ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สิ่งที่เรียกว่า...ความรัก

    ลำดับตอนที่ #4 : ใช่รักหรือป่าว

    • อัปเดตล่าสุด 18 พ.ย. 48


    คืนที่เหงา……กับดาวเป็นเพื่อน





    ภาณุทัศน์





    ไอ้เอกวันนี้ข้าเปลี่ยนบรรยากาศว่ะ หลังจากที่เมื่อวานไปเที่ยวน้ำตกกวางสี วันนี้ข้าเลยอยู่ตะรอนเที่ยวในวัดวาต่าง ๆ ของหลวงพระบาง โดยการเช่าจักรยาน LA. 40 บาทต่อวันนะแก แกไม่เชื่ออีกแหละว่าคุณหนูน้อยอย่างข้าจะยอมปั่นจักรยานกลางแดดเปรี้ยง ๆ แต่เชื่อเหอะแก ข้าทำได้ ทีแรกข้ายังไม่ชินทางคอยปั่นทางซ้ายอยู่เรื่อยเลย แต่วิมมันคอยขี่มาประกบแล้วบอกให้เปลี่ยนทางไปด้านขวา ข้าเลยนึกได้ ไอ้ประเทศนี้มันขี่กันทางขวานี่หว่า



    ข้าเพิ่งรู้วันนี้แองนะแก ว่าการที่เราจะเข้าไปไหว้พระที่หลวงพระบางนั้นเราต้องจ่ายค่าเข้าวัดด้วยอ่ะ ทีแรกข้ายังงงกับป้าแก่ ๆ ที่ตะโกนบอกมา



    “ซื้อปี้ด้วย”



    ข้าไม่เข้าใจเลยตะโกนกลับไป



    “ไม่ซื้อหรอกป้า ป้าแก่แล้วผมไม่ชอบคนแก่” ป้าแกทำหน้าเหมือนแดกบอระเพ็ดเลยแหละแก ไอ้วิมสิเอาแต่หัวเราะข้าท่าเดียว ข้าสิกลับทำหน้างงแล้วค้อนมันเข้าเสียยกใหญ่



    “หัวเราะทำไม หรือเอ็งจะซื้อคนแก่”



    วิมมันยังยิ้ม ส่ายหน้าช้า ๆ



    “ไม่ใช่ไอ้วา ปี้นะภาษาลาวหมายถึงตั๋ว ไม่ใช่ให้เอ็งไปปี้ป้าแก”



    มันเพิ่งมาบอกอะไรเอาตอนนี้ มิน่าละป้าแกถึงทำหน้าแบบนั้นเมื่อข้าบอกแกว่าไม่ซื้อหรอกเพราะป้าแก่แล้ว เออ! แต่ถ้าป้าแกเกิดอยากให้ข้าปี้ขึ้นมาข้าจำทำยังไงหว่า



    “วัดเชียงทอง” นี่เป็นวัดสำหรับเจ้ามหาชีวิตเก่าของลาวเลยแหละแก แต่นั่นแหละ ประตูทางเข้าทั้งสี่ทิศของวัดมีคนมาตั้งโต๊ะเก็บเงินค่าเข้าวัดกันทั้งนั้น ข้าละงงเลยจริง ๆ พับผ่าดิ ทำไมเหรอเราชาวพุทธต้องเก็บเงินด้วยเหรอเวลาจะไหว้พระ แต่นั่นนั่นแหละแก เมืองท่องเที่ยวอะไร ๆ ก็เงินไว้ก่อน อ้าวก็เงินมันพระเจ้าตัวใหม่ของเรานี่หว่า ข้าอยากให้แกมาเห็นหลวงพระบางด้วยตาจังเลย ที่นี่เป็นเมืองเงียบสงบตึกรามบ้านช่องล้วนแต่เป็นบ้านเมืองเก่า ๆ ข้าเห็นตึกสี่ชั้นแค่ตึกเดียวเองว่ะนอกจากนั้นมันเป็นตึกสองชั้นแทบทั้งสิ้น บางตึกเป็นตึกทรงฝรั่งผสมกับสถาปัตยกรรมล้านช้างดูคลาสสิคเชียวแหละแก



    วันนี้วิมมันต้องไปเลี้ยงลูกค้าที่เป็นเอเย่นต์ทัวร์บริษัทพี่นัท ข้าเลยต้องออกมาหาอะไรกินคนเดียว ข้าเลยขี่จักยานมาเรื่อย ๆ จนถึงริม “น้ำคาน” ก็แม่น้ำอีกสายไงละแก หลวงพระบางนี่นอกจากแม่น้ำโขงที่ไหลตั้งแต่เหนือจดใต้แล้วยังมีแม่น้ำคานอีกสาย ที่ไหลมาจากทางด้านตะวันออกของเมืองไหลมาบรรจบกันที่ “ปากคาน” ที่แม่น้ำสองสายมาบรรจบกับแม่น้ำใหญ่นั่นแหละแก ที่นี่เรียกตามชื่อแม่น้ำเล็ก ๆ ว่ะ อย่างปากคาน ปากอู ปากซอง ทำนองนี้แหละ



    เออ! พูดถึงแม่น้ำทำให้ข้านึกถึงตอนซัมเมอร์ของปีสอง ที่เอ็งไปไล่จีบเด็กบัญชี ที่ชื่อ น้องอั้ม เอ็งจำได้มะ อั้มมันก็ชอบแกอยู่แหละ เพราะสายตามันฟ้อง ข้าดูออกว่ะ เพราะคนชอบกันมันดูกันออก แล้วแกก็มาอ้อนให้ข้าไปเป็นเพื่อนเอ็งที่เสม็ด เพราะอั้มขาจะไปเที่ยวเกาะเสม็ดกับเพื่อน ๆ ร้อยวันพันปีข้าอยากไปกับแกทุกฝีก้าวแหละ แต่คราวนี้ข้าไม่อยากไปเลยให้ตายดิเอ๊า จะให้ข้าไปทำไมล่ะว๊า ในเมื่อแกจะไปกับแฟนแก ข้าคนที่แอบหลงรักแกตั้งแต่วันแรกก็ช้ำใจตายอะดิ ตลอดทริป แค่ข้านึกภาพที่ตลอดการเดินทางข้าต้องทนเห็นภาพบาดใจระหว่างแกกับอั้ม แกคิดว่าหัวใจข้าจะเป็นอย่างไรล่ะ แต่ข้าก็ต้องไป เพราะอะไรหรือแก



    เพราะ ข้าอยากมีเวลาอยู่กับแกไง



    อีกอย่าง ข้าเคยได้ยินมา อย่าหาว่าข้าทะลึ่งสิแกก็เขาบอกมาอย่างนั้นนี่หว่า



    “ไปเสม็ดเสร็จทุกราย”



    แต่พระเจ้าก็เห็นใจข้าแหละแก เพราะน้องอั้มดันหวงเนื้อหวงตัวไม่ยอมให้แกนอนด้วย แกเลยต้องนอนห้องเดียวกับข้า แกเลยไม่เสร็จน้องอั้ม นั่นแหละส่วนที่ข้าดีใจล่ะ แถมยังต้องคอยเช็ดอ้วกให้ข้าอีกต่างหาก เพราะอะไรหรือที่คนที่ไม่เคยเมาอย่างข้าต้องเมา



    แกไม่รู้จริง ๆ เลยหรือไง ภาณุทัศน์



    .

    .

    .

    .



    สองปีก่อน



    รถทัวร์สีฟ้าค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากสถานีเอกมัยอย่างช้า ๆ ด้วยสภาพการจราจรอันติดขัดบนถนนสุขุมวิท วายุนั่งชิดริมกระจก ที่เบาะด้านหน้า ภาณุทัศน์กับอั้มนั่งคุยกระจุ๋งกระจิ๋ง ภาพนั้นมันบาดตาและทำร้ายหัวใจน้อย ๆ ของวายุเสียเหลือเกิน แม้วายุจะไม่อยากเห็นภาพนั้นแต่เขาก็ต้องทน เพราะสามวันสองคืนนับจากนี้ เขาอาจจะเจออะไรอีกมากที่ยิ่งกว่าภาพกระจุ๋งกระจิ๋งกันก็ได้



    “วา เป็นอะไรไป นั่งเงียบเชียว” พิมเพื่อนรุ่นเดียวกับอั้มที่นั่งติดกันถาม



    วายุหันมายิ้มเล็กน้อย “ไม่มีไรหรอกพิมเมื่อคืนเที่ยวดึก เลยง่วง อีกไกลมั้ยกว่าจะถึงเพ”



    “ก็ราวสามชั่วโมงแหละ อย่าบอกนะ ว่าไม่เคยไปเสม็ด”



    วายุส่ายหน้าช้า ๆ อ้าว ก็เคยไปเสียที่ไหนเล่า เพราะพอบอกจะเที่ยวทะเล แม่จะบอก “ภูเก็ตนะพ่อ สะดวกดี มีไฟล์ทั้งวัน”



    หรือไม่อย่างนั้นก็ สมุย เพราะนัยว่าสะดวกและสามารถติดต่อธุรกิจพันร้อยล้านของพ่อได้อย่างไม่มีติดขัด เกาะที่เทคโนโลยีหรือสนามบินไม่ถึงอย่าหวังเลยว่าที่บ้านวายุจะไปพักผ่อนหรือใช้บริการ



    รถเคลื่อนตัวมาถึงแยกบางนาหลังจากออกมาจากเอกมัยราวชั่วโมง วายุเอาหูฟังซีดีมาเสียบเข้ากับเครื่องเล่นแล้วปรับเบาะเอนเล็กน้อย อย่างน้อยการเปิดเพลงเสียงดังทำให้เขาไม่ต้องทนนั่งฟังเสียงเอกคุยกับอั้ม และการหลับตาทำให้เขาไม่ต้องเห็นภาพที่เบาะด้านหน้าเช่นกัน เสียงเพลงบางครั้งเศร้า ทำให้วายุคล้อยตามเสียงเพลง ไม่นานวายุก็หลับไป อาจเพราะความง่วงหรืออยากหลับ



    รถมาถึงบ้านเพเอาตอนเกือบเที่ยง วายุมองไปรอบ ๆ ฝั่งตรงข้ามกับสถานีที่รถจอดเป็นร้านขายอาหารที่ระลึก มีทั้งปลาหมึกแห้ง กุ้งแห้ง ปลาเค็มต่าง ๆ เต็มไปหมด วายุทำหน้าเบ้ เพราะเขาไม่ชอบกลิ่นของอาหารทะเลตากแห้งสักเท่าไหร่



    “ไงไอ้วา ดูทำหน้าเข้า” ภารุทัศน์กระแทกเข้าที่ไหล่ของเขาเบา ๆ



    “กลิ่นแรงวะ”



    “เอาน่า ไว้คราวหน้าเอ็งอยากไปเที่ยวไหน ข้าจะไปด้วยรับรอง” ภาณุทัศน์ตะแบะสามนิ้วเข้าที่ปลายคิ้ว



    “เออ ๆ ไปเหอะ สาว ๆ ของมึงไปโน่นแล้ว” วายุเบ้ปากไปอีกฝั่งของถนน ภาณุทัศน์คล้องคอหมับเข้าที่คอ แล้วเดินข้ามถนนตามไป



    เรือประมงที่ดัดแปลงมาเป็นเรือข้ามฝั่งวิ่งระหว่า เพ – เกาะเสม็ด ค่อย ๆ ออกจากท่าอย่างช้า ๆ เสียงเครื่องยนต์เรือดังแข่งกับเสียงคุยของคนบนเรือ วายุเดินไปท้ายเรือ เขามองฝั่งที่ค่อย ๆ ห่างออกไปทีละนิด เหมือนภาณุทัศน์ที่ค่อย ๆ ออกห่างจากชีวิตของเขาเองกระมัง ชีวิตภาณุทัศน์จะต้องเดินตามเส้นทางของเขาเอง วายุถอนหายใจเบา ๆ เมื่อนึกถึงหัวใจตัวเอง



    ภาพตำตาแท้ ๆ เลยวายุเอ๋ย



    แน่ใจหรือว่ามาแล้วจะสุข แต่วายุไม่กลัว มันเดินหน้าแล้วนี่จะถอยหลังได้อย่างไร ต่อจากนี้คงต้องสวมหน้ากากแสร้งทำว่ามีความสุข ทั้ง ๆ ที่หัวใจมันห่อเหี่ยวกับภาพที่จะต้องเจออีกสามวัน เพราะ “รัก” คำเดียวแท้ ๆ



    “อ่าวลุงหวัง” เป็นชะวากอ่าวเล็ก ๆ ก่อนถึงอ่าววงเดือน บังกะโลราคาไม่แพงมาเรียงรายจากชายหาดเข้าไปหลายหลัง แต่ซัมเมอร์คนค่อนข้างมาก ห้องที่ติดกันจึงไม่มี อั้มกับเพื่อน ๆ อีกสี่คนได้อยู่ที่ห้องใกล้กับท่าเรือไม้ที่สร้างยื่นออกมาริมทะเล ส่วนเอกกับวายุได้ห้องเป็นกระท่อมเล็ก ๆ ที่โขดหินทางด้านเหนือของอ่าว วายุยิ้ม อย่างน้อยห้องก็ไกลกันพอสมควร มันพอจะหลบลี้จากกลุ่มเพื่อนได้บ้าง



    หลังอาหารมื้อค่ำที่อ่าววงเดือนซึ่งเดินลัดจากอ่าวลุงหวังไปไม่เกินห้านาที ทั้งหมดก็ยกขบวนกลับมายังที่พัก ภาณุทัศน์คอยเอาอกเอาใจอั้มอย่างออกนอกหน้าท่ามกลางเสียงเชียร์ของเพื่อน ๆ ของอั้ม เสียงโทรศัพท์มือถือ ดังขึ้น วายุมองหน้าจอก่อนที่จะขอตัวเดินออกมา



    “ขอตัวนะ แม่โทรมา”



    วายุเดินเลี่ยงออกมาจากกลุ่ม เขากดโทรศัพท์รับสาย “ขอบใจนะไอ้พี ที่โทรกลับมา แต่ตอนนี้กูไม่มีอะไรแล้วล่ะ แค่นี้นะ”



    วายุกดปุ่มวางสาย ก่อนค่อย ๆ เลื่อนมือมาปิดปุ่ม ปิด – เปิด เมื่อครู่ เขาเองแหละที่กดไปหาพีรพัฒน์ อย่างน้อยวายุก็รู้เพื่อนต้องโทรกลับมา เป็นเป็นการดีที่เขาจะแยกออกจากกลุ่มอย่างไม่น่าเกลียดจนเกินไป วายุเดินกลับไปที่อ่าววงเดือนอีกครั้ง เขาเข้าไปในร้านมินิมาร์ท



    สายลมที่ปลายแหลมหินระหว่างอ่าวลุงหวังกับวงเดือนพัดโชยอ่อน ๆ แสงไฟสีส้มสว่างวาบขึ้นท่ามกลางแสงจันทร์นวลเต็มดวง เทียนสีฟ้าโดนความร้อนค่อย ๆ ละลาย วายุใช้คัตเตอร์ตัดขวดน้ำพลาสติกก่อนเอามาครอบที่เทียนเล่มแรกที่จุดเพื่อบังลมไม่ให้พัดให้แสงเทียนดับ แล้วเขาทำอย่างนั้นกับเทียนเล่มที่เหลืออีก 21 เล่ม แสงเทียนหลายเล่มสว่างขึ้นที่ปลายแหลม วายุยิ้มกับฟ้า คล้ายเยาะตัวเอง



    “วันเกิดทั้งที ต้องมานั่งดูเทียนละลายไปทีละน้อยเหรอกู”



    วายุรู้ดี ใจตัวเองไม่ต่างจากเทียนแต่ละเล่ม ไฟก็เหมือนความรักที่เขามีให้ภาณุทัศน์ที่มันสว่าง แต่มันก็หลอมละลายตัวเอง วายุไม่เคยที่จะไม่รักภาณุทัศน์ เขายินดีให้ความสว่างแก่คนอื่น โดยไม่สนหัวใจตัวเองเสียด้วยซ้ำ น้ำแข็งยูนิคที่เขาซื้อมาเริ่มละลาย เพราะโดนแรงลม วายุหยิบกระป๋องที่แช่ในน้ำแข็งออกมา เขาดึงห่วงที่ปิดกระป่องออก เสียงดังซ่า ฟองทะลักออกมาจากภาในกระป๋องวายุจิบมันเล็กน้อย ทำหน้าหยี



    “ขมฉิบหาย”



    วายุยกกระป๋องในมือมาที่ระดับสายตา กระป๋องสีเขียวสะท้อนแสงไฟ เขามองมันช้า ๆ ก่อนเอามากระดกรวดเดียวหมดกระป๋อง “อ๋าาาาาาา”



    เขาเริ่มชินกับรสชาติใหม่ ที่ลงคอเข้าไปแล้วร้อนวาบ วายุหยิบเอากระป่องที่สองมาเปิด แล้วกระป่องที่สาม คราวนี้เขายกมันด้วยมือสองมือทั้งซ้ายทั้งขวา “สุขสันต์วันเกิดยี่สิบสองปีนะไอ้วา” วายุพูดดัง ๆ เพราะที่นั่นไม่มีห้องพัก คนอื่นไม่ได้ยินหรอก วายุยกเอากระป๋องในมือทั้งสองมาชนกันก่อนจะเอามันมาดื่ม รวดเดียวหมดทั้งสองกระป๋อง



    เบียร์หมดไปสามกระป๋อง หน้าวายุเริ่มตึง ภาพเมื่อตอนเย็นที่ภาณุทัศน์วิ่งไล่จับกับอั้มที่ชายหาดตามมาหลอกหลอน แอลกอฮอร์เริ่มออกฤทธิ์ เพราะวายุไม่เคยกินมาก่อน คราวนี้น้ำตาวายุเริ่มไหล มันอัดอั้นจากข้างใน ความรักมันอัดแน่นอยู่ในอกพูดไม่ได้ วายุเอามือคว้าเบียร์มาอีกกระป๋องแล้วเปิด เขาเอนหลังพิงไปกับก้อนหิน แม้มันจะแข็ง แต่วายุทนได้ เพราะใจวายุมันเจ็บยิ่งกว่า เจ็บราวราวโดนเข็มสักหมื่นแสนเล่มทิ่มแทงอยู่



    เทียนละลายไปเกือบหมด เบียร์ที่วายุซื้อมาเหลือแค่กระป๋องเดียว วายุมึนหัวเริ่ม หนักอึ้ง ก่อนหน้านี้วายุปล่อยให้น้ำตาได้ไหล ออกมาเต็มที่ คราวนี้มันเริ่มดีขึ้น ฤทธิ์แอลกอฮอร์ทำให้เขาร่าเริงมากขึ้น วายุแหงนหน้ามองฟ้า พระจันทร์เต็มดวงสวย วายุยิ้มกับพระจันทร์ มือคว้าไปยังถุงน้ำแข็งที่แช่เบียร์ มือหนึ่งคว้ามือวายุเอาไว้



    “พอแล้ว มึงเป็นเหี้ยอะไรนี่ อยู่ ๆ ก็หายมาเลย”



    “กูไม่ได้หาย จะให้กูอยู่เป็นก้างขวางคอมึงทามมายว่ะ” วายุพูดช้า ๆ ยาน ๆ



    “ห่านี่ แดกไปได้ มึงเคยกินที่ไหนว่ะของพวกนี้ เมาตายห่าเลยมึงเอ้ย”



    “ม่ายมาว” วายุเอามือส่ายไปส่ายมาในอากาศ



    มีคนเมาที่ไหนบอกว่าตัวเองเมาบ้างล่ะ ภาณุทัศน์มองหน้าวายุ แสงเทียน 22 เล่มยังสว่าง แต่ใกล้มอด แววตามันเศร้าแต่ริมฝีปากมันยิ้ม



    “มีเรื่องอะไรก็บอกกูดิ เก็บไว้คนเดียวทำไม กูเพื่อนมึงนะโว้ย รู้จักกันมาก็นานแล้วนะมึง มึงยังมีเรื่องอะไรต้องปิดบังกูอีกเหรอ”



    “ไอ้เอก ถ้ามึงรักใครแล้วไม่กล้าบอกมั้ย”



    “เคยสิ”



    ภาณุทัศน์ยิ้ม วายุเห็น แม้สายตาจะพร่ามัวเพราะฤทธิ์เบียร์ แต่เขาเห็นชัด ภาณุทัศน์สว่างในหัวใจของเขาเองเสมอ



    “แล้วมึงทำไง บอกเขาหรือยัง”



    “ช่างเหอะเรื่องนั้น กูหามึงตั้งนานนะ กูมีอะไรจะให้มึง หลับตาก่อนสิ”



    วายุว่าง่ายเสมอสำหรับภาณุทัศน์ เขาหลับตาช้า ๆ ภาณุทัศน์เอามือวายุมาจับไว้ เขาหงายมือภาณุทัศน์ โลกหะกลม ๆ วางไว้ในมือ



    “ลืมตาสิ”



    วายุเห็นชัด ภาณุทัศน์ยิ้มสว่างแข่งแสงจันทร์ เขาก้มมองสิ่งที่ภาณุทัศน์วางในมือ พลางขมวดคิ้ว



    “สุขสันต์วันเกิดว่ะเพื่อนรัก อธิษฐานสิแล้วเป่าเทียนซะให้หมด”



    วายุพยักหน้ารับ เขาเอาแหวนสวมเข้าที่นิ้วนางด้านขวา ก่อนหลับตาอีกครั้งแล้วไล่เป่าเทียนที่เขาจุดขึ้นมาเอง วายุเพิ่งประจักษ์เพื่อนไม่ลืมเขาหรอก ขนาดเพื่อนจะมาทะเลกับหญิงยังชวนเขามา เพราะสิ่งที่ภาณุทัศน์ให้มันใช่แหวนวงเดียวกับที่เขาอยากได้ ที่ไปเดินดูกันตอนวันสอบวันแรก



    “เอ้า…อ้วกใหญ่เลยมึง” ภาณุทัศน์เข้าไปหิ้วปีก วายุโก่งคอปล่อยให้ออกมา



    “ม่ายเมาน่า” วายุบอกพร้อมทั้งโก่งคอออกมาอีกรอบ



    “อ้าว…ห่าเอ้ยเลอะหมดเลย” ภาณุทัศน์รู้สึกได้เพราะสิ่งที่เลอะอยุ่เต็มตัวเขาก็อาหารมื้อเย็นนั่นเอง



    ภาณุทัศน์หิ้วปีกวายุกลับมาอย่างทุลักทุเล วายุแทบประคองสติไม่อยู่ ภาณุทัศน์ลากวายุมาในห้องน้ำ เขาถอดเสื้อผ้าของวายุออก แล้วตามด้วยกางเกงขาสั้น กางเกงในสีขาวโผล่เมื่อภาณุทัศน์รูกดกางเกงอีกตัวออก เขามองวายุที่หลับตานิ่ง วายุถอดเสื้อของตัวเองที่เปื้อนอ้วก แล้วถอดกางเกงตัวเองแขวนไว้ ภาณุทัศน์เปิดน้ำจากฝักบัวเขาล้างตัวให้คนหมดสติพร้อมทั้งตัวเอง



    “เฮ้ย..ตื่น ๆๆ โว้ย” ภาณุทัศน์ตบที่แก้ม เบา ๆ



    “ไม่เอาง่วง” เสียงวายุเบามาก



    “เวรเอ้ย กินมันทำไม” ภาณุทัศน์ถอดกางเกงในเพื่อนออก เขาเอาฝักบัวล้างไปที่ตัววายุก่อนที่จะเอาผ้าขนหนูผืนโตมาห่อตัวเพื่อนเอาไว้



    วายุเหมือนเด็กน้อยที่หลับ ไม่ว่าภาณุทัศน์จะทำเช่นไรเขาไม่รู้สึกตัวเลย ภาณุทัศน์ลากวายุมาที่เตียง ร่างกายเปลือยเปล่าของวายุขาว ภาณุทัศน์เดินมานั่งใกล้ ๆ วายุ



    “ไอ้วา…” เขาเขย่าตัวเพื่อนเบา ๆ



    ภาณุทัศน์ค่อย ๆ ก้มลงใกล้ ๆ เขาเอาจมูกแตะที่จมูกวายุ แล้วภาณุทัศน์ค่อย ๆ ประกบริมฝีปาก

    วายุคล้ายหลับไป เขาเหมือนฝัน ในฝันมันมีสุข เขารับรู้แค่ ในฝันภาณุทัศน์กำลังกระทำในสิ่งที่เขาเองก็อยากกระทำให้ภาณุทัศน์เช่นกัน แต่วายุไม่มีเรี่ยวแรง หัวเขาหนักอึ้ง เขาพยายามจะลืมตา แต่มันไม่สามารถลืมตาได้เลย ในสมองคล้ายมีแสงสว่างอยู่ตลอดเวลา



    “ไอ้วา กูรักมึงนะ รักเหลือเกิน” ภาณุทัศน์เอ่ยเบา ๆ



    เขายิ้มก่อนค่อย ๆ เอาผ้ามาเช็ดตัวให้เพื่อนอีกครั้งปิดบังร่องรอยที่เขาได้กระทำเอาไว้ ทุกอย่างสงบนิ่งเหมือนไม่เคยเกิดอะไรอีกเลย

    .

    .

    .

    .







    ไอ้เอก แกรู้ไหมแก ตั้งแต่กลับจากเสม็ดในวันนั้น ข้าไม่เคยเห็นพระจันทร์ที่ไหนสวยเท่าที่นั่นอีกเลยแก เพราะอะไรนะเหรอ ข้าไม่รู้ว่าแกจะรู้หรือปล่าวว่าวันนั้นวันเกิดข้า ข้าน้อยใจแก เลยต้องยิงไปหาไอ้พี แล้วให้มันโทรกลับมาหา แล้วข้าก็ไปซื้อเทียนมา 22 เล่ม อ้าวก็วันนั้นวันเกิดข้านี่หว่า และเป็นวันแรกเลยด้วยมั้งที่ข้ากินเบียร์เป็น มันขมว่ะ แล้วข้าก็อ้วกเสียเต็มตัวแกเลย จนแกอาบน้ำให้ข้า ถ้าเป็นเวลาดี ๆ แกคงไม่แก้ผ้าอาบน้ำกับข้าหรอก ตกลงทริปนั้นข้าดีใจว่ะ ที่เอ้งไม่เสร็จน้องอั้มที่เสม็ด



    ภาณุทัศน์



    วันนั้นข้าฝันด้วยล่ะ ในฝันมีแต่ข้ากับเอ็งเท่านั้น แล้วข้าก็รู้สึกนะโว้ยว่าทั้งเอ็งทั้งข้าไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเสียด้วยสิ แกคงไม่ต้องให้ข้าบอกนะว่าคนแก้ผ้าเขาทำอะไรกันบ้าง แต่มันคงเป็นแค่ฝันเท่านั้นกระมังที่ข้าจะเก็บเอาไว้ได้ เพราะในความเป็นจริงแกกับข้าไม่มีโอกาสอย่างนั้นจริง ๆ หรอก ตอนนี้ข้านั่งจับแหวนวงนั้น แหวนที่เอ็งให้ข้าไง ข้าทึกทักเอาว่ามันเป็นหัวใจเพื่อนที่เอ็งให้เพื่อนแล้วกันนะไอ้เอก





    รักแกจริง จริ๊ง





    วายุ



    “คิวรถสายเหนือ” ของเมืองหลวงพระบางคราคร่ำไปด้วยผู้คน บนลานดินที่รถราหลากหลายขนาดจอดเรียงราย วิมเดินแทรกผ่าฝูงคนมากมายทั้งชาวบ้านและนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกผู้นิยมค้นหาสัจจะธรรมแห่งชีวิต โดยการเดินย้อนกลับมายังประเทศที่ล้าหลังกว่าทางด้านเทคโนโลยี แต่ทางด้านธรรมชาติแล้วยังอุดมสมบูรณ์



    “ไปหนองเขียวบ่อ” ลุงแก่ ๆ ทักทายเมื่อวิมกับวายุมายืนที่ข้างรถกระบะ ที่ต่อหลังคาใส่ม้านั่งเป็นรถประจำทาง



    “ไปครับลุง”



    “ส่งกระเป๋ามาเน้อ” ลุงรับกระเป๋าใบเล็ก จากวิม ที่ส่งขึ้นไปยังบนหลังคารถ ที่ต่อสำหรับบรรทุกสิ่งของ



    วายุมองรถที่คล้ายรถสองแถวหน้ามหาวิทยาลัยไปเดอะมอลล์ เขาเคยนั่งเพราะหลายครั้งที่ไม่มีเรียน ภาณุทัศน์มักชวนเขาไปเดินเล่นเสมอ แม้เขาจะบอกว่าเอารถไป แต่ภาณุทัศน์ไม่ยอม



    “เปลืองพลังงานว่ะ นั่งรถนี่แหละไปกลับ 10 บาทเอง”



    วายุมองไปรอบ ๆ ลานสถานีรถสายเหนือ เขามาอยู่หลวงพระบางหลายวันแล้ว ภาษาลาวอ่านไม่ยากเพราะคล้ายภาษาไทย เขาเห็นรถแบบที่เขาจะไปซึ่งวิ่งระยะทางใกล้ ๆ ไม่เกิน สองร้อยกิโลเมตร และรถตู้แบบที่ชาวลาวเรียกว่ารถตู้อาหรับที่มาจากรัสเซีย ในสมัยที่คอมมิวนิสต์ยังครองอำนาจอยู่



    “ไปกันเหอะไอ้วา รถจะออกแล้ว”



    วิมเร่งให้วายุขึ้นรถ เมื่อผู้โดยสารเต็มคันรถ รถค่อย ๆ แล่นออกจากสถานีสายเหนืออย่างช้า ๆ มุ่งตรงไปทางเหนือ ถนนในลาวค่อนข้างขรุขระเพราะสร้างมานานและแทบไม่ได้รับการซ่อมแซมเลยบางช่วงรถกระดอนไปตามสภาพของถนน อากาศไม่ร้อนเพราะที่นี่มีแต่ป่าไม้ เมื่อรถแล่นออกมานอกเมืองราวชั่วโมง ถนนก็เริ่มสูงชันขั้น รถแกว่งไปมาตามถนนที่เลี้ยวลดคดเคี้ยว ปุยเมฆลอยเห็นเด่นชัดบนถนนสูงเทียมฟ้าเส้นนี้ สร้างความตื่นตาตื่นใจให้นักท่องเที่ยวชาวตะวันตกที่ยกกล้องออกมาถ่ายภาพสองข้างทางเอาไว้แทบลอดเส้นทาง



    เมื่อรถจอดสงบนิ่ง ที่เมืองหนองเขียว หรือเมืองงอยใหม่ เมืองที่มีเพียงอาคารบ้านไม้ชั้นเดียวกลุ่มใหญ่ ส่นมากจะเป็นร้านค้าขายสินค้าที่นำเข้าจากเมืองไทยแทบทั้งสิ้น ลุงคนเดิมที่ทักทายปีนขึ้นไปบนหลังคารถอย่างรวดเร็ว แกะตาข่ายที่คลุมทับข้าวของไม่ให้ปลิวไปตามลมยามเดินทาง แล้วส่งสัมภาระเหล่านั้นลงมาด้านล่างอย่างชำนาญ



    “เป็นไง หน้าซีดเชียว เมารถเหรอ” วิมหันมาถามพลางยื่นขวดน้ำให้วายุ



    “ก็นิดหน่อย โค้งมันเยอะ”



    “เดี๋ยวลงเรือต่อนะ นั่งเรือไปราวชั่วโมงยังไหวนะ”



    “ไหวดิ”



    วายุรับกระเป๋าจากลุงแล้วปัดฝุ่นแดงที่ติดมากับกกระเป๋า ก่อนที่จะเดินตามวิมลงไปที่ท่าเรือ ที่มีเรือมากมายจอดเรียงรายกันอยู่ “ท่าเรือแม่น้ำอู” เป็นท่าแห่งเดียวที่จะพาไปเมืองงอย เพราะที่นั่นรถไม่สามารถแล่นเข้าไปได้



    ฝั่งตรงข้ามกับท่าเรือเป็นเขาหินปูนรูปร่างแปลกประหลาดมากมาย สลับกับเขาที่ปกคลุมด้วยป่าไม้เขียวขจี แม้จะเที่ยงแต่อากาศเย็นสบาย สายลมอ่อน ๆ พัดเอากลิ่นแม่น้ำเข้ามาหอมอ่อน ๆ



    “เดี๋ยวไปถึงเมืองงอยแล้วค่อยพัก หิวหรือยัง” คนนำทางมองมาด้วยสายตาห่วงใย



    วายุไม่ได้เข้าข้างตัวเองหรอก หลายวันมานี่วิมดูแลเขาเป็นอย่างดี เหมือนที่ภาณุทัศน์เคยดูแล น่าแปลกเขาน่าจะลืมคนไหล แต่ยิ่งวิมทำดีมากเท่าไรเขายิ่งกลับคิดถึงคนไกลมากเท่านั้น



    เสียงเครื่องยนต์เรือครางกระหึ่มที่ท้ายเรือ สักพักเรือค่อย ๆ แบนหัวออกจากท่าอย่าง ๆ ช้า แล่นทวนน้ำขึ้นไป ตามลำน้ำที่เลี้ยวลดคดเคี้ยวมาตามหุบเขาที่มีมากมายในลาวเหนือ



    “กินแก้หิวก่อนแล้วกัน” วิมส่งขนมปังบักเกตส์แบบฝรั่งเศส แต่ที่นี่ทำด้วยข้าวจ้าวมิใช่ข้าวสาลี



    วายุกัดเล็กน้อย มันแข็งรถชาติแปลก ๆ แต่เพราะความหิวทำให้เขาต้องค่อย ๆ กินมันไปจนหมดชิ้น ก่อนจะกินน้ำตามอีกครึ่งขวด



    “ยิ้มอะไร” วายุเขินเพราะสายตาวิมที่จับจ้องอยู่



    “ปล่าวนี่”



    “วิมอ่ะ ก็คนมันหิวนี่น่า”



    “ไม่ได้ว่าอะไรนี่” วิมยิ้มโชว์ฟันขาว



    วายุฉีกยิ้มกว้าง คราวนี้เขายิ้มทั้งแววตา คนยิ้มไม่รู้หรอกรอยยิ้มแบบนี้หายไปนาน ตั้งแต่ที่วายุเดินหันหลังให้ภาณุทัศน์ในวันนั้นเขาไม่เคยยิ้มกว้างเช่นนี้อีกเลย



    “วา” เสียงเรียกแม้จะเบา เพราะเสียงเครื่องยนต์กลบ แต่วายุได้ยิน



    “หือ”



    “นายเคยชอบใครแล้วไม่กล้าบอกมั้ย”



    วายุนิ่งเงียบ ถามนี้เขาเคยถามภาณุทัศน์ แต่คราวนี้เขากลับโดนถามคำถามเดียวกันจากเพื่อนใหม่อีกคน เขาทอดสายตาออกไปอีกฝั่งของแม่น้ำนานเนิ่น ก่อนที่จะหันมาช้า ๆ



    “เคยสิวิม จนกกระทั่งตอนนี้เรายังไม่กล้าบอกด้วยปากของเราเลย” วายุไม่กล้าบอกแต่วายุกล้าที่จะเขียน



    “แล้วนายเชื่อเรื่องรักแรกพบมั้ยล่ะ เราเชื่อนะ คนเราบางครั้งห่างกันแต่เหมือนมีอะไรดลใจให้มาพบ มาเจอกันทำให้เรามีคทวามสุข มันจะดีไม่น้อยนะ ถ้าเราไม่ได้มีความสุขแค่เราคนเดียว ถ้าคนที่เราพบเขามีความสุขด้วยยิ่งดีใหญ่เลย” วิมจ้องหน้า วายุหลบสายตาโดยการแบนไปอีกฝั่งของแม่น้ำ



    “วิมดูนั่นสิ เขาลูกนั้นรูปร่างแปลกตาเนอะ” วายุชี้ไปที่เขาลูกฝั่งตรงกันข้าม เขาไม่ตอบคำถาม เพราะไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เขาเจอที่นี่มันจะใช่รักแรกพบหรือปล่าว



    วิมส่ายหน้าช้า ๆ ที่เพื่อนหาทางออกจนได้

    .

    .

    .





    “เมืองงอย” เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่ล้มรอบด้วยเขาทั้งสามด้าน อีกด้านของเมืองเป็นแม่น้ำอู การเดินทางจึงกระทำได้แค่ทางน้ำเท่านั้น ที่นี่เต็มไปด้วยแหล่งธรรมชาติที่น่าค้นหา ไม่ว่าจะเป็นถ้ำ ล่องแก่ง ปีนผา เมืองงอยจึงเป็นเหมือนเมืองลับแลที่ฝรั่งชอบและอยากจะมาเยือน



    กระท่อมที่สร้างอย่างง่าย ๆ ตั้งอยู่เป็นสัดส่วนในแต่ละหลัง ภายในมีทั้งห้องน้ำและเตียงนอนลูกใหญ่ ปูผ้าสีขาวตึง วายุทิ้งตัวลงบนที่นอนในทันทีเมื่อเข้ามาในห้อง



    “มาเที่ยวนะเว้ยไม่ได้มานอน” วิม เอากระเป๋าวางไว้ที่ตู้ผ้าที่สร้างขึ้นมาอย่างง่าย ๆ



    “น่า นั่งรถ ลงเรือ มาตั้งเกือบวัน พักแปบดิ”



    “เหนื่อยก็อาบน้ำก่อนดิ”



    “เออ ก็ดีเหมือนกันว่ะ”



    วายุดีดตัวลุกจากที่นอน เขาเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่พับเก็บไว้อย่างเป็นระเบียบ วายุถอดเสื้อออกแล้วใช้ผ้าขนหนูพันท่อนล่างเอาไว้ ก่อนจะเลื่อนประตูเข้าไปในห้องน้ำ ห้องน้ำที่นี่แปลกแฮะ ไม่มีกลอน แค่เป็นประตูเลื่อนไปมาเท่านั้น เขาเอาผ้าขนหนูแขวนไว้กับราว ถอดกางเกงในสีขาวแขวนเอาไว้ มือเปิดฝักบัว สายน้ำเย็นเฉียบพุ่งออกมาเป็นสาย วายุรู้สึกสดชื่น เขาให้น้ำจากฝักบัวไหลราดรดศรีษะอยู่เนิ่นนาน จนศรีษะเริ่มเบา หลังจากที่หนักอึ้งมาตลอดการเดินทางมาเมืองงอย วายุหันหลังกลับเพื่อเอาสบู่ แล้วหันกลับมา สายตาวายุหันไปเห็นสิ่งหนึ่งที่เกาะอยู่เหนือฝักบัว เขาตัวแข็งทื่อ ขนลุกไปทั้งตัว



    “ไอ้วิมช่วยด้วย” วายุร้องตะโกนออกไปดังลั่น



    “ไอ้วาเป็นไร” วิมปรี่เข้ามาอย่างรวดเร็ว



    วายุยื่นตัวสั่นล่อนจ้อน พลางชี้ “นั่น….ไล่ไปที”



    “โธ่เอ้ย ตุ๊กแกเอง กลัวเหรอ เดี๋ยวไล่ให้” วิมเอาไม้กวาดที่อยู่นอกห้องมาแหย่ เพียงครู่เดียวตุ๊กแกก็หายลับไปในหลังคา



    “ว๊า เปียกหมดเลย อาบด้วยคนแล้วคน” วิมบอก พลางถอดเสื้อผ้าออก วายุเพิ่งหายตกใจ เขาเริ่มอาย เอามือมาปิดส่วนนั้นไว้



    “ปิดทำไม เห็นหมดแล้ว” วิมถอดกางเกงออกที่เดียวสองชั้นเลย วายุมองตะลึงเพราะคาดไม่ถึงเพื่อนใหม่จะกล้าหาญชาญชัยขนาดนี้



    “อายทำไม เห็นก็เอาไปไม่ได้” เขาเดินมาใต้สายฝักบัว



    วายุก้มหน้า เขาพยายามกลบความรู้สึกทั้งหมด



    “มาดิ อาบด้วยกัน” วายุโดนดึงมาใต้ฝักบัว



    สายตาจับจ้องซึ่งกันและกัน



    สายน้ำเย็นแต่ภายในร่างกายทั้งสองเร่าร้อน วิมดึงร่างขาวบางนั้นมากอดเอาไว้ เขาซุกหน้าไปที่ซอกคอ ปากไซร้ไปมา วายุเองก็โอบกอดวิมเอาไว้แน่น วายุเปิดรับการมาเยืนของอีกฝ่าย



    วายุรู้สึกมีความสุขเหมือนคืนนั้น คืนที่นอนที่เสม็ด แต่คราวนี้วายุรับรู้ไม่ใช่แค่ฝันแต่มันคือความจริง



    เพลิงอารมณ์สงบลง วิมเอาสบู่มาถูไปทั่วตัว เขาลูบไปมาที่ตัววายุช้า ๆ ราวกับกระทำให้เด็กอ่อน



    “พอเหอะ…” วายุเอามือมาจับมืออีกฝ่ายเอาไว้



    วิมเชยคางวายุขึ้นมา สายตามันสื่อถึงกัน



    “โกรธวิมหรือปล่าว” น้ำเสียงวิมนิ่ม



    “ไม่หรอก วิมว่าเราใจง่ายมั้ย” วายุถามพลางหลบสายตา



    “ทำไมถามแบบนี้ล่ะ ถ้าวาใจง่าย วิมก็ต้องใจง่ายด้วยสิ เพราะเราช่วยกันทำให้ง่าย” วิมดึงวายุมากอดเอาไว้



    มันรู้สึกอบอุ่น แต่ไม่รู้สิมันไม่เหมือนอ้อมกอดของภาณุทัศน์ แม้ภาณุทัศน์จะกอดแค่คอ แต่วายุกลับรู้สึกดีกว่าตอนนี้เสียอีก



    เขารักวิม?



    ไม่น่าจะใช่ อาจจะแค่ชอบ เพราะอะไรหรือ เร็วไปมั้ง วายุถามตัวเองแล้วตอบตัวเองในใจ



    บางที เราก็ตอบสิ่งที่ตัวเราเองกระทำไม่ได้ วายุก้มหน้าแอบถอนหายใจเบา ๆ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×