ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : เงาของใครบางคน
หวัดดี
ไอ้เอก
วันนี้ข้าเหนื่อยแทบขาดใจเลยล่ะแก วิมมันชวนข้าไปเที่ยวน้ำตก “ตาดกวางสี” ไอ้น้ำตกนี้มันก็อยู่นอกเมืองหลวงพระบางออกทางใต้ราว 20 กิโลเมตร แต่ทางไปสิแกเอ๋ยถนนลูกรังทั้งนั้นรถที่ว่าจ้างไปก็วิ่งเสียจนมิดไมล์เลยแก (ข้าว่าไม่น่าเกิน 6 กิโลเมตร/ชั่วโมงว่ะ) หัวข้านี่นะแดงเถือกเหนียวเหนอะไปด้วยฝุ่น อ้าวก็แกเคยบอกข้าเองนี่หว่าว่าข้าประเภทพวกนกหงส์หยก คอยดูแลทรงผมอยู่ตลอดเวลา แต่คราวนี้แกเอ๋ยมันลำบากแสน หัวข้านะแทบจะเอามือลูบแล้วมาใช้แทนกาวได้เลยเชียวแหละแก มันเหนียวเหนอะเสียขนาดนั้น ถ้าแกมาเห็นข้าตอนนี้แกอาจไม่เชื่อสายตาก็ได้ว่าเพื่อนซี้ของแกคนนี้จะทำตัวเยี่ยงยาจกได้เช่นนี้
คนเราเปลี่ยนแปลงกันได้ไงแก
แม้ข้าจะมาอยู่ไกลขนาดนี้ แต่ในหัวใจข้ามันกลับคิดถึงแกทุกครั้งที่ข้าต้องอยู่คนเดียว ไม่รู้ทำไมสิไอ้เอก ข้าอยากจะรักแกแบบที่คนอื่น ๆ เขารัก แต่แกเอ้ยยิ่งข้าอยากลืมมันกลับจำสงสัยข้าคงต้องจำแล้วล่ะ เพราะมันอาจเป็นทางเดียวที่จะลืมได้หรือแกมีวิธีที่ดีกว่านี้
ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าอีกนานแค่ไหนที่ข้าจะลืมแกออกไปจากใจได้ หรือแค่ให้ข้ารักแกแค่เพื่อนก็พอ ข้ารู้การที่ข้ารักแกแบบนี้ก็เพราะแกนั่นแหละ อ้าวก็แกไม่ใช่หรือที่คอยตามใจข้าเสียทุกเรื่องจนข้าเสียนิสัย เห็นมะข้าไม่เคยคิดว่าข้าผิดหรอก คนเราก็แบบนี้แหละใครจะคิดว่าตัวเองผิดเล่าจริงมั้ย ถ้าข้าผิดก็เพราะผิดที่มารักแกไงล่ะภาณุทัศน์
เอ้อ .ข้าอยากให้แกรู้จักไอ้วิมมันจังเลย อย่างน้อยมันก็ทำให้ข้าหายคิดถึงแกได้บ้าง อย่างที่ข้าบอกวิมมันจบมอชอ มาหมาด ๆ และได้งานทำในทันที แต่แกเอ้ย ข้าเพิ่งรู้ วิมมันลูกกำพร้าว่ะ พ่อกับแม่มันเสียไปหมดแล้วมันมีพี่สาวอยู่คนนึงเห็นว่าทำงานอยู่ที่รีสอร์ทพี่เปี๊ยกเพื่อนพี่นัทที่เกาะสมุยโน่นแน่ะ วิมมันเก่งมากเลยแหละแก มันไม่กลัวการเดินทางคนเดียวมันบอกข้าว่าไรแกรู้ป่ะ
“การเดินทางคนเดียว บางครั้งอาจจะเหมาแต่เราจะเหมือนนกที่มีอิสระเสรีจะไปทางไหนก็ได้ และที่สำคัญเราจะได้เจอผู้คนใหม่ ๆ จะได้เห็นในสิ่งที่เราไม่เคยเห็น แล้วเราจะรู้ว่าที่จริงแล้วบนโลกใบนี้ยังมีอะไรอีกมากมายที่เรายังไม่ได้เดินไป เพราะเรากลัวว่าที่นั่นมันจะลำบาก กลัวว่าจะหลง ถ้าเราไม่กลัวเสียอย่าง แล้วทำใจให้สนุกกับทุก ๆ ที่ที่เราเดินทางเราจะมีความสุขกับมัน เหมือนครั้งนี้ไง ที่เราได้เจอนาย อย่างน้อยเราก็ได้เจอเพื่อนใหม่อีกคน”
แกเอ้ย ข้านึกถึงแกขึ้นมาจับขั้วหัวใจเชียวล่ะ ก็แกไม่กลัวการเดินทางเหมือนกันนี่หว่า แต่ข้าสิ แม้ออกนอกประเทศบ่อยแต่ข้ายังหวั่น ๆ กับการเดินทาง กลัวโน่นกลัวนี่ ถ้าข้าไม่รู้จักแกนะไอ้เอก ข้าคงไม่มีโอกาสได้ไปเที่ยวตามที่ลำบากลำบนอย่างที่แกชอบหรอก เหมือนวันนี้ไง ข้าไปน้ำตกตาดกวางสีมา ทำให้ข้านึกถึงตอนที่ไปทีลอซูกับแกเลยล่ะ
แกจำได้ป่ะ ตอนเปิดเรียนเทอมสอง พอเรารู้ว่าเดือนพฤศจิกายน ที่มหาวิทยาลัยจะมีงานรับปริญญาทำให้ได้หยุดสองสัปดาห์ แกนั่นแหละที่เป็นตัวตั้งตัวตีชวนเพื่อน ๆ ในห้องไปท่องทีลอซูกัน ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นพอแกเอ่ยชื่อ “ทีลอซู” เพื่อน ๆ ต่างทำหน้าเลิกลั่กกันเป็นแถว ใครเคยได้ยินเสียที่ไหนเล่า แต่แกก็ยืนยัน
“กูรับรองนะโว้ย ทริปนี้พวกมึงจะติดใจไปจนตาย ทีลอซูนะน้ำตกใหญ่ที่สุดในประเทศไทยนะโว้ยติดอันดับ 6 ของโลกเชียวนะพวกมึง” เอกโน้มน้าวเพื่อน ๆ ในกลุ่ม
“อยู่ไหนว่ะ” ข้าถามเพราะข้าไม่เคยรู้จัก แหล่งท่องเที่ยวในประเทศที่ข้ารู้จักดีก็ เชียงใหม่ ภูเก็ต สมุย พัทยา ส่วนที่อื่นข้าไม่รู้จักเสียด้วยสิ
“อุ้มผางโว้ย ไปนะโว้ย น่ะนะไอ้วาไปด้วยกันนะ” แววตา น้ำเสียงอย่างนี้ข้าแพ้แกหมดรูปทุกที
“เออ ข้าไป ใครไปอีกมั่งว่ะ”
พอข้าตกลงไปเท่านั้นแหละเพื่อนอีกโขยงก็ไปด้วย เพราะอะไรหรือแก แกก็รู้แม่ข้านะตามใจลูกชายคนเดียวอย่างข้าจะตาย ถ้ารู้ว่าเราจะไปรถประจำทางมีหวังแม่ค้านหัวชนฝาแน่เลยแก ขนาดตอนข้าไปบอกแม่ว่าจะไปทีลอซูตอนปิดรับปริญญาเท่านั้น แม่บอกไงรู้มั้ยแก
“นั่งทีจีไปลงแม่สอดไม่ได้เหรอ”
เห็นมั้ยล่ะแก ว่าแม่ข้านะเอาข้าเก็บไว้ในหินเชียวแหละ อ้าวก็ข้ามี “ไข่” นี่หว่า เอ็งไม่เคยได้ยินเหรอ ไข่ในหินนะ สุดท้ายแม่เลยให้คนขับรถที่บ้านเอารถตู้ที่บริษัทพ่อไป พวกแกเลยสบายเพราะทริปนี้ “คุณนายวารุณี” อุปถัมภ์ไปเสียหลายอัฐ
ตลอดเส้นทางจากกรุงเทพฯ ถึง แม่สอดแกคงคิดว่าข้าหลับสินะ เพราะข้าใช้ไหล่แกแทนหมอนตลอดเลย แต่ข้าบอกตรง ๆ นะโว้ย ข้าไม่ได้นอนเลยสักนิดเดียว แต่อยากอยากอยู่ใกล้ ๆ ตัวแกมากกว่า ไม่รู้สิ ภาณุทัศน์ ว่าทำไมข้าถึงอยากอยู่ใกล้กับแกนัก อาจเพราะแกดีกับข้ามากกว่าคนอื่น ๆ ก็เป็นได้ อีกอย่างแกไม่ค่อยอายเวลาอยู่สองต่อสองกับข้า แกมักทำตัวเป็นชีเปลือยให้ข้าได้ชุ่มชื่นหัวใจเล่น เสียอย่างเดียวแกไม่แก้หมดให้กางเกงในตัวน้อยปิดบังส่วนนั้นไว่ทำไมก็ไม่รู้
รถไปถึงอุ้มผางก่อนเที่ยงเล็กน้อย เพราะพี่คนขับรถแกไม่ชินทางแกเลยขับช้า ๆ ระหว่างทางแกนั่งชิดหน้าต่างแล้วเปิดกระจกรถเพราะรถต้องวิ่งไปตามภูเขาสูงชัน ลัดเลาะไปตามเขาลูกแล้วลูกเล่า ไอ้เอกยามแกชวนชี้ให้ข้าดูโน่นดุนี่นอกหน้าต่าง ข้าจะเอนตัวแทบจะไปอยู่ในอ้อมกอดแก แล้วชะโงกหน้าไปมองตามที่แกบอก แกไม่รู้สึกหวาดหวั่นในหัวใจบ้างหรือ ส่วนข้านะใจเต้นราวกับพี่เจมส์เต้นเพลงข้ามันไก่เสียอีก กลิ่นกายอ่อน ๆ จากตัวแก ข้าจำได้ดีเชียวแหละไอ้เอกเอ้ย อันที่จริงถ้าแกไม่ดีกับข้ามาก ข้าอาจไม่รักแกมากขนาดนี้ก็ได้ก็ได้
ภาณุทัศน์ .แกรู้ใช่มั้ยว่าข้ารักแก
รักมานานแล้วด้วยสินะ
ไอ้เอก แกจำตอนเราล่องแพจากอุ้มผางเพื่อไปที่ห้วยทรายได้ป่ะ เพราะเราต้องไปขึ้นรถที่ห้วยทรายเพื่อเข้าต่อไปยังที่ทำการอุทยานแห่งชาติทีลอซู พวกเรา 8 คน ลงแพยางลำเดียวกัน เรือพายไปเรื่อย ๆ ตามลำน้ำแม่กลองทางเหนือ แต่พอถึงเกาะแก่งต่าง ๆ
ข้าซึ่งนั่งหลังแกพยายามโล้เรือให้โคลงเคลง พวกแกสนุกสนานกันใหญ่ แต่ที่จริงแล้วเพื่อข้าจะได้เลื่อนไปติดกับตัวเอ็งโดยที่ไม่มีใครสงสัยไงล่ะแก เห็นมั้ยล่ะแก ว่าที่จริงแล้วข้ามีอะไรอีกหลายอย่างที่แกคาดไม่ถึงเชียวแหละ ระยะเวลาล่องแพเกือบสามชั่วโมงแกสนุกมาก เพราะแกบอกกับข้าเองว่าการเที่ยวแบบลุย ๆ แบบนี้แหละที่แกชอบ แต่ข้ากลับมีความสุขมากกว่าแกเสียอีก เพราะอะไรนะหรือแก เพราะข้าได้เที่ยวกับคนที่ข้ารักไงล่ะแก .
.
.
.
.
สามปีที่แล้ว
เรือยางล่องมาตามลำน้ำเรื่อย ๆ ผ่านผาเลือด แล้วแวะจอดให้ถ่ายรูปที่ “น้ำตกทีลอจ่อ” สายน้ำเล็ก ๆ ที่ไหลมาจากผาสูง แล้วตกมาที่ลำน้ำแม่กลอง บริเวณที่น้ำตกไหลลงมา เต็มไปด้วยมอสเขียวขจี ต้นไม้ในป่าอุ้มผางสดชื่นเพราะเพิ่งผ่านฤดูฝนมาหมาด ๆ อาจมีบางวันที่ฝนค้างฤดูตกมาเป็นระยะ ๆ
“รวมพล ๆ ถ่ายรูป ๆ เร็วเข้าโว้ย” เสียงเรียกจากไอ้นันทำเอาคนที่เดินเกร่หามุมสวยของตัวเองรวมพลในทันที วายุตรงดิ่งไปในกลุ่ม ภาณุทัศน์ยืนชิดด้านขวาแล้วเอามือกอดคอเพื่อนหน้าขาวไว้แน่น พลางยิ้มแฉ่ง
วายุเองก็มีสุขไม่น้อยไปกว่าเพื่อนนักหรอก เพราะมือที่ภาณุทัศน์โอบกอดอยู่นั่นเอง
เมื่อถ่ายรูปได้หลายมุมตามความพอใจแล้ว เรือก็ล่องต่อไปจนถึงห้วยทราย ที่นั่นเรือยางบ้าง แพไม้ไผ่บ้างมาจอดรออยู่หลายลำ เพราะ จะต้องรอนักท่องเที่ยวที่เดินกลับมาจากน้ำตกเพื่อนล่องแพไปยัง “บ้านปะละทะ” ซึ่งใช้เวลาพอ ๆ กับเรือที่ล่องมาเช่นกัน
ภาณุทัศน์เดินไปตามทางเดินเล็ก ๆ โดยเพื่อน ๆ อีกโขยงเดินตาม ไปในป่าที่ค่อนข้างโปร่ง และมีนักท่องเที่ยวเดินเดินเข้าไปเป็นกลุ่ม ๆ วายุพยายามวิ่งแซงหน้าเพื่อนเพื่อนจะเดินให้ทันภาณุทัศน์ที่เดินลิ่ว ๆ
“เอ้ย ไอ้วา ระวังหน่อยโว้ย ทางแคบ”
“ไม่สนโว้ยขอแซงก่อนนะมึง”
เพียงชั่วครู่ก็มาเดินตามหลังภาณุทัศน์จนได้ เมื่อออกจากถนนเส้นเล็ก ๆ มาสู่ถนนสายใหญ่ที่รถโฟว์วิงสามารถแล่นได้ไปจนถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติ ทั้งหมดก็เดินเรียงหน้ากระดานแทนการเดินเป็นแถวตอนเหมือนเมื่อสักครู่
“อีกไกลมั้ยล่ะไอ้เอก กูเมื่อยแล้วนะโว้ย”
“น่าอีกนิดนึง” คนพูดก้าวเท้าสม่ำเสมอ
“แม่งเอ้ย ไกลฉิบหาย เกิดจากท้องพ่อท้องแม่ไม่เคยลำบากขนาดนี้มาก่อนเลย” วายุบ่นดัง ๆ ราวกับจะให้คนที่เดินไม่คอยได้ยิน ได้ผล เพราะ ภาณุทัศน์ชะลอฝีเท้าเบา เดินช้าลง พลางเหลียวมองคนเดินตามเป็นระยะ
“ฉิบหายแล้ว ฝนตก” เอกตะโกนบอกเพื่อน ๆ แต่ในป่าไม่มีที่หลบ จึงจำใจต้องเดินลุยฝนเข้าไป เพราะยิ่งช้าจะยิ่งมืดค่ำ การเดินจะลำบากยิ่งขึ้นไปอีก
“เอาใส่ไว้ เดี๋ยวหัวเปียกจะเป็นหวัด” เอกเอาหมวกของตัวเองมาสวมให้วายุ
มันอิ่มในหัวใจ ความเหนื่อยแทบจะหายไปในบัดดล
ถนนที่ตัดเข้าไปในอุทยานแห่งชิตอุ้มผาง เป็นถนนดินเหนียว ฝนที่เทลงมาอย่างหนักทำให้การเดินทางด้วยเท้าช้าลง เพราะถนนลื่น ฝนหนาเม็ด แต่การเดินทางหยุดไม่ได้ เพราะไหน ๆ ก็เปียกกันแล้ว การเดินลุยฝนจึงดำเนินต่อไป
“ตุ๊บ” เสียงคล้ายของหนัก ๆ หล่น
สายตาหลายคู่ที่มองมา ทำให้วายุหน้าเหรอหรา
“มองไรว่ะ ก็มันลื่นนี่หว่า” คนนั่งก้นจำเป้ากับพื้นหันไปตามสายตาเพื่อนที่มองมา วายุมองไปทางภาณุทัศน์ที่ยื่นมือออกมา เขาเอื้อมอีกมือไปจับมือของเพื่อนเอาไว้ก่อนที่ภาณุทัศน์จะดึงเพื่อนให้ลุกขึ้นมาอย่างช้า ๆ
“ระวังหน่อย ถนนมันลื่น” น้ำเสียงภาณุทัศน์ห่วงใยมันจริง ๆ แหละ
เหมือนมีน้ำมารดรินหัวใจยามที่ใจแห้งแล้ง น้ำใจที่ภาณุทัศน์รดรินมายังวายุ เขาพร้อมที่จะเดินต่อไปข้างหน้าแม้ว่ามันจะยากลำบากขนาดไหนก็ตาม
คราวนี้ภาณุทัศน์กลับมาเดินด้านหลังวายุ เพราะเขาต้องคอยระวัง ไม่ให้เพื่อนล้มลงอีก แต่กว่าจะมาถึงที่ทำการอุทยานทุกคนก็ลื่นล้มเนื้อตัวเต็มไปด้วยโคลนมอมแมมกันแทบทุกคน เจ้าหน้าที่ของรีสอร์ทที่อุ้มผางมารอรับที่หน้าที่ทำการอุทยาน เพื่อพาไปยังที่พักที่ ทางรีสอร์ทที่ทั้งหมดซื้อเพกเกจเอาไว้ ลานที่พักของอุทยานแห่งชาติอุ้มผางมีเต็นท์กางอยู่ร่วมร้อย เพราะช่วงนี้เริ่มเข้าหน้าหนาวเป็นฤดูท่องเที่ยวของที่นี่ แม้การเดินทางจะยากลำบาก แต่คนที่มาต่างอยากมาดูให้เห็นกับตาทั้งนั้น
“อาบน้ำที่ลำธารได้นะครับ อาหารเย็นพร้อมตั้งแต่ ห้าโมงครึ่งนะครับ เรามีเต็นท์อยู่ 5 หลังนะครับ เลือกนอนได้ตามสบาย” เจ้าหน้าที่ของรีสอร์ทที่พาเดินลัดเลาะตามเต็นท์ต่าง ๆ บอกเมื่อพาทั้งหมดมาถึงเต็นท์ที่พัก
“ขอบคุณครับ” ภาณุทัศน์ กล่าวพลางเดินตามวายุไปที่เต็นท์
“นอนด้วยคนนะไอ้วา” เอกตรงดิ่งมาที่เต็นท์ พลางเปิดประตูเต็นท์กว้างขึ้น
“ไปอาบน้ำกันก่อน เดี๋ยวใกล้ค่ำจะหนาว”
“เออ ไปดิ”
.
.
.
หลังอาหารเย็นผ่านไป หลายคนก็แยกย้ายกันไปตามอัธยาศัย จนเริ่มค่ำ แค้มป์ใหญ่กลางป่าเริ่มคึกคัก เพราะนักท่องเที่ยวที่เดินป่าต่างกลับกันเข้ามาอีกครั้ง อากาศเริ่มเย็นชื้น ๆ เพราะรอบ ๆ ตัวล้วนเต็มไปด้วยผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ ภาณุทัศน์ถอดเสื้อแจ๊คเกตออก แล้วสวมทับที่วายุที่เดินกอดอกด้วยความหนาว
วายุหันไปมอง แต่ภาณุทัศน์กลับแบนสายตาไปทางอื่น
“อากาศเย็นนะ” คนหน้าขาวคลายความเย็นลง เมื่อได้เสื้ออีกชั้น กลิ่นกายของภาณุทัศน์ยังอุ่นอยู่เลย
“อืม ดาวสวยนะ ทีแรกนึกว่าฝนจะตกถึงค่ำเสียอีก” ภาณุทัศน์ชี้ไปในหมู่ดาวที่ระยิบท่ามกลางท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มกลางป่าใหญ่
“แม่งมึง ว่ากูช่างฝัน มึงยิ่งกว่ากูเสียอีกไอ้เอกเอ้ย”
“อ้าว เป็นงั้นไป”
“เอก” วายุเรียกเบา ๆ
“หือ”
.เงียบไร้เสียงคุยใด ๆ มีเพียงเสียงจากคนหมู่มากในแค้มป์ที่พักเท่านั้น
“อ้าว เรียกทำไม เรียกแล้วเงียบนี่หมายความว่าอย่างไร”
“ไปนอนเหอะ กูรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอย่างไรไม่รู้ เหมือนจะเป็นไข้ว่ะ”
ภาณุทัศน์เอามือมาอังที่หน้าผาก มันร้อนจริง ๆ แหละ เขาพยักหน้าแล้วเดินลัดเลาะไปตามเต็นท์เพื่อกลับไปยังเต็นท์ของตัวเอง ภานุทัศน์ตรงดิ่งไปที่กระเป๋าเป้ เขาเปิดเป้ด้านหน้าหยิบถุงเล็ก ๆ ออกมา ในถุงมียาหลายชนิด ภาณุทัศน์หยิบเอายาพาราเซตามอล มาสองเม็ด
“คัดจมูกด้วยไหม”
“ไม่”
“งั้นกินแค่พาราก็พอ คงโดนฝน แหละ แล้วขาล่ะ ปวด ๆ บ้างมั้ย” ภาณุทัศน์ส่งยาใส่มือวายุ แล้วส่งขวดน้ำตาม วายุรับยามาวางบนลิ้นแล้วกลืนก่อนดื่มน้ำตามไป
“มันตึง ๆ นิดหน่อยว่ะ”
ภาณุทัศน์ล้วงไปในถุงยาอีกครั้ง ก่อนคว้าเคาเตอร์เพนออกมา
“จะทำอะไรล่ะ” วายุถามเมื่อภาณุทัศน์ดึงเท้าเขามา
“อ้าว ก็นวดนะดิ เอ็งเท้าตึงไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่นวดพรุ่งนี้จะตึงมากอีก เดินลำบาก พรุ่งนี้ต้องเดินอีกเยอะนะ” ภาณุทัศน์พูด โดยไม่ได้หันไปมองอีกฝ่าย เขาบีบยาลงมือแล้วมาทาที่เท้าวายุ ท ภาณุทัศน์นวดเบา ๆ ก่อนแล้วค่อย ๆ แรงขึ้นตามลำดับ
วายุมองเพื่อนด้วยแววตาล้นไปด้วยความรัก
ตกดึกอากาศยิ่งหนาว วายุเริ่มมีไข้สูง หนาว ๆ แม้ภาณุทัศน์จะห่มผ้าให้แต่เขายังนอนตัวสั่น ริมฝีปากสั่นระริกด้วยความหนาว ภาณุทัศน์กังวลใจ กินยาไปแล้วน่าจะดีขึ้น ถ้าเพื่อนเป็นอะไรไป จะลำบากเพราะจากที่นี่เข้าเมืองมันลำบาก รถที่วิ่งเข้ามาในยามฝนเพิ่งหยุดจะมีเพียงรถที่ใส่ล้อโซ่เท่านั้น
“หนาวจังเอก”
ภาณุทัศน์นั่งมองเพื่อน พลางดึงเพื่อนขึ้นมานั่ง เขานั่งกอดเพื่อนเอาไว้จากด้านหลัง แก้มมันแนบชิดกัน ไออุ่นถ่ายทอดจากกันสู่กัน วายุไม่ได้สติ เขาคล้ายอยู่ในห้วงระหว่างความฝันกับความจริง ทุกอย่างมันสวยงามไปหมด
วายุหลับไปในอ้อมกอดของภาณุทัศน์
“ไอ้วา กูรักมึงว่ะ รักมากเหลือเกิน” ภาณุทัศน์กระซิบข้างหูเพื่อนเบา ๆ ก่อนค่อย ๆ ฝังจมูกลงไปเบา ๆ
น่าเสียดาย วายุไม่ได้ยิน
.
.
.
.
.
..แต่ข้ากลับเป็นไข้เสียนี่แก ทั้ง ๆ ที่ข้าน่าจะได้นั่งคุยกับแกทั้งคืน แต่แกรู้ไหมมือที่แกนวดเท้าให้ข้ามันอบอุ่นวิ่งจากปลายนิ้วแกมาถึงหัวใจข้าเลยล่ะแก ไอ้เอก วันนี้ข้าไปน้ำตก แต่ที่นี่ ไม่มีฝน ที่นี่ไม่มีแก และข้าก็ไม่ต้องการให้ใครมานวดเท่าให้ข้าด้วย เพราะจะกี่ร้อยพันมือมันก็ไม่เท่ากับมือของแกหรอก เพราะอะไรนะหรือ ?
ถ้าข้าไม่เข้าข้างตัวเองเกินไป แกน่าจะเป็นเพื่อนที่ห่วงข้าที่สุดกระมัง
ข้าอาจจะไม่ใช่เพื่อนที่แกรักมากที่สุด แต่สำหรับข้าแล้วนะแกคือทั้งหมดของชีวิตข้าเลยนะแก แต่ก็นั่นแหละ ตอนนี้ข้าได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง “มิตรภาพ” งัยแก มันจะอยู่ยงมั่นคงไปตราบนานเท่านานเลยแหละแก เพราะถ้าข้ากับแกเป็นมากกว่าเพื่อนบางทีแกกับข้าอาจมองหน้ากันไม่ติดก็ได้ แต่แกรับรู้ไว้เถอะหัวใจของข้าไม่เคยมีที่สำหรับใครเลยนอกจาแกเท่านั้น ภาณุทัศน์
รักแกจังเลยว่ะ
วายุ
ยามเช้าอากาศที่หลวงพระบางหนาว วายุนอนขดตัวเบียดเข้ากับร่างของวิม ภายในผ้าห่มผืนหนาสีขาว ร่างกายกระทบกัน ความอุ่นจากร่างกายแผ่เข้าหากันอย่างช้า ๆ วิมรู้สึกตัวเมื่อมีอีกร่างมาเบียดแนบชิด แม้จะเป็นแค่ต้นแขนที่แนบชิดกัน แต่เขารู้สึกได้ วิมเอียงแก้มกลับมาช้า ๆ คนตัวเล็กหน้าขาวหลับปุ๋ยเหมือนเด็ก
พัดลมเพดานยังคงทำงาน แต่ไอเย็นจากภายนอกลอยผ่านหน้าต่างเข้ามาเอื่อย ๆ วิมยกนาฬิกาข้อมือมาดู
หน้าปัดบอกเวลา 05.30 น.
วิมค่อย ๆ เอาตัวจากผ้าห่มออกช้า ๆ ชะโงกหน้ามองไปทางนอกหน้าต่าง เห็นหญิงวัยกลางคนกำลังขะมักเขม้นอยู่หน้าเตาไฟ วิมยิ้มกับตัวเอง ก่อนจะเดินมาปิดพัดลมเพดาน แล้วหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กคล้องคอก่อนเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ
เสียงน้ำไหลจากก็อก ทำให้วายุขยับตัวปิดตัวไปมาด้วยความเมื่อล้า จะไม่ให้เมื่อยได้อย่างไร เขาใช้เวลาถึงสองันเต็ม ๆ ที่เดินทางมาจากเชียงของ แม้คืนก่อนที่นอนค้างที่ปากแบง แต่ที่หลับที่นอนไม่ได้เหมือนกับที่เขาเคยนอน วายุชินกับการที่ทุกคนคอยเฝ้าพะเน้าพะนอทำสิ่งต่าง ๆ ให้ แต่ที่นี่เขารู้ เขาต้องหัดทำอะไรให้ได้ด้วยตัวเองเพราะไม่อย่างนั้นอาจเกิดความเบื่อหน่ายแก่เพื่อนใหม่
“เอ้า ตื่นแล้วเหรอ” วิมทักทายเมื่อเห็นวายุกำลังงัวเงีย
เขาเดินออกมาจากห้องน้ำ ตามใบน้ำหยดน้ำยังเกาะเต็ม ไรผมด้านหน้าโดนหยดน้ำ ทำให้ผมตกลงมาถึงคิ้ว
“ฮื่อ กี่โมงแล้ว” น้ำเสียงวายุงัวเงียไม่ต่างจากร่างกายที่ยังไม่พร้อมจะตื่น
วิมยกผ้าผืนเล็กมาซับหน้า เขาใช้มือกางออกแล้วเสยผมขึ้นไปสางเบา ๆ ด้วยมือ สักพัก ผมของวิมก็กลับคืนสู่ทรงเดิม อย่างง่าย ๆ วายุเริ่มรับรู้ เพื่อนใหม่ไม่เรื่องมากคล้าย .ภาณุทัศน์
เอาอีกแล้ว!
ภาณุทัศน์อีกแล้วหรือ แม้จะยามหลับ ยามตื่น วายุไม่อาจลืมภาณุทัศน์ออกไปจากหัวใจได้เลย
วายุเพิ่งเข้าใจ
ไกลตัว .ใกล้หัวใจ
ยามนี้ที่หลวงพระบาง หัวใจของวายุกลับนึกถึงแต่คนไกล ทุกยามที่เขาเผลอ ภาณุทัศน์ จะต้องเข้ามาวนเวียนในหัวใจของเขาตลอด
“จะหกโมงเช้าแล้ว ตื่นเหอะวา เช้าแรกในหลวงพระบาง ขอตื่นเช้ามืดสักวันนะ เรามีอะไรเซอร์ไพร้ซ์นายด้วย” วิมส่งมือมาที่วายุ
วายุมองหน้าเพื่อน
อาการนี้ก็อีก คล้ายเหลือเกิน
วายุส่งมือให้เพื่อนใหม่ วิมรับมาแล้วดึงวายุขึ้นยืน ก่อนที่จะผลักเพื่อนเบา ๆ เข้าไปในห้องน้ำ “เร็ว ๆ นะโว้ย ให้เวลาแค่ สิบนาที”
วายุห่อไหล่เล็กน้อยแล้วใช้มือประสานกันที่หน้าอก เมื่อออกมายืนหน้าเรือนพัก ลมหนาวมั้งโชยขึ้นมาจากทางด้านใต้ที่แม่น้ำโขงไหลผ่าน ริมฝีปากบางสีแดงเริ่มซีดขาวเพราะอากาศยามเช้าหนาวเหน็บ วายุค่อย ๆ ขบริมฝีปากเข้าหากัน เพื่อปรับให้เข้ากับสภาพอากาศยามเช้า
“พร้อมยัง”
วายุหันไปตามเสียง วิมยิ้มตาหยี ที่คอคล้องกล้องถ่ายรูปตัวโตไว้ด้วย
“จะทำไรเหรอ”
“เดี๋ยวก็รู้ ไปกัน”
วิมเดินนำออกจากเรือนพัก วายุเดินตาม เขาไม่เข้าใจทำไมต้องตื่นเช้าขนาดนี้ มันมีอะไรน่าสนใจมากขนาดนั้นหรือ วิมเดินออกมาที่ถนนซึ่งเป็นซอยเชื่อมระหว่างถนนเลียบแม่น้ำกับถนนหลักของเมือง หญิงวัยกลางคนที่เขาเห็นเอสักครู่ อยู่ในชุดพื้นเมืองนุ่งซิ่นเสื้อแขนทรงกระบอก มีสไบสีขาวพาด สองมือหอบข้าวของพะรุงพะรัง ทั้งเสื่อ กระติ๊บข้าวเหนียวอีกหลายกระติ๊บ
“ผมช่วยครับ” วิมเข้ารับ เสื่อจากหญิงวัยกลางคน
“ขอบใจหลาย” นางยิ้มก่อนส่งเสื่อ วิมรับมันมาถือพลางเดินตาม
“พระจะมาตอนไหนครับ”
“หกโมงเช้า พระก็จะเริ่มแล้วล่ะ เดี๋ยวไปปูเสื่อจองที่เอาไว้ก่อน” นางบอกให้วิมทราบ แต่วายุสิ คิ้วขมวดเข้าหากัน เพราะไม่เข้าใจ
ถนนสายหลักของหลวงพระบางเงียบไร้รถราใด ๆ เพราะยังเป็นช่วงเช้าตรู่ ไฟสีส้มจากถนนยังไม่ปิด ไอหมอกบาง ๆ ลอยลงต่ำจนแทบจะติดพื้นดินเลยก็ว่าได้ ริมถนนติดกำกำแพงโรงแรมพูสีที่อยู่ตรงข้ามกับซอยเรือนพัก มีผู้คนมากมายปูเสื่อนั่งรอกันเป็นแถว ทั้งคนสูงวัย คนหนุ่มสาว และเด็ก วายุขมวดคิ้วอีกครั้ง เขาไม่เข้าใจคนเหล่านี้มาทำอะไรกันตั้งแต่เช้า
เพราะความเป็นคนที่เกิดในเมืองกระมัง
วายุเลยไม่คุ้น ..กับ ศาสนา
“เอา นี่ของนาย” วิมส่งกระติ๊บข้าวเหนียวให้ เมื่อเห็นวายุทำหน้างง ๆ “นี่นะ เป็นการตักบาตรข้าวเหนียว อีกประเดี๋ยวพระจะเดินมา รับรอง นายจะปั้นข้าวเหนียวลงบาตรแทบไม่ทันเลยทีเดียวแหละ มาเมืองพุทธก็ต้องตักบาตรสิ วันแรกเสียด้วยนะ”
วายุพยักหน้ารับ
นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่เคยตักบาตร เอ หรือเขาไม่เคยเลยมาตลอดชีวิตหว่า เคยสิ เคย แต่นานแล้วล่ะ ครั้งสุดท้าย ตักบาตรกับไอ้เอกมั้ง
สังคมเมืองหล่อหลอมให้เขาห่างวัด ห่างศาสนา วายุแทบจะไม่ย่างกายเข้าไปในวัดเลย เขาคิดเสมอ เรื่องของวัดเป็นเรื่องของคนแก่ วัยหนุ่มสาวอย่างเขา ชอบเดินห้าง โรงภาพยนตร์ หรืออาร์ซีเอ น่าจะเหมาะว่า “วัด” ตามใบประวัติต่าง ๆ ที่วายุจำเป็นต้องกรอก เมื่อถึงช่อง “ศาสนา” วายุจะกรอกลงไปในทันทีโดยไม่ต้องคิด
“พุทธ”
เขาไม่รู้เหมือนกันว่าเขากรอกมันตามหน้าที่ หรือกรอกเพราะเขา ศรัทธาหรือนับถือในศาสนานั้นจริง ๆ
“แล้วของนายล่ะ”
“เฮ้ยไม่เป็นไร นายตักก่อนเหอะ เราขอเก็บภาพวันแรกในหลวงพระบางด้วยขบวนพระที่เดินมาโปรดสัตว์ดีกว่า ยังอยู่อีกหลายวัน รับรองได้ตักบาตรร่วมกับนายแน่ไอ้วา”
วายุยิ้ม เขาเหมือนเคยได้ยิน “ตักบาตรร่วมขัน” ใช่สิ..ก็ตอนที่ไปทีลอซูไง ไอ้เอกนั่นเองที่ห้ามไม่ให้มันไปดูทะเลหมอกที่ดอยหัวหมด
“ทะเลหมอกที่ไหน ๆ ก็เหมือนกันแหละว้า ไว้เอ็งไปกับข้าดีกว่านะ รับรองเอ็งต้องชอบ”
วันนั้นภาณุทัศน์ เลยพาวายุไปตลาดเช้าของอุ้มผาง เขาหาซื้อกับข้าวสำเร็จรูปง่าย ๆ จากแม่ค้าในตลาด แล้วไปรอพระที่หน้าวัดที่อยู่เลยตลาดอุ้มผางไปนิดเดียว
“ตักบาตรกับข้าดีกว่าเอ็ง ชาติหน้าจะได้เจอกันอีกไง”
“ชาติหน้าเหรอ” วายุทวนคำในใจ แค่ชาติเดียวมันก็เจ็บปวดในหัวใจจิ้ด ๆ การแอบรักเขาโดยไม่ได้บอกให้รับรู้มันเป็นความทรมาน แล้วนี่ภาณุทัศน์ยังอยากจะเจอกันชาติหน้าอีกเหรอ
“ใจลอยแต่เช้าเลยนะวา ขอเลยไปถึงชาติหน้าแล้วหรือนี่ พระมาแล้ว นายต้องยืนใส่บาตรนะ ถอดรองเท้าด้วย” วิมตบไหล่เพื่อนเบา ๆ วายุมองเพื่อนที่เดินออกไปกลางถนน วิมปรับหน้ากล้องเล็งไปตามขบวนพระที่เดินยาวมาเป็นแถวยาว
วายุทำใจให้โล่ง อย่างน้อยการทำบุญควรทำใจให้โปร่งใสมิใช่หรือ
ขบวนพระเดินหายไปอย่างรวดเร็ว วายุไม่ชำนาญในการจกข้าวเหนียวลงบาตร แต่เพียงไม่นานพระขบวนใหม่ก็เดินทางมาอีก คราวนี้วายุทำได้เร็วขึ้น จิตใจเขาจดจ่อกับการจกให้ทันกับพระทุกรูป วิมเก็บภาพไปเรื่อย ๆ ทั้งมุมกว้างที่เห็นพระเป็นแถวยาว มุมแคบที่เห็นแววตาคนใส่บาตรอิ่มไปด้วยแรงศรัทธา
“ขอบใจหลายนะป้า” วิมส่งธนบัตรใบละ 50 บาทส่งให้หญิงวัยกลางคน คนเดียวกับที่วิมช่วยถือของ
“ขอบใจหลาย จะตักอีกมาสั่งไว้ได้เน้อ” นางยิ้มก่อนจะเดินจากไป
“อะไร” วิมแปลกใจเมื่อวายุส่งธนบัตร ราคาเดียวกับที่วิมส่งให้หญิงวัยกลางคน
“ก็ค่าข้าวเหนียวไง ถึงเราจะไม่ค่อยได้เข้าวัด แต่เรารู้ เงินนาย นายก็ได้บุญสิวิม เราตัก เราก็ต้องจ่าย โอเคนะ”
วิมรับเงินมาจากวายุ เขายิ้มบาง ๆ อย่างน้อย แววตาอมทุกข์ที่เขาเห็นตอนอยู่บนดาดฟ้าเรือช้าก็เริ่มจางลง แววตาวายุเริ่มยิ้ม เรื่องว้าวุ่นในใจอาจคลายลงแล้วกระมัง
“งั้นเราไปเดินตลาดดีกว่า ที่ริมโขงมีตลาดเช้า มีร้านกาแฟอร่อย ๆ ด้วยหรือนายจะกิน ”เฝอ” ก็ได้นะ มีทั้งเฝอเนื้อ เฝอหมู”
วายุงงอีกแล้ว “เฝอ” เกิดมาเพิ่งเคยได้ยิน
“อะไรคือเฝอ”
“เออ จริงสินะ เราไม่รู้ว่านายทราบอะไรเกี่ยว
กับหลวงพระบางบ้าง โอเคนะ นายค่อย ๆ เรียนรู้ไปแล้วกัน “เฝอ” นี่มันก็คล้าย ๆ ก๋วยเตี๋ยวน้ำบ้านเรานี่แหละ อย่างบ้านเราจะมี ต้มยำ เย็นตาโฟ เฝอก็เหมือนกัน มีเฝอหมูต้มเครื่องเทศ เฝอน้ำข้าวซอยแบบทางเหนือบ้านเรา ไง การกินเฝอของคนลาว เขานิยมกินกันทั้งวันแหละ เส้นเฝอจะนุ่มคล้ายลอดช่องสิงคโปร์ แต่เส้นใหญ่กว่ามาก นายอยากลองมั้ยล่ะ
อากาศยามเช้าดีทีเดียวแหละ เมื่อทั้งสองเดินมาใกล้ตลาด ก็ได้ยินเสียงโหวกแหวกโวยวายร้องขายของกันระงม วายุมองภาพ แม่ค้าที่นั่งขายของริมถนนด้วยความตื่นตา ผักสีเขียวกองเป็นพะเนิน สลับกับกองมะเขือเทศสีแดง มะเขือม่วง และพริกสีสด ดูแปลกตาสำหรับคนเมืองอย่างวายุ
“ลองกินสิ เรากินง่าย”
วิมเก็บภาพวิถีชิวิตของชาวบ้านร้านตลาดไปเรื่อย ๆ เขาค่อย ๆ เดินแทรกไปในฝูงชาวบ้านอย่างช้า ๆ โดยมีวายุเดินตามมาติด ๆ บางช่วงแม่ค้าสัตว์ป่านำสัตว์ที่หาได้มาวางขาย ร้านค้าก็ง่าย ๆ แค่เอาใบตองมาปูกับฟุตบาทริมถนน แล้วเอาสัตว์ที่จับได้มากองขาย บางเจ้าเป็นนกป่า ที่แม่ค้ายังนั่งถอนขนอยู่ตรงนั้น หรือจะเป็นกบตัวเล็กตัวน้อยที่กองในประจาด วายุติดใจกองเขียว ๆ คล้ายตะใคร่น้ำกองโต ๆ เขาปรี่เข้าไปดู
“อะไรหรือครับ” เขาถามแม่ค้า
“ไค เอาบ่อ โลละห้าพัน” แม่ค้าตอบตามสำเนียงที่เขาฟังรู้บ้างไม่รู้บ้าง
วิมยิ้มเมื่อเห็นวายุทำหน้างง เพื่อนใหม่คงไม่รู้อีกตามเคย
“ไคนี่ มันก็คือ ตะใคร่น้ำในแม่น้ำโขงนี่แหละ คนที่นี่เขาเอามาตากแห่ง โรยงาขาวแล้วเอาไปทอดกินเล่นหรือกินกับข้าวก็ได้ เหมือนบ้านเราที่ชอบกินสาหร่ายญี่ปุ่นไง”
วายุยิ้ม โลกนี้กว้างจริง ๆ แหละ เขาเหมือนกบที่เพิ่งออกมาจากกะลาสู่โลกภายนอกแท้ ๆ
“เฮ้ยนั่น ” วายุชี้ไปที่เนื้อชิ้นโตที่หนังสีดำมีลายเหลือง ตัดกองอยู่สามสี่ชิ้น
“อ๋อ งูเหลือมน่ะ แต่เราไม่กล้ากินหรอก เดินต่อดีกว่า แถวนี้นายท่าจะไม่ชอบ” วิมดันหลังให้วายุเดินต่อไปด้านหน้า
“เขาบอกว่าถ้าเราอยากรู้วิถีชีวิตของผู้คนในถิ่นนั้นให้เรามาตลาด เพราะตลาดจะเป็นแหล่งให้ความรู้ชั้นดีว่า วิถีผู้คนของที่นั่นเป็นอย่างไร ที่นี่เขาเรียกตลาดเช้าหลวงพระบางตั้งอยู่ในเส้นทางเลียบแม่น้ำโขง เป็นแหล่งรวมอาหารสด และอะไรอีกมากมาย เราเดินดูไปเรื่อย ๆ แล้วกัน” คนนำทางอธิบายคล่องสมกับทำงานออฟฟิศทัวร์
วิมเดินช้า ๆ บางครั้งเขาหยุดแล้วถ่ายรูปวิถีชีวิตของผู้คนไปเรื่อย ๆ วายุมองอากัปกิริยาจากเพื่อน น่าจะดีไม่น้อยถ้าเวลานี้มีภาณุทัศน์อยู่ด้วย
“เอ็งไม่ไปนะดีแล้ว เดี๋ยวข้าพาไปเดินตลาด ทะเลหมอกนะเป็นสิ่งที่ทัวร์อยากให้ดู เอ็งเคยถามตัวเองบ้างมั้ยว่าเอ็งอยากดูสิ่งที่เอ็งอยากดู หรือเอ็งจะดูในสิ่งที่เขาจัดให้ดู ตลาดนะดีที่สุดเพราะมันคือศูนย์กลางของชาวบ้านในแถบนั้นรองจากวัด”
คำพูดภาณุทัศน์ยังก้องในหู วายุยิ้มเมื่อนึกถึงคนที่ตัวเองรัก อย่างน้อยตอนนี้ วิมคงไม่ต่างอะไรไปจาก “เงา” ของอีกคน เพราะหลายสิ่งหลายอย่างที่ภาณุทัศน์บอกกล่าว วิมเองก็รู้เช่นกัน วายุเดินตามวิมไปเงียบ ๆ เขายินดีที่จะเป็นฝ่ายตามเหมือนที่เขาตามภาณุทัศน์นั่นแหละ
แต่วายุไม่รู้ ไม่มีใครแทนที่หรือเหมือนใครไปทั้งหมด
เงาของภาณุทัศน์จริง ๆ หรือที่วายุเห็น หรือนั่นอาจเป็นตัวตนที่แท้จริงของวิม ที่วายุพยายามจะมองให้เป็นภาณุทัศน์ วายุตอบคำถามตัวเองไม่ได้ แต่หัวใจเขาไม่กระวนกระวายเท่าสองวันก่อน
วันนี้วายุพร้อมจะเดินไปตามโลกกว้างอย่างเงียบ ๆ พร้อม เพื่อนใหม่
วันนี้ข้าเหนื่อยแทบขาดใจเลยล่ะแก วิมมันชวนข้าไปเที่ยวน้ำตก “ตาดกวางสี” ไอ้น้ำตกนี้มันก็อยู่นอกเมืองหลวงพระบางออกทางใต้ราว 20 กิโลเมตร แต่ทางไปสิแกเอ๋ยถนนลูกรังทั้งนั้นรถที่ว่าจ้างไปก็วิ่งเสียจนมิดไมล์เลยแก (ข้าว่าไม่น่าเกิน 6 กิโลเมตร/ชั่วโมงว่ะ) หัวข้านี่นะแดงเถือกเหนียวเหนอะไปด้วยฝุ่น อ้าวก็แกเคยบอกข้าเองนี่หว่าว่าข้าประเภทพวกนกหงส์หยก คอยดูแลทรงผมอยู่ตลอดเวลา แต่คราวนี้แกเอ๋ยมันลำบากแสน หัวข้านะแทบจะเอามือลูบแล้วมาใช้แทนกาวได้เลยเชียวแหละแก มันเหนียวเหนอะเสียขนาดนั้น ถ้าแกมาเห็นข้าตอนนี้แกอาจไม่เชื่อสายตาก็ได้ว่าเพื่อนซี้ของแกคนนี้จะทำตัวเยี่ยงยาจกได้เช่นนี้
คนเราเปลี่ยนแปลงกันได้ไงแก
แม้ข้าจะมาอยู่ไกลขนาดนี้ แต่ในหัวใจข้ามันกลับคิดถึงแกทุกครั้งที่ข้าต้องอยู่คนเดียว ไม่รู้ทำไมสิไอ้เอก ข้าอยากจะรักแกแบบที่คนอื่น ๆ เขารัก แต่แกเอ้ยยิ่งข้าอยากลืมมันกลับจำสงสัยข้าคงต้องจำแล้วล่ะ เพราะมันอาจเป็นทางเดียวที่จะลืมได้หรือแกมีวิธีที่ดีกว่านี้
ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าอีกนานแค่ไหนที่ข้าจะลืมแกออกไปจากใจได้ หรือแค่ให้ข้ารักแกแค่เพื่อนก็พอ ข้ารู้การที่ข้ารักแกแบบนี้ก็เพราะแกนั่นแหละ อ้าวก็แกไม่ใช่หรือที่คอยตามใจข้าเสียทุกเรื่องจนข้าเสียนิสัย เห็นมะข้าไม่เคยคิดว่าข้าผิดหรอก คนเราก็แบบนี้แหละใครจะคิดว่าตัวเองผิดเล่าจริงมั้ย ถ้าข้าผิดก็เพราะผิดที่มารักแกไงล่ะภาณุทัศน์
เอ้อ .ข้าอยากให้แกรู้จักไอ้วิมมันจังเลย อย่างน้อยมันก็ทำให้ข้าหายคิดถึงแกได้บ้าง อย่างที่ข้าบอกวิมมันจบมอชอ มาหมาด ๆ และได้งานทำในทันที แต่แกเอ้ย ข้าเพิ่งรู้ วิมมันลูกกำพร้าว่ะ พ่อกับแม่มันเสียไปหมดแล้วมันมีพี่สาวอยู่คนนึงเห็นว่าทำงานอยู่ที่รีสอร์ทพี่เปี๊ยกเพื่อนพี่นัทที่เกาะสมุยโน่นแน่ะ วิมมันเก่งมากเลยแหละแก มันไม่กลัวการเดินทางคนเดียวมันบอกข้าว่าไรแกรู้ป่ะ
“การเดินทางคนเดียว บางครั้งอาจจะเหมาแต่เราจะเหมือนนกที่มีอิสระเสรีจะไปทางไหนก็ได้ และที่สำคัญเราจะได้เจอผู้คนใหม่ ๆ จะได้เห็นในสิ่งที่เราไม่เคยเห็น แล้วเราจะรู้ว่าที่จริงแล้วบนโลกใบนี้ยังมีอะไรอีกมากมายที่เรายังไม่ได้เดินไป เพราะเรากลัวว่าที่นั่นมันจะลำบาก กลัวว่าจะหลง ถ้าเราไม่กลัวเสียอย่าง แล้วทำใจให้สนุกกับทุก ๆ ที่ที่เราเดินทางเราจะมีความสุขกับมัน เหมือนครั้งนี้ไง ที่เราได้เจอนาย อย่างน้อยเราก็ได้เจอเพื่อนใหม่อีกคน”
แกเอ้ย ข้านึกถึงแกขึ้นมาจับขั้วหัวใจเชียวล่ะ ก็แกไม่กลัวการเดินทางเหมือนกันนี่หว่า แต่ข้าสิ แม้ออกนอกประเทศบ่อยแต่ข้ายังหวั่น ๆ กับการเดินทาง กลัวโน่นกลัวนี่ ถ้าข้าไม่รู้จักแกนะไอ้เอก ข้าคงไม่มีโอกาสได้ไปเที่ยวตามที่ลำบากลำบนอย่างที่แกชอบหรอก เหมือนวันนี้ไง ข้าไปน้ำตกตาดกวางสีมา ทำให้ข้านึกถึงตอนที่ไปทีลอซูกับแกเลยล่ะ
แกจำได้ป่ะ ตอนเปิดเรียนเทอมสอง พอเรารู้ว่าเดือนพฤศจิกายน ที่มหาวิทยาลัยจะมีงานรับปริญญาทำให้ได้หยุดสองสัปดาห์ แกนั่นแหละที่เป็นตัวตั้งตัวตีชวนเพื่อน ๆ ในห้องไปท่องทีลอซูกัน ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นพอแกเอ่ยชื่อ “ทีลอซู” เพื่อน ๆ ต่างทำหน้าเลิกลั่กกันเป็นแถว ใครเคยได้ยินเสียที่ไหนเล่า แต่แกก็ยืนยัน
“กูรับรองนะโว้ย ทริปนี้พวกมึงจะติดใจไปจนตาย ทีลอซูนะน้ำตกใหญ่ที่สุดในประเทศไทยนะโว้ยติดอันดับ 6 ของโลกเชียวนะพวกมึง” เอกโน้มน้าวเพื่อน ๆ ในกลุ่ม
“อยู่ไหนว่ะ” ข้าถามเพราะข้าไม่เคยรู้จัก แหล่งท่องเที่ยวในประเทศที่ข้ารู้จักดีก็ เชียงใหม่ ภูเก็ต สมุย พัทยา ส่วนที่อื่นข้าไม่รู้จักเสียด้วยสิ
“อุ้มผางโว้ย ไปนะโว้ย น่ะนะไอ้วาไปด้วยกันนะ” แววตา น้ำเสียงอย่างนี้ข้าแพ้แกหมดรูปทุกที
“เออ ข้าไป ใครไปอีกมั่งว่ะ”
พอข้าตกลงไปเท่านั้นแหละเพื่อนอีกโขยงก็ไปด้วย เพราะอะไรหรือแก แกก็รู้แม่ข้านะตามใจลูกชายคนเดียวอย่างข้าจะตาย ถ้ารู้ว่าเราจะไปรถประจำทางมีหวังแม่ค้านหัวชนฝาแน่เลยแก ขนาดตอนข้าไปบอกแม่ว่าจะไปทีลอซูตอนปิดรับปริญญาเท่านั้น แม่บอกไงรู้มั้ยแก
“นั่งทีจีไปลงแม่สอดไม่ได้เหรอ”
เห็นมั้ยล่ะแก ว่าแม่ข้านะเอาข้าเก็บไว้ในหินเชียวแหละ อ้าวก็ข้ามี “ไข่” นี่หว่า เอ็งไม่เคยได้ยินเหรอ ไข่ในหินนะ สุดท้ายแม่เลยให้คนขับรถที่บ้านเอารถตู้ที่บริษัทพ่อไป พวกแกเลยสบายเพราะทริปนี้ “คุณนายวารุณี” อุปถัมภ์ไปเสียหลายอัฐ
ตลอดเส้นทางจากกรุงเทพฯ ถึง แม่สอดแกคงคิดว่าข้าหลับสินะ เพราะข้าใช้ไหล่แกแทนหมอนตลอดเลย แต่ข้าบอกตรง ๆ นะโว้ย ข้าไม่ได้นอนเลยสักนิดเดียว แต่อยากอยากอยู่ใกล้ ๆ ตัวแกมากกว่า ไม่รู้สิ ภาณุทัศน์ ว่าทำไมข้าถึงอยากอยู่ใกล้กับแกนัก อาจเพราะแกดีกับข้ามากกว่าคนอื่น ๆ ก็เป็นได้ อีกอย่างแกไม่ค่อยอายเวลาอยู่สองต่อสองกับข้า แกมักทำตัวเป็นชีเปลือยให้ข้าได้ชุ่มชื่นหัวใจเล่น เสียอย่างเดียวแกไม่แก้หมดให้กางเกงในตัวน้อยปิดบังส่วนนั้นไว่ทำไมก็ไม่รู้
รถไปถึงอุ้มผางก่อนเที่ยงเล็กน้อย เพราะพี่คนขับรถแกไม่ชินทางแกเลยขับช้า ๆ ระหว่างทางแกนั่งชิดหน้าต่างแล้วเปิดกระจกรถเพราะรถต้องวิ่งไปตามภูเขาสูงชัน ลัดเลาะไปตามเขาลูกแล้วลูกเล่า ไอ้เอกยามแกชวนชี้ให้ข้าดูโน่นดุนี่นอกหน้าต่าง ข้าจะเอนตัวแทบจะไปอยู่ในอ้อมกอดแก แล้วชะโงกหน้าไปมองตามที่แกบอก แกไม่รู้สึกหวาดหวั่นในหัวใจบ้างหรือ ส่วนข้านะใจเต้นราวกับพี่เจมส์เต้นเพลงข้ามันไก่เสียอีก กลิ่นกายอ่อน ๆ จากตัวแก ข้าจำได้ดีเชียวแหละไอ้เอกเอ้ย อันที่จริงถ้าแกไม่ดีกับข้ามาก ข้าอาจไม่รักแกมากขนาดนี้ก็ได้ก็ได้
ภาณุทัศน์ .แกรู้ใช่มั้ยว่าข้ารักแก
รักมานานแล้วด้วยสินะ
ไอ้เอก แกจำตอนเราล่องแพจากอุ้มผางเพื่อไปที่ห้วยทรายได้ป่ะ เพราะเราต้องไปขึ้นรถที่ห้วยทรายเพื่อเข้าต่อไปยังที่ทำการอุทยานแห่งชาติทีลอซู พวกเรา 8 คน ลงแพยางลำเดียวกัน เรือพายไปเรื่อย ๆ ตามลำน้ำแม่กลองทางเหนือ แต่พอถึงเกาะแก่งต่าง ๆ
ข้าซึ่งนั่งหลังแกพยายามโล้เรือให้โคลงเคลง พวกแกสนุกสนานกันใหญ่ แต่ที่จริงแล้วเพื่อข้าจะได้เลื่อนไปติดกับตัวเอ็งโดยที่ไม่มีใครสงสัยไงล่ะแก เห็นมั้ยล่ะแก ว่าที่จริงแล้วข้ามีอะไรอีกหลายอย่างที่แกคาดไม่ถึงเชียวแหละ ระยะเวลาล่องแพเกือบสามชั่วโมงแกสนุกมาก เพราะแกบอกกับข้าเองว่าการเที่ยวแบบลุย ๆ แบบนี้แหละที่แกชอบ แต่ข้ากลับมีความสุขมากกว่าแกเสียอีก เพราะอะไรนะหรือแก เพราะข้าได้เที่ยวกับคนที่ข้ารักไงล่ะแก .
.
.
.
.
สามปีที่แล้ว
เรือยางล่องมาตามลำน้ำเรื่อย ๆ ผ่านผาเลือด แล้วแวะจอดให้ถ่ายรูปที่ “น้ำตกทีลอจ่อ” สายน้ำเล็ก ๆ ที่ไหลมาจากผาสูง แล้วตกมาที่ลำน้ำแม่กลอง บริเวณที่น้ำตกไหลลงมา เต็มไปด้วยมอสเขียวขจี ต้นไม้ในป่าอุ้มผางสดชื่นเพราะเพิ่งผ่านฤดูฝนมาหมาด ๆ อาจมีบางวันที่ฝนค้างฤดูตกมาเป็นระยะ ๆ
“รวมพล ๆ ถ่ายรูป ๆ เร็วเข้าโว้ย” เสียงเรียกจากไอ้นันทำเอาคนที่เดินเกร่หามุมสวยของตัวเองรวมพลในทันที วายุตรงดิ่งไปในกลุ่ม ภาณุทัศน์ยืนชิดด้านขวาแล้วเอามือกอดคอเพื่อนหน้าขาวไว้แน่น พลางยิ้มแฉ่ง
วายุเองก็มีสุขไม่น้อยไปกว่าเพื่อนนักหรอก เพราะมือที่ภาณุทัศน์โอบกอดอยู่นั่นเอง
เมื่อถ่ายรูปได้หลายมุมตามความพอใจแล้ว เรือก็ล่องต่อไปจนถึงห้วยทราย ที่นั่นเรือยางบ้าง แพไม้ไผ่บ้างมาจอดรออยู่หลายลำ เพราะ จะต้องรอนักท่องเที่ยวที่เดินกลับมาจากน้ำตกเพื่อนล่องแพไปยัง “บ้านปะละทะ” ซึ่งใช้เวลาพอ ๆ กับเรือที่ล่องมาเช่นกัน
ภาณุทัศน์เดินไปตามทางเดินเล็ก ๆ โดยเพื่อน ๆ อีกโขยงเดินตาม ไปในป่าที่ค่อนข้างโปร่ง และมีนักท่องเที่ยวเดินเดินเข้าไปเป็นกลุ่ม ๆ วายุพยายามวิ่งแซงหน้าเพื่อนเพื่อนจะเดินให้ทันภาณุทัศน์ที่เดินลิ่ว ๆ
“เอ้ย ไอ้วา ระวังหน่อยโว้ย ทางแคบ”
“ไม่สนโว้ยขอแซงก่อนนะมึง”
เพียงชั่วครู่ก็มาเดินตามหลังภาณุทัศน์จนได้ เมื่อออกจากถนนเส้นเล็ก ๆ มาสู่ถนนสายใหญ่ที่รถโฟว์วิงสามารถแล่นได้ไปจนถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติ ทั้งหมดก็เดินเรียงหน้ากระดานแทนการเดินเป็นแถวตอนเหมือนเมื่อสักครู่
“อีกไกลมั้ยล่ะไอ้เอก กูเมื่อยแล้วนะโว้ย”
“น่าอีกนิดนึง” คนพูดก้าวเท้าสม่ำเสมอ
“แม่งเอ้ย ไกลฉิบหาย เกิดจากท้องพ่อท้องแม่ไม่เคยลำบากขนาดนี้มาก่อนเลย” วายุบ่นดัง ๆ ราวกับจะให้คนที่เดินไม่คอยได้ยิน ได้ผล เพราะ ภาณุทัศน์ชะลอฝีเท้าเบา เดินช้าลง พลางเหลียวมองคนเดินตามเป็นระยะ
“ฉิบหายแล้ว ฝนตก” เอกตะโกนบอกเพื่อน ๆ แต่ในป่าไม่มีที่หลบ จึงจำใจต้องเดินลุยฝนเข้าไป เพราะยิ่งช้าจะยิ่งมืดค่ำ การเดินจะลำบากยิ่งขึ้นไปอีก
“เอาใส่ไว้ เดี๋ยวหัวเปียกจะเป็นหวัด” เอกเอาหมวกของตัวเองมาสวมให้วายุ
มันอิ่มในหัวใจ ความเหนื่อยแทบจะหายไปในบัดดล
ถนนที่ตัดเข้าไปในอุทยานแห่งชิตอุ้มผาง เป็นถนนดินเหนียว ฝนที่เทลงมาอย่างหนักทำให้การเดินทางด้วยเท้าช้าลง เพราะถนนลื่น ฝนหนาเม็ด แต่การเดินทางหยุดไม่ได้ เพราะไหน ๆ ก็เปียกกันแล้ว การเดินลุยฝนจึงดำเนินต่อไป
“ตุ๊บ” เสียงคล้ายของหนัก ๆ หล่น
สายตาหลายคู่ที่มองมา ทำให้วายุหน้าเหรอหรา
“มองไรว่ะ ก็มันลื่นนี่หว่า” คนนั่งก้นจำเป้ากับพื้นหันไปตามสายตาเพื่อนที่มองมา วายุมองไปทางภาณุทัศน์ที่ยื่นมือออกมา เขาเอื้อมอีกมือไปจับมือของเพื่อนเอาไว้ก่อนที่ภาณุทัศน์จะดึงเพื่อนให้ลุกขึ้นมาอย่างช้า ๆ
“ระวังหน่อย ถนนมันลื่น” น้ำเสียงภาณุทัศน์ห่วงใยมันจริง ๆ แหละ
เหมือนมีน้ำมารดรินหัวใจยามที่ใจแห้งแล้ง น้ำใจที่ภาณุทัศน์รดรินมายังวายุ เขาพร้อมที่จะเดินต่อไปข้างหน้าแม้ว่ามันจะยากลำบากขนาดไหนก็ตาม
คราวนี้ภาณุทัศน์กลับมาเดินด้านหลังวายุ เพราะเขาต้องคอยระวัง ไม่ให้เพื่อนล้มลงอีก แต่กว่าจะมาถึงที่ทำการอุทยานทุกคนก็ลื่นล้มเนื้อตัวเต็มไปด้วยโคลนมอมแมมกันแทบทุกคน เจ้าหน้าที่ของรีสอร์ทที่อุ้มผางมารอรับที่หน้าที่ทำการอุทยาน เพื่อพาไปยังที่พักที่ ทางรีสอร์ทที่ทั้งหมดซื้อเพกเกจเอาไว้ ลานที่พักของอุทยานแห่งชาติอุ้มผางมีเต็นท์กางอยู่ร่วมร้อย เพราะช่วงนี้เริ่มเข้าหน้าหนาวเป็นฤดูท่องเที่ยวของที่นี่ แม้การเดินทางจะยากลำบาก แต่คนที่มาต่างอยากมาดูให้เห็นกับตาทั้งนั้น
“อาบน้ำที่ลำธารได้นะครับ อาหารเย็นพร้อมตั้งแต่ ห้าโมงครึ่งนะครับ เรามีเต็นท์อยู่ 5 หลังนะครับ เลือกนอนได้ตามสบาย” เจ้าหน้าที่ของรีสอร์ทที่พาเดินลัดเลาะตามเต็นท์ต่าง ๆ บอกเมื่อพาทั้งหมดมาถึงเต็นท์ที่พัก
“ขอบคุณครับ” ภาณุทัศน์ กล่าวพลางเดินตามวายุไปที่เต็นท์
“นอนด้วยคนนะไอ้วา” เอกตรงดิ่งมาที่เต็นท์ พลางเปิดประตูเต็นท์กว้างขึ้น
“ไปอาบน้ำกันก่อน เดี๋ยวใกล้ค่ำจะหนาว”
“เออ ไปดิ”
.
.
.
หลังอาหารเย็นผ่านไป หลายคนก็แยกย้ายกันไปตามอัธยาศัย จนเริ่มค่ำ แค้มป์ใหญ่กลางป่าเริ่มคึกคัก เพราะนักท่องเที่ยวที่เดินป่าต่างกลับกันเข้ามาอีกครั้ง อากาศเริ่มเย็นชื้น ๆ เพราะรอบ ๆ ตัวล้วนเต็มไปด้วยผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ ภาณุทัศน์ถอดเสื้อแจ๊คเกตออก แล้วสวมทับที่วายุที่เดินกอดอกด้วยความหนาว
วายุหันไปมอง แต่ภาณุทัศน์กลับแบนสายตาไปทางอื่น
“อากาศเย็นนะ” คนหน้าขาวคลายความเย็นลง เมื่อได้เสื้ออีกชั้น กลิ่นกายของภาณุทัศน์ยังอุ่นอยู่เลย
“อืม ดาวสวยนะ ทีแรกนึกว่าฝนจะตกถึงค่ำเสียอีก” ภาณุทัศน์ชี้ไปในหมู่ดาวที่ระยิบท่ามกลางท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มกลางป่าใหญ่
“แม่งมึง ว่ากูช่างฝัน มึงยิ่งกว่ากูเสียอีกไอ้เอกเอ้ย”
“อ้าว เป็นงั้นไป”
“เอก” วายุเรียกเบา ๆ
“หือ”
.เงียบไร้เสียงคุยใด ๆ มีเพียงเสียงจากคนหมู่มากในแค้มป์ที่พักเท่านั้น
“อ้าว เรียกทำไม เรียกแล้วเงียบนี่หมายความว่าอย่างไร”
“ไปนอนเหอะ กูรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอย่างไรไม่รู้ เหมือนจะเป็นไข้ว่ะ”
ภาณุทัศน์เอามือมาอังที่หน้าผาก มันร้อนจริง ๆ แหละ เขาพยักหน้าแล้วเดินลัดเลาะไปตามเต็นท์เพื่อกลับไปยังเต็นท์ของตัวเอง ภานุทัศน์ตรงดิ่งไปที่กระเป๋าเป้ เขาเปิดเป้ด้านหน้าหยิบถุงเล็ก ๆ ออกมา ในถุงมียาหลายชนิด ภาณุทัศน์หยิบเอายาพาราเซตามอล มาสองเม็ด
“คัดจมูกด้วยไหม”
“ไม่”
“งั้นกินแค่พาราก็พอ คงโดนฝน แหละ แล้วขาล่ะ ปวด ๆ บ้างมั้ย” ภาณุทัศน์ส่งยาใส่มือวายุ แล้วส่งขวดน้ำตาม วายุรับยามาวางบนลิ้นแล้วกลืนก่อนดื่มน้ำตามไป
“มันตึง ๆ นิดหน่อยว่ะ”
ภาณุทัศน์ล้วงไปในถุงยาอีกครั้ง ก่อนคว้าเคาเตอร์เพนออกมา
“จะทำอะไรล่ะ” วายุถามเมื่อภาณุทัศน์ดึงเท้าเขามา
“อ้าว ก็นวดนะดิ เอ็งเท้าตึงไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่นวดพรุ่งนี้จะตึงมากอีก เดินลำบาก พรุ่งนี้ต้องเดินอีกเยอะนะ” ภาณุทัศน์พูด โดยไม่ได้หันไปมองอีกฝ่าย เขาบีบยาลงมือแล้วมาทาที่เท้าวายุ ท ภาณุทัศน์นวดเบา ๆ ก่อนแล้วค่อย ๆ แรงขึ้นตามลำดับ
วายุมองเพื่อนด้วยแววตาล้นไปด้วยความรัก
ตกดึกอากาศยิ่งหนาว วายุเริ่มมีไข้สูง หนาว ๆ แม้ภาณุทัศน์จะห่มผ้าให้แต่เขายังนอนตัวสั่น ริมฝีปากสั่นระริกด้วยความหนาว ภาณุทัศน์กังวลใจ กินยาไปแล้วน่าจะดีขึ้น ถ้าเพื่อนเป็นอะไรไป จะลำบากเพราะจากที่นี่เข้าเมืองมันลำบาก รถที่วิ่งเข้ามาในยามฝนเพิ่งหยุดจะมีเพียงรถที่ใส่ล้อโซ่เท่านั้น
“หนาวจังเอก”
ภาณุทัศน์นั่งมองเพื่อน พลางดึงเพื่อนขึ้นมานั่ง เขานั่งกอดเพื่อนเอาไว้จากด้านหลัง แก้มมันแนบชิดกัน ไออุ่นถ่ายทอดจากกันสู่กัน วายุไม่ได้สติ เขาคล้ายอยู่ในห้วงระหว่างความฝันกับความจริง ทุกอย่างมันสวยงามไปหมด
วายุหลับไปในอ้อมกอดของภาณุทัศน์
“ไอ้วา กูรักมึงว่ะ รักมากเหลือเกิน” ภาณุทัศน์กระซิบข้างหูเพื่อนเบา ๆ ก่อนค่อย ๆ ฝังจมูกลงไปเบา ๆ
น่าเสียดาย วายุไม่ได้ยิน
.
.
.
.
.
..แต่ข้ากลับเป็นไข้เสียนี่แก ทั้ง ๆ ที่ข้าน่าจะได้นั่งคุยกับแกทั้งคืน แต่แกรู้ไหมมือที่แกนวดเท้าให้ข้ามันอบอุ่นวิ่งจากปลายนิ้วแกมาถึงหัวใจข้าเลยล่ะแก ไอ้เอก วันนี้ข้าไปน้ำตก แต่ที่นี่ ไม่มีฝน ที่นี่ไม่มีแก และข้าก็ไม่ต้องการให้ใครมานวดเท่าให้ข้าด้วย เพราะจะกี่ร้อยพันมือมันก็ไม่เท่ากับมือของแกหรอก เพราะอะไรนะหรือ ?
ถ้าข้าไม่เข้าข้างตัวเองเกินไป แกน่าจะเป็นเพื่อนที่ห่วงข้าที่สุดกระมัง
ข้าอาจจะไม่ใช่เพื่อนที่แกรักมากที่สุด แต่สำหรับข้าแล้วนะแกคือทั้งหมดของชีวิตข้าเลยนะแก แต่ก็นั่นแหละ ตอนนี้ข้าได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง “มิตรภาพ” งัยแก มันจะอยู่ยงมั่นคงไปตราบนานเท่านานเลยแหละแก เพราะถ้าข้ากับแกเป็นมากกว่าเพื่อนบางทีแกกับข้าอาจมองหน้ากันไม่ติดก็ได้ แต่แกรับรู้ไว้เถอะหัวใจของข้าไม่เคยมีที่สำหรับใครเลยนอกจาแกเท่านั้น ภาณุทัศน์
รักแกจังเลยว่ะ
วายุ
ยามเช้าอากาศที่หลวงพระบางหนาว วายุนอนขดตัวเบียดเข้ากับร่างของวิม ภายในผ้าห่มผืนหนาสีขาว ร่างกายกระทบกัน ความอุ่นจากร่างกายแผ่เข้าหากันอย่างช้า ๆ วิมรู้สึกตัวเมื่อมีอีกร่างมาเบียดแนบชิด แม้จะเป็นแค่ต้นแขนที่แนบชิดกัน แต่เขารู้สึกได้ วิมเอียงแก้มกลับมาช้า ๆ คนตัวเล็กหน้าขาวหลับปุ๋ยเหมือนเด็ก
พัดลมเพดานยังคงทำงาน แต่ไอเย็นจากภายนอกลอยผ่านหน้าต่างเข้ามาเอื่อย ๆ วิมยกนาฬิกาข้อมือมาดู
หน้าปัดบอกเวลา 05.30 น.
วิมค่อย ๆ เอาตัวจากผ้าห่มออกช้า ๆ ชะโงกหน้ามองไปทางนอกหน้าต่าง เห็นหญิงวัยกลางคนกำลังขะมักเขม้นอยู่หน้าเตาไฟ วิมยิ้มกับตัวเอง ก่อนจะเดินมาปิดพัดลมเพดาน แล้วหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กคล้องคอก่อนเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ
เสียงน้ำไหลจากก็อก ทำให้วายุขยับตัวปิดตัวไปมาด้วยความเมื่อล้า จะไม่ให้เมื่อยได้อย่างไร เขาใช้เวลาถึงสองันเต็ม ๆ ที่เดินทางมาจากเชียงของ แม้คืนก่อนที่นอนค้างที่ปากแบง แต่ที่หลับที่นอนไม่ได้เหมือนกับที่เขาเคยนอน วายุชินกับการที่ทุกคนคอยเฝ้าพะเน้าพะนอทำสิ่งต่าง ๆ ให้ แต่ที่นี่เขารู้ เขาต้องหัดทำอะไรให้ได้ด้วยตัวเองเพราะไม่อย่างนั้นอาจเกิดความเบื่อหน่ายแก่เพื่อนใหม่
“เอ้า ตื่นแล้วเหรอ” วิมทักทายเมื่อเห็นวายุกำลังงัวเงีย
เขาเดินออกมาจากห้องน้ำ ตามใบน้ำหยดน้ำยังเกาะเต็ม ไรผมด้านหน้าโดนหยดน้ำ ทำให้ผมตกลงมาถึงคิ้ว
“ฮื่อ กี่โมงแล้ว” น้ำเสียงวายุงัวเงียไม่ต่างจากร่างกายที่ยังไม่พร้อมจะตื่น
วิมยกผ้าผืนเล็กมาซับหน้า เขาใช้มือกางออกแล้วเสยผมขึ้นไปสางเบา ๆ ด้วยมือ สักพัก ผมของวิมก็กลับคืนสู่ทรงเดิม อย่างง่าย ๆ วายุเริ่มรับรู้ เพื่อนใหม่ไม่เรื่องมากคล้าย .ภาณุทัศน์
เอาอีกแล้ว!
ภาณุทัศน์อีกแล้วหรือ แม้จะยามหลับ ยามตื่น วายุไม่อาจลืมภาณุทัศน์ออกไปจากหัวใจได้เลย
วายุเพิ่งเข้าใจ
ไกลตัว .ใกล้หัวใจ
ยามนี้ที่หลวงพระบาง หัวใจของวายุกลับนึกถึงแต่คนไกล ทุกยามที่เขาเผลอ ภาณุทัศน์ จะต้องเข้ามาวนเวียนในหัวใจของเขาตลอด
“จะหกโมงเช้าแล้ว ตื่นเหอะวา เช้าแรกในหลวงพระบาง ขอตื่นเช้ามืดสักวันนะ เรามีอะไรเซอร์ไพร้ซ์นายด้วย” วิมส่งมือมาที่วายุ
วายุมองหน้าเพื่อน
อาการนี้ก็อีก คล้ายเหลือเกิน
วายุส่งมือให้เพื่อนใหม่ วิมรับมาแล้วดึงวายุขึ้นยืน ก่อนที่จะผลักเพื่อนเบา ๆ เข้าไปในห้องน้ำ “เร็ว ๆ นะโว้ย ให้เวลาแค่ สิบนาที”
วายุห่อไหล่เล็กน้อยแล้วใช้มือประสานกันที่หน้าอก เมื่อออกมายืนหน้าเรือนพัก ลมหนาวมั้งโชยขึ้นมาจากทางด้านใต้ที่แม่น้ำโขงไหลผ่าน ริมฝีปากบางสีแดงเริ่มซีดขาวเพราะอากาศยามเช้าหนาวเหน็บ วายุค่อย ๆ ขบริมฝีปากเข้าหากัน เพื่อปรับให้เข้ากับสภาพอากาศยามเช้า
“พร้อมยัง”
วายุหันไปตามเสียง วิมยิ้มตาหยี ที่คอคล้องกล้องถ่ายรูปตัวโตไว้ด้วย
“จะทำไรเหรอ”
“เดี๋ยวก็รู้ ไปกัน”
วิมเดินนำออกจากเรือนพัก วายุเดินตาม เขาไม่เข้าใจทำไมต้องตื่นเช้าขนาดนี้ มันมีอะไรน่าสนใจมากขนาดนั้นหรือ วิมเดินออกมาที่ถนนซึ่งเป็นซอยเชื่อมระหว่างถนนเลียบแม่น้ำกับถนนหลักของเมือง หญิงวัยกลางคนที่เขาเห็นเอสักครู่ อยู่ในชุดพื้นเมืองนุ่งซิ่นเสื้อแขนทรงกระบอก มีสไบสีขาวพาด สองมือหอบข้าวของพะรุงพะรัง ทั้งเสื่อ กระติ๊บข้าวเหนียวอีกหลายกระติ๊บ
“ผมช่วยครับ” วิมเข้ารับ เสื่อจากหญิงวัยกลางคน
“ขอบใจหลาย” นางยิ้มก่อนส่งเสื่อ วิมรับมันมาถือพลางเดินตาม
“พระจะมาตอนไหนครับ”
“หกโมงเช้า พระก็จะเริ่มแล้วล่ะ เดี๋ยวไปปูเสื่อจองที่เอาไว้ก่อน” นางบอกให้วิมทราบ แต่วายุสิ คิ้วขมวดเข้าหากัน เพราะไม่เข้าใจ
ถนนสายหลักของหลวงพระบางเงียบไร้รถราใด ๆ เพราะยังเป็นช่วงเช้าตรู่ ไฟสีส้มจากถนนยังไม่ปิด ไอหมอกบาง ๆ ลอยลงต่ำจนแทบจะติดพื้นดินเลยก็ว่าได้ ริมถนนติดกำกำแพงโรงแรมพูสีที่อยู่ตรงข้ามกับซอยเรือนพัก มีผู้คนมากมายปูเสื่อนั่งรอกันเป็นแถว ทั้งคนสูงวัย คนหนุ่มสาว และเด็ก วายุขมวดคิ้วอีกครั้ง เขาไม่เข้าใจคนเหล่านี้มาทำอะไรกันตั้งแต่เช้า
เพราะความเป็นคนที่เกิดในเมืองกระมัง
วายุเลยไม่คุ้น ..กับ ศาสนา
“เอา นี่ของนาย” วิมส่งกระติ๊บข้าวเหนียวให้ เมื่อเห็นวายุทำหน้างง ๆ “นี่นะ เป็นการตักบาตรข้าวเหนียว อีกประเดี๋ยวพระจะเดินมา รับรอง นายจะปั้นข้าวเหนียวลงบาตรแทบไม่ทันเลยทีเดียวแหละ มาเมืองพุทธก็ต้องตักบาตรสิ วันแรกเสียด้วยนะ”
วายุพยักหน้ารับ
นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่เคยตักบาตร เอ หรือเขาไม่เคยเลยมาตลอดชีวิตหว่า เคยสิ เคย แต่นานแล้วล่ะ ครั้งสุดท้าย ตักบาตรกับไอ้เอกมั้ง
สังคมเมืองหล่อหลอมให้เขาห่างวัด ห่างศาสนา วายุแทบจะไม่ย่างกายเข้าไปในวัดเลย เขาคิดเสมอ เรื่องของวัดเป็นเรื่องของคนแก่ วัยหนุ่มสาวอย่างเขา ชอบเดินห้าง โรงภาพยนตร์ หรืออาร์ซีเอ น่าจะเหมาะว่า “วัด” ตามใบประวัติต่าง ๆ ที่วายุจำเป็นต้องกรอก เมื่อถึงช่อง “ศาสนา” วายุจะกรอกลงไปในทันทีโดยไม่ต้องคิด
“พุทธ”
เขาไม่รู้เหมือนกันว่าเขากรอกมันตามหน้าที่ หรือกรอกเพราะเขา ศรัทธาหรือนับถือในศาสนานั้นจริง ๆ
“แล้วของนายล่ะ”
“เฮ้ยไม่เป็นไร นายตักก่อนเหอะ เราขอเก็บภาพวันแรกในหลวงพระบางด้วยขบวนพระที่เดินมาโปรดสัตว์ดีกว่า ยังอยู่อีกหลายวัน รับรองได้ตักบาตรร่วมกับนายแน่ไอ้วา”
วายุยิ้ม เขาเหมือนเคยได้ยิน “ตักบาตรร่วมขัน” ใช่สิ..ก็ตอนที่ไปทีลอซูไง ไอ้เอกนั่นเองที่ห้ามไม่ให้มันไปดูทะเลหมอกที่ดอยหัวหมด
“ทะเลหมอกที่ไหน ๆ ก็เหมือนกันแหละว้า ไว้เอ็งไปกับข้าดีกว่านะ รับรองเอ็งต้องชอบ”
วันนั้นภาณุทัศน์ เลยพาวายุไปตลาดเช้าของอุ้มผาง เขาหาซื้อกับข้าวสำเร็จรูปง่าย ๆ จากแม่ค้าในตลาด แล้วไปรอพระที่หน้าวัดที่อยู่เลยตลาดอุ้มผางไปนิดเดียว
“ตักบาตรกับข้าดีกว่าเอ็ง ชาติหน้าจะได้เจอกันอีกไง”
“ชาติหน้าเหรอ” วายุทวนคำในใจ แค่ชาติเดียวมันก็เจ็บปวดในหัวใจจิ้ด ๆ การแอบรักเขาโดยไม่ได้บอกให้รับรู้มันเป็นความทรมาน แล้วนี่ภาณุทัศน์ยังอยากจะเจอกันชาติหน้าอีกเหรอ
“ใจลอยแต่เช้าเลยนะวา ขอเลยไปถึงชาติหน้าแล้วหรือนี่ พระมาแล้ว นายต้องยืนใส่บาตรนะ ถอดรองเท้าด้วย” วิมตบไหล่เพื่อนเบา ๆ วายุมองเพื่อนที่เดินออกไปกลางถนน วิมปรับหน้ากล้องเล็งไปตามขบวนพระที่เดินยาวมาเป็นแถวยาว
วายุทำใจให้โล่ง อย่างน้อยการทำบุญควรทำใจให้โปร่งใสมิใช่หรือ
ขบวนพระเดินหายไปอย่างรวดเร็ว วายุไม่ชำนาญในการจกข้าวเหนียวลงบาตร แต่เพียงไม่นานพระขบวนใหม่ก็เดินทางมาอีก คราวนี้วายุทำได้เร็วขึ้น จิตใจเขาจดจ่อกับการจกให้ทันกับพระทุกรูป วิมเก็บภาพไปเรื่อย ๆ ทั้งมุมกว้างที่เห็นพระเป็นแถวยาว มุมแคบที่เห็นแววตาคนใส่บาตรอิ่มไปด้วยแรงศรัทธา
“ขอบใจหลายนะป้า” วิมส่งธนบัตรใบละ 50 บาทส่งให้หญิงวัยกลางคน คนเดียวกับที่วิมช่วยถือของ
“ขอบใจหลาย จะตักอีกมาสั่งไว้ได้เน้อ” นางยิ้มก่อนจะเดินจากไป
“อะไร” วิมแปลกใจเมื่อวายุส่งธนบัตร ราคาเดียวกับที่วิมส่งให้หญิงวัยกลางคน
“ก็ค่าข้าวเหนียวไง ถึงเราจะไม่ค่อยได้เข้าวัด แต่เรารู้ เงินนาย นายก็ได้บุญสิวิม เราตัก เราก็ต้องจ่าย โอเคนะ”
วิมรับเงินมาจากวายุ เขายิ้มบาง ๆ อย่างน้อย แววตาอมทุกข์ที่เขาเห็นตอนอยู่บนดาดฟ้าเรือช้าก็เริ่มจางลง แววตาวายุเริ่มยิ้ม เรื่องว้าวุ่นในใจอาจคลายลงแล้วกระมัง
“งั้นเราไปเดินตลาดดีกว่า ที่ริมโขงมีตลาดเช้า มีร้านกาแฟอร่อย ๆ ด้วยหรือนายจะกิน ”เฝอ” ก็ได้นะ มีทั้งเฝอเนื้อ เฝอหมู”
วายุงงอีกแล้ว “เฝอ” เกิดมาเพิ่งเคยได้ยิน
“อะไรคือเฝอ”
“เออ จริงสินะ เราไม่รู้ว่านายทราบอะไรเกี่ยว
กับหลวงพระบางบ้าง โอเคนะ นายค่อย ๆ เรียนรู้ไปแล้วกัน “เฝอ” นี่มันก็คล้าย ๆ ก๋วยเตี๋ยวน้ำบ้านเรานี่แหละ อย่างบ้านเราจะมี ต้มยำ เย็นตาโฟ เฝอก็เหมือนกัน มีเฝอหมูต้มเครื่องเทศ เฝอน้ำข้าวซอยแบบทางเหนือบ้านเรา ไง การกินเฝอของคนลาว เขานิยมกินกันทั้งวันแหละ เส้นเฝอจะนุ่มคล้ายลอดช่องสิงคโปร์ แต่เส้นใหญ่กว่ามาก นายอยากลองมั้ยล่ะ
อากาศยามเช้าดีทีเดียวแหละ เมื่อทั้งสองเดินมาใกล้ตลาด ก็ได้ยินเสียงโหวกแหวกโวยวายร้องขายของกันระงม วายุมองภาพ แม่ค้าที่นั่งขายของริมถนนด้วยความตื่นตา ผักสีเขียวกองเป็นพะเนิน สลับกับกองมะเขือเทศสีแดง มะเขือม่วง และพริกสีสด ดูแปลกตาสำหรับคนเมืองอย่างวายุ
“ลองกินสิ เรากินง่าย”
วิมเก็บภาพวิถีชิวิตของชาวบ้านร้านตลาดไปเรื่อย ๆ เขาค่อย ๆ เดินแทรกไปในฝูงชาวบ้านอย่างช้า ๆ โดยมีวายุเดินตามมาติด ๆ บางช่วงแม่ค้าสัตว์ป่านำสัตว์ที่หาได้มาวางขาย ร้านค้าก็ง่าย ๆ แค่เอาใบตองมาปูกับฟุตบาทริมถนน แล้วเอาสัตว์ที่จับได้มากองขาย บางเจ้าเป็นนกป่า ที่แม่ค้ายังนั่งถอนขนอยู่ตรงนั้น หรือจะเป็นกบตัวเล็กตัวน้อยที่กองในประจาด วายุติดใจกองเขียว ๆ คล้ายตะใคร่น้ำกองโต ๆ เขาปรี่เข้าไปดู
“อะไรหรือครับ” เขาถามแม่ค้า
“ไค เอาบ่อ โลละห้าพัน” แม่ค้าตอบตามสำเนียงที่เขาฟังรู้บ้างไม่รู้บ้าง
วิมยิ้มเมื่อเห็นวายุทำหน้างง เพื่อนใหม่คงไม่รู้อีกตามเคย
“ไคนี่ มันก็คือ ตะใคร่น้ำในแม่น้ำโขงนี่แหละ คนที่นี่เขาเอามาตากแห่ง โรยงาขาวแล้วเอาไปทอดกินเล่นหรือกินกับข้าวก็ได้ เหมือนบ้านเราที่ชอบกินสาหร่ายญี่ปุ่นไง”
วายุยิ้ม โลกนี้กว้างจริง ๆ แหละ เขาเหมือนกบที่เพิ่งออกมาจากกะลาสู่โลกภายนอกแท้ ๆ
“เฮ้ยนั่น ” วายุชี้ไปที่เนื้อชิ้นโตที่หนังสีดำมีลายเหลือง ตัดกองอยู่สามสี่ชิ้น
“อ๋อ งูเหลือมน่ะ แต่เราไม่กล้ากินหรอก เดินต่อดีกว่า แถวนี้นายท่าจะไม่ชอบ” วิมดันหลังให้วายุเดินต่อไปด้านหน้า
“เขาบอกว่าถ้าเราอยากรู้วิถีชีวิตของผู้คนในถิ่นนั้นให้เรามาตลาด เพราะตลาดจะเป็นแหล่งให้ความรู้ชั้นดีว่า วิถีผู้คนของที่นั่นเป็นอย่างไร ที่นี่เขาเรียกตลาดเช้าหลวงพระบางตั้งอยู่ในเส้นทางเลียบแม่น้ำโขง เป็นแหล่งรวมอาหารสด และอะไรอีกมากมาย เราเดินดูไปเรื่อย ๆ แล้วกัน” คนนำทางอธิบายคล่องสมกับทำงานออฟฟิศทัวร์
วิมเดินช้า ๆ บางครั้งเขาหยุดแล้วถ่ายรูปวิถีชีวิตของผู้คนไปเรื่อย ๆ วายุมองอากัปกิริยาจากเพื่อน น่าจะดีไม่น้อยถ้าเวลานี้มีภาณุทัศน์อยู่ด้วย
“เอ็งไม่ไปนะดีแล้ว เดี๋ยวข้าพาไปเดินตลาด ทะเลหมอกนะเป็นสิ่งที่ทัวร์อยากให้ดู เอ็งเคยถามตัวเองบ้างมั้ยว่าเอ็งอยากดูสิ่งที่เอ็งอยากดู หรือเอ็งจะดูในสิ่งที่เขาจัดให้ดู ตลาดนะดีที่สุดเพราะมันคือศูนย์กลางของชาวบ้านในแถบนั้นรองจากวัด”
คำพูดภาณุทัศน์ยังก้องในหู วายุยิ้มเมื่อนึกถึงคนที่ตัวเองรัก อย่างน้อยตอนนี้ วิมคงไม่ต่างอะไรไปจาก “เงา” ของอีกคน เพราะหลายสิ่งหลายอย่างที่ภาณุทัศน์บอกกล่าว วิมเองก็รู้เช่นกัน วายุเดินตามวิมไปเงียบ ๆ เขายินดีที่จะเป็นฝ่ายตามเหมือนที่เขาตามภาณุทัศน์นั่นแหละ
แต่วายุไม่รู้ ไม่มีใครแทนที่หรือเหมือนใครไปทั้งหมด
เงาของภาณุทัศน์จริง ๆ หรือที่วายุเห็น หรือนั่นอาจเป็นตัวตนที่แท้จริงของวิม ที่วายุพยายามจะมองให้เป็นภาณุทัศน์ วายุตอบคำถามตัวเองไม่ได้ แต่หัวใจเขาไม่กระวนกระวายเท่าสองวันก่อน
วันนี้วายุพร้อมจะเดินไปตามโลกกว้างอย่างเงียบ ๆ พร้อม เพื่อนใหม่
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น