ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ขาดเธอไม่ได้
บ่ายคล้อย
.บริเวณวังเจ้ามหาชีวิต
ภาณุทัศน์
แกไม่เคยเฉลียวใจเลยหรือว่าข้ารู้สึกอย่างไรกับแก ระยะเวลาสี่ปีมันใช่น้อย ๆ นะโว้ย ตอนนี้ข้าเหงา โดดเดี่ยวเดียวดาย วิมมันไม่อยู่เสียด้วย เพราะไปติดต่อเรื่องงานให้พี่นัท ข้าเพิ่งรู้ การที่คนเราหลีกหนีหัวใจตัวเองมันทรมานนัก แล้วยิ่งการหนีอย่างที่ข้าทำด้วยแล้วมันช่างนานเสียเหลือเกินกว่าเวลาแต่ละนาทีจะผ่านพ้นไป
ไอ้เอก .
ข้าอยากย้อนเวลาได้จังเลยว่ะ แต่ถ้าข้าย้อนได้ ข้าก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าข้าจะย้อนไปในเวลาไหนดี อาจเป็นเวลาก่อนหน้าที่ข้าจะเอ็นทรานช์มั้ง ข้าอาจเลือกมหาวิทยาลัยต่างจังหวัดที่ไหนสักแห่ง ที่สมองระดับข้าพอที่จะติดได้ เพราะเมื่อข้าเลือกมหาวิทยาลัยของรัฐในกรุงเทพฯ ทั้งหมด ผลออกมาข้าเลยต้องระเห็จมาอยู่มหาวิทยาลัยเอกชนไงล่ะ
“มหาทยาลัยต่างจังหวัด”
แกคงแอบหัวเราะเยาะข้าอีกตามเคยสินะ ก็คนอย่างข้านะหรือจะช่วยเหลือตัวเองในต่างจังหวัดได้ ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยมันไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิดเลยเนาะ การเอ็นทรานช์ไม่ใช่จุดสูงสุดของชีวิต ข้ายังจำได้เลยว่ะ ตอนประกาศผลเอ็นทรานช์ เมื่อข้ารู้ว่าไม่ติดที่ไหนสักแห่ง ข้าเดินคอตกอย่างกับไก่ติเชื้อไข้หวัดนกเลยล่ะแก ข้าเดินจากเกษตรมาจนถึง “หมู่บ้านโครตรวย” ข้างมหาวิทยาลัยของเราไง เห็นมั้ยข้าจำได้ ข้าจำทุกเรื่องที่เอ็งเคยบอกข้าได้เสมอแหละ ไอ้หมู่บ้านที่ท่านนายกต้มยำกุ้ง ที่แกเคยเปรียบเปรยย้ายมาจากซอยปิ่นประภาคมไง มันก็ถูกของแกอีกนั่นแหละ พ่อเคยบอก หมู่บ้านนี้ระดับเศรษฐีร้อยล้านเขาอยู่กัน แต่แกเอ๋ย ข้ากลับรู้สึกเหมือนอยู่ในคุกบางขวางมากกว่า อ้าวก็แกไม่เคยเห็นเหรอ กำแพงมันสูงกว่ารั้วมหาวิทยาลัยที่เราเรียนอีก แล้วทางเข้าหมู่บ้านมันก็มียามตรวจตราแข็งขันเสียเหลือเกิน
“เอ้นท์ไม่ติดเหรอ ไม่เป็นไร เดี๋ยวพ่อส่งไปนอกเลยมั้ยลูก”
เอ็งเอ้ย! ประโยคโหดร้ายสำหรับชีวิตข้าเลยทีเดียวล่ะ จะให้ข้าไปเรียนนอกเหรอ เห็นจะไม่ไหวล่ะ เพราะขนาดตอนไปเทคคอร์สที่ยุโรปช่วงซัมเมอร์ข้ายังแอบร้องให้แทบทุกคืนด้วยความคิดถึงบ้าน สุดท้ายข้าต้องวิ่งไปประจบแม่
แม่ พูดถึงแม่ ชักคิดถึงตะหงิด ๆ เลยเชียวล่ะแก นี่ถ้าแม่ข้ารู้ว่าข้ามาตะรอน ๆ ที่หลวงพระบางมีหวังได้นั่งเครื่องห้อมารับแน่เลยล่ะเอ็ง แล้วยิ่งถ้ารู้ว่าที่ซุกหัวนอนของข้าราคาแค่ 160 บาทมีหวังแม่ได้แหกอกข้าแน่ ฐานทำลายชื่อเสียงระดับไฮที่แม่ข้าพยายามตะกายไปอยู่แถวหน้า ว้านินทาแม่ไม่ดี ๆ ๆ
แกได้งานทำหรือยังหว่า ส่วนข้ากลับไปอาจโดนส่งตัวไปเมืองนอกนัยว่าเพื่อให้เรียนโทต่อ ก็ครั้งที่เอ็นท์ไม่ติดข้าบ่ายเบี่ยงทีนึงแล้ว แต่คราวนี้เห็นท่าจะบ่ายไม่ไหว คงต้องเย็นเลยแหละแกเอ้ย อ้าวจะไม่เย็นได้ยังไง ยุโรปนะหนาวทีเกือบครึ่งปี ถ้าข้าไป ข้าคงอดคิดถึงแกไม่ได้แน่ ๆ เลย สุดท้ายชีวิตข้าจะขาดแกไม่ได้แน่ ๆ เลย ขนาดข้าจะย้อนเวลาเพื่อให้ไม่ต้องเจอกับแก แต่ข้าก็ยังอดห่วงแกไม่ได้ แล้วแกจะห่วงข้ามั่งมั้ยนี่
ไอ้เอก แกยังจำวันที่เราไปรับน้องกันที่น้ำตกเจ็ดสาวน้อยได้ป่ะ ใจข้านะไม่คิดอยากไปเลยให้ตายดิเอ้า แต่ก็เพราะแกนั่นแหละข้าเลยต้องไป
“ไปน่าไอ้วา เก็บร้อยเดียวเอง หาที่ไหนได้ว้า เที่ยวสามวันสองคืนร้อยเดียว”
นั่นดิ เก็บแค่ร้อยเดียวเอง แล้วเป็นไงล่ะ แค่รถเลี้ยวไปทางถนนเล็ก ๆ จากมวกเหล็ก เสียงร้องรำทำเพลงจากรุ่นพี่เริ่มลดลง มีแต่พวกเราที่แหกปากร้องกันอยู่นั่นแหละ จนกระทั้งยังอีกสามกิโลเมตรจะถึงที่พัก รถบัสที่วิ่งมาก็เบรกเสียจนพวกเราหัวทิ่มกันทีเดียว
“ลง ลง ลงจากรถให้หมดเร็ว แล้วไปเข้าแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่ง” เสียงว๊ากจากรุ่นพี่บนรถ ทำเอารุ่นน้องทั้งหลายงงเป็นไก่ตาแตก
ในขณะที่ด้านล่าง รุ่นพี่อีกหลายคนเดินออกมาจากป่ามันสำปะหลัง แต่ล่ะคนหน้าตาโหดอย่างกับพวกฝึกมาจากสามจังหวัดชายแดนเลยเชียวล่ะ ด้วยความตกใจข้าแผ่นแน๊บลงจากรถ ด้วยความคิดว่ามาเที่ยวเลยแต่งสบาย รองเท้าแตะ แล้วเป็นไงล่ะ
รู้สึกเสียวแปลบที่เท้า เพราะตอนดิ่งลงมาจากรถด้วยความรีบเพราะกลัวรุ่นพี่ ทำให้ลืมมองพื้นด้านล่าง พอก้มมองดูอีกที เลือดแดงฉานเต็มเท้าไปหมดเลย แล้วแกก็เป็นคนแรกที่ปรี่เข้ามายังเท้าข้า
“พี่ครับ วายุโดนกระเบื้องบาดเท่าครับ”
หน้าตาแกตอนนั้นตกใจไม่แพ้ข้าเลยแหละแก แกอาจไม่สังเกต แต่สำหรับข้า ตั้งแต่วันแรกที่ข้าเจอกับแก ข้าก็ตกหลุมรักแกเสียเต็มหัวใจแล้วล่ะ เพราะฉะนั้นแก จงอย่าแปลกใจที่ไฮโซอย่างข้าจะตามแกมารับน้องด้วยเหตุผล
“เก็บร้อยเดียวเอง หาที่ไหนได้ว้า เที่ยวสามวันสองคืนร้อยเดียว”
และด้วยความเป็นสุภาพบุรุษของแก หรือด้วยความที่แกห่วงเพื่อนอย่างข้าก็ไม่รู้ รับน้องคราวนั้นข้าเลยจำไปจนวันตายอีกเช่นกัน ทำไมนะหรือ อ้าวก็รุ่นพี่ให้แกประคองข้าไปถึงที่พักไง แกจำไม่ได้หรือแกไม่อยากจำข้าไม่สนแต่ข้าจะทบทวนให้แกเห็นอีกครั้ง ก็ตอนแกประคองข้าเอามือโอบเอวแกไว้ บางครั้งข้าแผลหันหน้า แล้วจมูกไปโดนแก้มแก ไอ้เอกเอ้ย ข้าแทบจะยอมตายอยู่ตรงนั้นเลยทีเดียวแหละ อ้าวก็ข้ารักแกนี่หว่า
เห็นมะ ข้าบอกแกตอนนี้ รับรองแกเอากำปั้นมาฝากบนหน้าข้าไม่ได้หรอก เว้นเสียแต่ว่าเมื่อข้าจะเจอแกอีกครั้ง แต่มันคงนานแหละแก เพราะข้าจะไปของข้าเรื่อย ๆ จนกว่าพ่อข้าจะปิดบัญชีบัตรเครดิตที่พ่อข้าพยายามยัดเยียดให้ลูกเป็นไฮโซใช้จ่ายฟุ่มเฟือยอย่างที่แกเคยกระแหนะกระแหนข้าทุกครั้งที่ข้าควักบัตรมารูดแทนเงินสด
ไอ้เอก .เอ็งว่าข้ามีกรรมมะ แต่ข้าว่าข้ามีว่ะ อย่างน้อย ๆ ข้ามีกรรมที่ดันมารักเพื่อนอย่างแกไง ถ้าข้าห้ามหัวใจของข้าให้รักแกแค่เพื่อนก็ดีไป แต่นี่ข้าดันรักแกมากกว่านั้นนะสิ ทำไมหรือ ข้าไม่เข้าใจหัวใจตัวเองเหมือนกัน แกจำวันที่สองของการเข้าค่ายได้มะ วันนั้นเราต้องออกทำกิจกรรม ในช่วงเช้าข้าต้องซมเพราะพิษบาดแผลที่ระบมจากเศษแก้ว แต่ข้าไม่ได้ทำตัวไร้ประโยชน์นะโว้ย ข้าไปตีซี้พี่ ๆ ที่โรงครัว ขอทำโน่นทำนี่ จนพี่ ๆ เขารักข้ากันหมดแหละ ชมว่าข้ามีน้ำใจ ข้ายิ้มแฉ่งได้ทั้งวัน แต่ตอนบ่ายไม่ไหวแล้ว ข้าอยากอยู่ใกล้ ๆ แกมากกว่า เลยออกไปกิจกรรม รุ่นพี่ให้จับฉลากหาบัดดี้ เอ็งเอ้ย อีกสองเดือนต่อมาข้าต้องชวนเอ็งเอาไก่ไปแก้บนที่ศาลหน้าน้ำตก ที่ข้าเคยบอกแกตอนนั้นข้าโกหกว่ะ เพราะเหตุผลที่แท้จริง ข้าจะบอกแกเดี๋ยวนี้แหละ
“ข้าขอเจ้าที่ ขอให้แกกับข้าได้บัดดี้กัน”
โหลแก้ว ถูกนำวางวางที่โต๊ะ เล็ก ๆ กลางวงรุ่นน้องที่ล้อมกันเป็นวงกลม พี่รัชช์ ประธานนักศึกษา เดินมาจับชื่อในโหล แล้วอ่านทีละชื่อ จนกระทั่งเหลือเพียงสองคนสุดท้ายข้ายิ้มแฉ่งเลยแหละแกเอ้ย อ้าว ก็ในโหลมันมีแค่สองใบ แล้วข้ายังไม่ได้โดนเรียกชื่อ ส่วนอีกคนที่ยังไม่โดนเรียกก็คือแก
“บุพเพสันนิวาส หรือ เจ้าที่แรงหว่า” ข้านึกในใจ แต่จะอะไรก็ช่างเหอะ วันนั้นข้ามีความสุขก็แล้วกัน แถมกิจกรรมในวันนั้นมันพิสดารเสียจนข้าชอบมาก
ข้าจะทวนให้แกฟัง เผื่อแกจะจำอะไรในวันนั้นได้บ้าง เมื่อได้บัดดี้แล้วรุ่นพี่ให้ไปตามฐานต่าง ๆ มีล้วงไหบ้าง ปิดตาเลียไข่บ้าง แบ่งลูกอมกันกิน ก็ที่รุ่นพี่แกะให้แกก่อนไง แกดันอมไปทั้งลูก จนรุ่นพี่เขาเคือง
“เอ้ยน้อง ทำไมกินคนเดียว ไม่แบ่งเพื่อนล่ะ” พี่ปีสามมั้ง เพราะรุ่นพี่มากันทุกชั้นปีจนจำหน้ายังไม่หมด
ข้ามองหน้าแก แกหน้าเสียเหมือนกันแหละ ป๊อดนี่หว่ากลัวรุ่นพี่
“แบ่งเพื่อนเลย ผลัดกันอม” เสียงกึ่งตะโกนรับกับใบหน้าอันโหดเหี้ยมว่ะ
เพียงแค่แกจะเอามือจับเท่านั้นแหละ เสียงมหาปะลัยดังมาอีกที “ไม่ได้ ห้ามใช้มือ ส่งปากต่อปาก ห้ามตกพื้นนะมึง ไม่งั้นโดนซ่อม”
โอ้ยแกเอ้ย ข้าแทบจะกระโดดจูบรุ่นพี่คนนั้นเหลือเกิน เหมือนรู้ใจข้าว่ะ แล้วแกก็ค่อย ๆ เอาลูกอมมากัดไว้ที่ปาก ก่อนจะเข้ามาใกล้หน้าข้าทีละนิด ทีละนิด ลมหายใจแกค่อนข้างแรงว่ะ แต่ใจข้าสั่นพั่บ ๆ เลยล่ะแกเอ้ย ข้ามองตาแก แต่แกดันหลับตาปี๋ แกไม่รู้เหรอ การหลับตากะระยะไม่ถูก แล้วแกก็เสร็จข้า เพราะริมฝีปากแก ประทับกับริมฝีปากข้าพอดีเลย แกเอ้ยข้าอยากจะกอดแกไว้แต่ก็ทำไม่ได้
“เอาล่ะ ผ่านพิธีแต่งงานแล้ว เดี๋ยวจะส่งตัว” รุ่นพี่คนเดิมตะโกนอีก มันจะตะโกนทำไมหนักหนาว่ะ อยู่กันแค่นี้เอง พูดดี ๆ ก็ได้
“ไหน ถกกางเกงลงสิ ใส่กางเกงในสีอะไรกันมั้ง วายุ” แกพูดไม่พูดปล่าว มาถกถกกางเกงแล้วชะ โงกดูวายุน้อยข้าเสียด้วย “ สีขาว แนะหรูโว้ย กีลาโรช เสียด้วย”
“ไหนภาณุทัศน์ล่ะ” แล้วแกก็แต่ดึงขอบเอวกางเกงของแกเท่านั้นไอ้เอก แม่งรุ่นพี่คนนี้สงสัยหม้อกับกูแหง ๆ เลยว่ะ “สีดำ รอชโร่ลึกซึ้งถึงสัดส่วนชาย”
“เอาล่ะ เอ็งสองคนเคยดูซุปเปอร์แมนมะ” รุ่นพี่ถามยิ้ม ๆ
แกกับข้าพยักหน้าแทนคำตอบ
“ดี งั้นเห็นพุ่มไม้นั่นมะ นั่นแหละที่ส่งตัวเข้าหอ ไปเปลี่ยนเป็นชุดซุปเปอร์แมนเดี๋ยวนี้ อ้อ แลกกางเกงในกันด้วยนะมึง กูให้เวลา 2 นาที จับเวลาไป๊”
แล้วแกกับข้าก็วิ่งหน้าตั้งไปหนังพุ่มไม้ หันซ้ายหันขวาปลอดคน แกถอดขวับทั้งนอกทั้งในจนข้ามองตาค้างเลย ไอ้เอกน้อยของแกนอนสงบนิ่งในดงไหมสีดำ หัวแดง ๆ เปิดนิด ๆ ดอ้ยใจข้าสั่นแข้งขาแทบยืนไม่อยู่
“มองห่าไร เร็วดิมึงเดี๋ยวโดนซ่อม”
“กูเจ็บขาถอดไม่ถนัด”
“งั้นมึงถอดกางเกงขาไม่เจ็บมาก่อน เดี๋ยวกูช่วย”
แล้วแกก็ช่วยดึงขากางเกงข้าทั้ง ๆ ที่แกล่อนจ้อนไอ้เอกน้อยแกว่งโตงเตง ข้ามองเสียจนเอากลับมาฝันถึงเสียหลายปี ไม่เคยฝันถึงของใครเลยให้ตายดิเอ้า ข้าคุยเรื่องนี้แล้วชักตะหงิด ๆ แต่ที่นี่ในวังเก่าแถมหน้าวังมีวัดด้วยกลัวบาปว่ะ
อ้อ แล้วกางเกงในที่แลกกันใส่เป็นซุปเปอร์แมน จนเดี๋ยวนี้ข้าก็ยังไม่ให้แกคืนเลยว่ะ ข้าบอกเก็บไว้เป็นที่ระลึก แถมข้าไม่ซักด้วย กลิ่นรอชโช่ มันติดจมูกข้าไปหลายคืน คืนละหลายรอบด้วยสิ แค่หลับตาข้าก็นึกถึงหน้ากับไอ้เอกน้อยที่แกว่งไปมาว่ะ ข้าคงจบจดหมายฉบับนี้แล้วล่ะ เห็นวิมเดินมาไกล ๆ เดี๋ยวข้าต้องไปบนพูสีกันต่อ
คิดถึงมึงที่สุดเลยว่ะ
วายุ
ไอน้ำยามเช้าคล้ายควันไฟ ลอยขึ้นเหนือลำน้ำโขง หมอกลงจัด เพราะปากแบงตั้งอยู่กลางหุบเขา เสียงผู้คนพูดคุยกันจนฟังไม่ได้ศัพท์ วิมขยับกายเล็กน้อย เขารู้สึกเหมือนมีอะไรหนัก ๆ มาทาบที่หน้าอก เมื่อลืมตามอง จึงรู้วายุนั่นเองที่นอนเอามือกอดเขาไว้ เขาไม่รู้สึกตัวเลยจึงไม่รู้ว่าวายุนอนกอดเขาอยู่อย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ในร่างกายวิมมันมีอะไรแปลก ๆ ที่วิมเองก็ไม่เข้าใจ เขาแปลกใจทำไมการที่เขาโดนกอดแต่เขากลับรู้สึกมีความสุขและที่สำคัญเขารับรู้ส่วนตรงนั้นมันขยายตัวคับแน่นกางเกงชั้นใน หรือเพราะเขาไม่เคยได้อยู่ในอ้อมกอดของใครมาก่อน วิมค่อย ๆ เอามือของตัวเองมาจับมือของวายุออกจากอกอย่างเบามือด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะตื่น
“กอดอีกหน่อนดิไอ้เอก หนาวจัง” คนหลับตาแต่ปากพูดได้
วิมยิ้มบาง ๆ ก่อนที่คิ้วทั้งสองจะมาขมวดกัน “เอก” ไม่ใช่ชื่อผู้หญิงเป็นแน่เขาได้ยินชัดหูไม่ฝาดหรอก เพราะนอนชิดกันขนาดนี้ เมื่อวิมขยับตัวอีกครั้ง วายุก็ลืมตามาด้วยความงัวเงีย
“ไปมหาวิทยาลัยอีกหรือว่ะไอ้เอก”
“ว่าไรนะครับ” อีกฝ่ายงง
วายุที่เพิ่งตื่นมองหน้าเพื่อนใหม่พลางขยี้ตา เขายิ้มด้วยอาการเก้อเขินก่อนเอามือมาเกาศรีษะ เพราะรู้ตัวเหมือนกันว่าทำอะไรลงไปบ้าง วายุชินกับการนอนกอดหมอนข้าง และทุกครั้งที่เอกมาค้างที่บ้านหรือเขาไปค้างที่บ้านเอก หมอนข้างแทบจะไร้ความหมายเพราะเพื่อนตัวดีอุทิศร่างกายให้กอดแทน
“ขอโทษ นึกว่าเพื่อน”
“เพื่อนหรือแฟน” วิมพยายามจะจ้องหน้าแต่วายุหลบสายตา
“เพื่อนจริง ๆ สนิทกัน ก่อนตื่นยังฝันว่าจะไปมหา’ ลัย อยู่เลย เลยคิดว่าต้องไปเรียนอีก มันชินนะเคยตื่นแต่เช้าไปเรียนถึงสี่ปี ตอนนี้ยังปรับตัวกับการตื่นมาอยู่เฉย ๆ ไม่ได้” วายุค่อย ๆ เอาตัวออกจากใต้ผ้าห่ม เขาตลบชายมุ้งขึ้นเก็บไว้ด้านบน
“เช้า ๆ อากาศดี ออกไปหาอะไรกินกัน แล้วซื้อของกินสำหรับมื้อเที่ยงด้วย วันนี้นั่งเรืออีกเป็นวันเลยแหละกว่าจะถึงหลวงพระบางก็เย็น ๆ โน่นแหละ”
วิมหันมายิ้ม วายุกล้าที่จะมองเพื่อนใหม่อย่างเต็มตามากขึ้น อย่างน้อยตอนนี้วายุจะได้ไม่รู้สึกเหงา เพราะการเดินทางคนเดียวมันไม่น่าสนุกเท่าใดนักหรอก
เกสต์เฮ้าน์ที่พักเป็นเรือนไม้ธรรมดา สร้างบนเนินเล็ก ๆ ของภุเขาลูกไหนวายุมันไม่รู้หรอก มันรู้แต่ว่าเมื่อมันเดินลงมาจากกระท่อมหลังเล้กนั้นมันได้กลิ่นหอมจากอาหารปิ้งลอยมาตามลม ตลาดเช้าของปากแบงเป็นตลาดเล็ก ๆ ไม่ใหญ่มาก วายุไม่เคยสัมผัสตลาดสดแท้ ๆ มาก่อนเลย ภาพผู้คนที่เดินซื้อหาอาหารจึงเป็นภาพที่แปลกตา แม่ค้าบางคนเพิ่งมาถึง บนศรีษะทูนสินค้ามาสูงลิบ น่าแปลกเขาทำได้อย่างไรโดยที่สินค้าไม่ร่วงหล่นลงมาทั้ง ๆ ที่มือของเขามีตะกร้าใบใหญ่อีกสองใบ นั่นหมายถึงบนศรีษะของเขาไม่ได้รับการจับต้องจากมือเลย
ยิ่งสายตลาดเริ่มวาย วิมจัดข้าวของลงกระเป๋าเช่นเดิม เขานำมันกลับมาลงเรือลำเดิม คราวนี้มีคนโดยสารเพิ่มขึ้นอีกเพราะมีผู้โดยสารที่เป็นคนพื้นเมืองจากหมู่บ้านเล้ก ๆ ใกล้ ๆ กับปากแบงมารอขึ้นเรือเที่ยวนี้ด้วย วายุมองเรือที่จวนเจียนจะปริ่มน้ำ ในใจสั่นหวิว ๆ
“กลัวเหรอ ไม่ต้องกลัวหรอกน่า” วิมส่งมือมารับเพื่อนเมื่อเห็นวายุละล้าละลัง
คนไม่เคยลำบาก กลัวไปหมดทุกอย่างแหละ ไม่เคยทำอะไรก็ต้องหัดทำด้วยตัวเอง
เรือออกจากปากแบงช้ากว่าที่กำหนดเอาไว้ เพราะยังขนสินค้าขึ้นเรือไม่หมด แต่พอคนครบ เรือก็ค่อย ๆ ล่องไปตามสายน้ำสีชาอย่างช้า ๆ ก่อนจะเพิ่มความเร็วมากขึ้น เมื่อพ้นจากระยะบ้านคน วิมปีนไปบนดาดฟ้าเรืออีกตามเคย แต่คราวนี้เขาชวนวายุไปด้วย แม้ไม่เคยทำ แต่วายุไม่กลัว เพราะฝรั่งหลายคนก็ทำเช่นเดียวกับวิม
เรือแล่นลงไปทางใต้ ด้านซ้ายมือพระอาทิตย์เริ่มส่องแสงแรงกล้า แต่ไม่ร้อนเพราะสายลมที่พัดผ่านลำน้ำมีมาเป็นระยะ ๆ ลำน้ำโขงยามนี้น้ำน้อยทำให้สองฝั่งลำน้กล้วนเต็มไปด้วยแปลงผักที่ชาวบ้านมาอาศัยทำกสิกรรม แต่พอถึงเดินสิงหาคมน้ำจะเริ่มหลากการทำสวนริมน้ำจะไม่มีให้เห็นอีก
“วายุ ทำไมนายถึงมาหลวงพระบาง” วิมหันมาถามเมื่อเห็นเพื่อนเริ่มปรับสภาพบนดาดฟ้าเรือได้แล้ว
“ไม่รู้สิ เห็นรูปที่ออฟฟิศพี่นัทแล้วอยากมาเที่ยว วิม นายเรียกเราว่า ‘วา’ ก็ได้ เพื่อน ๆ เราก็เรียกเราแบบนี้แหละ” คนผิวคล้ำกว่าหันไปยิ้ม
“ได้สิวา นายมาเที่ยวคนเดียวนี่นะ” คนถามมีสีหน้าแปลกใจ
“อ้าวทำไมล่ะ เที่ยวคนเดียวแปลกเหรอ ทีนายยังมาคนเดียวได้เลย”
“มันไม่เหมือนกันหรอก อย่างเรานี่มาทำงานด้วยเลยถือโอกาสเที่ยวเสียเลย ส่วนนาย เราว่าไม่น่าจะตั้งใจมาหลวงพระบางตั้งแต่แรกหรอกมั้ง” วิมพูดแต่มือยกกล้องถ่ายรูปออกมาส่องไปตามสองข้างลำน้ำ
“เราแค่อยากเที่ยว เรียนมานานไม่ค่อยได้เที่ยว เรียนจบเลยอยากไปไหนไกล ๆ สักพัก” วายุกำลังหลอกตัวเองหรือปล่าว เขาอยากไปไหนไกล ๆ จริงล่ะหรือ
“เราเคยอ่านเจอ คนที่ออกเดินทางคนเดียว ถ้าไม่ใช่พวกรักสันโดษก็พวกอกหัก ต้องการหลบลี้หนีโลก นายจัดตัวเองอยู่ในสองประเภทนี้หรือปล่าวล่ะ” วิมถามพลางส่องกล้องมาที่วายุ เขาโฟกัสภาพไปที่ใบหน้า วิมเห็น แววตาวายุชัดเจน
แววตาแฝงไว้ด้วยความเศร้า
จะไม่ให้เศร้าได้อย่างไรในเมื่อวายุมันกำลังหนีหัวใจตัวเอง
“ไม่เอาสักอย่างได้มั้ย เราไม่ใช่คนที่ชอบสันโดษมากนัก ส่วนเรื่องอกหักสำหรับเรามันเป็นเรื่องปกติไปแล้วกระมัง มีคนเคยบอกว่าเราชอบคนง่าย แต่เราว่าเรารักคนยากนะ”
“ท่าทางนายเป็นคนช่างฝันน่าดูเลย เขาว่าคนช่างฝันมองโลกในแง่ดี แต่บางครั้งการมองโลกในแง่ดีมากเกินไปมันกลับมาทำร้ายเราได้เหมือนกันนะ”
“ฮื่อ”
แชะ! เสียงลั่นของชัตเตอร์ วิมจับภาพแววตาช่างฝันที่แฝงไว้ด้วยความเศร้าของวายุ
.
.
.
.
เรือมาถึงหลวงพระบางเอาเมื่อเวลาเย็นมากแล้ว เสียงรถสามล้อเครื่องมาร้องเรียกผู้โดยสารที่ถนนเลียบแม่น้ำโขง วายุแปลกตากับบ้านเมืองที่ดูเหมือนจะสงบ เงียบ แต่แฝงไว้ด้วยเสน่ห์ในตัวเอง ทำไมนะหรือ ก็บ้านเมืองดูสงบ ไม่วุ่นวายเหมือนในกรุงเทพฯ หรือเชียงใหม่ รถราที่แล่นไปมาก็ไม่มากเท่า ส่วนมากจะเป็นรถสกายแลบ หรือไม่ก็รถบัสสำหรับนักท่องเที่ยวแต่ไม่ใช่บัสใหญ่แบบบ้านเมืองของเรา เป็นบัสคล้าย ๆ รถไมโครบัสบ้านเรามากกว่า
“เดินไปที่พักไหวมั้ย” วิมหันมาถามเมื่อเดินขึ้นมาจากท่าเรือ
“ไหวสิ วิมเดินได้เราก็เดินได้”
“ดีงั้นเราเดิน ไปหาที่พักกัน” วิมกระชับเป้ไว้กับไหล่ พลางคาดสายรัดที่เอว เป้วิมใบใหญ่เหมาะสำหรับการเดินทางไกล
สุดทางเดินของถนนสายนี้ไม่รู้อยู่ที่ไหน แต่วิมเลือกที่จะเดินลงมาทางใต้ เพราะทางเหนือเขานั่งเรือผ่านไม่เห็นมีเมือง แต่ในแผนที่บอกทางใต้จะมีเกสต์เฮ้าราคาถูกให้เลือกหลายราคา การฝึกงานในบริษัททัวร์ทำให้วิมไม่รีบร้อนที่จะหาที่พัก เพราะรู้เมืองท่องเที่ยวไม่ว่าที่ไหน ถ้ามี “เงิน” จะเข้าพักเวลาไหนก็ย่อมได้
“เงิน” นับเป็นพระเจ้าตัวใหม่ของมนุษย์เพราะหลายคนบูชามันยิ่งชีวิต โดยเฉพาะคนในสังคมเมืองที่แก่งแย่งกันทั้งอย่างตั้งแต่เช้าตรู่ แย่งกันขึ้นรถ แย่งกันซื้ออาหาร แย่งหางานทำ เพื่อ เงินตัวเดียวเท่านั้นจนบางครั้งเขาอาจลืมไป เงินไม่ใช่ที่สุดของชีวิต
ทั้งสองเดินมาเรื่อย ๆ ผ่านตลาดเช้า วิมเลี้ยวซ้าย เพราะที่นั่นไฟสว่างจ้า ที่แม่ค้ามาวางแผงขายอาหารเต็มไปหมดทั้งสองข้างทาง “ตลาดค่ำ” ของเมืองหลวงพระบางแบ่งเป็นโซนค่อนข้างเป็นระเบียบ โดยเฉพาะโซนที่ติดกับตลาดเช้าจะมีอาหารพื้นเมืองขายในราคาที่ไม่แพงมากจนไปถึงสี่แยกใหญ่ของเมืองเลี้ยวซ้ายอีกครั้งก็ทางไปวังเจ้ามหาชีวิตที่ยามค่ำคืนเช่นนี้คราคร่ำไปด้วยผุ้คน เพราะถนนช่วงนี้ปิดให้พ่อค้าแม่ขายมาขายสินค้าพื้นเมืองแก่นักท่องเที่ยว
ทั้งสองได้ที่พักที่ซอยไปรษณีย์ เป็นเรือนพักสองชั้นที่เพิ่งสร้างขึ้นมาใหม่ แต่ราคาต่อคืนเพียงแค่ 160 บาท เท่นั้นเองวายุแทบไม่เชื่อหูตัวเองเมื่อเจ้าของห้องพักบอกราคา เพราะห้องที่เขาเข้าไปดู แม้ไม่หรูเท่าโรงแรมชั้นหนึ่งแต่ก็กว้างพอสำหรับคนรอนแรมอย่างพวกแบกเป้ เพื่อค้นหาชีวิต หรือค้นหาโลกกันแน่
“โอ้ย” วายุวางเป้ตัวเองลงกับพื้นพร้อมทั้งบิดร่างกายไปมา ก่อนจะทิ้งตัวลงกับที่นอนหกฟุต
“มีว่างห้องเดียวเองว่ะ เตียงเดี่ยว ทนนอนกับข้าไปก่อนนะโว้ย ไว้ห้องว่างค่อยนอนเตียงคู่” วิมหันมาบอกพลางรื้อของที่จำเป็นออกจากเป้
“วิมนั่นแหละที่จะต้องทนนอนกับเรา”
“ทำไมล่ะ”
“อ้าวก็เราติดหมอนข้าง ดีไม่ดีเผลอคิดว่าวิมเป็นหมอนข้างแบบเมื่อเช้าอีก”
“ไม่เป็นไร เราไม่ถือ ถ้านายไม่อยากนอนเตียงคู่ก็นอนเตียงเดี่ยวไปเถอะ ดีเหมือนกันเพราะเตียงคู่คืนนึงตั้งสองร้อยประหยัดไปตั้งสี่สิบบาท”
คนรู้ค่าของเงินคิดทุกบาท เงินทุกบาทมีค่าสำคัญเสมอ วายุแทบไม่เคยมองเงินหลักสิบเลยด้วยซ้ำ เขาชินกับจำนวนเงินหลาย ๆ หลักที่พ่อกับแม่มักพูดกรอกหูอยู่เสมอ
“เดือนนี้กำไรสักสิบล้าน ผมจะพาไปญี่ปุ่น” พ่อมักพูดเช่นนี้กับแม่เสมอ
แต่สำหรับคนที่ไม่มี เงินมีค่า ไม่ใช่แค่ทุกบาท แต่ทุกสตางค์!
“จะอาบน้ำก่อนหรือหาอะไรกินก่อน”
“แล้วแต่วิมเหอะ”
“งั้นอาบน้ำกันก่อน แล้วเราไปหาอะไรอร่อย ๆ ที่ริมโขงกินกัน” วิมหันมายิ้มก่อนจะถอดกางเกงขายาวออกแขวน
วายุมองต้นขาเพื่อนใหม่ด้วยหางตา แม้เขาอยากมองเพื่อนใหม่ให้เต็มตา แต่กลัวเพื่อนจะว่าเอา ต้นขาแม้จะเห็นราง ๆ แต่แข็งแรงด้วยมัดกล้าม ขนหน้าแข้งลามยาว วายุค่อย ๆ โลมสายตาขึ้นไปเรื่อย ๆ ขนนั้นหายไปในขอบกางเกงใน ในวายุเต้นระส่ำราวกลองเพล บางสิ่งในร่างกายของวายุเริ่มแข็งขันขึ้นมา วายุปิดตาช้า ๆ สูดลมหายใจเขาลึก ๆ เพื่อกำจัดอารมณ์ใมนร่างกายเพราะเขาไม่รู้ว่าวิมจะใช่คนประเภทเดียวกับเขาหรือปล่าว หรืออาจแค่ผู้ชายทั่วไปที่กล้าแก้ผ้าต่อหน้าเพื่อนผู้ชายด้วยกัน วายุมองวิมเดินหายเข้าไปในห้องน้ำแต่ใจกลับนึกถึงอีกคนที่เมืองไทย
บอกแล้ว วายุไม่เคยจากภาณุทัศน์เกินสามวัน
ภาณุทัศน์
แกไม่เคยเฉลียวใจเลยหรือว่าข้ารู้สึกอย่างไรกับแก ระยะเวลาสี่ปีมันใช่น้อย ๆ นะโว้ย ตอนนี้ข้าเหงา โดดเดี่ยวเดียวดาย วิมมันไม่อยู่เสียด้วย เพราะไปติดต่อเรื่องงานให้พี่นัท ข้าเพิ่งรู้ การที่คนเราหลีกหนีหัวใจตัวเองมันทรมานนัก แล้วยิ่งการหนีอย่างที่ข้าทำด้วยแล้วมันช่างนานเสียเหลือเกินกว่าเวลาแต่ละนาทีจะผ่านพ้นไป
ไอ้เอก .
ข้าอยากย้อนเวลาได้จังเลยว่ะ แต่ถ้าข้าย้อนได้ ข้าก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าข้าจะย้อนไปในเวลาไหนดี อาจเป็นเวลาก่อนหน้าที่ข้าจะเอ็นทรานช์มั้ง ข้าอาจเลือกมหาวิทยาลัยต่างจังหวัดที่ไหนสักแห่ง ที่สมองระดับข้าพอที่จะติดได้ เพราะเมื่อข้าเลือกมหาวิทยาลัยของรัฐในกรุงเทพฯ ทั้งหมด ผลออกมาข้าเลยต้องระเห็จมาอยู่มหาวิทยาลัยเอกชนไงล่ะ
“มหาทยาลัยต่างจังหวัด”
แกคงแอบหัวเราะเยาะข้าอีกตามเคยสินะ ก็คนอย่างข้านะหรือจะช่วยเหลือตัวเองในต่างจังหวัดได้ ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยมันไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิดเลยเนาะ การเอ็นทรานช์ไม่ใช่จุดสูงสุดของชีวิต ข้ายังจำได้เลยว่ะ ตอนประกาศผลเอ็นทรานช์ เมื่อข้ารู้ว่าไม่ติดที่ไหนสักแห่ง ข้าเดินคอตกอย่างกับไก่ติเชื้อไข้หวัดนกเลยล่ะแก ข้าเดินจากเกษตรมาจนถึง “หมู่บ้านโครตรวย” ข้างมหาวิทยาลัยของเราไง เห็นมั้ยข้าจำได้ ข้าจำทุกเรื่องที่เอ็งเคยบอกข้าได้เสมอแหละ ไอ้หมู่บ้านที่ท่านนายกต้มยำกุ้ง ที่แกเคยเปรียบเปรยย้ายมาจากซอยปิ่นประภาคมไง มันก็ถูกของแกอีกนั่นแหละ พ่อเคยบอก หมู่บ้านนี้ระดับเศรษฐีร้อยล้านเขาอยู่กัน แต่แกเอ๋ย ข้ากลับรู้สึกเหมือนอยู่ในคุกบางขวางมากกว่า อ้าวก็แกไม่เคยเห็นเหรอ กำแพงมันสูงกว่ารั้วมหาวิทยาลัยที่เราเรียนอีก แล้วทางเข้าหมู่บ้านมันก็มียามตรวจตราแข็งขันเสียเหลือเกิน
“เอ้นท์ไม่ติดเหรอ ไม่เป็นไร เดี๋ยวพ่อส่งไปนอกเลยมั้ยลูก”
เอ็งเอ้ย! ประโยคโหดร้ายสำหรับชีวิตข้าเลยทีเดียวล่ะ จะให้ข้าไปเรียนนอกเหรอ เห็นจะไม่ไหวล่ะ เพราะขนาดตอนไปเทคคอร์สที่ยุโรปช่วงซัมเมอร์ข้ายังแอบร้องให้แทบทุกคืนด้วยความคิดถึงบ้าน สุดท้ายข้าต้องวิ่งไปประจบแม่
แม่ พูดถึงแม่ ชักคิดถึงตะหงิด ๆ เลยเชียวล่ะแก นี่ถ้าแม่ข้ารู้ว่าข้ามาตะรอน ๆ ที่หลวงพระบางมีหวังได้นั่งเครื่องห้อมารับแน่เลยล่ะเอ็ง แล้วยิ่งถ้ารู้ว่าที่ซุกหัวนอนของข้าราคาแค่ 160 บาทมีหวังแม่ได้แหกอกข้าแน่ ฐานทำลายชื่อเสียงระดับไฮที่แม่ข้าพยายามตะกายไปอยู่แถวหน้า ว้านินทาแม่ไม่ดี ๆ ๆ
แกได้งานทำหรือยังหว่า ส่วนข้ากลับไปอาจโดนส่งตัวไปเมืองนอกนัยว่าเพื่อให้เรียนโทต่อ ก็ครั้งที่เอ็นท์ไม่ติดข้าบ่ายเบี่ยงทีนึงแล้ว แต่คราวนี้เห็นท่าจะบ่ายไม่ไหว คงต้องเย็นเลยแหละแกเอ้ย อ้าวจะไม่เย็นได้ยังไง ยุโรปนะหนาวทีเกือบครึ่งปี ถ้าข้าไป ข้าคงอดคิดถึงแกไม่ได้แน่ ๆ เลย สุดท้ายชีวิตข้าจะขาดแกไม่ได้แน่ ๆ เลย ขนาดข้าจะย้อนเวลาเพื่อให้ไม่ต้องเจอกับแก แต่ข้าก็ยังอดห่วงแกไม่ได้ แล้วแกจะห่วงข้ามั่งมั้ยนี่
ไอ้เอก แกยังจำวันที่เราไปรับน้องกันที่น้ำตกเจ็ดสาวน้อยได้ป่ะ ใจข้านะไม่คิดอยากไปเลยให้ตายดิเอ้า แต่ก็เพราะแกนั่นแหละข้าเลยต้องไป
“ไปน่าไอ้วา เก็บร้อยเดียวเอง หาที่ไหนได้ว้า เที่ยวสามวันสองคืนร้อยเดียว”
นั่นดิ เก็บแค่ร้อยเดียวเอง แล้วเป็นไงล่ะ แค่รถเลี้ยวไปทางถนนเล็ก ๆ จากมวกเหล็ก เสียงร้องรำทำเพลงจากรุ่นพี่เริ่มลดลง มีแต่พวกเราที่แหกปากร้องกันอยู่นั่นแหละ จนกระทั้งยังอีกสามกิโลเมตรจะถึงที่พัก รถบัสที่วิ่งมาก็เบรกเสียจนพวกเราหัวทิ่มกันทีเดียว
“ลง ลง ลงจากรถให้หมดเร็ว แล้วไปเข้าแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่ง” เสียงว๊ากจากรุ่นพี่บนรถ ทำเอารุ่นน้องทั้งหลายงงเป็นไก่ตาแตก
ในขณะที่ด้านล่าง รุ่นพี่อีกหลายคนเดินออกมาจากป่ามันสำปะหลัง แต่ล่ะคนหน้าตาโหดอย่างกับพวกฝึกมาจากสามจังหวัดชายแดนเลยเชียวล่ะ ด้วยความตกใจข้าแผ่นแน๊บลงจากรถ ด้วยความคิดว่ามาเที่ยวเลยแต่งสบาย รองเท้าแตะ แล้วเป็นไงล่ะ
รู้สึกเสียวแปลบที่เท้า เพราะตอนดิ่งลงมาจากรถด้วยความรีบเพราะกลัวรุ่นพี่ ทำให้ลืมมองพื้นด้านล่าง พอก้มมองดูอีกที เลือดแดงฉานเต็มเท้าไปหมดเลย แล้วแกก็เป็นคนแรกที่ปรี่เข้ามายังเท้าข้า
“พี่ครับ วายุโดนกระเบื้องบาดเท่าครับ”
หน้าตาแกตอนนั้นตกใจไม่แพ้ข้าเลยแหละแก แกอาจไม่สังเกต แต่สำหรับข้า ตั้งแต่วันแรกที่ข้าเจอกับแก ข้าก็ตกหลุมรักแกเสียเต็มหัวใจแล้วล่ะ เพราะฉะนั้นแก จงอย่าแปลกใจที่ไฮโซอย่างข้าจะตามแกมารับน้องด้วยเหตุผล
“เก็บร้อยเดียวเอง หาที่ไหนได้ว้า เที่ยวสามวันสองคืนร้อยเดียว”
และด้วยความเป็นสุภาพบุรุษของแก หรือด้วยความที่แกห่วงเพื่อนอย่างข้าก็ไม่รู้ รับน้องคราวนั้นข้าเลยจำไปจนวันตายอีกเช่นกัน ทำไมนะหรือ อ้าวก็รุ่นพี่ให้แกประคองข้าไปถึงที่พักไง แกจำไม่ได้หรือแกไม่อยากจำข้าไม่สนแต่ข้าจะทบทวนให้แกเห็นอีกครั้ง ก็ตอนแกประคองข้าเอามือโอบเอวแกไว้ บางครั้งข้าแผลหันหน้า แล้วจมูกไปโดนแก้มแก ไอ้เอกเอ้ย ข้าแทบจะยอมตายอยู่ตรงนั้นเลยทีเดียวแหละ อ้าวก็ข้ารักแกนี่หว่า
เห็นมะ ข้าบอกแกตอนนี้ รับรองแกเอากำปั้นมาฝากบนหน้าข้าไม่ได้หรอก เว้นเสียแต่ว่าเมื่อข้าจะเจอแกอีกครั้ง แต่มันคงนานแหละแก เพราะข้าจะไปของข้าเรื่อย ๆ จนกว่าพ่อข้าจะปิดบัญชีบัตรเครดิตที่พ่อข้าพยายามยัดเยียดให้ลูกเป็นไฮโซใช้จ่ายฟุ่มเฟือยอย่างที่แกเคยกระแหนะกระแหนข้าทุกครั้งที่ข้าควักบัตรมารูดแทนเงินสด
ไอ้เอก .เอ็งว่าข้ามีกรรมมะ แต่ข้าว่าข้ามีว่ะ อย่างน้อย ๆ ข้ามีกรรมที่ดันมารักเพื่อนอย่างแกไง ถ้าข้าห้ามหัวใจของข้าให้รักแกแค่เพื่อนก็ดีไป แต่นี่ข้าดันรักแกมากกว่านั้นนะสิ ทำไมหรือ ข้าไม่เข้าใจหัวใจตัวเองเหมือนกัน แกจำวันที่สองของการเข้าค่ายได้มะ วันนั้นเราต้องออกทำกิจกรรม ในช่วงเช้าข้าต้องซมเพราะพิษบาดแผลที่ระบมจากเศษแก้ว แต่ข้าไม่ได้ทำตัวไร้ประโยชน์นะโว้ย ข้าไปตีซี้พี่ ๆ ที่โรงครัว ขอทำโน่นทำนี่ จนพี่ ๆ เขารักข้ากันหมดแหละ ชมว่าข้ามีน้ำใจ ข้ายิ้มแฉ่งได้ทั้งวัน แต่ตอนบ่ายไม่ไหวแล้ว ข้าอยากอยู่ใกล้ ๆ แกมากกว่า เลยออกไปกิจกรรม รุ่นพี่ให้จับฉลากหาบัดดี้ เอ็งเอ้ย อีกสองเดือนต่อมาข้าต้องชวนเอ็งเอาไก่ไปแก้บนที่ศาลหน้าน้ำตก ที่ข้าเคยบอกแกตอนนั้นข้าโกหกว่ะ เพราะเหตุผลที่แท้จริง ข้าจะบอกแกเดี๋ยวนี้แหละ
“ข้าขอเจ้าที่ ขอให้แกกับข้าได้บัดดี้กัน”
โหลแก้ว ถูกนำวางวางที่โต๊ะ เล็ก ๆ กลางวงรุ่นน้องที่ล้อมกันเป็นวงกลม พี่รัชช์ ประธานนักศึกษา เดินมาจับชื่อในโหล แล้วอ่านทีละชื่อ จนกระทั่งเหลือเพียงสองคนสุดท้ายข้ายิ้มแฉ่งเลยแหละแกเอ้ย อ้าว ก็ในโหลมันมีแค่สองใบ แล้วข้ายังไม่ได้โดนเรียกชื่อ ส่วนอีกคนที่ยังไม่โดนเรียกก็คือแก
“บุพเพสันนิวาส หรือ เจ้าที่แรงหว่า” ข้านึกในใจ แต่จะอะไรก็ช่างเหอะ วันนั้นข้ามีความสุขก็แล้วกัน แถมกิจกรรมในวันนั้นมันพิสดารเสียจนข้าชอบมาก
ข้าจะทวนให้แกฟัง เผื่อแกจะจำอะไรในวันนั้นได้บ้าง เมื่อได้บัดดี้แล้วรุ่นพี่ให้ไปตามฐานต่าง ๆ มีล้วงไหบ้าง ปิดตาเลียไข่บ้าง แบ่งลูกอมกันกิน ก็ที่รุ่นพี่แกะให้แกก่อนไง แกดันอมไปทั้งลูก จนรุ่นพี่เขาเคือง
“เอ้ยน้อง ทำไมกินคนเดียว ไม่แบ่งเพื่อนล่ะ” พี่ปีสามมั้ง เพราะรุ่นพี่มากันทุกชั้นปีจนจำหน้ายังไม่หมด
ข้ามองหน้าแก แกหน้าเสียเหมือนกันแหละ ป๊อดนี่หว่ากลัวรุ่นพี่
“แบ่งเพื่อนเลย ผลัดกันอม” เสียงกึ่งตะโกนรับกับใบหน้าอันโหดเหี้ยมว่ะ
เพียงแค่แกจะเอามือจับเท่านั้นแหละ เสียงมหาปะลัยดังมาอีกที “ไม่ได้ ห้ามใช้มือ ส่งปากต่อปาก ห้ามตกพื้นนะมึง ไม่งั้นโดนซ่อม”
โอ้ยแกเอ้ย ข้าแทบจะกระโดดจูบรุ่นพี่คนนั้นเหลือเกิน เหมือนรู้ใจข้าว่ะ แล้วแกก็ค่อย ๆ เอาลูกอมมากัดไว้ที่ปาก ก่อนจะเข้ามาใกล้หน้าข้าทีละนิด ทีละนิด ลมหายใจแกค่อนข้างแรงว่ะ แต่ใจข้าสั่นพั่บ ๆ เลยล่ะแกเอ้ย ข้ามองตาแก แต่แกดันหลับตาปี๋ แกไม่รู้เหรอ การหลับตากะระยะไม่ถูก แล้วแกก็เสร็จข้า เพราะริมฝีปากแก ประทับกับริมฝีปากข้าพอดีเลย แกเอ้ยข้าอยากจะกอดแกไว้แต่ก็ทำไม่ได้
“เอาล่ะ ผ่านพิธีแต่งงานแล้ว เดี๋ยวจะส่งตัว” รุ่นพี่คนเดิมตะโกนอีก มันจะตะโกนทำไมหนักหนาว่ะ อยู่กันแค่นี้เอง พูดดี ๆ ก็ได้
“ไหน ถกกางเกงลงสิ ใส่กางเกงในสีอะไรกันมั้ง วายุ” แกพูดไม่พูดปล่าว มาถกถกกางเกงแล้วชะ โงกดูวายุน้อยข้าเสียด้วย “ สีขาว แนะหรูโว้ย กีลาโรช เสียด้วย”
“ไหนภาณุทัศน์ล่ะ” แล้วแกก็แต่ดึงขอบเอวกางเกงของแกเท่านั้นไอ้เอก แม่งรุ่นพี่คนนี้สงสัยหม้อกับกูแหง ๆ เลยว่ะ “สีดำ รอชโร่ลึกซึ้งถึงสัดส่วนชาย”
“เอาล่ะ เอ็งสองคนเคยดูซุปเปอร์แมนมะ” รุ่นพี่ถามยิ้ม ๆ
แกกับข้าพยักหน้าแทนคำตอบ
“ดี งั้นเห็นพุ่มไม้นั่นมะ นั่นแหละที่ส่งตัวเข้าหอ ไปเปลี่ยนเป็นชุดซุปเปอร์แมนเดี๋ยวนี้ อ้อ แลกกางเกงในกันด้วยนะมึง กูให้เวลา 2 นาที จับเวลาไป๊”
แล้วแกกับข้าก็วิ่งหน้าตั้งไปหนังพุ่มไม้ หันซ้ายหันขวาปลอดคน แกถอดขวับทั้งนอกทั้งในจนข้ามองตาค้างเลย ไอ้เอกน้อยของแกนอนสงบนิ่งในดงไหมสีดำ หัวแดง ๆ เปิดนิด ๆ ดอ้ยใจข้าสั่นแข้งขาแทบยืนไม่อยู่
“มองห่าไร เร็วดิมึงเดี๋ยวโดนซ่อม”
“กูเจ็บขาถอดไม่ถนัด”
“งั้นมึงถอดกางเกงขาไม่เจ็บมาก่อน เดี๋ยวกูช่วย”
แล้วแกก็ช่วยดึงขากางเกงข้าทั้ง ๆ ที่แกล่อนจ้อนไอ้เอกน้อยแกว่งโตงเตง ข้ามองเสียจนเอากลับมาฝันถึงเสียหลายปี ไม่เคยฝันถึงของใครเลยให้ตายดิเอ้า ข้าคุยเรื่องนี้แล้วชักตะหงิด ๆ แต่ที่นี่ในวังเก่าแถมหน้าวังมีวัดด้วยกลัวบาปว่ะ
อ้อ แล้วกางเกงในที่แลกกันใส่เป็นซุปเปอร์แมน จนเดี๋ยวนี้ข้าก็ยังไม่ให้แกคืนเลยว่ะ ข้าบอกเก็บไว้เป็นที่ระลึก แถมข้าไม่ซักด้วย กลิ่นรอชโช่ มันติดจมูกข้าไปหลายคืน คืนละหลายรอบด้วยสิ แค่หลับตาข้าก็นึกถึงหน้ากับไอ้เอกน้อยที่แกว่งไปมาว่ะ ข้าคงจบจดหมายฉบับนี้แล้วล่ะ เห็นวิมเดินมาไกล ๆ เดี๋ยวข้าต้องไปบนพูสีกันต่อ
คิดถึงมึงที่สุดเลยว่ะ
วายุ
ไอน้ำยามเช้าคล้ายควันไฟ ลอยขึ้นเหนือลำน้ำโขง หมอกลงจัด เพราะปากแบงตั้งอยู่กลางหุบเขา เสียงผู้คนพูดคุยกันจนฟังไม่ได้ศัพท์ วิมขยับกายเล็กน้อย เขารู้สึกเหมือนมีอะไรหนัก ๆ มาทาบที่หน้าอก เมื่อลืมตามอง จึงรู้วายุนั่นเองที่นอนเอามือกอดเขาไว้ เขาไม่รู้สึกตัวเลยจึงไม่รู้ว่าวายุนอนกอดเขาอยู่อย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ในร่างกายวิมมันมีอะไรแปลก ๆ ที่วิมเองก็ไม่เข้าใจ เขาแปลกใจทำไมการที่เขาโดนกอดแต่เขากลับรู้สึกมีความสุขและที่สำคัญเขารับรู้ส่วนตรงนั้นมันขยายตัวคับแน่นกางเกงชั้นใน หรือเพราะเขาไม่เคยได้อยู่ในอ้อมกอดของใครมาก่อน วิมค่อย ๆ เอามือของตัวเองมาจับมือของวายุออกจากอกอย่างเบามือด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะตื่น
“กอดอีกหน่อนดิไอ้เอก หนาวจัง” คนหลับตาแต่ปากพูดได้
วิมยิ้มบาง ๆ ก่อนที่คิ้วทั้งสองจะมาขมวดกัน “เอก” ไม่ใช่ชื่อผู้หญิงเป็นแน่เขาได้ยินชัดหูไม่ฝาดหรอก เพราะนอนชิดกันขนาดนี้ เมื่อวิมขยับตัวอีกครั้ง วายุก็ลืมตามาด้วยความงัวเงีย
“ไปมหาวิทยาลัยอีกหรือว่ะไอ้เอก”
“ว่าไรนะครับ” อีกฝ่ายงง
วายุที่เพิ่งตื่นมองหน้าเพื่อนใหม่พลางขยี้ตา เขายิ้มด้วยอาการเก้อเขินก่อนเอามือมาเกาศรีษะ เพราะรู้ตัวเหมือนกันว่าทำอะไรลงไปบ้าง วายุชินกับการนอนกอดหมอนข้าง และทุกครั้งที่เอกมาค้างที่บ้านหรือเขาไปค้างที่บ้านเอก หมอนข้างแทบจะไร้ความหมายเพราะเพื่อนตัวดีอุทิศร่างกายให้กอดแทน
“ขอโทษ นึกว่าเพื่อน”
“เพื่อนหรือแฟน” วิมพยายามจะจ้องหน้าแต่วายุหลบสายตา
“เพื่อนจริง ๆ สนิทกัน ก่อนตื่นยังฝันว่าจะไปมหา’ ลัย อยู่เลย เลยคิดว่าต้องไปเรียนอีก มันชินนะเคยตื่นแต่เช้าไปเรียนถึงสี่ปี ตอนนี้ยังปรับตัวกับการตื่นมาอยู่เฉย ๆ ไม่ได้” วายุค่อย ๆ เอาตัวออกจากใต้ผ้าห่ม เขาตลบชายมุ้งขึ้นเก็บไว้ด้านบน
“เช้า ๆ อากาศดี ออกไปหาอะไรกินกัน แล้วซื้อของกินสำหรับมื้อเที่ยงด้วย วันนี้นั่งเรืออีกเป็นวันเลยแหละกว่าจะถึงหลวงพระบางก็เย็น ๆ โน่นแหละ”
วิมหันมายิ้ม วายุกล้าที่จะมองเพื่อนใหม่อย่างเต็มตามากขึ้น อย่างน้อยตอนนี้วายุจะได้ไม่รู้สึกเหงา เพราะการเดินทางคนเดียวมันไม่น่าสนุกเท่าใดนักหรอก
เกสต์เฮ้าน์ที่พักเป็นเรือนไม้ธรรมดา สร้างบนเนินเล็ก ๆ ของภุเขาลูกไหนวายุมันไม่รู้หรอก มันรู้แต่ว่าเมื่อมันเดินลงมาจากกระท่อมหลังเล้กนั้นมันได้กลิ่นหอมจากอาหารปิ้งลอยมาตามลม ตลาดเช้าของปากแบงเป็นตลาดเล็ก ๆ ไม่ใหญ่มาก วายุไม่เคยสัมผัสตลาดสดแท้ ๆ มาก่อนเลย ภาพผู้คนที่เดินซื้อหาอาหารจึงเป็นภาพที่แปลกตา แม่ค้าบางคนเพิ่งมาถึง บนศรีษะทูนสินค้ามาสูงลิบ น่าแปลกเขาทำได้อย่างไรโดยที่สินค้าไม่ร่วงหล่นลงมาทั้ง ๆ ที่มือของเขามีตะกร้าใบใหญ่อีกสองใบ นั่นหมายถึงบนศรีษะของเขาไม่ได้รับการจับต้องจากมือเลย
ยิ่งสายตลาดเริ่มวาย วิมจัดข้าวของลงกระเป๋าเช่นเดิม เขานำมันกลับมาลงเรือลำเดิม คราวนี้มีคนโดยสารเพิ่มขึ้นอีกเพราะมีผู้โดยสารที่เป็นคนพื้นเมืองจากหมู่บ้านเล้ก ๆ ใกล้ ๆ กับปากแบงมารอขึ้นเรือเที่ยวนี้ด้วย วายุมองเรือที่จวนเจียนจะปริ่มน้ำ ในใจสั่นหวิว ๆ
“กลัวเหรอ ไม่ต้องกลัวหรอกน่า” วิมส่งมือมารับเพื่อนเมื่อเห็นวายุละล้าละลัง
คนไม่เคยลำบาก กลัวไปหมดทุกอย่างแหละ ไม่เคยทำอะไรก็ต้องหัดทำด้วยตัวเอง
เรือออกจากปากแบงช้ากว่าที่กำหนดเอาไว้ เพราะยังขนสินค้าขึ้นเรือไม่หมด แต่พอคนครบ เรือก็ค่อย ๆ ล่องไปตามสายน้ำสีชาอย่างช้า ๆ ก่อนจะเพิ่มความเร็วมากขึ้น เมื่อพ้นจากระยะบ้านคน วิมปีนไปบนดาดฟ้าเรืออีกตามเคย แต่คราวนี้เขาชวนวายุไปด้วย แม้ไม่เคยทำ แต่วายุไม่กลัว เพราะฝรั่งหลายคนก็ทำเช่นเดียวกับวิม
เรือแล่นลงไปทางใต้ ด้านซ้ายมือพระอาทิตย์เริ่มส่องแสงแรงกล้า แต่ไม่ร้อนเพราะสายลมที่พัดผ่านลำน้ำมีมาเป็นระยะ ๆ ลำน้ำโขงยามนี้น้ำน้อยทำให้สองฝั่งลำน้กล้วนเต็มไปด้วยแปลงผักที่ชาวบ้านมาอาศัยทำกสิกรรม แต่พอถึงเดินสิงหาคมน้ำจะเริ่มหลากการทำสวนริมน้ำจะไม่มีให้เห็นอีก
“วายุ ทำไมนายถึงมาหลวงพระบาง” วิมหันมาถามเมื่อเห็นเพื่อนเริ่มปรับสภาพบนดาดฟ้าเรือได้แล้ว
“ไม่รู้สิ เห็นรูปที่ออฟฟิศพี่นัทแล้วอยากมาเที่ยว วิม นายเรียกเราว่า ‘วา’ ก็ได้ เพื่อน ๆ เราก็เรียกเราแบบนี้แหละ” คนผิวคล้ำกว่าหันไปยิ้ม
“ได้สิวา นายมาเที่ยวคนเดียวนี่นะ” คนถามมีสีหน้าแปลกใจ
“อ้าวทำไมล่ะ เที่ยวคนเดียวแปลกเหรอ ทีนายยังมาคนเดียวได้เลย”
“มันไม่เหมือนกันหรอก อย่างเรานี่มาทำงานด้วยเลยถือโอกาสเที่ยวเสียเลย ส่วนนาย เราว่าไม่น่าจะตั้งใจมาหลวงพระบางตั้งแต่แรกหรอกมั้ง” วิมพูดแต่มือยกกล้องถ่ายรูปออกมาส่องไปตามสองข้างลำน้ำ
“เราแค่อยากเที่ยว เรียนมานานไม่ค่อยได้เที่ยว เรียนจบเลยอยากไปไหนไกล ๆ สักพัก” วายุกำลังหลอกตัวเองหรือปล่าว เขาอยากไปไหนไกล ๆ จริงล่ะหรือ
“เราเคยอ่านเจอ คนที่ออกเดินทางคนเดียว ถ้าไม่ใช่พวกรักสันโดษก็พวกอกหัก ต้องการหลบลี้หนีโลก นายจัดตัวเองอยู่ในสองประเภทนี้หรือปล่าวล่ะ” วิมถามพลางส่องกล้องมาที่วายุ เขาโฟกัสภาพไปที่ใบหน้า วิมเห็น แววตาวายุชัดเจน
แววตาแฝงไว้ด้วยความเศร้า
จะไม่ให้เศร้าได้อย่างไรในเมื่อวายุมันกำลังหนีหัวใจตัวเอง
“ไม่เอาสักอย่างได้มั้ย เราไม่ใช่คนที่ชอบสันโดษมากนัก ส่วนเรื่องอกหักสำหรับเรามันเป็นเรื่องปกติไปแล้วกระมัง มีคนเคยบอกว่าเราชอบคนง่าย แต่เราว่าเรารักคนยากนะ”
“ท่าทางนายเป็นคนช่างฝันน่าดูเลย เขาว่าคนช่างฝันมองโลกในแง่ดี แต่บางครั้งการมองโลกในแง่ดีมากเกินไปมันกลับมาทำร้ายเราได้เหมือนกันนะ”
“ฮื่อ”
แชะ! เสียงลั่นของชัตเตอร์ วิมจับภาพแววตาช่างฝันที่แฝงไว้ด้วยความเศร้าของวายุ
.
.
.
.
เรือมาถึงหลวงพระบางเอาเมื่อเวลาเย็นมากแล้ว เสียงรถสามล้อเครื่องมาร้องเรียกผู้โดยสารที่ถนนเลียบแม่น้ำโขง วายุแปลกตากับบ้านเมืองที่ดูเหมือนจะสงบ เงียบ แต่แฝงไว้ด้วยเสน่ห์ในตัวเอง ทำไมนะหรือ ก็บ้านเมืองดูสงบ ไม่วุ่นวายเหมือนในกรุงเทพฯ หรือเชียงใหม่ รถราที่แล่นไปมาก็ไม่มากเท่า ส่วนมากจะเป็นรถสกายแลบ หรือไม่ก็รถบัสสำหรับนักท่องเที่ยวแต่ไม่ใช่บัสใหญ่แบบบ้านเมืองของเรา เป็นบัสคล้าย ๆ รถไมโครบัสบ้านเรามากกว่า
“เดินไปที่พักไหวมั้ย” วิมหันมาถามเมื่อเดินขึ้นมาจากท่าเรือ
“ไหวสิ วิมเดินได้เราก็เดินได้”
“ดีงั้นเราเดิน ไปหาที่พักกัน” วิมกระชับเป้ไว้กับไหล่ พลางคาดสายรัดที่เอว เป้วิมใบใหญ่เหมาะสำหรับการเดินทางไกล
สุดทางเดินของถนนสายนี้ไม่รู้อยู่ที่ไหน แต่วิมเลือกที่จะเดินลงมาทางใต้ เพราะทางเหนือเขานั่งเรือผ่านไม่เห็นมีเมือง แต่ในแผนที่บอกทางใต้จะมีเกสต์เฮ้าราคาถูกให้เลือกหลายราคา การฝึกงานในบริษัททัวร์ทำให้วิมไม่รีบร้อนที่จะหาที่พัก เพราะรู้เมืองท่องเที่ยวไม่ว่าที่ไหน ถ้ามี “เงิน” จะเข้าพักเวลาไหนก็ย่อมได้
“เงิน” นับเป็นพระเจ้าตัวใหม่ของมนุษย์เพราะหลายคนบูชามันยิ่งชีวิต โดยเฉพาะคนในสังคมเมืองที่แก่งแย่งกันทั้งอย่างตั้งแต่เช้าตรู่ แย่งกันขึ้นรถ แย่งกันซื้ออาหาร แย่งหางานทำ เพื่อ เงินตัวเดียวเท่านั้นจนบางครั้งเขาอาจลืมไป เงินไม่ใช่ที่สุดของชีวิต
ทั้งสองเดินมาเรื่อย ๆ ผ่านตลาดเช้า วิมเลี้ยวซ้าย เพราะที่นั่นไฟสว่างจ้า ที่แม่ค้ามาวางแผงขายอาหารเต็มไปหมดทั้งสองข้างทาง “ตลาดค่ำ” ของเมืองหลวงพระบางแบ่งเป็นโซนค่อนข้างเป็นระเบียบ โดยเฉพาะโซนที่ติดกับตลาดเช้าจะมีอาหารพื้นเมืองขายในราคาที่ไม่แพงมากจนไปถึงสี่แยกใหญ่ของเมืองเลี้ยวซ้ายอีกครั้งก็ทางไปวังเจ้ามหาชีวิตที่ยามค่ำคืนเช่นนี้คราคร่ำไปด้วยผุ้คน เพราะถนนช่วงนี้ปิดให้พ่อค้าแม่ขายมาขายสินค้าพื้นเมืองแก่นักท่องเที่ยว
ทั้งสองได้ที่พักที่ซอยไปรษณีย์ เป็นเรือนพักสองชั้นที่เพิ่งสร้างขึ้นมาใหม่ แต่ราคาต่อคืนเพียงแค่ 160 บาท เท่นั้นเองวายุแทบไม่เชื่อหูตัวเองเมื่อเจ้าของห้องพักบอกราคา เพราะห้องที่เขาเข้าไปดู แม้ไม่หรูเท่าโรงแรมชั้นหนึ่งแต่ก็กว้างพอสำหรับคนรอนแรมอย่างพวกแบกเป้ เพื่อค้นหาชีวิต หรือค้นหาโลกกันแน่
“โอ้ย” วายุวางเป้ตัวเองลงกับพื้นพร้อมทั้งบิดร่างกายไปมา ก่อนจะทิ้งตัวลงกับที่นอนหกฟุต
“มีว่างห้องเดียวเองว่ะ เตียงเดี่ยว ทนนอนกับข้าไปก่อนนะโว้ย ไว้ห้องว่างค่อยนอนเตียงคู่” วิมหันมาบอกพลางรื้อของที่จำเป็นออกจากเป้
“วิมนั่นแหละที่จะต้องทนนอนกับเรา”
“ทำไมล่ะ”
“อ้าวก็เราติดหมอนข้าง ดีไม่ดีเผลอคิดว่าวิมเป็นหมอนข้างแบบเมื่อเช้าอีก”
“ไม่เป็นไร เราไม่ถือ ถ้านายไม่อยากนอนเตียงคู่ก็นอนเตียงเดี่ยวไปเถอะ ดีเหมือนกันเพราะเตียงคู่คืนนึงตั้งสองร้อยประหยัดไปตั้งสี่สิบบาท”
คนรู้ค่าของเงินคิดทุกบาท เงินทุกบาทมีค่าสำคัญเสมอ วายุแทบไม่เคยมองเงินหลักสิบเลยด้วยซ้ำ เขาชินกับจำนวนเงินหลาย ๆ หลักที่พ่อกับแม่มักพูดกรอกหูอยู่เสมอ
“เดือนนี้กำไรสักสิบล้าน ผมจะพาไปญี่ปุ่น” พ่อมักพูดเช่นนี้กับแม่เสมอ
แต่สำหรับคนที่ไม่มี เงินมีค่า ไม่ใช่แค่ทุกบาท แต่ทุกสตางค์!
“จะอาบน้ำก่อนหรือหาอะไรกินก่อน”
“แล้วแต่วิมเหอะ”
“งั้นอาบน้ำกันก่อน แล้วเราไปหาอะไรอร่อย ๆ ที่ริมโขงกินกัน” วิมหันมายิ้มก่อนจะถอดกางเกงขายาวออกแขวน
วายุมองต้นขาเพื่อนใหม่ด้วยหางตา แม้เขาอยากมองเพื่อนใหม่ให้เต็มตา แต่กลัวเพื่อนจะว่าเอา ต้นขาแม้จะเห็นราง ๆ แต่แข็งแรงด้วยมัดกล้าม ขนหน้าแข้งลามยาว วายุค่อย ๆ โลมสายตาขึ้นไปเรื่อย ๆ ขนนั้นหายไปในขอบกางเกงใน ในวายุเต้นระส่ำราวกลองเพล บางสิ่งในร่างกายของวายุเริ่มแข็งขันขึ้นมา วายุปิดตาช้า ๆ สูดลมหายใจเขาลึก ๆ เพื่อกำจัดอารมณ์ใมนร่างกายเพราะเขาไม่รู้ว่าวิมจะใช่คนประเภทเดียวกับเขาหรือปล่าว หรืออาจแค่ผู้ชายทั่วไปที่กล้าแก้ผ้าต่อหน้าเพื่อนผู้ชายด้วยกัน วายุมองวิมเดินหายเข้าไปในห้องน้ำแต่ใจกลับนึกถึงอีกคนที่เมืองไทย
บอกแล้ว วายุไม่เคยจากภาณุทัศน์เกินสามวัน
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น