหลวงพระบางนะค่ะ”



    วายุรับตั๋วมาดู



    “Sun CNX 1540 LPQ 1640 QV645 AT7”



    เมื่อเห็นเวลาจากหน้าตั๋ว ภาณุทัศน์รีบแผ่นไปที่ห้องรับรองผู้โดยสารขาออกทันที เพราะเหลือเวลาอีกไม่ถึงชั่วโมง เขาต้องเขียนเอกสารออกนอกประเทศอีก ภาณุทัศน์วาดฝัน อย่างไรเสียหลวงพระบางไม่น่าจะกว้าง ในจดหมายของวายุก็บอกมาว่าวายุพักที่ซอยไปรษณีย์ ไอ้ซอยไปรษณีย์ที่หลวงพระบางนี่มันจะมีสักกี่ที่กันเชียว



    ภาณุทัศน์ไม่เคยคิด วายุจะเปลี่ยนใจหรอก ถึงจะมีใครกี่คนที่เข้ามาใกล้ชิด แต่ภาณุทัศน์เชื่อ เขายังสำคัญกับวายุเสมอแหละ ในใจของภาณุทัศน์วาดแต่สิ่งดี ๆ ไว้ตลอด



    เหมือนเหรียญที่มีสองด้าน แต่ภาณุทัศน์มองแค่ด้านเดียว
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×