ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Monsta X]-Time (I.M X Kihyun) #ไทม์เอ็มกี

    ลำดับตอนที่ #2 : TIME-01-

    • อัปเดตล่าสุด 10 มิ.ย. 60





    TIME

    IM X KIHYUN

    Episode 01
    #ไทม์เอ็มกี

    ………………………………………..

    -01-

    ห้องสมุดในเวลาพักเที่ยงมักจะเงียบสงบเสมอ นั่นคือสิ่งที่คนอย่างยู กีฮยอนโหยหา เขามักจะใช้เวลาพักเที่ยงในห้องสมุกมากกว่าที่จะไปแคนทีนของโรงเรียนที่มีคนพลุกพล่านเต็มไปหมด ถามว่าเขาไม่กินข้าวเที่ยงเหรอ? แน่นอนว่าเขาเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีความรู้สึกอยากเป็นธรรมดา แต่เขาเลือกที่จะกินขนมปังกับนมกล้วยในช่วงเที่ยงมากกว่าและยังชอบไปซื้อในตอนใกล้จะขึ้นเรียนที่โรงอาหารไม่มีคน

    "กีฮยอน ทานข้าวเที่ยงแล้วเหรอจ้ะ?"

    เป็นครูบรรณารักษ์ประจำห้องสมุดที่ถามเขา เธอหอบหนังสือมามากมายซึ่งเขาคาดว่าน่าจะเป็นหนังสือใหม่ จนทำให้อดไม่ได้ที่จะวางหนังสือลงและตรงเข้าไปช่วยเธอ

    "ยังครับครู ผมกะว่าใกล้ๆจะขึ้นเรียนแล้วค่อยไปซื้อน่ะครับ" วางหนังสือลงบนชั้นพร้อมกับขานตอบ

    "ครูว่าแล้วเชียว" เธอว่าพลางส่ายหัว เขาคาดว่าเธอน่าจะชินกับพฤติกรรมของเขาที่เป็นแบบนี้มาตั้งแต่อยู่ม.ปลายปีแรกแล้วล่ะ

    "แต่ถึงยังไงก็ระวังตัวเองป่วยด้วยนะ"

    "ครับครู ว่าแต่นี่หนังสือใหม่เหรอครับ?"

    "ใช่จ่ะ! เป็นหนังสือเดี่ยวกับพวกวิทยาศาสตร์อ่ะ แต่ว่าครูเปิดเจอเล่มหนึ่งท่าทางน่าสนุก"เธอว่าพลางหาหนังสือ"เล่มนี้จ่ะ เธอลองเอาไปอ่านดูครูว่าเธอจะชอบ"

    "หนังสืออะไรเหรอครับ?"

    "มันเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจน่ะกีฮยอน แต่มันไม่ได้มีแค่นั้น นั่นแหละที่ทำให้หนังสือมันน่าสนใจ"

    "มันมีอะไรต่ออย่างนั้นเหรอครับ?"

    "ไม่บอกจ่ะ เอาเป็นว่าเธอลองเอาไปอ่านดูนะครูว่าเธอต้องชอบ เดี๋ยวครูขอตัวก่อน อย่าลืมไปกินข้าวด้วยล่ะ"

    "ครับครู" โค้งให้กับผู้เป็นครูก่อนจะหันมาสนใจหนังสือที่อยู่ในมือ

    "ไทม์อย่างนั้นเหรอ?" อ่านชื่อหนังสือออกมาพลางขมวดคิ้วสงสัย หนังสือที่ว่าเป็นหนังสือขนาดเท่าเล่มของนิยายหรือแฟนฟิคทั่วไป หน้าปกเป็นรูปหัวใจมนุษย์ที่ถูกวาดด้วยคนฝีมือดี "ไว้ตอนเย็นค่อยอ่านแล้วกัน"

    ............................................................

    สายฝนที่ตกโปรยปรายลงมาในเวลาเลิกเรียนทำให้หลายๆคนอดที่จะหงุดหงิดไม่ได้ ทั้งๆที่ใกล้จะเข้าสู่ฤดูหนาวแล้วแท้ๆแต่สายฝนที่กระหน่ำลงมาในเวลานี้กลับดูเหมือนว่าช่วงนี้เป็นฤดูฝนอย่างไรอย่างนั้น มือเล็กกระชับเสื้อโคสตัวหนาเข้ากับตัวเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย อากาศตอนนี้ค่อนข้างเย็นและมันคงไม่เป็นการดีแน่ๆถ้าหากว่าเขาจะป่วยเพราะร่างกายปรับตัวไม่ทันกับอากาศที่แปรปรวนอยู่ตลอดเวลาแบบนี้

    "กีฮยอน ไม่กลับเหรอ?"

    แช ฮยองวอน เพื่อนในห้องเรียนถามเขาในขณะที่ยืนอยู่ป้ายรถประจำทาง ฮยองวอนเป็นหัวหน้าชั้นเรียนของเขา แถมยังเป็นประธานนักเรียนของโรงเรียนนี้อีก และแถมยังเป็นคนที่มีความอดทนเอามากๆด้วยเพราะเจ้าตัวเคยถูกคนหน้านิ่งอย่างยู กีฮยอนเมินมานับครั้งไม่ถ้วนแต่ก็ยังมีความพยายามที่จะชวนเขาคุยทั้งๆที่เป็นคนอื่นอาจจะถอดใจแล้วปล่อยเขาทิ้งไว้คนเดียวไปแล้ว

    "ยัง" ตอบกลับไปสั้นๆห้วนๆโดยไม่คิดที่จะถนอมน้ำใจของอีกฝ่าย นั่นล่ะนิสัยของยู กีฮยอน

    "กลับด้วยกันไหม เดี๋ยวที่บ้านมารับแล้วฉันจะบอกคนขับรถไปส่งนายที่บ้าน" ถ้าจะถามว่ากีฮยอนรำคาญใครที่สุดในเวลานี้คำตอบคนหนีไม่พ้นเพื่อนร่วมห้องตัวผอมสูงอย่างแช ฮยองวอนแน่นอน

    "ไม่ล่ะ ขอบคุณ" ว่าก่อนจะหยิบหูฟังขึ้นมายัดใส่หูเพื่อเป็นการตัดบทการคุยกับอีกฝ่าย

    ฝนยังตกลงมาโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุด และยู กีฮยอนยังคงสนใจแต่หนังสือจนไม่รู้ว่าเพื่อนร่วมห้องกลับไปตั้งแต่ตอนไหน แถมตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดจนบ้านเรือนรอบๆเริ่มเปิดไฟแล้ว แต่ฝนก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะซาลงเลยสักนิด สงสัยวันนี้เขาคงต้องเปียกกลับบ้านแล้วล่ะ

    คิดได้ดังนั้นเจ้าตัวก็มองสอดส่องไปรอบๆตัวเผื่อว่าจะมีสิ่งของให้ใช้บังตัวจากน้ำฝนที่ดีกว่ากระเป๋านักเรียนของตัวเอง ดวงตาคู่สวยถูกตรึงไว้กับวัตถุบางอย่างที่อยู่บนพื้นถนน มันวาววับเพราะถูกแสงไฟจากบ้านเรือนและรถราที่วิ่งอยู่บนถนนสาดใส่ ขาเรียวก้าวเข้าไปหาวัตถุนั้นจนลืมไปว่าเมื่อสักครู่กังวลว่าตัวจะเปียกเพราะน้ำฝนแค่ไหน

    ยู กีฮยอนหยิบแหวนวงสวยขึ้นมาจากพื้น ใช่ มันคือแหวน

    แหวนวงกลมผิวเรียบที่ส่องประกายวาววับทุกครั้งที่กระทบแสงไฟ มันเหมือนแหวนทั่วไป แต่เขาก็ไม่เข้าในเหมือนกันว่าอะไรที่ทำให้แหวนวงนี้ดึงดูดเขาขนาดนี้

    ปี๊กกกกก!!

    หลุดออกจากภวังค์เพราะเสียงแตรรถประจำทางที่บีบไล่ เขาโค้งเพื่อเป็นการขอโทษก่อนจะยัดแหวนวงนั้นใส่กระเป๋าของเสื้อโคสและขึ้นไปที่ฟุตปาธเพื่อให้รถประจำทางจอดเทียบ ฝนซาแล้ว เขาจึงเลือกที่จะเดินกลับบ้านก่อนที่ฝนจะตกลงมาอีก

    …………………………………………………………………

    ยู กีฮยอนถึงบ้านในเวลาสองทุ่ม ฝนตกทำให้เขาต้องเสียเวลาติดอยู่ที่ป้ายรถประจำทางนานเกือบสามชั่วโมง แม่เข้านอนไปแล้ว เขาเลยค่อนข้างโล่งอกที่จะได้ไม่ต้องฟังเสียงบ่นของแม่ ครอบครัวของเขามีกันสามคน มีแม่ มีพี่สาว และก็มีเขา ส่วนพ่อของเขาท่านเสียไปตั้งแต่ที่เขาอายุสามขวบ ตั้งแต่นั้นมาแม่ก็เลี้ยงเขากับพี่สาวมาคนเดียวตลอด พี่สาวของเขาอายุมากกว่าเขาสามปี ตอนนี้เธอเรียนจบและทำงานแถมยังช่วยแบ่งเบาภาระของครอบครัวได้เป็นอย่างดี'ยู ยอนจอง'นั่นแหละชื่อพี่สาวของเขา

    คนตัวเล็กถอดเสื้อโคสที่เปียกชุ่มออกจากตัวก่อนจะโยนมันลงตะกร้าเตรียมซักในวันพรุ่งนี้ ก่อนจะหันไปที่หน้าต่างห้องที่เปิดไว้กะว่าจะเดินไปปิด

    แกร๊ง!!

    เสียงโลหะกระทบกับพื้นทำให้เขาหยุดการกระทำของตัวเองพลางหันไปมองตามวัตถุแล้วพบมันคือแหวนที่เขาเก็บได้ที่ป้ายรถประจำทาง คนตัวเล็กเดินเข้าไปพลางหยิบมันขึ้นมาเพื่อดูอีกครั้ง มันเป็นแหวนธรรมดาทั่วไปเหมือนเขาเห็นตั้งแต่แรก แต่ด้านในตัวแหวนเหมือนมีตัวหนังสือสลักไว้

    เอี๊ยดดด!!

    โครม!!

    ภาพสะท้อนความติดเกิดขึ้นในฉับพลัน คนตัวเล็กยกมือกุมที่หน้าอกข้างซ้ายเพราะอยู่ๆก็รู้สึกปวดหนึบขึ้นมาเสียอย่างนั้น ภาพซ้อนนั้นมันคืออะไรกัน มันเหมือนกับความฝันที่เกิดขึ้นกับเขาทุกคืน แต่สิ่งที่เขาเห็นในครั้งนี้กลับไม่ใช่ตัวเขาที่ถูกชน ภาพรอยเลือดและเศษกระจกรถที่เกลื่อนผิวถนน และภาพของคนๆหนึ่งที่นอนจมกองเลือดอยู่แต่เขาไม่อาจเห็นหน้าแม้จะฝันถึงเขาคนนั้นมากว่า2ปีแล้ว

    ยู กีฮยอนสลัดความคิดและภาพซ้อนนั้นออกจากหัวก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับแหวนที่อยู่ในมืออีกครั้ง เขาหมุนมันให้ด้านในกระทบกับไฟในห้องเพื่อที่จะอ่านข้อความในแหวนได้อย่างชัดเจน ข้อความนั้นเป็นภาษาอังกฤษ เขาอ่านมันไม่ค่อยถนัดเพราะมันถูกสลักลงแหวนด้วยตัวเขียน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็พยายามที่จะอ่าน

    "ชื่อคนอย่างนั้นเหรอ?"

    พูดขึ้นด้วยความสงสัยหลังจากที่พยายามพิจารณาข้อความนั้นอยู่นาน มันไม่ได้อ่านยาก แต่มันแค่อ่านไม่ถนัด แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่ามันสลักชื่อคนเอาไว้ในนั้น และตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่ามันเขียนว่า...

    "อิม ชางกยุน"

    ~~ฟิ้ว~~

    สายลมพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างกระทบเข้ากับผิวกายของคนตัวเล็กทำให้รู้สึกเย็นยะเยือก ยู กีฮยอนละความสนใจจากแหวนโดยวางมันไว้ที่โต๊ะหัวเตียงก่อนจะไปปิดหน้าต่างที่เขาตั้งใจว่าจะปิดตั้งแต่มาถึงลงโดยไม่ลืมที่จะล็อคอย่างแน่นหนา คนตัวเล็กเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าก่อนจะหยิบเอาผ้าเช็ดตัวสีขาวและเสื้อกับกางเกงนอนที่เทาเดินเช้าห้องน้ำไปเพื่อชำระร่างกายใช้เวลาไม่ถึง15นาทีก็เดินออกมาแล้วล้มตัวลงนอนกับเตียงของตัวเอง อา...หมดไปแล้วสำหรับวันที่แสนวุ่นวายอีกวันของยู กีฮยอน...

    .........................................................................

    แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องลอดเข้ามาภายในห้อง ร่างเล็กบนเตียงยังคงนอนหลับอยู่ แต่บนใบหน้าสวยกลับชื้นไปด้วยเหงื่อ คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันแทบจะผูกโบว์

    ยู กีฮยอนกำลังฝันร้าย

    ใช่ มันเป็นฝันที่เหมือนกับคืนก่อนๆตลอดเวลาสองปีที่ผ่านมา วันนี้ก็เช่นกัน

    "ไม่!!"ดีดตัวขึ้นจากเตียงพร้อมกับอาการตื่นเต็มตา

    ไม่ชิน

    ยู กีฮยอนไม่เคยชินกับมันสักที เพราะยิ่งนานวันเข้าความฝันนั้นมันยิ่งน่ากลัวเข้าไปทุกที

    "นายเป็นใครกันแน่นะ!"

    "ใครเหรอ?"

    กีฮยอนหันไปตามต้นเสียงที่เหมือนจะดังมาทางด้านตู้เสื้อผ้าที่อยู่หลบมุมห้อง ก่อนจะเบิกตากว้างเพราะเจอใครบางคนยืนพิงไหล่อยู่ตรงนั้น

    "นายเป็นใคร?"

    นั่นคือคำถามที่โพล่งออกไปตามสันชาตญาณของมนุษย์ก่อนที่เขาจะลงจากเตียงแล้วไปคว้าเอาไม้เบสบอลที่วางอยู่ข้างๆโต๊ะเขียนหนังสือขึ้นมาถือไว้พลางชี้ปลายมันไปยังอีกคนเพื่อเป็นการข่มขู่ แน่นอนว่าเขาจำได้ว่าเมื่อคืนเขาล็อกประตูและหน้าต่างเรียบร้อยหมดแล้ว แล้วหมอนี่เป็นใคร เข้ามาในห้องเขาได้ยังไง ผู้ชายที่เขาคาดว่าน่าจะอายุพอๆกับเขาเพราะสวมชุดนักเรียนที่สำคัญชุดนักเรียนที่หมอนั่นใส่เป็นชุดนักเรียนของโรงเรียนที่อยู่ข้างๆกับโรงเรียนเขาอีกต่างหากแต่กลับไม่มีชื่อติดที่หน้าอกอย่างที่ควรจะเป็น หน้าตาของหมอนั่นจัดได้ว่าอยู่ในระดับหล่อถึงขั้นเฟอร์เฟค และส่วนสูงของหมอนั่นดูเหมือนจะสูงกว่าเขานิดหน่อย

    "ฉันถามว่านายเป็นใคร เข้ามาในห้องฉันได้ยังไง?"

    เมื่ออีกฝ่ายเอาแต่เงียบ กีฮยอนเลยย้ำคำถามเพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจและตอบกลับเขา

    "นายเห็นฉันแล้วเหรอ?"

    "ห้ะ?"คนที่ถือไม้เบสบอลอยู่ถึงกับอุทานออกมาเมื่อได้ยินคำพูดแปลกๆของคนที่ยืนอยู่มุมห้อง

    "ก็ฉันเคยเรียกนายหลายครั้งแล้ว แต่นายก็ไม่ขานรับฉันแถมยังทำเป็นเหมือนไม่เห็นฉันอีกต่างหาก"

    "ละ...แล้วนายตามฉันมาทำไม? ต้องการอะไร?"

    "ฉันเปล่าตามนายมานะ ฉันอยู่ที่นี่"

    "โกหก!" โพล่งออกไปแทบจะทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบ หมอนั่นบ้าไปแล้วหรือยังไงพูดอะไรแบบนั้นออกมาโดยที่ไม่คิดได้ยังไงกัน

    "ฉันไม่ได้โกหกนะ! ฉันอยู่ที่นี่มานานแล้วจริงๆ"

    "ถ้านายอยู่ที่นี่มานาน แล้วทำไมฉันจะไม่เห็นนาย นอกเสียจากว่านายจะเป็นผี"

    กีฮยอนชะงักกับคำพูดที่เขาพูดออกไป แน่นอนว่าเขาไม่ได้กลัวผี แต่ถ้าคนตรงหน้าเป็นในสิ่งที่วิทยาศาสตร์ยังระบุไม่ได้เขาเองก็อดที่จะขนลุกไม่ได้จริงๆ

    "นั่นน่ะสิ ฉันอยู่ที่นี่แล้วทำไมนายถึงไม่เคยเห็นฉันเลยล่ะ?"

    "เลิกโกหกแล้วบอกความจริงมาสักที ไม่อย่างนั้นฉันจะทุบนายด้วยไม้นี่" ง้างไม้ขึ้นเป็นเชิงบอกว่าถ้าหากอีกฝ่ายไม่พูดความจริงออกมาเขาก็พร้อมที่จะทุบอีกฝ่ายได้ทุกเมื่อ

    "ฉันไม่ได้โกหกนายจริงๆนะ จะให้ฉันพูดยังไงล่ะ ในเมื่อฉันอยู่ที่นี่จริงๆ นั่นคือความจริงด้วย"

    "งั้นนายก็ไปคุยกับตำรวจที่โรงพักแล้วกัน"

    ว่าแค่นั้นก่อนจะฟาดไม้ไปที่อีกคนอย่างเต็มแรงแต่ไม่เบสบอลที่เขาถืออยู่นั้นกลับลอยผ่านอีกคนไปกระทบกับผนังราวกับว่าคนตรงหน้าเขาเป็นเพียงแค่อากาศอย่างไรอย่างนั้น

    "ทะ...ทำไม?"มองที่ไม้เบสบอลก่อนจะหันไปมองหน้าอีกคนที่ยังยืนยิ้มอยู่ที่เดิมและในท่าเดิมด้วย

    "ทีนี้เชื่อฉันได้หรือยังว่าฉันพูดจริงๆ"

    คนตัวเล็กลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงลำคอ นี่มันเรื่องอะไรกัน? สาบานได้เลยว่าถ้าเป็นคนอื่นคนสติแตกและร้องลั่นบ้านไปแล้ว แต่อย่างที่บอกว่าเขาเองไม่ได้เป็นคนที่กลัวผี แต่ตอนนี้เหงื่อที่ขมับกลับไหลออกมาราวว่าตอนนี้เขาอยู่ในสถานที่โล่งแจ้งที่มีแดดจัด

    "นะ...นาย"

    ลำคอแห้งผากไปหมด มือไม้ก็ดูเหมือนจะไม่มีเรี่ยวแรงเอาเสียอย่างนั้น ไม้เบสบอลที่เคยถืออยู่ในมือก็ร่วงหล่นลงกระทบกับพื้นห้องก่อนที่ขาสองข้างจะวิ่งไปยังห้องน้ำและปิดประตูลงกลอนอย่างดี

    "นี่มันเรื่องอะไรกัน? ฉันต้องฝันอยู่แน่ๆ"ตบหน้าตัวเองเบาๆเพื่อเรียกสติ เช้าวันนี้เป็นอะไรที่เหลือเชื่อมากๆ เขาต้องกำลังฝันไปแน่ๆ

    "นายมาทำอะไรในนี้เหรอ?"

    "เฮ้ย!!นายเข้ามาได้ยังไง?"ถามอีกคน ไม่สิ อีกตัวที่นั่งพิงสะโพกกับอ่างล้างหน้า

    "ไม่รู้สิ! พอฉันอยากเข้ามาแล้วฉันก็เข้ามาอยู่ตรงนี้เลย"คนที่ยืนพิงสะโพกอยู่ยิ้มให้เขา

    "แย่แล้วยู กีฮยอน"

    ………………………………………………………..

    เหตุการณ์เมื่อเช้าทำให้คนตัวเล็กต้องถึงขั้นกับโทรไปโกหกหัวหน้าห้องว่าไม่สบาย แน่นอนว่าเขาไม่ได้กลัวขึ้นสมองจนถึงขั้นจับไข้ แต่กว่าที่จะตั้งสติและออกมาจากห้องน้ำได้ก็เล่นเอาเสียเวลาไปหลายชั่วโมงอยู่เหมือนกัน

    "นายจะจ้องฉันอีกนานไหม?"

    "ก็จนกว่านายจะบอกว่านายชื่ออะไร?"

    คนตัวเล็กที่นั่งกอดอกอยู่บนเก้าอี้ของโต๊ะเขียนหนังสือจ้องบุคคลปริศนาที่นั่งอยู่ปลายเตียงของเขาอย่างไม่วางตา ตอนนี้ในบ้านมีแค่เขากับหมอนั่นสองคนเพราะพี่สาวคงจะไปทำงานและแม่คงจะออกไปเล่นกับเพื่อนๆที่สมาคมในหมู่บ้านแล้ว

    "ฉันก็บอกนายไปแล้วไง ว่าฉันไม่รู้"อีกฝ่ายยังคงปฏิเสธเหมือนกันกับหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา

    "นายจะไม่รู้ได้ยังไง ก็ในเมื่อนายบอกว่านายอยู่ที่นี่มานานแล้ว อย่างน้อยนายก็น่าจะรู้ชื่อตัวเองบ้าง"

    "ฉันไม่รู้หรอก เพราะไม่มีใครเคยเรียกฉันเพราะไม่มีใครเห็นฉัน นายเป็นคนแรก"

    "จะเป็นคนแรกได้ยังไงกัน ถ้านายเป็นผีเจ้าที่อย่างน้อยนายก็น่าจะเคยปรากฏกายให้แม่ฉันเห็นตั้งแต่ท่านมาอยู่ใหม่ๆสิ"

    "ไม่เคย"

    "ห้ะ?"

    "ก็บอกไปแล้วไงว่านอกจากนายก็ไม่มีใครเคยเห็นฉันเลย"อีกฝ่ายพูดแล้วก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อแสดงให้คนตัวเล็กเห็นว่าที่เขาพูดมันคือความจริง

    "แล้วที่นายบอกว่าอยู่ที่นี่นานแล้ว นานแล้วที่นายบอกอ่ะมันตั้งแต่เมื่อไหร่?"พอได้ยินเขาเปลี่ยนคำถามคนตรงหน้าจึงยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา

    "ถ้านับเวลาแบบที่นายนับมันเรียกว่าสองปี ฉันอยู่ที่นี่ตั้งแต่ที่นายยังใส่ชุดนักเรียนแบบเดิมที่ไม่ใช่แบบนี้"เขาคงหมายถึงชุดนักเรียนเมื่อตอนที่กีฮยอนอยู่ม.ต้น

    "แล้วทำไมฉันถึงไม่เคยเห็นนายเลยล่ะ?"

    "ฉันไม่รู้..."

    "แล้วทำไมตอนนี้ฉันเห็นนายล่ะ?"

    "ฉันไม่รู้..."

    "โอ้ย!! นายรู้อะไรบ้างไหมเนี่ย? ชื่อก็ไม่รู้ จำอะไรก็ไม่ได้ แล้วฉันจะเรียกนายว่าอะไรล่ะ ผีเร่ร่อนงั้นเหรอ?"

    สาบานได้เลยว่าวันนี้เป็นวันที่ยู กีฮยอนพูดมากที่สุดเท่าที่มีมา ทั้งหมดมันก็เพราะไอ้บ้าที่นั่งอยู่ตรงหน้าในตอนนี้ที่กำลังทำให้เขาหัวร้อนโดยที่เจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจ

    "ชางกยุน"

    "ห้ะ? นายว่าอะไรนะ?"

    "เรียกฉันว่าชางกยุนสิ เหมือนที่นายอ่านในห่วงวงกลมนั่นน่ะ"

    นั่นสิ! หรือว่าหมอนี่จะเป็นเจ้าของแหวนกัน เพราะตอนที่เขาอ่านชื่อที่สลักอยู่ด้านในของแหวน พอตอนเช้าหมอนี่ก็โผล่มาเลย มันอาจจะใช่ก็ได้

    "โอเค ต่อจากนี้ฉันจะเรียกนายว่าชางกยุน อิม ชางกยุน"

    "ดีๆ ฉันชอบชื่อนี้"

    คนตรงหน้า ไม่สิ กีฮยอนเองก็ไม่รู้ว่าจะแทนชางกยุนว่ายังไง เพราะหมอนั่นไม่ใช่คน แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะเขาจะแทนว่าคนแล้วกันเพราะชินกับการเรียกแบบนี้ ตอนนี้หมอนั่นยิ้มออกแล้ว ดูเหมือนจะชอบชื่อนี้จริงๆสินะ

    "แล้วนายตายได้ยังไง? โอ๊ะ นายจำไม่ได้นี่เนอะ ขอโทษๆ"

    "บื้อเอ้ย!!"

    "ว่าไงนะ?"

    "เปล่าหนิ!"อยากจะเอามือฟาดหน้าที่ทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นนั่นเหลือเกิน

    "จริงๆเลย"

    คนตัวเล็กเป่าลมออกปากเพื่อเป็นการผ่อนอารมณ์ นี่อิม ชางกยุนรู้บ้างหรือเปล่าว่าตัวเองเป็นคนที่กวนประสาทแค่ไหน นี่ขนาดเขาพึ่งได้คุยไปไม่กี่ชั่วโมงยังรู้สึกหัวร้อนขนาดนี้

    "ถ้านายอยู่ที่นี่เราก็ต้องมีกฎ"

    "กฎ?"

    "ใช่! กฎในการอยู่ร่วมกันไง ถ้านายจะอยู่ที่นี่เราก็ต้องตั้งกฎ"

    "ยุ่งยากว่ะ ทีเมื่อก่อนฉันยังอยู่ที่นี่ได้โดยไม่ต้องมีกฎเลย"

    อิม ชางกยุนบ่นหงอพลางทิ้งตัวลงนอนบนเตียงเขาอย่างถือวิสาสะ เชื่อเถอะว่าถ้าหากตอนนี้เขาสามารถแตะตัวชางกยุนได้ หมอนั่นไม่มีวันได้ทำแบบนั้นกับเตียงของเขาเป็นแน่

    "นั่นมันเมื่อก่อนที่ฉันคิดว่าไม่มีใคร แต่ตอนนี้ฉันรับรู้แล้วว่ามีนายอยู่ด้วยแถมตอนนี้ยังสามารถสื่อสารกันได้อีกด้วย มันก็ต้องมีกฎดิ" อิม ชางกยุนดีดตัวขึ้นจากเตียงเพื่อมานั่งฟังเขาอีกครั้ง

    "ได้! ว่ามา"

    "ข้อแรก นายห้ามทำเสียงดังในห้องนี้ เพราะฉันชอบอยู่เงียบๆ"

    "ไม่มีปัญหา"

    "ข้อสอง นายห้ามโผล่ไปโผล่มาทำให้ฉันตกใจ ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้กลัวผี แต่การที่อยู่ๆก็มีตัวอะไรไม่รู้โผล่มามันก็ทำให้ฉันตกใจได้ง่ายๆเหมือนกัน"

    "จะพยายาม"

    "และข้อสุดท้าย เวลาที่ฉันหรือคนในบ้านนี้ทำธุระส่วนตัวอยู่ในห้องน้ำ ห้ามนายเข้าไปใกล้หรือมีความคิดที่จะเข้าไปในนั้นเด็ดขาด"

    "เอ่อ..."

    "เข้าใจใช่ไหม?" ถามย้ำอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายรับรู้ในกฎที่เขาตั้งขึ้น จริงๆอยากจะตั้งหลายๆข้ออยู่หรอกนะ แต่กลัวหมอนี่จะจำและทำไม่ได้

    "กฎข้อสุดท้ายอ่ะ คือเริ่มตั้งแต่วันนี้ใช่ไหม?"

    "ใช่! ทำไม?"

    "โล่งอกไปที่ เพราะที่ผ่านมาอ่ะ เวลานายทำธุระส่วนตัวฉัน..." อิมชางกยุนลากเสียงยาวเพื่อให้คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ได้คิดตาม

    "นายอย่าบอกนะว่า..."

    คนที่นั่งอยู่บนเตียงไม่ได้ตอบกลับด้วยเสียง หากแต่การกระทำต่างหากที่กำลังทำให้ยูกีฮยอนแทบจะอยากสาปแช่งหมอนั่นให้หายไปซะตั้งแต่ตอนนี้ หมอนั่นพยักหน้าเป็นการยอมรับในสิ่งที่เขาต้องการสื่อแถมหมอนั่นยังทำหน้ากรุ่มกริ่มไม่มีวี่แววของความสำนึกผิดแม้แต่นิดเดียว

    "ไอ้โรคจิต!!"

    เมื่ออารมณ์มันบังตา หนังสือเล่มหนาที่วางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือก็ถูกคนตัวเล็กขว้างใส่อีกฝ่ายทันที แต่ก็นั่นแหละมันผ่านอีกคนไปราวกับว่าตอนนี้กีฮยอนแค่โยนมันใส่อากาศ หรือว่าใช่จริงๆนะ

    "ฉันไม่ได้โรคจิตสักหน่อย ก็นายไม่ได้ว่าอะไรหนิ ฉันเลยเข้าไป แต่ไม่ใช่ทุกครั้งนะ"

    "หยุดพูดสักที ฉันไม่ได้อยากฟังคำแก้ตัวของนาย"

    "ฉันไม่ได้แก้ตัวนะ ฉันแค่อธิบาย"

    "บอกให้หยุดพูดไงเล่า"

    คนตัวเล็กเอามืออุดหูไว้เพื่อที่จะให้ไม่ได้ยินเสียงของอีกฝ่ายที่เอาแต่พูดเรื่องนั้นไม่หยุด แค่เริ่มต้นมันยังวุ่นวายขนาดนี้ แล้วถ้านานไปกว่านี้ล่ะ เขาไม่ต้องประสาทกินจริงๆเหรอ? นั่นคือสิ่งที่แล่นเข้ามาในหัว
     

    .................................................................
    #ไทม์เอ็มกี

     

    เอาตอนแรกมาให้แว้วววววว ขอโทษที่อัพช้านะคะ ฝนตกทั้งวันเลยอ่ะ ฝากติดตามด้วยน้าาาาาาาา รักทุกคนนะคะ

     

    -P_Hyun6104-


     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×