ราชามารเช่นข้าขอเพียงเชยบุปผา (เปิดให้อ่านฟรีจนจบ) - นิยาย ราชามารเช่นข้าขอเพียงเชยบุปผา (เปิดให้อ่านฟรีจนจบ) : Dek-D.com - Writer
×
NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด

    ราชามารเช่นข้าขอเพียงเชยบุปผา (เปิดให้อ่านฟรีจนจบ)

    ข้ามิได้ผิดอันใดแต่เหตุใดถึงจบชีวิตลงด้วยความอดสู แต่เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งกลับอยู่ในร่างผู้อื่นทั้งยังงดงามจนใต้หล้าต้องตะลึง

    ผู้เข้าชมรวม

    360

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    360

    ผู้เข้าชมรวม


    360

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    42
    หมวด :  นิยายวาย
    จำนวนตอน :  23 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  19 พ.ย. 67 / 07:00 น.
    คำเตือนเนื้อหา NC

    มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    จุดจบ..จุดเริ่มต้น

    ณ....หุบเหวเวหาดินแดนมายา เขตแดนเวิ้งว้าง

    ผู้ที่ได้รับฉายาขนานนามว่า จอมมาร โลหิตไหลหลั่งรินเป็นสายธารธาราไปทั่วเขตภูเขาน้ำแข็ง บัดนี้ภูเขาน้ำแข็งที่เคยขาวใสไปด้วยหิมะและเกล็ดไอเย็น กำลังแดงฉานอาบไปด้วยโลหิตจนสุดเขตแดนเวิ้งว้าง

    กลิ่นอายร่องรอยพลังปราณจากการต่อสู้ที่พึ่งจะจบไปไม่นาน ยังคงอบอ่วนหลงเหลืออยู่มาก ลู่ ฟางซิน ถูกทหารสวรรค์ไล่ต้อนจนมุม กระบี่นับหมื่นเล่มเสียบทะลุตามเรือนร่างโชคเลือด อาภรณ์สีขาวถูกย้อมแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานด้วยโลหิต กลิ่นคาวลอยคละคลุ้งไปทั่วบริเวณแดนมายา

    ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลเลือดไหลริน ใบหน้าอ่อนแรงเหนื่อยล้าเฝ้ามองลี่หยางด้วยแววตาตัดพ้อ เสียใจปะป่นเครียดแค้น หากแต่เขาทำได้เพียงส่งยิ้มอ่อนเย้ยหยันไปให้ลี่หยางเท่านั่น ขาทั้งสองคุกเข่าลงด้วยความเหนื่อยอ่อน เขาใช้ทวนไท่ซานช่วยพยุงร่างตัวเองไว้เพื่อไม่ให้ล้มลงไปเกือกกลิ้งบนพื้นน้ำแข็ง

    นัยน์ตาสีรัตติกาลรู้สึกสิ้นหวัง ขณะมือข้างหนึ่งหยิบมีดสั้นออกมาพลางกรีดเข้าที่อกด้านซ้ายของตน ก่อนจะควักดวงหทัยศิลา5สีออกมาไว้ในกำมือ ใบหน้าโรยราแสยะยิ้มก่อนจะรวบรวมพลังลมปราณสายสุดท้ายแผ่ซ่านไปที่ศิลา5สีก้อนนั้นจนมันระเบิดแตกสลายกระจายเป็นผุยผงไหลลงสู่พื้นน้ำแข็ง

    “อาจารย์ท่านทำอะไรของท่าน ท่านบ้าไปแล้วรึไร หากทำเช่นนี้ท่านจะดับสูญสลายไม่อาจฟื้นคืนได้อีก”

    “สูญสลายยิ่งดี ข้าไม่อยากให้มีสักเสียวจิตวิญาณหลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้”

    “ข้าไม่ได้อยากให้มันเป็นเช่นนี้..ข้าไม่ต้องการจะทำร้ายท่าน”

    “ลี่หยาง..หากวันนั้นข้าไม่พาเจ้าเข้าเขตแดน วันนี้จุดจบก็คงต่างออกไป”

    “อาจารย์ศิษย์ผู้นี้โง่เขลายิ่งนัก ท่านจะโกรธจะเกลียดหรือเครียดแค้นข้าอย่างไรก็ได้ ขอเพียงท่านอย่าไปจากข้า”

    “ข้าไม่หวังให้คนเช่นเจ้ามาช่วยข้าหรอกลี่หยาง ข้าผิดเองที่นำพาเจ้าเข้าเขตแดน ผิดต่อบ้านเมืองที่ล่มสลาย ผิดต่อเหล่าบริวารที่จงรักภักดี ภพชาติหน้าหากข้ายังได้จุติเกิดอีกวาสนายังเหลืออยู่ ข้าและเจ้าอย่าได้เวียนว่ายมาเจอกัน เป็นเหมือนดั่งเส้นทางคู่ขนานไม่มีทางบรรจบพบเจอกันอีกหาน ลี่หยาง ลาก่อน......”

    เบื้องหลังของราชามารคือหุบเหวเวหา สถานที่ไร้ขอบเขตเปลี่ยนสภาพไปเรื่อยยากจะคลาดเดาทิศทาง เมื่อไร้สิ้นหนทางให้เดินต่อไปราชามารทิ้งกายกระโดดลงหุบเหวเวหา ร่างกายลอยเคว้งกลางอากาศด้วยความคับแค้นในอกจนน้ำตาเม็ดใสไหลรินพลางหัวเราะยิ้มเยาะ

    “ท่านเทพหนี่วาเดิมทีข้าก็เป็นเพียงเม็ดหินธรรมดา เพียงแต่ท่านใช้ข้าอุดรอยรั่วของแดนสวรรค์ ให้ข้าช่วยดูดกลืนพลังมืดฟ้าดินกระทั่งมีกายเนื้อแท้แต่ไฉนท่านถึงให้ข้าทุกข์ทรมานเช่นนี้ เหตุใดท่านถึงสร้างข้ามาให้เจ็บปวดสาหัสเหลือเกิน ท่านไม่เอ็นดูข้าผู้นี้บ้างเลยหรือ”

    ร่างกายเหนื่อยล้าไม่อาจทนต่อบาดแผลได้ไหว ลอยเคว้งคว้างอยู่กลางเวหาก่อนดวงตาหงส์จะหลับลงสู่ความมืดมิด ลมหายใจขาดหวงนิ่งสงบไปในที่สุด ลู่ ฟางซินตัดพ้อต่อท่านเทพหนี่วาผู้สรรสร้างภพสวรรค์ ภพมนุษย์และมาร มอบหมายให้เขาช่วยดูดกลืนพลังมืดฟ้าดินทั้งในภพสวรรค์และมนุษย์ กระทั่งมีกายเนื้อแท้เป็นมนุษย์

    วันเวลาผ่านมาเนินนานเขาดูดกลืนพลังมืดมากจนเกินไป พลังในกายจึงเปี่ยมล้นกลายเป็นราชามารจากพลังมืดฟ้าดินไร้ผู้เทียมทาน สวรรค์เก้าชั้นฟ้าอยากตั้งตนเป็นใหญ่ใน3ภพจึงนึกหวาดกลัวการมีอยู่ของเขาจะทำให้เป็นภัยในภายภาคหน้า นึกคิดจะกำจัดตั้งแต่ต้นจึงได้วางแผนส่งขุนพลมากำจัดตัวเขาทิ้ง

    “เด็กดีของข้า...เหตุไฉนเจ้าถึงกลายเป็นเช่นนี้ ก่อนหน้าข้าเคยเตือนเจ้าแล้วหากเข้าไปยุ่งกับ3ภพ จะเป็นเหตุให้เจ้าต้องจบชีวิต หากฟังข้าแต่แรกชีวิตเจ้าคงไม่น่าอดสูเช่นนี้ เฮ้ออ..เอาเถอะ อย่างไรเสียข้าก็เป็นผู้สร้างเจ้าขึ้นมาจะช่วยเจ้าสักครั้งก็คงไม่เหลือบ่ากว่าแรง”

     

    ภูเขาหิมะเทียบฟ้า ณ..ผาเดียวดาย

    “อืออออ”

    “น้องเล็กเจ้าฟื้นแล้วหรือ เป็นอย่างไรบ้าง มีอาการเจ็บตรงไหนมากหรือไม่ เจ้าหลับไปนานกว่า4วันท่านปู่จะฆ่าข้าตายอยู่แล้วหากวันนี้เจ้ายังไม่ฟื้น”

    “ข้า? ท่าน? ที่นี้?”

    “อะไร.. เจ้ามีอะไรก็พูดมาสิจะอ่ำๆอึ้งๆทำไม”

    “ท่านเป็นใครกัน แล้วที่นี้คือที่ใด ข้าเป็นใคร..”

    “เจ้า! เจ้า! นี้เจ้าจำอะไรไม่ได้เลยรึเซี่ย เสวี่ยนเฟิง”

    “เซี่ย เสวี่ยนเฟิง คือผู้ใด?”

    “ก็เจ้าไงล่ะ!!”

    “ข้าชื่อ เซี่ย เสวี่ยนเฟิง”

    “มารดามันเถอะ!!! ครั้งนี้ท่านปู่ต้องฆ่าข้าทิ้งแน่แล้ว”

    “ข้ามีท่านปู่ด้วยหรือ”

    “ตาย!! ข้าตายแน่ เสวี่ยนเฟิงเจ้าอย่าได้ล่อข้าเล่นอีกเลย เจ้าเฉลยมาเถอะว่าเจ้ากำลังแกล้งข้าเล่นเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาใช่หรือไม่”

    “ข้าเปล่า.. ข้าจำท่านไม่ได้จริงๆ”

    “ตายแน่!! ตายแน่!! รอบนี้ข้าต้องเหลือแค่วิญญาณแน่ ๆ”

    “เสวี่ยนเฟิง หลานปู่เจ้าฟื้นแล้ว!!!”

    “ท่านปู่ ท่านมาได้อย่างไรกันขอรับ”

    “หนิงหนิง มาบอกข้าว่าเสวี่ยนเฟิงฟื้นแล้ว ข้าจึงรีบมาดูอาการบาดเจ็บของเขา”

    “ท่าน...คือท่านปู่ของข้าหรือ”

    *0*? *0*? 

    ชายแก่ผมขาวใบหน้าเหี่ยวย่นตามอายุขัย สวมอาภรณ์ดูภูมิฐานตาเบิกโพรงด้วยความตกใจเมื่อหลานชายหัวแก้วหัวแหวนถามประโยคสุดแสนแปลกประหลาด พลางหันไปมองหลานชายอีกคนด้วยความสงสัย

    “เกิดอะไรขึ้นเหตุฉไนเจ้าถึงถามข้าเช่นนี้”

    “เออ...ท่านปู่ ข้าว่าเสวี่ยนเฟิงเขาน่าจะความจำหายไป”

    “เจ้า!! เจ้า!! เจ้า!! เป็นเพราะเจ้าพาเสวี่ยนเฟิงออกไปเถลไถลข้างนอกจนเกิดเรื่องเช่นนี้ วันนี้ข้าจะสั่งสอนเจ้าตีเจ้าให้ตายค่อยดูเถอะ”

    “ท่านปู่ข้าขอโทษ ท่านปู่ท่านอย่าตีข้าอีกเลย เสวี่ยนเฟิงช่วยข้าด้วย... เจ้าช่วยข้าที”

    “ท่านเจ้าหุบเขาพอเถอะเจ้าค่ะ พอเถอะเดียวอาการป่วยของท่านก็กำเริบอีกหรอก”

    “เจ้าอย่ามาห้ามข้าหนิงหนิง วันนี้ข้าจะสั่งสอนหลายชายผู้โง่เขลาของข้าให้สำนึก”

    เสียงโหวกเหวกเอะอะโวยวายวิ่งไล่กันอึกทึกครึกโครม หนึ่งชายแก่ถือไม้ไล่ตีชายหนุ่มวิ่งหนีกันพัลวันวุ่นวายอ้อมไปมาในเรือนพักของคนที่พึ่งฟื้นจากอาการบาดเจ็บ ฟางซินนั่งมองอยู่บนตั่งนอนด้วยความงุนงง จนเสียงโหวกเหวกเริ่มทำให้เขารู้สึกเวียนหัว

    “ทะ.ท่านปู่..ท่านหยุดเถอะ ข้าว่าเขาสำนึกผิดแล้วอย่าได้ตีเขาอีกเลยข้ารู้สึกเวียนหัวอยากพักผ่อนแล้ว”

    “จริงด้วยเจ้าพึ่งจะฟื้น ได้.. ได้.. เสวี่ยนเฟิงเจ้าพักผ่อนเถอะ ปู่จะพาพวกเขาออกไปข้างนอกไม่รบกวนการพักผ่อนของเจ้าอีก ตกตอนเย็นปู่จะให้หนิงหนิงเอาสำรับอาหารมาให้เจ้าที่นี้ เจ้าพักผ่อนเยอะๆ”

    “ขอบคุณขอรับ”

    “ออกไปสิเจ้าจะยืนอยู่ทำไมอีก”

    “ขอรับท่านปู่”

    หลังจากทั้งสามคนเดินออกจากห้องไป ลู่ ฟางซินจึงลุกขึ้นจากตั่งนอนเดินไปหยิบกระจกที่วางอยู่บนชั้นไม้ขึ้นมาส่องดูใบหน้าของตนเอง ดวงตาหงส์มองดูใบหน้าซีดเซียวไร้สีฝาดงดงามราวเทพธิดาบนสวรรค์นัยน์ตาสีฟ้าครามท้องทะเลสดใสเปล่งประกาย จ้องมองผิวกายขาวละเอียดดุจหิมะบนเรือนร่างตนเอง

     เรือนผมยาวที่ควรจะเป็นสีดำสนิทกลับกลายเป็นสีขาวดุจหิมะยามเหมันต์ ทุกสัดส่วนของร่างกายขาวซีดจนน่าตกใจ เรือนกายที่เคยแน่นหนาของเขากลับกลายเป็นเรือนร่างบอบบางคล้ายสตรีสาววัยแรกแย้ม

    “ร่างกายนี่..เป็นบุรุษหรือสตรีกันแน่ เหตุใดถึงได้เอวบางร่างน้อยถึงเพียงนี้”

    ร่างบอบบางยืนมองสงสัยกับร่างกายนี้ แต่ที่น่าสงสัยมากกว่าคือเขาเข้ามาอยู่ในร่างนี้ได้อย่างไร ก่อนหน้าเกิดสิ่งใดขึ้นกับเจ้าของร่างเดิม แล้วเขาหายไปอยู่ที่ไหนกันฟางซินนึกคิดอยู่นาน กระทั่งคิดได้ว่าก่อนที่เขาจะหลับใหลไป ได้ยินเสียงหนึ่งกล่าวบางสิ่งกับเขาพอรู้สึกตัวอีกทีก็มาฟื้นอยู่ในร่างนี้เสียแล้ว

    “ตอนนี้ผ่านมานานแค่ไหนแล้วนะ ข้าควรจะออกไปถามไถ่พวกเขาดูเสียหน่อย”

    ลู่ ฟางซินลุกขึ้นแต่งกายสวมชุดที่สาวรับใช้เตรียมไว้ให้เซี่ย เสวี่ยนเฟิงก่อนหน้า อาภรณ์สีขาวเรียบง่ายมีเพียงสายรัดเอวที่เป็นสีฟ้าอ่อนเพียงจุดเดียว คลุมทับด้วยเสื้อขนจิ้งจอกกันลมหนาว เกล้าผมรวบครึ่งหัวปักด้วยปิ่นไม้ท้อปล่อยปลายยาวสยาย

    หลังเดินออกจากเรือนพักเขาสังเกตไปตามบริเวณทางที่เดินผ่าน บรรดาศิษย์ที่กำลังทำกิจวัตรประจำวันต่างหันมามองทันทีที่เขาปรากฎตัว ฟางซินเดินตามทางมาเรื่อยอย่างไร้จุดหมายก่อนจะพบกับคนที่เขาเคยเจอเมื่อตอนเช้า ทันทีที่เห็นเขาปรากฎตัวชายหนุ่มผู้นั้นก็รีบเดินเข้ามาหาเขาทันที

    “เสวี่ยนเฟิงอาการเจ้ายังไม่หายดีทำไมไม่พักอีกสักหน่อย”

    “ข้าพักมากพอแล้วอยู่ในห้องนานรู้สึกเบื่อจึงออกมาเดินเล่นรับลมด้านนอก ท่านเป็นคนช่วยพาข้าเดินเล่นหน่อยได้หรือไม่ เผื่อว่าข้าจะจำอะไรได้ขึ้นมาบ้าง”

    “ได้ ..เรื่องแค่นี้ เดียวข้าจะพาเจ้าเดินเล่นเองมีสิ่งใดสงสัยเจ้าก็ถามข้ามาได้เลยนะ”

    “ขอบคุณท่าน..เออ..”

    “ข้าคือเซี่ย เอ้อหลางเป็นพี่รองของเจ้า เจ้ายังมีพี่ชายอีกคนคือเซี่ย ฉิงหมิง ตอนนี้เค้าลงเขาไปปฏิบัติภาระกิจข้าคลาดว่าอีกไม่เกิน3วันข้างหน้าเจ้าก็จะได้เจอหน้าเขาเองแหละ”

    “แล้วท่านปู่ข้าล่ะ ชื่อว่าอะไร ที่นี้ที่ไหน”

    “เฮ้ออ..เจ้าลืมสิ้นถึงเพียงนี้เลยหรือแต่ไม่เป็นไรข้าจะบอกเจ้าเอง ที่นี้คือภูเขาเทียบฟ้าป่ายเซี่ยซาน สถานฝึกยุทธ์เผ่ามนุษย์ เจ้าภูเขาคือท่านปู่เซี่ย ตงหยางเฟิง ท่านพี่ฉิงหมิงคือผู้สืบทอดรุ่นต่อไป”

    “ข้ามีท่านพ่อ ท่านแม่หรือไม่”

    “มีสิแต่ว่าพวกท่านจบชีวิตลงเมื่อครั้งสงครามเผ่าสวรรค์เมื่อ 200ปีก่อนแล้ว”

    “สงคราม?...สงครามอันใดหรือ”

    “นี้เจ้าลืมจนหมดสิ้นขนาดนี้เลยหรือเสวี่ยนเฟิง”

    “ข้าลืม.. ท่านพี่เอ้อหลางท่านช่วยเล่าให้ข้าฟังหน่อยสิ”

    “เมื่อ200กว่าปีก่อนเผ่าสวรรค์เริ่มเหิมเกริมหนักนำโดยองค์ไท่จื่อหาน เสี่ยวเหริน ลุกลามทำร้ายเผ่าอื่นไปทั่วทำให้ทั้ง3ภพ 8เขตแดนจนเกิดมหันตภัยร้ายทั้งปวง ครั้งนั้นหากข้าฟังไม่ผิดเกิดจากจักรพรรดิสวรรค์เกิดจิตมารเข้าแทรก อยากจะรวบรวมครอบครองทั้ง3ภพ8เขตแดนเพื่อเป็นใหญ่ปกครองแต่เพียงผู้เดียว

    สั่งการให้องค์ไทจื่อทำร้ายเผ่าอื่นให้มาอยู่ใต้อาณัติของตน ทำให้จิตเทพบรรพกาลทนเห็นทั้ง3ภพ8เขตแดนวุ่นวายไม่ไหวจึงเข้ามาช่วยเหลือรวบรวมทุกเผ่า เพื่อเข้าจัดการกับเผ่าสวรรค์และแบ่งแยกออกจากกันอย่างชัดเจน ตั้งกฎห้ามก้าวก่ายลุกล้ำเข้าเขตแดนซึ่งกันและกัน ในศึกครั้งนั้นเกิดการสูญเสียมากมายร่วมถึงท่านพ่อท่านแม่ของเราด้วย”

    “แล้วเผ่าสวรรค์ตอนนี้เป็นอย่างไร”

    “เปลี่ยนเจ้าสวรรค์คนใหม่มีเทพบรรพกาลคอยดูแลให้คำปรึกษาอยู่สูงสุด”

    “แล้วจักรพรรดิผู้เก่า เขาถูกฆ่าหรือไม่”

    “จักรพรรดิสวรรค์ถูกลงโทษให้เฝ้าดูแลสุสานบรรพชนแดนสวรรค์ ส่วนองค์ไท่จื่อเขาหนีรอดไปได้ไม่มีผู้ใดรู้ว่ายามนี้เขาหลบซ่อนอยู่ที่ใด แต่ข้าเคยได้ยินท่านปู่บอกว่าเขากำลังตามหาหัวใจศิลา5สีของราชามารแท้บุพการ เพื่อเสริมพลังของตนเองให้แข็งแกร่งมากขึ้นแต่ผ่านมากว่า200ปีเขาก็ยังคงหามันไม่พบ ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วศิลา5สีนั้นยังมีอยู่หรือไม่”

    “เขาไม่มีวันได้มันไปครอบครองแน่นอน”

    “เหตุใดเจ้าถึงมั่นใจเช่นนั้นเสวี่ยนเฟิง”

    เสียงสนทนาเงียบลงเมื่อลู่ ฟางซินตกสู่ห้วงความคิดของตนเอง พลางกล่าวในใจเพราะข้าเป็นคนทำลายมันด้วยมือของข้าเอง ก่อนจะสะดุ้งรู้สึกตัวเมื่อมือของเอ้อหลางเขย่าที่แขนของเขา

    “เสวี่ยนเฟิงเจ้าไหวหรือไม่ ยังจะเดินเล่นต่อไปไหม”

    “ไหว..ไหวข้าไม่ได้เป็นอะไร”

    “ว่าแต่เหตุใดเจ้าถึงมั่นใจว่าเขาจะไม่มีทางได้ศิลา5สีไปครอบครอง”

    “ก็ถ้าเขาได้มันไปครอบครองโลกใบนี้ก็จะไม่มีวันสงบสุขอีกต่อไปนะสิ ท่านพี่ไม่คิดว่าเช่นนั้นรึ”

    “มันก็คงจะเป็นเช่นนั้นแหละ”

    “อากาศข้างนอกหนาวมากเจ้าออกมาเช่นนี้อาการดีขึ้นแล้วหรือ”

    เดินเล่นพลางพูดคุยจนลืมดูเวลาและสถานที่ รู้สึกตัวอีกทีคนเป็นปู่ก็เข้ามาทักทายก่อนเสียแล้ว หลังเห็นหลานรักไม่อยู่ในเรือนพัก ก่อนหน้ายังบอกว่าตนนั้นอยากนอนพักต่อ แต่เหตุใดถึงได้ออกมาตากลมหนาวอยู่ที่นี้พร้อมเอ้อหลาง

    “ดีขึ้นแล้วขอรับท่านปู่”

    “หายแล้วก็ดี.. มาเถอะ ปู่จะพาเจ้าไปทานของว่างที่ห่อตำรา หลบลมหนาวนั่งพักอ่านตำราวิชายุทธเล่นกัน”

    “ขอรับท่านปู่”

    “ขอข้าไปด้วยคนสิขอรับ”

    “เหตุใดเจ้าไม่ไปฝึกกระบี่ที่ลานประลอง ห่อตำราไม่เหมาะกับคนเช่นเจ้า”

    “แต่ข้าอยากไปอ่านตำราที่ห่อตำราด้วยนะขอรับ”

    “ตามแต่เจ้าเถอะ”

    ลู่ ฟางซินมองตามแผ่นหลังของชายแก่กับชายหนุ่มที่เดินนำหน้าเคียงข้างกันไปทางด้านห่อตำราสูง ชั่วขณะความคิดพลันถามด้วยความสงสัย เหตุใดกันนะเขาถึงได้มาอยู่ที่ร่างนี้ แต่ในเมื่อได้มาอยู่แล้วก็คงต้องอาศัยไปก่อนจนกว่าเจ้าของร่างที่แท้จริงจะกลับมาทวงคืน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนเปิดให้แสดงความคิดเห็น “เฉพาะสมาชิก” เท่านั้น