ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : หนีรัก
สวัสดีภาณุทัศน์
เอ หรือข้าจะใช้ ซำบายดี แบบที่นี่เขาเรียกกันดีหว่า
แกคงไม่รู้สินะว่าตอนนี้ข้าอยู่ที่ไหน แต่ช่างเหอะแกจะอยากรู้หรือไม่อยากรู้ แต่ข้าอยากบอกก็แล้วกัน ฟังดี ๆ นะโว้ยตอนนี้ข้าอยู่ที่ “หลวงพระบาง” ว่ะ มันก็คงเหมือนกับที่แกเคยบอกแหละ ว่าข้าชอบอะไรที่ง่าย แต่แกกลับไม่รู้เลยหรือว่าข้านะรักคนยากเสียด้วยสิ หรือแกอาจจะรู้แต่ช่างมันเหอะ เรื่องที่ข้าตั้งใจจะบอกแกมันจบลงไปแล้ว แกอย่าเพิ่งทำหน้างง ชวนสงสัยว่าข้ามาทำอะไรถึงหลวงพระบาง เรื่องของเรื่องมันก็เริ่มจากแกนั่นแหละ แกจำวันสอบวันสุดท้ายได้ไหม สำหรับข้าตั้งใจเป็นอย่างมากที่จะบอกบางสิ่งบางอย่างกับแก สิ่งที่ข้าเก็บมาร่วมสี่ปี
“กูรักมึงว่ะ”
มันน่าจะเป็นคำพูดที่ดีที่สุดที่คนอย่างข้าจะกล้าบอกกับแก แต่ข้ากลับไม่ได้ใช้มัน ในเมื่อ แกดันบอกตัดหน้าข้าเสียก่อน และนั่นมันทำให้ข้าต้องระเห็จระเหเร่รอนมาถึงที่นี่ แล้วแกยังอยากจะรู้เรื่องของข้าอีกมั้ยว่าข้ามายังไง ไว้ข้าจะเล่าให้แกฟังเรื่อย ๆ แล้วกันเพื่อนรัก (เพราะชีวิตข้า ข้าคงเป็นได้แค่เพื่อนรัก)
วายุ
.
.
.
.
สองสัปดาห์ก่อน
บริเวณศาลาที่ประดิษฐ์พระพุทธรูปของมหาวิทยาลัยร่มรื่นด้วยไม้ยืนต้น ที่แผ่กิ่งครอบคลุมบริเวณนั้นจนแสงแดดแทบส่องลงมาไม่ถึงพื้นดินเลยตลอดทั้งวัน น้ำพุจากฝักบัวตรงข้ามกับหอสมุดยังทำหน้าที่ของมันไปเรื่อย ๆ แสงแดดกระทบกับน้ำที่กระจายก่อเกิดรุ้งกินน้ำเล็ก ๆ ภาณุทัศน์เดินลงมาจากตึกห้า เขากวาดสายตาไปยังจุดนัดพบ “วายุ” เดินไปมาราวเสือติดจั่น บางครั้งก็ทำปากขมุบขมิบ ราวกับจะท่องจำอะไรสักอย่าง ภาณุทัศน์เดินตรงดิ่งมายังเพื่อน เขาก้าวข้ามผ่านสะพานคอนกรีตเล็ก ๆ ที่ข้างตึกหอสมุดเก่า
“ออกมาเร็วเลย เป็นไง ทำข้อสอบได้มั้ย” คนมาใหม่ รูปร่างสูง ผิวค่อนไปทางคล้ำ แต่ใบหน้ายิ้มแย้ม
วายุหันมาทางเพื่อนราวกับจะจดจำทุกสิ่งทุกอย่างของเพื่อนเอาไว้ เพราะตนไม่แน่ใจเหมือนกันหลังจากวันนี้จะได้มีโอกาสเจอเพื่อนอีกหรือไม่ เพราะข้อแรก เรียนจบ ข้อสอง เรื่องที่ตนจะบอกเพื่อนไม่รู้เพื่อนจะรับมันได้ขนาดไหน วายุหวาด ๆ กล้า ๆ กลัว ๆ
กลัวว่ามิตรภาพจะหมดไปถ้าพูดความลับในใจออกมา
“ไอ้เอก ข้ารักเอ็งนะโว้ย รักมานานแล้ว” วายุมันท่องประโยคนี้อยู่ในใจซ้ำไปซ้ำมา
“ว่าไง ตกลงนัดกูมามีเรื่องอะไร ว่ามาเลย”
“มึงจะรีบไปไหนหรือ?” คนยังกล้า ๆ กลัว ๆ ถามเสียงอ่อย
“ป่าว แต่กูก็มีเรื่องของกูจะบอกมึงเหมือนกัน” เอกมันยักคิ้วข้างเดียวตามเคย เคยมีใครบอกมันบ้างมั้ยนะว่าเวลามันยักคิ้วข้างเดียว ใจวายุสั่นราวใครเอามือมาเขย่า
“งั้นแกบอกเรื่องของแกมาก่อนเลย” วายุยังไม่พร้อมที่จะบอกในตอนนี้จริง ๆ แหละ
“เอางั้นเลยหรือ ได้ ๆ ไอ้วา มึงจำน้องแหม่มที่เป็นน้องรหัสของมึงได้มั้ย” ภาณุทัศน์จ้องหน้าเพื่อนนิ่งเนิ่นนาน
“ฮื่อ” วายุพยักหน้ารับ
“มึงติดต่อให้กูหน่อยดิ กูรักน้องแหม่มว่ะ” แววตาภาณุทัศน์อ้อนวอน
วายุชาวาบไปทั้งตัว ราวใครเอาไม้มาตีที่กะโหลก ความรู้สึกที่จะพูดกับเพื่อนมันหายไป หัวใจมันสั่น แต่เป็นอาการของคนที่หมดสิ้นทุกอย่าง มันมองเพื่อนไม่เต็มตา เพราะภายในตามันเริ่มมีน้ำตามาเอ่อ แต่มันต้องฝืนเก็บเอาไว้ มันจะให้เพื่อนเห็นไม่ได้
มันพยักหน้ารับก่อนค่อย ๆ เดินออกมา มันหันหลังให้เพื่อนแล้ว คราวนี้มันปล่อยน้ำตาออกมาได้เต็มที่ สมองมันไม่สั่งงาน ไม่ได้ยินเสียงเรียกของภาณุทัศน์ที่ร้องเรียกมันอยู่เสียด้วยซ้ำไป
“อย่าลืมนะโว้ยไอ้วา กูรักของกูจริง ๆ ช่วยกูด้วยนะมึง แล้วมึงไม่คุยเรื่องของมึงแล้วหรือ เออไว้กูจะโทรหาแล้วกันนะโว้ย”
วายุสูญเสียหัวใจกระนั้นหรือ หัวใจที่มันเฝ้าถนอมมานาน แต่ด้วยความไม่กล้า หรือเพราะตัววายุรู้ดีว่าความรักของตัวเองเป็นเหมือนจันทร์ในหมู่เมฆ ต้องคอหลบ ๆ ซ่อน ๆ ไม่กล้าแม้จะบอก ต้องคอยเก็บเอาไว้ให้มิดชิดที่สุด
มันเดินใจลอยมาถึงลานจอดรถตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ วายุเปิดประตูขึ้นไป แล้วฟุบหน้ากับพวงมาลัย ตลอดระยะเวลาสี่ปีในรั้วมหาวิทยาลัย วายุไม่เคยมีใครเลย เพื่อนสนิทก็มีแต่ภาณุทัศน์เท่านั้น วายุมันไม่อยากเข้าข้างตัวเองว่าภาณุทัศน์เองก็ชอบมัน เพราะ ภาณุทัศน์ไม่เคยมีใครเหมือนกัน มันสองคนเหมือนเงาของกันแหละกัน เจอคนใดก็จะเจอคนหนึ่งอีกไม่ช้า จนเพื่อน ๆ ในห้องคอยล้อเสมอว่ามันทั้งสองคือ “คู่ตูด”
วายุมันยิ้มรับ เพราะอยากให้คำล้อของเพื่อนเป็นจริง แต่ภาณุทัศน์กลับเฉย มันบอกเพียงแค่
“ปากคน ห้ามได้เสียที่ไหนเล่า”
.
.
.
.
วายุรู้สึกเหมือนเพิ่งหลับ รถไฟมาจอดที่ลำพูนในตอนรุ่งสาง ก็เมื่อคืนเขานั่งมองนอกหน้าต่างรถไฟทั้งคืน กว่าจะเริ่มรู้สึกว่าตามันไม่ไหวแล้วก็เกือบถึงศิลาอาสน์ ถ้าไอ้เอกรู้ว่ามันทนนั่งรถไฟชั้นสามมาจากกรุงเทพฯ ไอ้เอกคงหัวเราะเยาะมันแน่ ก็ไอ้เอกเคยว่ามันเสมอว่ามันเป็นพวกกลัวความลำบาก แต่ครั้งนี้มันจะลองเดินไปหาความลำบากดูสักครั้ง
วายุเดินหายเข้าไปในห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัว เขาแทบจะอาเจียนออกมาตรงนั้นเพราะห้องน้ำรถไฟชั้นสามมันไม่คุ้นจมูกคนอย่างวายุ รถสั่นไปสั่นมา โยกซ้ายทีขวาที จนวายุแทบจะยืนไม่ติดพื้น แต่วายุก็เริ่มปรับตัว เขารู้ต่อจากนี้ โลกในนี้จะกว้างกว่าในมหาวิทยาลัยที่เขาเคยเจอ ชีวิตของเขาคือการเดินทาง เขาจะไปจนกว่าหัวใจจะสั่งให้กลับ
“หนีรัก”
วายุกำลังหนี เขาอยากให้ให้ไกลหัวใจตัวเอง เพราะเขาสั่งให้เลิกรักภาณุทัศน์ไม่ได้ การอยู่ไกลกันและเจอผู้คนใหม่ ๆ อาจทำให้เขารู้สึกดีขึ้น เสียงภาณุทัศน์ที่บอกให้เขาติดต่อ้องรหัสยังคอยตามมาหลอกหลอนอยู่เสมอทั้งในยามหลับและยามที่เขาเผลอตัว รถค่อย ๆ ชะลอตัวเมื่อเข้าสู่สถานีสุดท้ายปลายทาง ก่อนค่อย ๆ หยุด ผู้คนต่างกุลีกุจอกันลงจากรถ ส่วนคนที่มารับก็กวาดสายตามองไปยังตู้ต่าง ๆ เพื่อหวังจะได้เห็นคนที่ตนมารอรับ วายุกระชับเป้เข้ากับแขน ก่อนที่จะเดินลงมาจากรถไฟชั้นสาม ที่เขาอาศัยมันมาทั้งคืน
วายุหันไปมองตู้รถไฟที่เขาเพิ่งลงมาอีกครั้ง ก่อนค่อย ๆ ยิ้มบาง ๆ อย่างน้อย เมื่อคืนที่ผ่านมา เขารู้สึกว่าเขาก็เหมือนคนทั่วไปของประเทศ ไม่ใช่ลูกชายเจ้าของบริษัทโฆษณาระดับประเทศ ที่นี่อิสระ เกินกว่าที่เคยคาดคิด
“เชียงใหม่”
ป้ายบอกสถานีสุดท้าย ที่วายุเดินออกมา เพื่อนั่งรถสองแถวต่อเข้าไปในเมือง ยามเช้ารถราที่เชียงใหม่ไม่แตกต่างไปจากกรุงเทพฯ เสียงแตรรถดังอยู่ตลอดเวลา เขาค่อย ๆ สังเกตรอบ ๆ เมือง ที่นี่เขาเคยมาแทบทุกปี แต่ไม่ใช่การนั่งรถไฟมา 14 ชั่วโมงเหมือนครั้งนี้ เพราะทุกครั้งที่ครอบครัวเขามาจะใช้บริการนกยักษ์
รถค่อย ๆ ขยับทีละน้อยเมื่อมาถึงสะพานนวรัฐ เด็กนักเรียนเดินไปโรงเรียนหยอกเล่นกันสนุกสนาน วายุมองภาพเหล่านั้นราวกับจะให้มันซึมซับเข้าไปในวันเก่า ๆ ที่ตนผ่านมา แล้วรถก็มาเลี้ยวซ้ายไปตามถนนช้างคลาน ที่นี่มีโรงแรมมากมาย บางแห่งเจ้าของโรงแรมก็เป็นเพื่อนของพ่อ วายุเลิกความคิดที่จะพักโรงแรมในทันที เขาตัดสินใจอะไรรวดเร็วเสมอ เพราะทีแรกเขาคิดจะหลบมารักษาแผลใจที่เชียงใหม่ อยากนอนโรงแรมหรู ๆ แต่เขาเปลี่ยนเพราะคำพูดในครั้งเก่าที่ภาณุทัศน์เคยเอ่ยเอาไว้มันตามมาหลอกหลอน
“อย่างมึงนะมีดีที่พ่อรวย คนอย่างมึงไม่มีวันรู้หรอก รถไฟชั้นสาม โรงแรมจิ้งหรีดมันเป็นยังไง เอ็งอย่าหาเรื่องลำบากเลยว้า” ภาณุทัศน์บอก เมื่อวายุชวนเพื่อนมาเชียงใหม่ด้วยรถไฟชั้นสามเมื่อตอนปีใหม่
ถ้าภาณุทัศน์รู้ว่าอีกสามเดือนต่อมา เขาทำอย่างที่ภาณุทัศน์เคยปรามาสเอาไว้ ภาณุทัศน์จะทำสีหน้าเช่นไร
วายุได้ที่พักใกล้ ๆ กับตลาดไนซ์บาซา หลังจากเช็คอินน์แล้วเขาก็หลับเป็นตายเพราะเมื่อคืน บนรถไฟ เขาแทบไม่ได้นอนเอาเสียเลย แม้ตาจะไม่อยากเปิด แต่ท้องมันหิว วายุเลยจำใจขยับกายลุกขึ้น เดินเข้าห้องน้ำ สายน้ำเย็นเฉียบจากฝักบัวทำให้เขาตื่นขึ้นมาในทันที
วายุเดินเตร่อยู่แถวไนซ์บาซา เขามาหยุดยืนที่ออฟฟิศทัวร์เล็ก ๆ ภาพที่ติดอยู่ในกระจกเรียกร้องให้เขาเดินเข้าไปใกล้ ๆ วายุมองภาพใหญ่ แล้วภาพน้อย ๆ ก่อนจะตัดสินใจผลักประตูเข้าไป
“สวัสดีครับ มีอะไรให้รับใช้ครับ” เสียงดังกังวานทักทาย
วายุมองไปตามเสียง ชายหนุ่มวัยยี่สิบปลาย นั่งอยู่ที่โต๊ะสามตัวติดกัน โต๊ะด้านหน้ามีฝรั่งสามีภรรยานั่งคุยกับหญิงสาว ส่วนด้านหลังมีชายหนุ่มวัยไล่เลี่ยกับคนที่เอ่ยทักทายเขาเมื่อสักครู่กำลังสาละวนกับงานเอกสารที่สั่งปรินซืจากคอมพิวเตอร์อยู่
“คือผมสนใจที่นั่นนะครับ” วายุชี้ไปที่โปสเตอร์ใบใหญ่ที่กระจก
“อ๋อ หลวงพระบางครับ เมืองมรดกโลก เมืองเล็ก ๆ แต่เงียบสงบครับ เชิญนั่งก่อนนะครับ คุยกันก่อนก็ได้ครับ ไม่ซื้อไม่เป็นไร”
การตอบโต้เคล่วคล่องจนวายุต้องมองหน้าซ้ำ คราวนี้วายุสังเกตเห็น หน้าตาคนพูด จัดอยู่ในประเภทหล่อ ถึงหล่อมาก แต่หน้าตาค่อนข้างทะเล้น คิ้วเข้ม ตาเศร้า ตัดผมรองทรง
“ครับ ไปยากมั้ยครับ” วายุนั่งลง อย่างน้อยคนข้างหน้าก็ชวนมอง หรือจะเรียกว่ามองแบบไม่รู้เบื่อก็ว่าได้
“ไม่ยากครับไม่ยาก บอยมีเอกสารชุดใหม่ป่ะ เอามาให้น้องเขาชุดนึงดิ” นัทหันไปทางบอยที่กำลังง่วนกับกองเอกสารที่เพิ่งปริ้นซ์ออกมา
“ครับเจ้านาย” เสียงตะโกนมาจากด้านหลัง
“สำหรับน้องนี่ พี่ว่าไปแบบแบกเป้น่าจะสนุกกว่ามั้ง เพราะเพกเกจมีแต่คนอายุเยอะทั้งนั้น ไม่สนุกหรอก”
“นี่คร๊าบ เจ้านายสด ๆ ร้อน ๆ เลยคร๊าบ” บอยลากเสียงยาว พลางยักคิ้วข้างเดียว นัทเอานิ้วชี้แบบคาดโทษ
วายุมองภาพคนร่างโตยักคิ้วข้างเดียว ทำให้เขาอดนึกถึงอีกคนไม่ได้
“ป่านนี้มันทำอะไรอยู่หว่า”
ใจวายุลอยไปถึงคนไกล นานนะที่ไม่เคยห่างกัน สี่ปีที่เรียนมาด้วยกัน เจอกันแทบทุกวัน นั่งเรียนติดกัน ขนาดวิชาเลือกเสรียังเลือกเรียนด้วยกันเลย แต่วันนี้มาถึงทางแยก ต่างฝ่ายต่างมีทางเดินเป็นของตนเองเสียแล้ว
“น้องครับ..นี่เอกสารนะครับ แค่น้องมีหนังสือเดินทางที่มีอายุเหลือมากกว่า 6 เดือน ก็เข้าไปลาวได้แล้วครับ”
วายุรับเอกสารมาดู เขาค่อย ๆ พลิกไปทีละหน้าอย่าง ๆ ภาพตึกเก่า ๆ วัด และป่าไม้เขียวขจรทำให้วายุอดที่จะเอามือลูบไปมาตามรูปไม่ได้
“ครับผมมี เอามาด้วยครับ” ปากบอกแต่สายตายังคงมองตามรูปภาพ
“ผมอยากไปจังเลยครับ ขอแบบแบกเป้ไปเองแบบที่บอกด้วยได้มั้ยครับ”
“ได้เลยครับ แค่น้องบุคกิ้งตั๋วเรือช้ากับพี่ แล้วพี่จะจัดการให้หมดเลยครับ” นัทยิ้ม เวลายิ้มโลกเหมือนจะสว่างขึ้น แววตาเสร้านั้นคล้ายยิ้มรับโลก
“เออ บอย ไอ้น้องวิมมันจะไปหลวงพระบางวันไหนแล้วนะ” คนหน้าทะเล้นหันไปแค่ครึ่งตัว
“อีกสองวัน”
“เดี๋ยวไปพร้อมรุ่นน้องพี่แล้วกัน จะได้ไม่เหงา เรือช้าต้องค้างคืนกลางทาง ไม่รู้จักใครเหงาแย่เลย”
“ได้ครับ แล้วแต่พี่จัดมาแล้วกัน”
วายุยิ้มบาง ๆ โลกของเขากำลังจะกว้างออกไปอีก แต่มันจะกว้างในทางลำบากเสียมากกว่า เพราะสมัยเรียนมัธยมถ้าพ่อไม่ส่งไปซัมเมอร์ที่ยุโรป ก็ต้องเป็นออสเตรเลีย แต่นี่ “ลาว” ประเทศที่คนไทยบอกว่าล้าหลัง เขากำลังเดินถอยหลังอยู่หรือปล่าวหว่า
ยามดึก .ที่ร้านอาหารริมโขง
สวัสดี ไอ้เอก
อันที่จริงข้าควรจะเขียน “อีแมว” (E-mail) หาแกมากกว่า แต่ข้าจนหัวอกหัวใจเหลือเกิน สิ่งแรกข้ากลัวจะได้รับอีแมว ตอบจากแกว่ะ กลัวไปสารพัด เพราะข้าเปิดเผยหัวใจของข้าให้แกรับรู้เสียหมดใส้หมดพุงเสียแล้วนี่ การเขียนจดหมายหาแกฝ่ายเดียวน่าจะสร้างความสบายใจให้ข้าได้มากกว่า อย่างน้อยข้ากิดเอาเองว่าแกยังอ่านจดหมายของข้าเรื่อย ๆ ว่ะ
อย่างที่สอง อินเตอร์เน็ทที่นี่ราคาแพงมากฉิบหายเลย คิดเป็นนทีละ 250 นะโว้ย 250 กีบว่ะ ตีเป็นเงินไทยคร่าว ๆ นาทีละ 1 บาทขาดตัว แต่เรื่องราคาน่าจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับข้า เพราะปัญหาที่จะตามมากับการส่งอีแมว ก็คือ ตัวแกนั่นแหละ
อ้าว! แกอย่าลืมสิ
การส่งอีแมว จากต่างประเทศนั้นต้องส่งผ่านภาษาที่สาม ซึ่งเป็นภาษาตะวันตกแน่นอน เพราะภาษาที่หนึ่งภาษาไทยใช้ไม่ได้แน่ ภาษาที่สองของเจ้าบ้าน ลาว ข้าก็ไม่กระดิกเลย เพราะฉนั้นเหลือเพียงทางเลือกเดียว ภาษาที่สามซึ่งเป็นภาษาสากล
“อังกฤษ”
แน่นอน ข้ารู้จักแกดีนะโว้ยไอ้เอก ถ้าข้าส่งอีแมวเป็นภาษาอังกฤษให้แก รับรองมันก็จะกองอู่ในแมวของแกแบบนั้นแหละ เพราะแกจะไม่มีทางเปิดอ่านมันเลย เพราะอย่างนี้แล ข้าเลยต้องใช้บริการจดหมายเพื่อบอกทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าคิดกับแก ในฐานะ “เพื่อนเก่า”
“เพื่อนเก่า” ทำไมนะหรือ ก็ข้าไม่รู้นี่หว่า ว่าทันทีที่เอ็งรู้ว่าข้ารักเอ็ง ไอ้มิตรภาพดี ๆ สี่ปีในรั้วมหาวิทยาลัยมันจะยังหลงเหลืออยู่อีกบ้างไหม ทำไมนะหรือ ภาณุทัศน์ เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ข้าแอบรักแกเกินเพื่อนตลอด แต่ข้ากลัว ไม่ยอมที่จะบอกกับแก ทั้ง ๆ ที่หัวใจข้ามันอึดอัด แม้วันนี้ข้าจะกล้าบอกกับแก แต่แกก็คงไม่เอากำปั้นมากระแทกหน้าข้าได้แน่นอนว่ะ เพราะตอนนี้ระหว่างแกกับข้า เราห่างไกลกันเหลือเกิน ไกลจนหัวใจข้ามันหนาวเหน็บเลยแหละเอ็ง ก็ข้าเคยห่างเอ็งเกิน 3 วันเสียที่ไหนเล่า
ไอ้เอก ข้าไม่รู้เหมือนกันว่า เอ็งจะจำที่แรกที่เราพบกันได้หรือปล่าว แต่สำหรับข้า ข้าไม่เคยลืม มันเป็นที่เดียวในชีวิตที่ข้าจะไม่ลืมมันเลย ที่ไหนนะหรือเอ็งจะลองทายดูมั้ยล่ะ
“ก็ที่เดียวกับที่ข้าเดินจากมาเมื่อสองสัปดาห์ก่อนนั่นไง”
หลังองค์พระในมหาวิทยาลัยไง ข้าจำได้ ตอนนั้นข้าเข้ามาเรียนวันแรก ยังเปิ่น ๆ กับสถานที่ คนที่นั่งหันหลังคุยกับคนอื่นอีกสามสี่คนมันช่างคุ้นตาข้าเสียเหลือเกิน ข้าเลยเผลอทุบไหล่ไปเต็มมือ แต่พอ เอ็งหันกลับมาเท่านั้นแหละหัวใจข้าหล่นไปกองอยู่กับพื้นเลย สายตาที่เอ็งมองมันเอาเรื่องไม่หยอกเลยว่ะ ข้าต้องรีบขอโทษเอ็งเพราะทักคนผิด แต่พอเอ็งยิ้มบาง ๆ เท่านั้นแหละ หัวใจข้ามันวิ่งร้อยเมตรมาอยู่ที่เดิมแล้วพุ่งไปหาเอ็งในทันทีเลยนะโว้ย
“ผมภาณุทัศน์ครับ ไม่ใช่ไอ้เจมส์ ทักคนผิดเหรอครับ”
นั่นไง คำแนะนำตัวของแก ข้าจำได้ ข้าไม่รู้เหมือนกันนะโว้ยว่ากรรมที่ข้าทุบแกในวันนั้นมันจะตามมาทุบข้าในอีกสี่ปีต่อมา กรรมมันตามมารวดเร็วเหลือเกินว่ะเพื่อนเอ๋ย
“มึงติดต่อให้กูหน่อยดิ กูรักน้องแหม่มว่ะ”
นี่ไงกรรม! ที่ข้าบอก เพราะความจริงข้ากะจะบอกสิ่งที่หัวใจข้าเก็บมาเนิ่นนาน แต่แกดันชิงใช้ลูกตุ้มเหล็กทุบกบาลข้าเสียจนข้ามึน แข้งขาพาลไม่มีเรี่ยวแรงเอาเสียเลย ข้าเพิ่งพบพาลความผิดหวังก็วันนี้แหละ เหมือนกับที่เอ็งเคยบอกไง
“ชีวิตมึงพร้อมเสียจนล้น ในขณะที่ชีวิตของคนอื่น ขาดเสียจนมองไม่เห็นรูป”
ไอ้เอก ข้าผิดมากหรือที่เกิดมาบ้านรวย?
แต่เอ็งก็รู้ ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยของข้า ข้าไม่เคยเลยสักครั้งที่จะดูแคลนคนที่ด้อยกว่าข้า เหมือนที่ข้ามีหัวใจรักมั่นในคนที่ข้ารักคนเดียว แม้ความรักของข้ามันจะแห้งแล้งสักปานใด แต่ข้าก็อยากจะรัก ข้าไม่เคยคิดจะบอกแกเลยจริง ๆ ว่ะ แต่สุดท้ายข้าก็ยอมแพ้ต่อหัวใจตัวเอง เพราะข้าไม่อยากเก็บมันไว้แบบนี้อีกต่อไป
เปลี่ยนเรื่องดีกว่าว่ะ เดี๋วเอ็งจะพาลเกลียดข้ามากขึ้น ที่นี่หลวงพระบาง เอ็งน่าจะรู้จักดี เพราะเอ็งมันพวกแม่นวิชาประวัติศาสตร์ตะวันออกเสียด้วยสิ เรือนที่ข้ามาพักเป็นเรือนปูนที่สร้างใหม่สองชั้น แต่รูปแบบของอาคารยังเน้นแบบเก่านะโว้ย เพราะที่นี่เมืองมรดกโลกการจะสร้างอะไรสักอย่างมันไม่ใช่เรื่องง่ายต้องขอไปทางยูเนสโกเสียก่อน เพราะไม่อย่างนั้นยูเนสโกมันจะมายึด “มรดกโลก” คืนว่ะ
เวลาข้าเดินออกมาจากบ้านนะโว้ย ซ้ายมือของข้าเป็นซอยเล็ก ๆ ที่จะพาข้าลงไปถึงถนนเลียบแม่น้ำโขงก้แม่น้ำสายเดียวที่ไหลมาจากจีนแผ่นดินใหญ่นั่นแหละ มันไหลลดคดเคี้ยวมานับพันกิโลเมตร ผ่านอะไรต่าง ๆ มามากมาย ข้าอยากคุยกับแม่น้ำได้ จะได้ถามว่า ระหว่างทางเจออะไรมาบ้าง แล้วที่ผ่านมาเมื่อสองสามร้อยปีมีอะไรเกิดขึ้นบ้างกับดินแดนที่แม่น้ำไหลผ่าน
อ้าว! แกอย่ามาขัดข้านะแก ก็แกเองมิใช่หรือที่บอกว่าข้า “ช่างฝัน” ในเมื่อวันนี้ข้าได้มาอยู่ในโลกที่อิสระที่สุด โดยไม่ต้องพะวงว่าจะเข้าเรียนทันมั้ย พ่อกับแม่ข้าจะตามไปออกงานโน่นงานนี่ เพื่อแนะนำให้รู้จักกับคนนโน้นคนนี้ ชีวิตข้าตอนนี้เหมือนนก ที่เพิ่งหัดบิน มันคงคิดว่าขอบฟ้า ที่สายตามันเห็นไม่ไกลเกินปีกน้อย ๆ ของมันจะบินไหว แต่รับรองได้ว่า ไม่ช้ามันต้องหากิ่งไม้เพื่อยึดเกาะเพราะสิ่งที่นกน้อยมันคิดนะไม่มีทางเป็นจริง
เออ! มีอีกเรื่องนึงที่ข้ายังไม่ได้เล่าให้แกฟัง ข้าไม่ได้มาหลวงพระบางคนเดียวนะโว้ย เพราะอย่างน้อยข้าก็มีเพื่อนร่วมชะตากรรมมาด้วยคนนึง ทรุ่นราวคราวเดียวกับเรานี่แหละ เพราะเขาเพิ่งจบ วารสารศาสตร์ จาก มอชอ เชียงใหม่ “ลูกช้าง” เชียวนะแก
“วิม” คือชื่อของเพื่อนร่วมทริปข้าว่ะ
วิมมันเพิ่งจบพร้อม ๆ กับเรานี่แหละ ก่อนหน้านี้ วิมฝึกงานที่ออฟฟิศทัวร์เล็ก ๆ แถวช้างคลาน ซึ่ง พี่นัทหุ้นเปิดกันกับเพื่อน พอจบปุ๊บพี่นัทก็รับเข้าทำงานปั๊บ แถมใจดีให้พักร้อนก่อนเลย 30 วัน วิมมันเลือกจะมาหลวงพระบาง มันบอกมันชอบอะไรที่เก่า ๆ ธรรมชาติทั้งหลายตามประสาเด็กวรสารล่ะมั้ง พี่นัทเลยสมนาคุณเด็กฝึกงานด้วยค่าใช้จ่ายฟรีตลอดการเดินทาง แถมด้วยพ้อกเกตมันนี่อีกก้อนเพียงพอที่จะใช้ชีวิตในลาวได้สองเดือนเลยแหละแก
อยากได้เจ้านายแบบพี่นัทจังวุ้ย!
ข้าคงต้องจบจดหมายฉบับบนี้ก่อนล่ะแก มันดึกแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะต้องเจออะไรอีกข้าก็ไม่รู้ แต่สิ่งนึงที่ข้าอยากเจอ คือได้เจอกับแกอีกสักครั้ง แม้ในความฝันข้าก็ยินดี
วายุ
.
.
.
.
“เชียงของ” เป็นอำเภอเล็ก ๆ ของจังหวัดเชียงราย แต่ที่นี่กลับเป็นจุดสำคัญจุดหนึ่ง เพราะที่นี่จะมีเรือสินค้าที่ล่องมาจากประเทศจีนเพื่อนเปลี่ยนถ่ายลงเรืออีกทอดไปยัง ลาว แม้จีนจะพยายามเร่งสร้างถนนหมายเลข 13 เหนือ เชื่อมระหว่าง บ่อเต็นกับหลวงน้ำทา ซึ่งอยู่ในเขตลาว แต่จีนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทุกสตางค์ ด้วยสภาพภูมิประเทศที่เป็นเขาสูงชันทำให้การก่อสร้างค่อนข้างลำบาก จีนทุ่มงบประมาณมหาศาลในการสร้างถนนเชื่อมจากประเทศจนมายังลาว เพราะจีนหวังผลทางเศรษฐกิจที่จะนำสินค้าของจีนมาสู่ภูมิภาคนี้ ถนนหมายเลข 13 เหนือของลาว ถ้าแล้วเสร็จจะมีความสำคัญมากทีเดียว เพราะจีนสามารถขนสินค้าผ่านลาวมายังเวียดนามได้ และจากบ่อเต็นมาบ่อแก้วอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับเชียงของ โดยจีนตัดถนนจากคุณหมิงมาจ่อรอที่ชายแดนลาวเรียบร้อยแล้ว
“วิม ดูแลเพื่อนใหม่ด้วยล่ะ ถ้ายังไม่อยากกลับ พี่ให้หยุดได้เต็มที่สองเดือน แล้วกลับมาจะจ่ายเงินเดือนย้อนหลังให้ แต่มีข้อแม้ ลองหาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ ในลาวมาลงที่ออฟฟิศด้วยนะ” นัทสั่งเมื่อบอยจอดรถที่ท่าเรือเชียงของ
เวลานั้นยังเช้าตรู่ เพราะบอยออกมาจากเชียงใหม่ตั้งแต่ตีสี่ เส้นทางเชียงใหม่เชียงรายแม้จะคดเคี้ยวแต่คนขับค่อนข้างคุ้นเคยเส้นทาง เลยทำให้การเดินทางไร้อุปสรรคใด ๆ
“พี่บอยจะเอาอะไรฃหรือปล่าว” วิมหันมาถามพลางกระชับเป้ใบเขื่องเข้ากับไหล่
บอยมองหน้ารุ่นน้องยิ้ม ๆ
“เอาชีวิตเอ็งให้รอดกลับมาแล้วกัน”
“โหยพี่ อวยพรกันแบบนี้เลย”
วิมไม่คิดมาก เพราะบ่อยครั้งที่พี่บอยหยอกเล่น แม้เขาจะไม่สนิทกับบอยเท่านัท แต่วิมรู้ บอยมันใจดีเหมือนนัทแหละ แม้ในบางครั้งจะเห็นบอยชอบขลุกกับคอมพิวเตอร์ และนั่งเหม่อลอยบ้าง แต่ไม่นานพี่บอยที่มันเห็นจะกลับมาง่วนกับงานอีก
“ข้ามฝั่งกันได้แล้ว ไปเช้า ๆ จองที่นั่งเรือหน้า ๆ นะจะได้ไม่หนวกหูเสียงเครื่อง” นัทสั่งพลางเร่งสองหนุ่ม
“ไปก่อนนะครับพี่นัท พี่บอบ ขอบคุณครับ” วายุหันมายกมือไหว้ สองหนุ่มไหว้รับ
เรือข้ามฟากจากเชียงของค่อย ๆ แบนหัวเรือออกจากตลิ่ง หลังจากที่วายุกรอกเอกสารออกนอกประเทศเรียบร้อยแล้ว เขาไม่ชินกับการอกนอกประเทศโดยทางเรือ และที่สำคัญแทบทุกครั้งที่ออกต่างประเทศเขามักจะมีคนกรอกเอกสารให้ วิมต่างหากที่คุ้นเคย วายุเริ่มสังเกตเพื่อนใหม่ บางส่วนละหม้ายคล้าย “ภาณุทัศน์”
“เอ้า เสร็จแล้ว นายไม่เคยทำเองเลยเหรอ” วิมยิ้มพลางส่งหนังสือเดินทางคืนเจ้าของ
“เคยบ้าง แต่ภาษาลาวอ่านไม่ออก ตอนกรอกออกเมืองพอไหว แต่นี่เข้าเมือง ภาษาอ่านยาก”
“อ้าว ก็มีภาษาอังกฤษกำกับนี่”
“คือกันน่า ภาษาอังกฤษก็ยากพอดู”
วายุยิ้ม บ่อยครั้งที่เขาแอบมองหน้าเพื่อนร่วมทาง วิม ขาวเหมือนคนทางเหนือทั่วไป แต่คิ้วเข้ม ตาคม จมูกค่อนไปทางโด่ง ที่สำคัญมีเคราดำปื้นที่ผ่านการโกนมาไม่นาน แม้รูปร่างจะผอมบางกว่าภาณุทัศน์แต่ก็ก็ผอมแบบแข็งแรง
“วิมชื่อจริงชื่ออะไรหรือ” วายุเอ่ยถาม เมื่อทั้งสองผ่านด่านเข้าเมืองที่ห้วยทรายของฝั่งลาวเรียบร้อยแล้ว
คนงานกำลังลำเลียงข้างของลงเรือลำยาวที่มีหลังคา สินค้าหลายอย่างโดนนำขึ้นหลังคาดาดฟ้าเรือ ทั้งรถจักรยานยนต์ ไปจนถึง พวกกะปิ น้ำปลา เพราะลาวพึ่งพาสินค้าไทยเป็นหลัก และการขนส่งทางน้ำน่าจะเป็นการขนส่งที่ราคาถูกที่สุด
“ธันทัศน์ นายธันทัศน์ พัฒนกุลชัย” คนสูงกว่าหันมายิ้ม พลางส่งเป้ ให้เด็กเรือเก็บ ก่อนจะหันมารับเป้อีกใบจากวายุ
“ภาณุทัศน์ ธันทัศน์” วายุทวนชื่อเพื่อนใหม่ เทียบเคียงกับเพื่อนเก่าในใจ
“ไปแลกกีบไว้ใช้สักแสนสองแสนมะ ถึงฝั่งนี้จะรับเงินไทย แต่ใช้กีบดีกว่า” วิมบอก วายุตาโต กับคำว่า “แสนสองแสน”
“เป็นแสนเลยเหรอ” วายุแปลกใจ
“อ้าวงั้นสิ ที่นี่เขาใช้เงินครั้งละพันกีบขึ้นทั้งนั้นแหละ ไม่เคยมาลาวเหรอ”
วายุส่ายหน้าแทนคำตอบ วิมยิ้มตามเคย น่าแปลก รอยยิ้มของวิมสดใส วายุมองได้ไม่รู้เบื่อ คนโดนจ้องนาน ๆ เริ่มรู้ตัว อาการเขินทำให้วิมแทบจะวางไม้วางมือไม่ถูก
“เรามีอะไรแปลกไปเหรอ”
“ไม่มี แต่เห็นนายแล้วนึกถึงเพื่อนเก่านะ ไม่มีไรหรอก ไหนว่าจะพาไปแลกกีบไง ไปสิ” วายุเร่ง อย่างน้อยเขาไม่อยากให้เพื่อนใหม่รู้ วายุเริ่มเปรียบเทียบคนสองคน
เหมือนที่ภาณุทัศน์เคยบอกกระมัง
“เอ็งชอบคนง่าย”
แต่ภาณุทัศน์ไม่รู้อีกแหละ “วายุรักคนยาก”
ความชอบแตกต่างกับความรัก ความชอบอาจไม่ต้องการเวลามากมาย แต่ความรักมันต้องใช้เวลา ใช้ความเข้าใจหมั่นเติมเข้าไป ความรักเหมือนบ่วง เมื่อรักไปแล้วมันรัดแน่น ยากจะถอนตัวถอนใจ
เรือค่อย ๆ ออกจากท่าทราย แขวงบ่อแก้วของลาวในเวลาเกือบสี่โมงเช้า วายุกวาดสายตาไปในเรือ ผู้คนเกือบร้อยลงเรือลำเดียวกับเขา ทั้งฝรั่ง นิโกร ชาวบ้าน แต่วายุไม่รู้ทั้งลำเรือมีแค่วายุกับธันทัศน์ เท่านั้นที่เป็นคนไทย เรื่องล่องตามน้ำ ทำให้สามารถทำความเร็วได้ แรก ๆ วายุตื่นตาตื่นใจกับสองข้างทาง แนวทิวเขาสลับซับซ้อนราวภาพวาดจากจิตรกรชั้นดีของโลก เพราะเขาลุกไกล ๆ ที่ซ้อนอยู่อีกลูกมองลึกมีมิติ แต่พอเรือแล่นมาได้สักสามสี่ชั่วโมงเขาเริ่มเมื่อยล้า เรือเล็กแต่เดินไปมาลำบาก ธันทัศน์เสียอีก ปีนจากกาบเรือไปบนหลังคาดาดฟ้าเรืออย่างชำนาญ
เรือจอดข้างทางบ่อย เพราะมีชาวบ้านที่อยู่ริมน้ำอาศัยจะไปด้วยกัน บางคนมีกองฟืนมัดใหญ่ ๆ ร่วมสิบมัดขนลงเรือ บางคนจูงหมู ลงมาด้วย วายุไม่เคยเห็นภาพเช่นนั้นมาก่อน ชีวิตของวายุนอกจากเมืองไทยแล้ว ยุโรปน่าจะเป็นบ้านอีกหลังที่พ่อกับแม่จะต้องพาไปทุกปี
เสียงเรือเร็วก็เรือหางยาวดี ๆ นี่แหละ แล่นแซงไปอย่างรวดเร็ว วายุมองคนในเรือที่นั่งกันราวสิบคนด้วยความแปลกใจ ทั้งหมดสวมชูชีพสีแสด พร้อมหมวกกันน๊อค
“เขาไปไหนกัน”
“ไปหลวงพระบางเหมือนเรานี่แหละ แต่นั่นนะเรือเร็ว จากห้วยทรายไปหลวงพระบางราว 6 ชั่วโมง แต่เรือช้าอย่างเรานี่ 2 วัน คืนนี้เราต้องแวะค้างคืนที่ปากแบง” คนอธิบายรู้ลึกสมกับทำงานบริษัททัวร์
“วิมเคยนั่งมะ”
อีกฝ่ายส่ายหน้าแทนคำตอบ “ไม่เอาอ่ะ กลัว”
ขนาดคนทำงานทัวร์ยังกลัว วายุเลยเรียนรู้ บางสิ่งที่เราจะได้เจอ มันอาจจะน่ากลัวกว่าที่เห็น ลาวมันล้าหลังกว่าประเทศเรามากเลยหรือ ล้าหลังมากแค่ไหนวายุไม่รู้ และไม่คิดอยากจะรู้ แต่สิ่งหนึ่งที่ายุรู้ ประเทศลาวเขียวไปทั้งประเทศเลยจริง ๆ
ป่าไม้ทั้งนั้นที่ยังอุดมสมบูรณ์
เรือมาถึงปากแบงเอาเกือบมืด เพราะตอนกลางวันเรือแวะรับแวะส่งผู้โดยสารกลางทางบ่อย ทำให้เสียเวลาในการจอดแต่ละครั้งนานมาก วายุแปลกใจเรือลำนิดเดียวแต่บรรทุกของเสียจนน้ำแทบถึงกราบเรือ
“นอนที่นี่ได้นะ” วิมชี้ไปที่เรือนพักแบบชาวบ้าน จะว่ากระท่อมก็ไม่เชิง
“ได้” วายุตอบออกไป แม้จะไม่เต็มปากเต็มคำก็เหอะ แต่มันมีทางเลือกมากกว่านี้หรือไง
หลังอาหารเย็นมื้อค่ำ มื้อที่วายุคิดว่าอร่อยที่สุด อาจเพราะหิว หรือแปลกที่ วายุไม่อาจรู้ได้ เพราะตั้งแต่บ่ายที่วิมวิ่งไปซื้อข้าวเหนียวไก่ย่างตอนเรือจอด เขาแทบไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยสักนิดเดียว
“ปากแบง” เหมือนหมู่บ้านร้างเมื่อเข้าสู่สามทุ่ม จะมีเพียงแสงไฟวับ ๆ แวม ๆ จากเกสต์เฮ้าราคาถูก อีกไม่นานที่นี่จะมืดสนิท เพราะไฟฟ้าที่นี่ปิดตอนสี่ทุ่ม ชีวิตของผู้คนที่รอนแรมมาจบสิ้นลงอีกวันพร้อม ๆ กับความเงียบสงัด เหลือเพียงเสียงแมลงขับกล่อม คลื่นจากสายน้ำโขงซัดเข้าหาฝั่งเบา ๆ วายุหลับไปนานด้วยความอ่อนล้าจากการเดินทาง คืนนี้ที่นอนของเขาเป็นมุ้งหลังใหญ่กับที่นอนนุ่นแบบโบราณ สำหรับคนสองคน มีเพียงแสงตะเกียงริบหรี่เท่านั้น
วิมเข้ามาในที่นอนอย่างเบา ๆ เพราะกลัวจะเกิดเสียงให้อีกฝ่ายตื่น วายุนอนขดตัวเอามือซุกขา วิมเอาผ้ามาห่มให้เพื่อนใหม่ถึงต้นคอ แสงจากตะเกียงแม้ไม่สว่างมาก แต่วิมมันมองหน้าคนนอนหลับชัด
“น่าจะไม่เคยลำบากมาก่อน เวรของกู พี่นัทนะพี่นัท”
มันรำพึงในใจ แล้วทิ้งตัวลงนอนใกล้ ๆ กัน อากาศเริ่มเย็น แต่วิมมันไม่หนาว มันนอนลืมตาโพลง สมองคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย จนดึกสายตาเริ่มล้าแล้ววิมก็หลับไปในที่สุด
แกคงไม่รู้สินะว่าตอนนี้ข้าอยู่ที่ไหน แต่ช่างเหอะแกจะอยากรู้หรือไม่อยากรู้ แต่ข้าอยากบอกก็แล้วกัน ฟังดี ๆ นะโว้ยตอนนี้ข้าอยู่ที่ “หลวงพระบาง” ว่ะ มันก็คงเหมือนกับที่แกเคยบอกแหละ ว่าข้าชอบอะไรที่ง่าย แต่แกกลับไม่รู้เลยหรือว่าข้านะรักคนยากเสียด้วยสิ หรือแกอาจจะรู้แต่ช่างมันเหอะ เรื่องที่ข้าตั้งใจจะบอกแกมันจบลงไปแล้ว แกอย่าเพิ่งทำหน้างง ชวนสงสัยว่าข้ามาทำอะไรถึงหลวงพระบาง เรื่องของเรื่องมันก็เริ่มจากแกนั่นแหละ แกจำวันสอบวันสุดท้ายได้ไหม สำหรับข้าตั้งใจเป็นอย่างมากที่จะบอกบางสิ่งบางอย่างกับแก สิ่งที่ข้าเก็บมาร่วมสี่ปี
“กูรักมึงว่ะ”
มันน่าจะเป็นคำพูดที่ดีที่สุดที่คนอย่างข้าจะกล้าบอกกับแก แต่ข้ากลับไม่ได้ใช้มัน ในเมื่อ แกดันบอกตัดหน้าข้าเสียก่อน และนั่นมันทำให้ข้าต้องระเห็จระเหเร่รอนมาถึงที่นี่ แล้วแกยังอยากจะรู้เรื่องของข้าอีกมั้ยว่าข้ามายังไง ไว้ข้าจะเล่าให้แกฟังเรื่อย ๆ แล้วกันเพื่อนรัก (เพราะชีวิตข้า ข้าคงเป็นได้แค่เพื่อนรัก)
วายุ
.
.
.
.
สองสัปดาห์ก่อน
บริเวณศาลาที่ประดิษฐ์พระพุทธรูปของมหาวิทยาลัยร่มรื่นด้วยไม้ยืนต้น ที่แผ่กิ่งครอบคลุมบริเวณนั้นจนแสงแดดแทบส่องลงมาไม่ถึงพื้นดินเลยตลอดทั้งวัน น้ำพุจากฝักบัวตรงข้ามกับหอสมุดยังทำหน้าที่ของมันไปเรื่อย ๆ แสงแดดกระทบกับน้ำที่กระจายก่อเกิดรุ้งกินน้ำเล็ก ๆ ภาณุทัศน์เดินลงมาจากตึกห้า เขากวาดสายตาไปยังจุดนัดพบ “วายุ” เดินไปมาราวเสือติดจั่น บางครั้งก็ทำปากขมุบขมิบ ราวกับจะท่องจำอะไรสักอย่าง ภาณุทัศน์เดินตรงดิ่งมายังเพื่อน เขาก้าวข้ามผ่านสะพานคอนกรีตเล็ก ๆ ที่ข้างตึกหอสมุดเก่า
“ออกมาเร็วเลย เป็นไง ทำข้อสอบได้มั้ย” คนมาใหม่ รูปร่างสูง ผิวค่อนไปทางคล้ำ แต่ใบหน้ายิ้มแย้ม
วายุหันมาทางเพื่อนราวกับจะจดจำทุกสิ่งทุกอย่างของเพื่อนเอาไว้ เพราะตนไม่แน่ใจเหมือนกันหลังจากวันนี้จะได้มีโอกาสเจอเพื่อนอีกหรือไม่ เพราะข้อแรก เรียนจบ ข้อสอง เรื่องที่ตนจะบอกเพื่อนไม่รู้เพื่อนจะรับมันได้ขนาดไหน วายุหวาด ๆ กล้า ๆ กลัว ๆ
กลัวว่ามิตรภาพจะหมดไปถ้าพูดความลับในใจออกมา
“ไอ้เอก ข้ารักเอ็งนะโว้ย รักมานานแล้ว” วายุมันท่องประโยคนี้อยู่ในใจซ้ำไปซ้ำมา
“ว่าไง ตกลงนัดกูมามีเรื่องอะไร ว่ามาเลย”
“มึงจะรีบไปไหนหรือ?” คนยังกล้า ๆ กลัว ๆ ถามเสียงอ่อย
“ป่าว แต่กูก็มีเรื่องของกูจะบอกมึงเหมือนกัน” เอกมันยักคิ้วข้างเดียวตามเคย เคยมีใครบอกมันบ้างมั้ยนะว่าเวลามันยักคิ้วข้างเดียว ใจวายุสั่นราวใครเอามือมาเขย่า
“งั้นแกบอกเรื่องของแกมาก่อนเลย” วายุยังไม่พร้อมที่จะบอกในตอนนี้จริง ๆ แหละ
“เอางั้นเลยหรือ ได้ ๆ ไอ้วา มึงจำน้องแหม่มที่เป็นน้องรหัสของมึงได้มั้ย” ภาณุทัศน์จ้องหน้าเพื่อนนิ่งเนิ่นนาน
“ฮื่อ” วายุพยักหน้ารับ
“มึงติดต่อให้กูหน่อยดิ กูรักน้องแหม่มว่ะ” แววตาภาณุทัศน์อ้อนวอน
วายุชาวาบไปทั้งตัว ราวใครเอาไม้มาตีที่กะโหลก ความรู้สึกที่จะพูดกับเพื่อนมันหายไป หัวใจมันสั่น แต่เป็นอาการของคนที่หมดสิ้นทุกอย่าง มันมองเพื่อนไม่เต็มตา เพราะภายในตามันเริ่มมีน้ำตามาเอ่อ แต่มันต้องฝืนเก็บเอาไว้ มันจะให้เพื่อนเห็นไม่ได้
มันพยักหน้ารับก่อนค่อย ๆ เดินออกมา มันหันหลังให้เพื่อนแล้ว คราวนี้มันปล่อยน้ำตาออกมาได้เต็มที่ สมองมันไม่สั่งงาน ไม่ได้ยินเสียงเรียกของภาณุทัศน์ที่ร้องเรียกมันอยู่เสียด้วยซ้ำไป
“อย่าลืมนะโว้ยไอ้วา กูรักของกูจริง ๆ ช่วยกูด้วยนะมึง แล้วมึงไม่คุยเรื่องของมึงแล้วหรือ เออไว้กูจะโทรหาแล้วกันนะโว้ย”
วายุสูญเสียหัวใจกระนั้นหรือ หัวใจที่มันเฝ้าถนอมมานาน แต่ด้วยความไม่กล้า หรือเพราะตัววายุรู้ดีว่าความรักของตัวเองเป็นเหมือนจันทร์ในหมู่เมฆ ต้องคอหลบ ๆ ซ่อน ๆ ไม่กล้าแม้จะบอก ต้องคอยเก็บเอาไว้ให้มิดชิดที่สุด
มันเดินใจลอยมาถึงลานจอดรถตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ วายุเปิดประตูขึ้นไป แล้วฟุบหน้ากับพวงมาลัย ตลอดระยะเวลาสี่ปีในรั้วมหาวิทยาลัย วายุไม่เคยมีใครเลย เพื่อนสนิทก็มีแต่ภาณุทัศน์เท่านั้น วายุมันไม่อยากเข้าข้างตัวเองว่าภาณุทัศน์เองก็ชอบมัน เพราะ ภาณุทัศน์ไม่เคยมีใครเหมือนกัน มันสองคนเหมือนเงาของกันแหละกัน เจอคนใดก็จะเจอคนหนึ่งอีกไม่ช้า จนเพื่อน ๆ ในห้องคอยล้อเสมอว่ามันทั้งสองคือ “คู่ตูด”
วายุมันยิ้มรับ เพราะอยากให้คำล้อของเพื่อนเป็นจริง แต่ภาณุทัศน์กลับเฉย มันบอกเพียงแค่
“ปากคน ห้ามได้เสียที่ไหนเล่า”
.
.
.
.
วายุรู้สึกเหมือนเพิ่งหลับ รถไฟมาจอดที่ลำพูนในตอนรุ่งสาง ก็เมื่อคืนเขานั่งมองนอกหน้าต่างรถไฟทั้งคืน กว่าจะเริ่มรู้สึกว่าตามันไม่ไหวแล้วก็เกือบถึงศิลาอาสน์ ถ้าไอ้เอกรู้ว่ามันทนนั่งรถไฟชั้นสามมาจากกรุงเทพฯ ไอ้เอกคงหัวเราะเยาะมันแน่ ก็ไอ้เอกเคยว่ามันเสมอว่ามันเป็นพวกกลัวความลำบาก แต่ครั้งนี้มันจะลองเดินไปหาความลำบากดูสักครั้ง
วายุเดินหายเข้าไปในห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัว เขาแทบจะอาเจียนออกมาตรงนั้นเพราะห้องน้ำรถไฟชั้นสามมันไม่คุ้นจมูกคนอย่างวายุ รถสั่นไปสั่นมา โยกซ้ายทีขวาที จนวายุแทบจะยืนไม่ติดพื้น แต่วายุก็เริ่มปรับตัว เขารู้ต่อจากนี้ โลกในนี้จะกว้างกว่าในมหาวิทยาลัยที่เขาเคยเจอ ชีวิตของเขาคือการเดินทาง เขาจะไปจนกว่าหัวใจจะสั่งให้กลับ
“หนีรัก”
วายุกำลังหนี เขาอยากให้ให้ไกลหัวใจตัวเอง เพราะเขาสั่งให้เลิกรักภาณุทัศน์ไม่ได้ การอยู่ไกลกันและเจอผู้คนใหม่ ๆ อาจทำให้เขารู้สึกดีขึ้น เสียงภาณุทัศน์ที่บอกให้เขาติดต่อ้องรหัสยังคอยตามมาหลอกหลอนอยู่เสมอทั้งในยามหลับและยามที่เขาเผลอตัว รถค่อย ๆ ชะลอตัวเมื่อเข้าสู่สถานีสุดท้ายปลายทาง ก่อนค่อย ๆ หยุด ผู้คนต่างกุลีกุจอกันลงจากรถ ส่วนคนที่มารับก็กวาดสายตามองไปยังตู้ต่าง ๆ เพื่อหวังจะได้เห็นคนที่ตนมารอรับ วายุกระชับเป้เข้ากับแขน ก่อนที่จะเดินลงมาจากรถไฟชั้นสาม ที่เขาอาศัยมันมาทั้งคืน
วายุหันไปมองตู้รถไฟที่เขาเพิ่งลงมาอีกครั้ง ก่อนค่อย ๆ ยิ้มบาง ๆ อย่างน้อย เมื่อคืนที่ผ่านมา เขารู้สึกว่าเขาก็เหมือนคนทั่วไปของประเทศ ไม่ใช่ลูกชายเจ้าของบริษัทโฆษณาระดับประเทศ ที่นี่อิสระ เกินกว่าที่เคยคาดคิด
“เชียงใหม่”
ป้ายบอกสถานีสุดท้าย ที่วายุเดินออกมา เพื่อนั่งรถสองแถวต่อเข้าไปในเมือง ยามเช้ารถราที่เชียงใหม่ไม่แตกต่างไปจากกรุงเทพฯ เสียงแตรรถดังอยู่ตลอดเวลา เขาค่อย ๆ สังเกตรอบ ๆ เมือง ที่นี่เขาเคยมาแทบทุกปี แต่ไม่ใช่การนั่งรถไฟมา 14 ชั่วโมงเหมือนครั้งนี้ เพราะทุกครั้งที่ครอบครัวเขามาจะใช้บริการนกยักษ์
รถค่อย ๆ ขยับทีละน้อยเมื่อมาถึงสะพานนวรัฐ เด็กนักเรียนเดินไปโรงเรียนหยอกเล่นกันสนุกสนาน วายุมองภาพเหล่านั้นราวกับจะให้มันซึมซับเข้าไปในวันเก่า ๆ ที่ตนผ่านมา แล้วรถก็มาเลี้ยวซ้ายไปตามถนนช้างคลาน ที่นี่มีโรงแรมมากมาย บางแห่งเจ้าของโรงแรมก็เป็นเพื่อนของพ่อ วายุเลิกความคิดที่จะพักโรงแรมในทันที เขาตัดสินใจอะไรรวดเร็วเสมอ เพราะทีแรกเขาคิดจะหลบมารักษาแผลใจที่เชียงใหม่ อยากนอนโรงแรมหรู ๆ แต่เขาเปลี่ยนเพราะคำพูดในครั้งเก่าที่ภาณุทัศน์เคยเอ่ยเอาไว้มันตามมาหลอกหลอน
“อย่างมึงนะมีดีที่พ่อรวย คนอย่างมึงไม่มีวันรู้หรอก รถไฟชั้นสาม โรงแรมจิ้งหรีดมันเป็นยังไง เอ็งอย่าหาเรื่องลำบากเลยว้า” ภาณุทัศน์บอก เมื่อวายุชวนเพื่อนมาเชียงใหม่ด้วยรถไฟชั้นสามเมื่อตอนปีใหม่
ถ้าภาณุทัศน์รู้ว่าอีกสามเดือนต่อมา เขาทำอย่างที่ภาณุทัศน์เคยปรามาสเอาไว้ ภาณุทัศน์จะทำสีหน้าเช่นไร
วายุได้ที่พักใกล้ ๆ กับตลาดไนซ์บาซา หลังจากเช็คอินน์แล้วเขาก็หลับเป็นตายเพราะเมื่อคืน บนรถไฟ เขาแทบไม่ได้นอนเอาเสียเลย แม้ตาจะไม่อยากเปิด แต่ท้องมันหิว วายุเลยจำใจขยับกายลุกขึ้น เดินเข้าห้องน้ำ สายน้ำเย็นเฉียบจากฝักบัวทำให้เขาตื่นขึ้นมาในทันที
วายุเดินเตร่อยู่แถวไนซ์บาซา เขามาหยุดยืนที่ออฟฟิศทัวร์เล็ก ๆ ภาพที่ติดอยู่ในกระจกเรียกร้องให้เขาเดินเข้าไปใกล้ ๆ วายุมองภาพใหญ่ แล้วภาพน้อย ๆ ก่อนจะตัดสินใจผลักประตูเข้าไป
“สวัสดีครับ มีอะไรให้รับใช้ครับ” เสียงดังกังวานทักทาย
วายุมองไปตามเสียง ชายหนุ่มวัยยี่สิบปลาย นั่งอยู่ที่โต๊ะสามตัวติดกัน โต๊ะด้านหน้ามีฝรั่งสามีภรรยานั่งคุยกับหญิงสาว ส่วนด้านหลังมีชายหนุ่มวัยไล่เลี่ยกับคนที่เอ่ยทักทายเขาเมื่อสักครู่กำลังสาละวนกับงานเอกสารที่สั่งปรินซืจากคอมพิวเตอร์อยู่
“คือผมสนใจที่นั่นนะครับ” วายุชี้ไปที่โปสเตอร์ใบใหญ่ที่กระจก
“อ๋อ หลวงพระบางครับ เมืองมรดกโลก เมืองเล็ก ๆ แต่เงียบสงบครับ เชิญนั่งก่อนนะครับ คุยกันก่อนก็ได้ครับ ไม่ซื้อไม่เป็นไร”
การตอบโต้เคล่วคล่องจนวายุต้องมองหน้าซ้ำ คราวนี้วายุสังเกตเห็น หน้าตาคนพูด จัดอยู่ในประเภทหล่อ ถึงหล่อมาก แต่หน้าตาค่อนข้างทะเล้น คิ้วเข้ม ตาเศร้า ตัดผมรองทรง
“ครับ ไปยากมั้ยครับ” วายุนั่งลง อย่างน้อยคนข้างหน้าก็ชวนมอง หรือจะเรียกว่ามองแบบไม่รู้เบื่อก็ว่าได้
“ไม่ยากครับไม่ยาก บอยมีเอกสารชุดใหม่ป่ะ เอามาให้น้องเขาชุดนึงดิ” นัทหันไปทางบอยที่กำลังง่วนกับกองเอกสารที่เพิ่งปริ้นซ์ออกมา
“ครับเจ้านาย” เสียงตะโกนมาจากด้านหลัง
“สำหรับน้องนี่ พี่ว่าไปแบบแบกเป้น่าจะสนุกกว่ามั้ง เพราะเพกเกจมีแต่คนอายุเยอะทั้งนั้น ไม่สนุกหรอก”
“นี่คร๊าบ เจ้านายสด ๆ ร้อน ๆ เลยคร๊าบ” บอยลากเสียงยาว พลางยักคิ้วข้างเดียว นัทเอานิ้วชี้แบบคาดโทษ
วายุมองภาพคนร่างโตยักคิ้วข้างเดียว ทำให้เขาอดนึกถึงอีกคนไม่ได้
“ป่านนี้มันทำอะไรอยู่หว่า”
ใจวายุลอยไปถึงคนไกล นานนะที่ไม่เคยห่างกัน สี่ปีที่เรียนมาด้วยกัน เจอกันแทบทุกวัน นั่งเรียนติดกัน ขนาดวิชาเลือกเสรียังเลือกเรียนด้วยกันเลย แต่วันนี้มาถึงทางแยก ต่างฝ่ายต่างมีทางเดินเป็นของตนเองเสียแล้ว
“น้องครับ..นี่เอกสารนะครับ แค่น้องมีหนังสือเดินทางที่มีอายุเหลือมากกว่า 6 เดือน ก็เข้าไปลาวได้แล้วครับ”
วายุรับเอกสารมาดู เขาค่อย ๆ พลิกไปทีละหน้าอย่าง ๆ ภาพตึกเก่า ๆ วัด และป่าไม้เขียวขจรทำให้วายุอดที่จะเอามือลูบไปมาตามรูปไม่ได้
“ครับผมมี เอามาด้วยครับ” ปากบอกแต่สายตายังคงมองตามรูปภาพ
“ผมอยากไปจังเลยครับ ขอแบบแบกเป้ไปเองแบบที่บอกด้วยได้มั้ยครับ”
“ได้เลยครับ แค่น้องบุคกิ้งตั๋วเรือช้ากับพี่ แล้วพี่จะจัดการให้หมดเลยครับ” นัทยิ้ม เวลายิ้มโลกเหมือนจะสว่างขึ้น แววตาเสร้านั้นคล้ายยิ้มรับโลก
“เออ บอย ไอ้น้องวิมมันจะไปหลวงพระบางวันไหนแล้วนะ” คนหน้าทะเล้นหันไปแค่ครึ่งตัว
“อีกสองวัน”
“เดี๋ยวไปพร้อมรุ่นน้องพี่แล้วกัน จะได้ไม่เหงา เรือช้าต้องค้างคืนกลางทาง ไม่รู้จักใครเหงาแย่เลย”
“ได้ครับ แล้วแต่พี่จัดมาแล้วกัน”
วายุยิ้มบาง ๆ โลกของเขากำลังจะกว้างออกไปอีก แต่มันจะกว้างในทางลำบากเสียมากกว่า เพราะสมัยเรียนมัธยมถ้าพ่อไม่ส่งไปซัมเมอร์ที่ยุโรป ก็ต้องเป็นออสเตรเลีย แต่นี่ “ลาว” ประเทศที่คนไทยบอกว่าล้าหลัง เขากำลังเดินถอยหลังอยู่หรือปล่าวหว่า
ยามดึก .ที่ร้านอาหารริมโขง
สวัสดี ไอ้เอก
อันที่จริงข้าควรจะเขียน “อีแมว” (E-mail) หาแกมากกว่า แต่ข้าจนหัวอกหัวใจเหลือเกิน สิ่งแรกข้ากลัวจะได้รับอีแมว ตอบจากแกว่ะ กลัวไปสารพัด เพราะข้าเปิดเผยหัวใจของข้าให้แกรับรู้เสียหมดใส้หมดพุงเสียแล้วนี่ การเขียนจดหมายหาแกฝ่ายเดียวน่าจะสร้างความสบายใจให้ข้าได้มากกว่า อย่างน้อยข้ากิดเอาเองว่าแกยังอ่านจดหมายของข้าเรื่อย ๆ ว่ะ
อย่างที่สอง อินเตอร์เน็ทที่นี่ราคาแพงมากฉิบหายเลย คิดเป็นนทีละ 250 นะโว้ย 250 กีบว่ะ ตีเป็นเงินไทยคร่าว ๆ นาทีละ 1 บาทขาดตัว แต่เรื่องราคาน่าจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับข้า เพราะปัญหาที่จะตามมากับการส่งอีแมว ก็คือ ตัวแกนั่นแหละ
อ้าว! แกอย่าลืมสิ
การส่งอีแมว จากต่างประเทศนั้นต้องส่งผ่านภาษาที่สาม ซึ่งเป็นภาษาตะวันตกแน่นอน เพราะภาษาที่หนึ่งภาษาไทยใช้ไม่ได้แน่ ภาษาที่สองของเจ้าบ้าน ลาว ข้าก็ไม่กระดิกเลย เพราะฉนั้นเหลือเพียงทางเลือกเดียว ภาษาที่สามซึ่งเป็นภาษาสากล
“อังกฤษ”
แน่นอน ข้ารู้จักแกดีนะโว้ยไอ้เอก ถ้าข้าส่งอีแมวเป็นภาษาอังกฤษให้แก รับรองมันก็จะกองอู่ในแมวของแกแบบนั้นแหละ เพราะแกจะไม่มีทางเปิดอ่านมันเลย เพราะอย่างนี้แล ข้าเลยต้องใช้บริการจดหมายเพื่อบอกทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าคิดกับแก ในฐานะ “เพื่อนเก่า”
“เพื่อนเก่า” ทำไมนะหรือ ก็ข้าไม่รู้นี่หว่า ว่าทันทีที่เอ็งรู้ว่าข้ารักเอ็ง ไอ้มิตรภาพดี ๆ สี่ปีในรั้วมหาวิทยาลัยมันจะยังหลงเหลืออยู่อีกบ้างไหม ทำไมนะหรือ ภาณุทัศน์ เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ข้าแอบรักแกเกินเพื่อนตลอด แต่ข้ากลัว ไม่ยอมที่จะบอกกับแก ทั้ง ๆ ที่หัวใจข้ามันอึดอัด แม้วันนี้ข้าจะกล้าบอกกับแก แต่แกก็คงไม่เอากำปั้นมากระแทกหน้าข้าได้แน่นอนว่ะ เพราะตอนนี้ระหว่างแกกับข้า เราห่างไกลกันเหลือเกิน ไกลจนหัวใจข้ามันหนาวเหน็บเลยแหละเอ็ง ก็ข้าเคยห่างเอ็งเกิน 3 วันเสียที่ไหนเล่า
ไอ้เอก ข้าไม่รู้เหมือนกันว่า เอ็งจะจำที่แรกที่เราพบกันได้หรือปล่าว แต่สำหรับข้า ข้าไม่เคยลืม มันเป็นที่เดียวในชีวิตที่ข้าจะไม่ลืมมันเลย ที่ไหนนะหรือเอ็งจะลองทายดูมั้ยล่ะ
“ก็ที่เดียวกับที่ข้าเดินจากมาเมื่อสองสัปดาห์ก่อนนั่นไง”
หลังองค์พระในมหาวิทยาลัยไง ข้าจำได้ ตอนนั้นข้าเข้ามาเรียนวันแรก ยังเปิ่น ๆ กับสถานที่ คนที่นั่งหันหลังคุยกับคนอื่นอีกสามสี่คนมันช่างคุ้นตาข้าเสียเหลือเกิน ข้าเลยเผลอทุบไหล่ไปเต็มมือ แต่พอ เอ็งหันกลับมาเท่านั้นแหละหัวใจข้าหล่นไปกองอยู่กับพื้นเลย สายตาที่เอ็งมองมันเอาเรื่องไม่หยอกเลยว่ะ ข้าต้องรีบขอโทษเอ็งเพราะทักคนผิด แต่พอเอ็งยิ้มบาง ๆ เท่านั้นแหละ หัวใจข้ามันวิ่งร้อยเมตรมาอยู่ที่เดิมแล้วพุ่งไปหาเอ็งในทันทีเลยนะโว้ย
“ผมภาณุทัศน์ครับ ไม่ใช่ไอ้เจมส์ ทักคนผิดเหรอครับ”
นั่นไง คำแนะนำตัวของแก ข้าจำได้ ข้าไม่รู้เหมือนกันนะโว้ยว่ากรรมที่ข้าทุบแกในวันนั้นมันจะตามมาทุบข้าในอีกสี่ปีต่อมา กรรมมันตามมารวดเร็วเหลือเกินว่ะเพื่อนเอ๋ย
“มึงติดต่อให้กูหน่อยดิ กูรักน้องแหม่มว่ะ”
นี่ไงกรรม! ที่ข้าบอก เพราะความจริงข้ากะจะบอกสิ่งที่หัวใจข้าเก็บมาเนิ่นนาน แต่แกดันชิงใช้ลูกตุ้มเหล็กทุบกบาลข้าเสียจนข้ามึน แข้งขาพาลไม่มีเรี่ยวแรงเอาเสียเลย ข้าเพิ่งพบพาลความผิดหวังก็วันนี้แหละ เหมือนกับที่เอ็งเคยบอกไง
“ชีวิตมึงพร้อมเสียจนล้น ในขณะที่ชีวิตของคนอื่น ขาดเสียจนมองไม่เห็นรูป”
ไอ้เอก ข้าผิดมากหรือที่เกิดมาบ้านรวย?
แต่เอ็งก็รู้ ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยของข้า ข้าไม่เคยเลยสักครั้งที่จะดูแคลนคนที่ด้อยกว่าข้า เหมือนที่ข้ามีหัวใจรักมั่นในคนที่ข้ารักคนเดียว แม้ความรักของข้ามันจะแห้งแล้งสักปานใด แต่ข้าก็อยากจะรัก ข้าไม่เคยคิดจะบอกแกเลยจริง ๆ ว่ะ แต่สุดท้ายข้าก็ยอมแพ้ต่อหัวใจตัวเอง เพราะข้าไม่อยากเก็บมันไว้แบบนี้อีกต่อไป
เปลี่ยนเรื่องดีกว่าว่ะ เดี๋วเอ็งจะพาลเกลียดข้ามากขึ้น ที่นี่หลวงพระบาง เอ็งน่าจะรู้จักดี เพราะเอ็งมันพวกแม่นวิชาประวัติศาสตร์ตะวันออกเสียด้วยสิ เรือนที่ข้ามาพักเป็นเรือนปูนที่สร้างใหม่สองชั้น แต่รูปแบบของอาคารยังเน้นแบบเก่านะโว้ย เพราะที่นี่เมืองมรดกโลกการจะสร้างอะไรสักอย่างมันไม่ใช่เรื่องง่ายต้องขอไปทางยูเนสโกเสียก่อน เพราะไม่อย่างนั้นยูเนสโกมันจะมายึด “มรดกโลก” คืนว่ะ
เวลาข้าเดินออกมาจากบ้านนะโว้ย ซ้ายมือของข้าเป็นซอยเล็ก ๆ ที่จะพาข้าลงไปถึงถนนเลียบแม่น้ำโขงก้แม่น้ำสายเดียวที่ไหลมาจากจีนแผ่นดินใหญ่นั่นแหละ มันไหลลดคดเคี้ยวมานับพันกิโลเมตร ผ่านอะไรต่าง ๆ มามากมาย ข้าอยากคุยกับแม่น้ำได้ จะได้ถามว่า ระหว่างทางเจออะไรมาบ้าง แล้วที่ผ่านมาเมื่อสองสามร้อยปีมีอะไรเกิดขึ้นบ้างกับดินแดนที่แม่น้ำไหลผ่าน
อ้าว! แกอย่ามาขัดข้านะแก ก็แกเองมิใช่หรือที่บอกว่าข้า “ช่างฝัน” ในเมื่อวันนี้ข้าได้มาอยู่ในโลกที่อิสระที่สุด โดยไม่ต้องพะวงว่าจะเข้าเรียนทันมั้ย พ่อกับแม่ข้าจะตามไปออกงานโน่นงานนี่ เพื่อแนะนำให้รู้จักกับคนนโน้นคนนี้ ชีวิตข้าตอนนี้เหมือนนก ที่เพิ่งหัดบิน มันคงคิดว่าขอบฟ้า ที่สายตามันเห็นไม่ไกลเกินปีกน้อย ๆ ของมันจะบินไหว แต่รับรองได้ว่า ไม่ช้ามันต้องหากิ่งไม้เพื่อยึดเกาะเพราะสิ่งที่นกน้อยมันคิดนะไม่มีทางเป็นจริง
เออ! มีอีกเรื่องนึงที่ข้ายังไม่ได้เล่าให้แกฟัง ข้าไม่ได้มาหลวงพระบางคนเดียวนะโว้ย เพราะอย่างน้อยข้าก็มีเพื่อนร่วมชะตากรรมมาด้วยคนนึง ทรุ่นราวคราวเดียวกับเรานี่แหละ เพราะเขาเพิ่งจบ วารสารศาสตร์ จาก มอชอ เชียงใหม่ “ลูกช้าง” เชียวนะแก
“วิม” คือชื่อของเพื่อนร่วมทริปข้าว่ะ
วิมมันเพิ่งจบพร้อม ๆ กับเรานี่แหละ ก่อนหน้านี้ วิมฝึกงานที่ออฟฟิศทัวร์เล็ก ๆ แถวช้างคลาน ซึ่ง พี่นัทหุ้นเปิดกันกับเพื่อน พอจบปุ๊บพี่นัทก็รับเข้าทำงานปั๊บ แถมใจดีให้พักร้อนก่อนเลย 30 วัน วิมมันเลือกจะมาหลวงพระบาง มันบอกมันชอบอะไรที่เก่า ๆ ธรรมชาติทั้งหลายตามประสาเด็กวรสารล่ะมั้ง พี่นัทเลยสมนาคุณเด็กฝึกงานด้วยค่าใช้จ่ายฟรีตลอดการเดินทาง แถมด้วยพ้อกเกตมันนี่อีกก้อนเพียงพอที่จะใช้ชีวิตในลาวได้สองเดือนเลยแหละแก
อยากได้เจ้านายแบบพี่นัทจังวุ้ย!
ข้าคงต้องจบจดหมายฉบับบนี้ก่อนล่ะแก มันดึกแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะต้องเจออะไรอีกข้าก็ไม่รู้ แต่สิ่งนึงที่ข้าอยากเจอ คือได้เจอกับแกอีกสักครั้ง แม้ในความฝันข้าก็ยินดี
วายุ
.
.
.
.
“เชียงของ” เป็นอำเภอเล็ก ๆ ของจังหวัดเชียงราย แต่ที่นี่กลับเป็นจุดสำคัญจุดหนึ่ง เพราะที่นี่จะมีเรือสินค้าที่ล่องมาจากประเทศจีนเพื่อนเปลี่ยนถ่ายลงเรืออีกทอดไปยัง ลาว แม้จีนจะพยายามเร่งสร้างถนนหมายเลข 13 เหนือ เชื่อมระหว่าง บ่อเต็นกับหลวงน้ำทา ซึ่งอยู่ในเขตลาว แต่จีนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทุกสตางค์ ด้วยสภาพภูมิประเทศที่เป็นเขาสูงชันทำให้การก่อสร้างค่อนข้างลำบาก จีนทุ่มงบประมาณมหาศาลในการสร้างถนนเชื่อมจากประเทศจนมายังลาว เพราะจีนหวังผลทางเศรษฐกิจที่จะนำสินค้าของจีนมาสู่ภูมิภาคนี้ ถนนหมายเลข 13 เหนือของลาว ถ้าแล้วเสร็จจะมีความสำคัญมากทีเดียว เพราะจีนสามารถขนสินค้าผ่านลาวมายังเวียดนามได้ และจากบ่อเต็นมาบ่อแก้วอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับเชียงของ โดยจีนตัดถนนจากคุณหมิงมาจ่อรอที่ชายแดนลาวเรียบร้อยแล้ว
“วิม ดูแลเพื่อนใหม่ด้วยล่ะ ถ้ายังไม่อยากกลับ พี่ให้หยุดได้เต็มที่สองเดือน แล้วกลับมาจะจ่ายเงินเดือนย้อนหลังให้ แต่มีข้อแม้ ลองหาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ ในลาวมาลงที่ออฟฟิศด้วยนะ” นัทสั่งเมื่อบอยจอดรถที่ท่าเรือเชียงของ
เวลานั้นยังเช้าตรู่ เพราะบอยออกมาจากเชียงใหม่ตั้งแต่ตีสี่ เส้นทางเชียงใหม่เชียงรายแม้จะคดเคี้ยวแต่คนขับค่อนข้างคุ้นเคยเส้นทาง เลยทำให้การเดินทางไร้อุปสรรคใด ๆ
“พี่บอยจะเอาอะไรฃหรือปล่าว” วิมหันมาถามพลางกระชับเป้ใบเขื่องเข้ากับไหล่
บอยมองหน้ารุ่นน้องยิ้ม ๆ
“เอาชีวิตเอ็งให้รอดกลับมาแล้วกัน”
“โหยพี่ อวยพรกันแบบนี้เลย”
วิมไม่คิดมาก เพราะบ่อยครั้งที่พี่บอยหยอกเล่น แม้เขาจะไม่สนิทกับบอยเท่านัท แต่วิมรู้ บอยมันใจดีเหมือนนัทแหละ แม้ในบางครั้งจะเห็นบอยชอบขลุกกับคอมพิวเตอร์ และนั่งเหม่อลอยบ้าง แต่ไม่นานพี่บอยที่มันเห็นจะกลับมาง่วนกับงานอีก
“ข้ามฝั่งกันได้แล้ว ไปเช้า ๆ จองที่นั่งเรือหน้า ๆ นะจะได้ไม่หนวกหูเสียงเครื่อง” นัทสั่งพลางเร่งสองหนุ่ม
“ไปก่อนนะครับพี่นัท พี่บอบ ขอบคุณครับ” วายุหันมายกมือไหว้ สองหนุ่มไหว้รับ
เรือข้ามฟากจากเชียงของค่อย ๆ แบนหัวเรือออกจากตลิ่ง หลังจากที่วายุกรอกเอกสารออกนอกประเทศเรียบร้อยแล้ว เขาไม่ชินกับการอกนอกประเทศโดยทางเรือ และที่สำคัญแทบทุกครั้งที่ออกต่างประเทศเขามักจะมีคนกรอกเอกสารให้ วิมต่างหากที่คุ้นเคย วายุเริ่มสังเกตเพื่อนใหม่ บางส่วนละหม้ายคล้าย “ภาณุทัศน์”
“เอ้า เสร็จแล้ว นายไม่เคยทำเองเลยเหรอ” วิมยิ้มพลางส่งหนังสือเดินทางคืนเจ้าของ
“เคยบ้าง แต่ภาษาลาวอ่านไม่ออก ตอนกรอกออกเมืองพอไหว แต่นี่เข้าเมือง ภาษาอ่านยาก”
“อ้าว ก็มีภาษาอังกฤษกำกับนี่”
“คือกันน่า ภาษาอังกฤษก็ยากพอดู”
วายุยิ้ม บ่อยครั้งที่เขาแอบมองหน้าเพื่อนร่วมทาง วิม ขาวเหมือนคนทางเหนือทั่วไป แต่คิ้วเข้ม ตาคม จมูกค่อนไปทางโด่ง ที่สำคัญมีเคราดำปื้นที่ผ่านการโกนมาไม่นาน แม้รูปร่างจะผอมบางกว่าภาณุทัศน์แต่ก็ก็ผอมแบบแข็งแรง
“วิมชื่อจริงชื่ออะไรหรือ” วายุเอ่ยถาม เมื่อทั้งสองผ่านด่านเข้าเมืองที่ห้วยทรายของฝั่งลาวเรียบร้อยแล้ว
คนงานกำลังลำเลียงข้างของลงเรือลำยาวที่มีหลังคา สินค้าหลายอย่างโดนนำขึ้นหลังคาดาดฟ้าเรือ ทั้งรถจักรยานยนต์ ไปจนถึง พวกกะปิ น้ำปลา เพราะลาวพึ่งพาสินค้าไทยเป็นหลัก และการขนส่งทางน้ำน่าจะเป็นการขนส่งที่ราคาถูกที่สุด
“ธันทัศน์ นายธันทัศน์ พัฒนกุลชัย” คนสูงกว่าหันมายิ้ม พลางส่งเป้ ให้เด็กเรือเก็บ ก่อนจะหันมารับเป้อีกใบจากวายุ
“ภาณุทัศน์ ธันทัศน์” วายุทวนชื่อเพื่อนใหม่ เทียบเคียงกับเพื่อนเก่าในใจ
“ไปแลกกีบไว้ใช้สักแสนสองแสนมะ ถึงฝั่งนี้จะรับเงินไทย แต่ใช้กีบดีกว่า” วิมบอก วายุตาโต กับคำว่า “แสนสองแสน”
“เป็นแสนเลยเหรอ” วายุแปลกใจ
“อ้าวงั้นสิ ที่นี่เขาใช้เงินครั้งละพันกีบขึ้นทั้งนั้นแหละ ไม่เคยมาลาวเหรอ”
วายุส่ายหน้าแทนคำตอบ วิมยิ้มตามเคย น่าแปลก รอยยิ้มของวิมสดใส วายุมองได้ไม่รู้เบื่อ คนโดนจ้องนาน ๆ เริ่มรู้ตัว อาการเขินทำให้วิมแทบจะวางไม้วางมือไม่ถูก
“เรามีอะไรแปลกไปเหรอ”
“ไม่มี แต่เห็นนายแล้วนึกถึงเพื่อนเก่านะ ไม่มีไรหรอก ไหนว่าจะพาไปแลกกีบไง ไปสิ” วายุเร่ง อย่างน้อยเขาไม่อยากให้เพื่อนใหม่รู้ วายุเริ่มเปรียบเทียบคนสองคน
เหมือนที่ภาณุทัศน์เคยบอกกระมัง
“เอ็งชอบคนง่าย”
แต่ภาณุทัศน์ไม่รู้อีกแหละ “วายุรักคนยาก”
ความชอบแตกต่างกับความรัก ความชอบอาจไม่ต้องการเวลามากมาย แต่ความรักมันต้องใช้เวลา ใช้ความเข้าใจหมั่นเติมเข้าไป ความรักเหมือนบ่วง เมื่อรักไปแล้วมันรัดแน่น ยากจะถอนตัวถอนใจ
เรือค่อย ๆ ออกจากท่าทราย แขวงบ่อแก้วของลาวในเวลาเกือบสี่โมงเช้า วายุกวาดสายตาไปในเรือ ผู้คนเกือบร้อยลงเรือลำเดียวกับเขา ทั้งฝรั่ง นิโกร ชาวบ้าน แต่วายุไม่รู้ทั้งลำเรือมีแค่วายุกับธันทัศน์ เท่านั้นที่เป็นคนไทย เรื่องล่องตามน้ำ ทำให้สามารถทำความเร็วได้ แรก ๆ วายุตื่นตาตื่นใจกับสองข้างทาง แนวทิวเขาสลับซับซ้อนราวภาพวาดจากจิตรกรชั้นดีของโลก เพราะเขาลุกไกล ๆ ที่ซ้อนอยู่อีกลูกมองลึกมีมิติ แต่พอเรือแล่นมาได้สักสามสี่ชั่วโมงเขาเริ่มเมื่อยล้า เรือเล็กแต่เดินไปมาลำบาก ธันทัศน์เสียอีก ปีนจากกาบเรือไปบนหลังคาดาดฟ้าเรืออย่างชำนาญ
เรือจอดข้างทางบ่อย เพราะมีชาวบ้านที่อยู่ริมน้ำอาศัยจะไปด้วยกัน บางคนมีกองฟืนมัดใหญ่ ๆ ร่วมสิบมัดขนลงเรือ บางคนจูงหมู ลงมาด้วย วายุไม่เคยเห็นภาพเช่นนั้นมาก่อน ชีวิตของวายุนอกจากเมืองไทยแล้ว ยุโรปน่าจะเป็นบ้านอีกหลังที่พ่อกับแม่จะต้องพาไปทุกปี
เสียงเรือเร็วก็เรือหางยาวดี ๆ นี่แหละ แล่นแซงไปอย่างรวดเร็ว วายุมองคนในเรือที่นั่งกันราวสิบคนด้วยความแปลกใจ ทั้งหมดสวมชูชีพสีแสด พร้อมหมวกกันน๊อค
“เขาไปไหนกัน”
“ไปหลวงพระบางเหมือนเรานี่แหละ แต่นั่นนะเรือเร็ว จากห้วยทรายไปหลวงพระบางราว 6 ชั่วโมง แต่เรือช้าอย่างเรานี่ 2 วัน คืนนี้เราต้องแวะค้างคืนที่ปากแบง” คนอธิบายรู้ลึกสมกับทำงานบริษัททัวร์
“วิมเคยนั่งมะ”
อีกฝ่ายส่ายหน้าแทนคำตอบ “ไม่เอาอ่ะ กลัว”
ขนาดคนทำงานทัวร์ยังกลัว วายุเลยเรียนรู้ บางสิ่งที่เราจะได้เจอ มันอาจจะน่ากลัวกว่าที่เห็น ลาวมันล้าหลังกว่าประเทศเรามากเลยหรือ ล้าหลังมากแค่ไหนวายุไม่รู้ และไม่คิดอยากจะรู้ แต่สิ่งหนึ่งที่ายุรู้ ประเทศลาวเขียวไปทั้งประเทศเลยจริง ๆ
ป่าไม้ทั้งนั้นที่ยังอุดมสมบูรณ์
เรือมาถึงปากแบงเอาเกือบมืด เพราะตอนกลางวันเรือแวะรับแวะส่งผู้โดยสารกลางทางบ่อย ทำให้เสียเวลาในการจอดแต่ละครั้งนานมาก วายุแปลกใจเรือลำนิดเดียวแต่บรรทุกของเสียจนน้ำแทบถึงกราบเรือ
“นอนที่นี่ได้นะ” วิมชี้ไปที่เรือนพักแบบชาวบ้าน จะว่ากระท่อมก็ไม่เชิง
“ได้” วายุตอบออกไป แม้จะไม่เต็มปากเต็มคำก็เหอะ แต่มันมีทางเลือกมากกว่านี้หรือไง
หลังอาหารเย็นมื้อค่ำ มื้อที่วายุคิดว่าอร่อยที่สุด อาจเพราะหิว หรือแปลกที่ วายุไม่อาจรู้ได้ เพราะตั้งแต่บ่ายที่วิมวิ่งไปซื้อข้าวเหนียวไก่ย่างตอนเรือจอด เขาแทบไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยสักนิดเดียว
“ปากแบง” เหมือนหมู่บ้านร้างเมื่อเข้าสู่สามทุ่ม จะมีเพียงแสงไฟวับ ๆ แวม ๆ จากเกสต์เฮ้าราคาถูก อีกไม่นานที่นี่จะมืดสนิท เพราะไฟฟ้าที่นี่ปิดตอนสี่ทุ่ม ชีวิตของผู้คนที่รอนแรมมาจบสิ้นลงอีกวันพร้อม ๆ กับความเงียบสงัด เหลือเพียงเสียงแมลงขับกล่อม คลื่นจากสายน้ำโขงซัดเข้าหาฝั่งเบา ๆ วายุหลับไปนานด้วยความอ่อนล้าจากการเดินทาง คืนนี้ที่นอนของเขาเป็นมุ้งหลังใหญ่กับที่นอนนุ่นแบบโบราณ สำหรับคนสองคน มีเพียงแสงตะเกียงริบหรี่เท่านั้น
วิมเข้ามาในที่นอนอย่างเบา ๆ เพราะกลัวจะเกิดเสียงให้อีกฝ่ายตื่น วายุนอนขดตัวเอามือซุกขา วิมเอาผ้ามาห่มให้เพื่อนใหม่ถึงต้นคอ แสงจากตะเกียงแม้ไม่สว่างมาก แต่วิมมันมองหน้าคนนอนหลับชัด
“น่าจะไม่เคยลำบากมาก่อน เวรของกู พี่นัทนะพี่นัท”
มันรำพึงในใจ แล้วทิ้งตัวลงนอนใกล้ ๆ กัน อากาศเริ่มเย็น แต่วิมมันไม่หนาว มันนอนลืมตาโพลง สมองคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย จนดึกสายตาเริ่มล้าแล้ววิมก็หลับไปในที่สุด
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น